บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
All Blogs
 

หลักการสร้างชื่อสินค้า จากการตอบ กระทู้ ห้องสีลม

หลักการสร้างชื่อสินค้า จากการตอบ กระทู้ ห้องสีลม


โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)




อันนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ผมคุยกับเพื่อนๆในกระทู้บ่อยๆ ถึง การสร้างชื่อสินค้าให้คนรู้จัก แต่ไม่ได้เรียบเรียงให้ทุกคนได้อ่าน... วันนี้พอมีเวลา... เอาสักหน่อยละกัน....

การสร้างชื่อ สินค้า กับ กระทู้ มันเข้ามาเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไร....


มุมมองของผมคือ มองอมยิ้ม หรือ ชื่อที่ทุกคนใช้ว่า เป็น ชื่อ ที่ประจำอยู่ทุกคน... สินค้าของคุณคือความคิดที่ถ่ายทอดออกมาผ่าน สื่อ คือ Pantip แห่งนี้....

คนที่มีอมยิ้ม ก็จะใช้ชื่อประจำ ส่วนคนที่ไม่มีอมยิ้ม ก็เปลี่ยนชื่อกันไป แล้วแต่ความต้องการ ผมขอพูดแต่คนที่มีอมยิ้มละกัน เพื่อจะแจงให้ทราบว่า ชื่อที่ติดอมยิ้ม เป็นชื่อที่สื่อความเป็นตัวของแต่ละบุคคลจริงๆ....

จะเห็นว่า สินค้าที่เพื่อนๆ กำลังขายอยู่นี้ มันมาจากความคิดของแต่ละท่าน ผ่านการเรียบเรียง ทบทวน และ ได้บันทึกเป็นตัวอักษรผ่านกระทู้... มันบ่งบอกว่า เพื่อนๆ มีความคิดเห็นอย่างไร...

บางทีความคิดเห็นก็เยี่ยมยอม บางทีก็เล่นๆ บางทีก็ไร้สาระ นั่นก็แล้วแต่ความนึกคิดในช่วงเวลานั้นๆ แต่ที่แน่ๆ เพื่อนๆ ก็ต้องติดประกาศ ชื่อกับอมยิ้ม อยู่ดี... พอคนอ่านไปเจอเข้าก็จะสะดุดตาว่า อะ.. นายนี่เขียนอย่างนี้... หรือ อ่านยังไม่จบ ก็เดาได้แล้วว่า เป็นใคร... ในห้องนี้ก็เห็นบ่อยๆ...


เห็นไม๊ครับ การตอบของคุณ กับอมยิ้ม มันมีความสัมพันธ์กัน หากตอบแต่ละเรื่องเป็นเรื่องสนุกสนาน ไม่ต้องเครียด นั่นเลย "กุยแก" หรือ "กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย" เอกลักษณ์ของน้องเขา ต้องมีรูปเกย์ หรือ แมว จริงๆน้องเขามีสโลแกนของเขานะครับ แต่ผมจำไม่ได้... ไว้ให้น้องเขามาบอกละกัน....

ถ้ารวบรวมข้อมุลมาให้อ่าน ก็ต้อง OnceInTheBlueMoon เจ้านี้มีเนื้อหาจากเวปต่างๆเข้ามาเยอะมากๆ และ เป็นประโยชน์ต่อทุกคน

ถ้าเนื้อหาที่จะไปประยุกต์ใช้งานได้ทันที ตอบหนักแน่น เรียบง่าย ก็ต้องนี่เลย... "bam_ka@" นักบริหารการตลาดในค่าย "C" มีมุมมองธรรมชาติมากมายจากน้องเขา ถ้ารู้จักน้องเขา จะเห็นบุคคลิกนักการตลาดเต็มที่จากน้องเขาจริงๆ....

ความคิดเชิงผู้ใหญ่สอนเด็ก พี่สอนน้อง ก็ไม่พ้น "ครูต้อ" มีหัวข้อให้คิด บอกกล่าวอย่างลึกซึ้ง

ถ้าตอบสั้นๆ แต่ต้องคิดเยอะๆ ก็มีหลายท่าน อย่าง "MrMarker" ก็เข้าข่าย...

เฮีย "SEA" ที่เขียนประโยค สองประโยค แต่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด...

ข้อมูลรายละเอียด ตอบแบบเป็นขั้นเป็นตอน ต้องคุณ "Stereophony" อ่านแล้วลุ่มลึกเป็นช่วงๆ...

หรืออย่าง เข้ามาดู ก็เป็นเอกลักษณ์ของเพื่อนท่านนึงที่เข้ามาดูพวกเราอยู่เสมอๆ....

และเพื่อนๆ ท่านอื่นๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป...


จะเห็นว่า ลักษณะการตอบ ข้อมูลการตอบของแต่ละท่าน คือ สินค้าที่ผู้บริโภคได้รับ เขาจะจดจำสินค้า และ ชื่อสินค้าไว้เสมอๆ...

การที่เพื่อนท่านใด ตอบมากๆ หรือแม้นแต่ Post มากๆแบบไม่มีสาระก็ตาม นั่นเป็นการย้ำชื่อสินค้าของคุณ ให้ผู้บริโภคได้เห็น ได้รับรู้ และได้สัมผัส... เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมบอกให้เพื่อนๆ เข้ามา Post บ่อยๆ ผมจะได้จำได้... ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่เพียงผมที่จำได้ เพื่อนๆท่านอื่นๆ ก็จำได้เช่นกัน.... มันเป็นการสร้างชื่อสินค้าของคุณ จากตัวคุณเอง...

เมื่อเรามาพบกันในงานมีตติ้ง หรือ ทานอาหารร่วมกันก็ตาม... สิ่งหนึ่งในความรู้สึก เหมือนกับเรา พบกันมานาน รู้จักกัน และ อยากคุย อยากถาม ตามความถนัดของแต่ละท่าน มันเป็นชื่อสินค้าที่ติดตัวคุณไปเลย คนที่ Post บ่อยๆ กลายเป็นคนที่รู้จักของเพื่อนๆ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนที่เปลี่ยนชื่อไปตลอด หรือ ไม่เคย Post กลับกลายเป็นเพื่อนใหม่ ต้องจดจำกันใหม่ ต่อไป... ข้อดีของชื่อสินค้า คือ ความรู้สึกที่ต่อเนื่องจากสินค้าเดิม....


การตอบกระทู้ก็มีส่วน คุณจะเห็นว่า ชื่อสินค้าของเพื่อนๆ ที่จำคุณได้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ตอบกระทู้เป็นคนแรกๆ เพราะ กระทู้จะถูกอ่านไล่เรียงกันไป อ่านแรกๆ ก็ยังอ่านทั้งหมด แต่หลังๆ เริ่มข้ามบ้าง เริ่มไม่อ่านบ้าง แต่ยังไงแล้ว คนที่ตอบแรกๆ จะได้รับการอ่านอย่างแน่นอน ยิ่งตอบดีเท่าใด คนก็ยิ่งจดจำได้มากเท่านั้น เป็นการสร้างโอกาส ให้เพื่อนๆได้เห็นเป็นจำนวนมากขึ้น.... ไม่ค่อยมีคนอ่านกระทู้เก่าๆ หรือ ตอบกระทู้เก่าๆ ก็เพราะ มันล้าสมัยไปแล้ว หรือ มันได้ถูกตอบตามความคิดของคุณไปหมดแล้ว ดังนั้น การตอบกระทู้เก่าๆ จึงกลายเป็นการตอบเพื่อตอบตรงกับเจ้าของกระทู้ เพราะ ถึงอย่างไร เจ้าของกระทู้ก็จะกลับมาอ่านกระทู้ของตนเท่านั้น....

สินค้าบางสินค้า ชื่อเสียงเคยดีในอดีต แต่กลับไม่ใส่ใจ สร้างชื่อเสียงให้คงที่ ละทิ้งสินค้าของตน ทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่ได้เห็น ไม่ได้ใช้สินค้า ชื่อสินค้าก็เลยกลับไปเริ่มต้นเกือบ ศูนย์ กันใหม่... เสียเวลาในการสร้างชื่อสินค้ากันมา... เพื่อนๆหลายๆคนที่หายไป ก็เป็นเช่นนี้... เพื่อนใหม่ๆ ไม่รุ้จักกันแล้ว... บางคนก็เริ่มกลับตัวเอาสินค้ามาให้ลองใช้กันต่อ... ก็เริ่มสร้างชื่อกันใหม่ต่อไป....

นั่นหมายความว่า หากคุณจะให้ชื่อสินค้าของคุณ เป็นที่ยอมรับ หรือ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั้น คุณจะต้องทำให้ชื่อสินค้าของคุณ สามารถทำให้ลูกค้าคุณ เห็นได้บ่อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ ชื่อสินค้า ก็ควรอยู่ในยุคสมัยปัจจุบันเสมอๆ เพื่อสร้างความจดจำ... ไม่เพียงชื่อสินค้าเท่านั้นที่มีคุณค่า สินค้า และ บริการ ก็เป็นส่วนที่สร้าง และ กระตุ้นคุณค่าของชื่อสินค้าอย่างมาก... สินค้าดี ก็จะมีชื่อดี สินค้าไม่ดี ก็จะมีชื่อไปทางไม่ดี ชื่อสินค้าที่เห็นบ่อยแต่ไม่มีคุณค่า หากมีคุณค่าขึ้นเมื่อใด ก็จะทำให้รู้สึกว่า เป็นสิ่งแปลกเช่นกัน....

การสร้างชื่อสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ลองมองผ่าน อมยิ้มของคุณ ของ เพื่อนๆคุณ ของคนที่คุณชื่นชม คุณจะรู้ว่า การสร้างชื่อสินค้าของแต่ละคนนั้น มีวิธีการ และ หลักการแตกต่างกันไป.... แต่วิธีที่เพื่อนๆใช้นั่นแหละ เป็นวิธีเดียวกับการสร้างชื่อสินค้าในวงการธุรกิจ เช่นกัน.....

เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว... เพื่อนๆ ยังอยู่หลังห้องเพื่อรออ่าน หรือ ออกมาอยู่หน้าห้อง เพื่อให้เพื่อนๆได้รู้จัก ได้สร้างชื่อสินค้าของตัวเอง ก็สุดแล้วแต่.... แต่ที่แน่ๆ ชื่อสินค้าของคุณ จะส่งผลกับความสัมพันธ์กับเพื่อนๆอย่างแน่นอน... ถ้าคุณอยากรุ้จักเพื่อนๆให้มาก คุณก็ต้องแสดงชื่อสินค้าของคุณให้มากเช่นกัน... ต้องให้ก่อนที่จะรับ... เป็นสัจจะธรรมอย่างหนึ่ง...




 

Create Date : 07 กันยายน 2548    
Last Update : 31 สิงหาคม 2551 14:57:13 น.
Counter : 2232 Pageviews.  

นักการตลาดที่จะทำให้บริษัทก้าวหน้าควรมีคุณสมบัติอย่างไร?



นักการตลาดที่จะทำให้บริษัทก้าวหน้า
ควรมีคุณสมบัติอย่างไร?
วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj) // Mentor Jung


ผมแค่ลองวิเคราะห์ Key Success ให้กับนักการตลาด ละกันนะครับ.. แต่ก่อนอื่นผมอยากอธิบายเรื่องปกติวิสัยของบริษัทให้คุณเข้าใจก่อนว่า...



บริษัทฯ ทุกบริษัทฯ ต้องการขายสินค้า เพื่อให้ได้มาซี่งยอดขาย และ ผลกำไร การขายสินค้าให้ขาดทุนคงไม่มีใครอยากทำ แต่บางคนจำเป็นต้องทำเพราะเหตุผลอื่นๆบังคับ นั่นก็อีกประเด็นนะครับ การขายสินค้าและบริการ หลักใหญ่ๆ คือ ซื้อสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื่อในราคาที่ถูกที่สุด แต่สามารถขายได้ในราคาที่สูงที่สุด หรือ เป็นจำนวนมากที่สุด สูญเสียเงินให้กับสต๊อกน้อยที่สุด เพื่อให้ได้ผลกำไรมากที่สุด จะได้นำมาปันผลให้กับผู้ถือหุ้นให้มากที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติของธุรกิจ

จากธรรมชาติของธุรกิจ เราก็เอา การทีการตลาดเข้ามาช่วย เรื่องต่างๆ ผมแยกแนวทางปฏิบัติดังนี้ครับ

  • ขายสินค้าและบริการให้ได้มากที่สุด เป็นหัวใจของการตลาดเลยครับ การที่บริษัทฯ จ้างเรามาทำการตลาด ดังนั้น สิ่งที่เขาหวังกับเราก็คือ การที่เราสามารถทำให้สินค้าของเขาขายได้ปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สินค้าของเขาเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น เงินที่จมลงไปกับสต๊อกสินค้า ก็จะน้อยลง จะได้มีเงินสดหมุนเวียนดีขึ้น มันก็จะส่งผลให้ธุรกิจเกิดสภาพคล่องในการดำเนินการ และ ขยายกิจการ


  • เข้าใจหลักการตั้งราคาสินค้าและบริการ ราคาสินค้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพ และ ราคาต้นทุน เท่านั้น แต่มันยังต้องประกอบด้วย ความต้องการของผู้ซื้อ ความต้องการของตลาด รูปลักษณ์ของสินค้าและหีบห่อ มูลค่าของผลที่ได้ สิ่งเหล่านี้มันมองไม่เห็นแต่ต้องกำหนดเป็นตัวเงินออกมาให้ได้ครับ เช่น สินค้าเครื่องสำอางค์จากธรรมชาติซื้อมา 18 บาท ขาย 25 บาท ก็กำไร 72% ก็นับว่ามากแล้วนะครับ แต่พอการตลาดเน้นเรื่องคุณค่าจากธรรมชาติ การไม่ใช้สารเคมี รูปทรงสวยงาม กล่องบรรจุดูดีมีสไตล์ มีชื่อบริษัทที่มีชื่อเสียงพอสมควร แถมคุณภาพสินค้าก็เยี่ยม ที่ผมเห็นเค้าก็ตั้งราคาขายอยู่ที่ 195 บาทในราคาขายปกติ และ บางครั้งก็ทำการตลาด ซื้อ 1 แถม 1 ยังได้กำไรไม่เบาเลยครับ


  • รู้จักสินค้า และ กลุ่มเป้าหมายของสินค้าและบริการอย่างถ่องแท้ การเรียนรู้สินค้า และ การรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่จะซื้อสินค้าและบริการนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งของการตลาด ถ้ามองเรื่องนี้ไม่ขาด ก็ทำการตลาดได้ยาก ต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายว่าต้องมีรสนิยมอย่างไร ชอบอะไร ชอบไปที่ไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไรบ้าง เพื่อจะได้หาแนวทางในการทำการตลาดได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย


  • หาวิธีส่งเสริมการขายให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด มันก็เชื่อมโยงจากข้อข้างบน แต่เมื่อรู้จักแล้ว ก็ต้องมองหาวิธีทำให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็น ได้สัมผัส ได้ซื้อไปใช้ เมื่อใช้แล้ว ก็ต้องการจะมาซื้ออีก


  • ต้องเข้าใจช่วงเวลาที่จะทำส่งเสริมการขาย และ ไม่ทำส่งเสริมการขาย สินค้าบางตัวไม่ต้องทำการส่งเสริมการขายก็ขายได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ แต่ในอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็อาจจะขายยาก ดังนั้น ก็ต้องเข้าใจช่วงเวลาความต้องการของสินค้าด้วย เช่น การขายแอร์ในฤดูหนาวจะทำยาก ดังนั้น ก็จะมีการใช้โปรโมชั่นเพื่อให้เกิดความต้องการซื้อ ประกอบกับการได้โบนัส ในต้นปี ก็จะทำให้คนมีความสามารถในการซื้อ แต่ยังไม่ต้องการจริง ก็ต้องปลุกความต้องการช่วงนี้ด้วยการแถมอย่างจุใจ ขายได้บ้าง ดีกว่า ตุนเข้าคลังสินค้าเยอะๆ เงินมันจะไม่คล่องครับ กลับกัน ในช่วงหน้าร้อนจะไม่ทำการโปรโมชั่นทางด้านราคาหรือของแถม เพราะ ความร้อนนอนไม่หลับ ทำให้เกิดความจำ และ ความจำเป็นต้องใช้นี่เองเป็นตัวทำให้เกิดความต้องการของลูกค้าขึ้น ผู้ขายเพียงทำการตลาดให้คนรู้จัก หรือ เห็นเท่านั้น ก็สามารถขายได้ในราคาปกติ ได้กำไรมากกว่าขายลดแลกแจกแถมครับ..


  • หากสามารถเลือกลูกค้าที่มีเครดิตดีจะช่วยได้มาก การส่งเสริมการขายอย่างเดียว หรือ การขายสินค้าอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้บริษัทฯที่คุณทำประสบความสำเร็จ สิ่งหนึ่งที่ควรมองคือ เครดิตของลูกค้าด้วย เพราะ ลูกค้าที่มีเครดิตไม่ดี ซื้อของแล้วไม่ยอมจ่าย หรือ จ่ายช้ามาก หรือ บริษัทฯลูกค้าใกล้จะเจ๊ง อาจจะหนี้สูญได้ ประเภทนี้ หากการตลาดเข้าไปทำกับกลุ่มคนที่เครดิตไม่ดี จะทำให้บริษัทฯ เกิดความสูญเสียจากการขายสินค้าได้ ดังนั้น การเลือกลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายก็จำเป็นไม่น้อยเหมือนกัน


  • ทำให้ลูกค้ายึดมั่นใน สินค้าและบริการ เพราะ เมื่อลูกค้ายึดมั่นแล้ว ครั้งต่อไปที่เขาจะใช้สินค้าหรือบริการ ก็จะกลับมาซื้อกับบริษัทฯเราอีก ลูกค้าจะยึดมั่นกับสินค้า หรือ คนขาย หรือ ผู้ติดต่อด้วย เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ถ้าสินค้าดี การบริการเยี่ยม สามารถตอบสนองได้มากกว่าความต้องการ แล้ว ลูกค้าก็จะกลับมาหาเราเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ อีก ซึ่งลักษณะนี้เหมือนเป็นการสร้างสะพานสู่ความสำเร็จในอนาคตของเราเลยทีเดียวครับ


  • ทำให้ตราสินค้า ,สัญลักษณ์ หรือ ชื่อบริษัทฯ ติดเข้าไปในความทรงจำของคนกลุ่มเป้าหมายให้มากทีสุด การทำลักษณะนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้การขายสินค้าเป็นไปได้อย่างสดวกมากขึ้น โดยธรรมชาติของคนนั้น มักชอบสิ่งที่คุ้นเคย อย่างแม่ผมในสมัยผมยังเด็กๆ ทุกครั้งที่แม่ต้องการใช้ใครให้ไปซื้อของ ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครไป ยกเว้นผม ตอนนั้นยังอยากออกนอกบ้านอยู่ ก็รับอาสาไป เป็นอย่างนี้อยู่สัก เดือน หลังจากนั้น แม่เรียกผมคนเดียวเลย เพราะเขารู้ว่า ผมชอบที่จะไปซื้อของนอกบ้าน และ แม่ก็มีเงินพิเศษให้บ้างด้วย บ่อยๆเข้า พี่น้องก็อยากได้บ้าง แต่แม่ก็ไม่เคยเรียกเลย นี่เป็นเพียงตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า ความคุ้นเคย จะทำให้เกิดการเรียกหา ดังนั้นการทำให้ตราสินค้า ,สัญลักษณ์ หรือ ชื่อบริษัทฯ เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมายแล้ว จะทำให้เขาเรียกหาสินค้าและบริการที่เขาคุ้นเคย


  • ทำอย่างไรให้สินค้าและ บริการ ดูมีคุณค่า น่าเชื่อถือ น่าใช้ น่าซื้อหามาใช้ มากขึ้น สินค้าและบริการดีอย่างเดียวคงไม่พอในปัจจุบัน การตลาดจึงต้องมีส่วนในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้เป็นที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย มีความต้องการที่จะใช้สินค้านี้ และ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้า และ ตราสินค้า การทำกิจกรรมเพื่อสังคมก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ตราสินค้ามีความน่าเชื่อถือ ด้วย


  • ส่งเสริมการขายสินค้า ที่เคลื่อนไหวช้า ให้ขับออกไปได้รวดเร็วขึ้น สินค้าที่มีการขายออกได้น้อยและคิดว่าจะถูกทิ้งไว้นาน คนทำการตลาดต้องมองให้เห็นถึงหนทางในการที่จะปล่อยสินค้าเหล่านี้ออกให้เร็วขึ้น เพื่อลดจำนวนในสต๊อกสินค้าลง จะได้มีเงินสดมาหมุนเวียนได้มากขึ้น จะใช้วิธีการขายควบกับสินค้าที่ขายได้เร็ว หรือ จัดทำโปรโมชั่นสินค้า ก็ได้


  • ใช้งบการตลาดให้คุ้มค่ามากที่สุด ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือ ทำการตลาดส่วนใหญ่ต้องใช้เงินทั้งนั้น ไม่ว่าแผ่นพับ ใบปลิว ป้ายประกาศ การใช้เงินของทางการตลาด ต้องใช้ให้อย่างคุ้มค่า คือต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุดในจำนวนเงินที่น้อยที่สุด แต่ไม่มีหนทางไหนที่จะตอบโจทย์ได้ลงตัว เอาเป็นว่า แค่คุ้มกว่า ก็เลือกทำสิ่งที่คุ้มกว่าครับ อย่างเช่น น้ำหอมราคาแพงมียี่ห้อ การโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ จะได้กลุ่มคนที่มาก ดูเหมือนว่าจะคุ้มค่าที่สุด แต่กลุ่มเป้าหมายจริงๆ อาจจะได้ไม่มากเท่าที่ควร กับการโฆษณาแทรกไปใน Magazine เกี่ยวกับผู้หญิง จะได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า แต่หากต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อให้ลงกระดาษน้ำหอมเข้าไปใน Magazine ด้วยแล้ว จะทำให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็นได้ลองได้สัมผัส ซึ่งจะทำให้เกิดการกระตุ้นความต้องการให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้ตอบโจทย์อะไรมาก ทั้งนี้มันก็ต้องขึ้นกับประสบการณ์ของคนลงโฆษณาด้วยครับ ว่าใช้อย่างไรถึงจะคุ้มค่ากว่ากัน


  • หาวิธีทำให้ต้นทุนสินค้าต่ำลง อย่าคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องของนักการตลาด นะ สินค้าของคุณหากได้ต้นทุนที่ต่ำลง จะทำให้กำไรของบริษัทฯของคุณสูงขึ้น ดังนั้น เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำเช่นกัน แต่คุณจะสามารถหาแนวทางได้ดีหรือไม่นั่นเป็นอีกประเด็นครับ


  • หาวิธีไม่ต้องเก็บหรือ ซื้อสินค้าเข้าคลังสินค้า แต่สามารถขายสินค้าได้เรื่อยๆ และส่งของให้ได้รวดเร็ว การผลักภาระการเก็บสต๊อกให้กับ Supplier จะเป็นการทำกำไรให้ได้มากกว่า บางบริษัทฯ ไม่มีสินค้าคงคลัง เพียงสั่งให้ Supplier ส่งให้ถึงมือลูกค้า ทำเพียงการตลาดเท่านั้น และหากทำลักษณะนี้ได้ หรือ ทำได้บางส่วน กำไรของบริษัทฯคุณ ก็จะสูงขึ้นแล้วครับ...


  • หากต้องขายสินค้าและบริการต่ำกว่าทุน ต้องขาดทุนอย่างคุ้มค่า สินค้าบางสินค้าค้างสตีอกมาแรมปี แค่ค่าดอกเบี้ยเงินกู้อาจจะมากกว่ามูลค่าสินค้าแล้วก็ได้ ดังนั้น การขายต่ำกว่าทุน เพื่อจะได้เงินสดบางส่วนมาหมุนเวียนในบางครั้งก็จำเป็นต้องทำเช่นกัน แต่ต้องทำอย่างคุ้มค่า เช่น นำไปแถมกับสินค้าอีกตัวเพื่อจะได้ขายสินค้าตัวอื่นๆได้มากขึ้น เป็นต้น เมื่อจะขาดทุนแล้ว ก็ต้องทำให้สินค้าตัวอื่นขายได้มากขึ้น ก็น่าจะคุ้มกว่าไม่ใช่หรือครับ...


  • รู้จักประสานงานในส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องในองค์กร แผนกการตลาดเพียงแผนกเดียว ไม่สามารถทำให้บริษัทอยู่ได้ หากส่งเสริมการขายได้ดี แต่เซลล์ไม่ไปขายสินค้า ก็คงขายสินค้าไม่ได้ ดังนั้น ผมมองว่า ควรจะมีการประสานงานกันส่วนอื่นๆ ต้องมีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับทุกคนด้วยครับ


  • มี Connection ที่ดีกับหลากหลายธุรกิจ เพื่อจะได้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายเกื้อหนุนกันครับ หรือบางทีก็อาจจะเป็นธุรกิจเดียวกันก็ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการส่งเสริม ลดการขัดแย้ง แต่มีน้อยคนนักที่สามารถทำได้ครับ เพราะยังยึดติดกับความรู้สึกเดิมๆ




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 23 กันยายน 2559 11:23:41 น.
Counter : 5742 Pageviews.  

คนทำงานบัญชีกับการตลาดต่างกันยังไง?

บัญชี

คนเรียนบัญชีจบมา จะมีลักษณะนิสัยที่ละเอียด รอบคอบ ตัวเลข บวก ลบ คูณ หาร แม่นมาก บางคนประเภท บอกตัวเลขเยอะๆมา สามารถคิดในใจได้เลย มองโลกตามความเป็นไป หมายถึง หากคำนวนได้คงคำนวนไปแล้วครับ บางคนชอบกินจุกจิก บางคนไม่ค่อยชอบออกสังคมเท่าใด แต่ถ้าทำนานๆไป จะมองกำไรขาดทุนในทุกๆเรื่อง แต่อย่าเชื่อในสิ่งที่ผมบอกนะครับ เพราะผมเพียงสังเกตจากเพื่อนๆ และ พนักงานบัญชีในบริษัทฯ เท่านั้น บางท่านอาจไม่เป็นอย่างที่ผมบอกครับ

งานที่ทำเป็นงานที่ต้องทำประจำ ต้องอยู่ดึกในตอนสิ้นเดือน เพื่อปิดบัญชี หากทำเรื่องส่ง ก็ต้องปิดงบให้ลง ทั้งที่ใช้โปรแกรมอยุ่แล้ว บางท่านยังต้องเอาเครื่องคิดเลขมาคำนวนเพื่อตรวจเช็คการทำงานของคอมพิวเตอร์อีกทีหนึ่ง เป็นงานอาชีพที่ต้องใช้ความสามารถส่วนบุคคล เป็นงานอาชีพ อย่างที่คุณ Ibeye บอกครับ ไม่เรียนมาก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร





การตลาด

คนในฝ่ายการตลาด มักมีอารมณ์สุนทรีย์ ชอบคิด ชอบมอง ชอบวิเคราะห์กันไปได้เรื่อยๆ ประเภทคิดว่าน่าจะทำได้ก็อาจจะลงมือทำเลย ปัญหามีไว้แก้ไม่ใช่มีไว้ตรวจเช็ค รุปแบบการทำงานไม่แน่นอน ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญในการต่อยอดออกไป ดังนั้น คนในกลุ่มนี้ชอบสังเกต มีเหตุผล มีการใช้อารมณ์ และ ความรู้สึกในบางส่วน มีความคิดสร้างสรร ซึ่งแต่ละคนจะมีมากมีน้อย ก็จะฉายแววออกมาครับว่า ผลงานที่เขาทำออกมาในรูปแบบใด

การตลาดเป็นศาสตร์ และ ศิลป์ เป็นงานทางด้านจืตวิทยา เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้ซื้อหรือใช้บริการ ในสินค้าหรือบริหารที่กำลังทำตลาดอยู่ ใช้การรับรู้ของคนเป็นจุดส่งข้อมูลต่างๆ ปลูกผังความคิด ความทรงจำให้กับกลุ่มเป้าหมาย กระตุ้นความปรถนาและความต้องการของคนให้เกิดขึ้น มันดูเหมือนยาก แต่มันก็สามารถทำได้

ทำงานนานๆ คุณจะเข้าใจคนแต่ละกลุ่มได้มากขึ้น จิตวิทยาสูงขึ้น และ ความเป็นผู้นำก็จะตามมา และ ไม่แปลกเลยที่ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ของแต่ละบริษัทฯ มักมาจาก สายงานการตลาด เพราะ เป็นสายงานที่ทำให้เงินเข้าบริษัทฯ ซึ่งต่างกับบัญชี ที่เป็นสายงานควบคุม


คนหาเงินเข้าบริษัทฯ มักมีเสียงที่ดังกว่า คนใช้เงินของบริษัทฯ


(ความคิดเห็นจากสิ่งแวดล้อมส่วนบุคคล)




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2548 15:37:24 น.
Counter : 2251 Pageviews.  

สินค้าที่ควรจะโฆษณาทางโทรทัศน์

สินค้าที่ควรจะโฆษณาทางโทรทัศน์


โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)




การโฆษณาทางโทรทัศน์นั้น สินค้าที่น่าจะนำมาโฆษณาทางโทรทัศน์ ควรจะเป็นสินค้าที่อยู่ในกลุ่มเหล่านี้อย่างน้อย 1 หัวข้อครับ..

1. สินค้าที่กระจายสินค้าออกไปทั่วประเทศ
เพราะ การรายการโทรทัศน์ในบ้านเรา เป็นแบบ ตลาดเดียว ไม่ว่าโฆษณาเรื่องใด ก็จะเป็นการโฆษณาให้กับคนทั้งประเทศได้รับชมครับ


2. สินค้าที่เน้นผู้ใช้เป็นบุคคลทั่วไป ตั้งแต่ระดับล่างจนถึง ระดับบน
เพราะ คนดูโทรทัศน์มีทุกเพศทุกวัย และมีคนทุกประเภท ทุกกลุ่ม ดังนั้น สินค้าประเภท FMCG น่าจะนำมาโฆษณามากที่สุด หรือ สินค้าที่สามารถใช้ได้ทุกคนในครอบครัว ก็สมควรลงโฆษณาครับ


3. สินค้าที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ตามคนที่ชอบดูแต่ละประเภทของรายการโทรทัศน์
เพราะ การดูรายการโทรทัศน์ นั้น คนแต่ละกลุ่ม ก็จะมีพฤติกรรมแตกต่างกันไป โดยเฉพาะ อย่างเช่น รายการเด็ก หรือ การ์ตูน ของช่อง 9 วันเสาร์อาทิตย์ มวย ยามบ่าย หรือ ละครตอนช่วงดึกๆ ก็มีกลุ่มคนที่เป็นคอรายการแยกออกไป ตามแต่ อายุ วัย และ หน้าที่การงานครับ...


4. สินค้าที่ใช้ในกลุ่มคนใช้แรงงาน
คนกลุ่มนี้ชอบดูรายการโทรทัศน์มากที่สุด ดังนั้น หากสินค้าเจาะจงกับคนกลุ่มนี้ การลงโฆษณาจะทำให้ได้ตรงเป้าหมายมาก


5. สินค้าที่ต้องการเน้นย้ำ Brand ในวงกว้าง
สินค้าในวงกว้างที่ต้องการเน้นย้ำ ชื่อสินค้า ให้เป็นที่ติดปาก ติดใจไปนานแสนนาน อย่างเช่น PEPSI หรือ COKE เป็นต้น ก็จะใช้สื่อนี้เป็นระยะ


6. สินค้าที่ต้องการครอบคลุม บุคคลที่ชอบกลับบ้านตรงเวลา และ ชอบอยู่แต่บ้าน
โดยส่วนใหญ่ คนที่ชอบดูโทรทัศน์ มักจะกลับบ้านเร็ว และ ชอบอยู่แต่ในบ้าน ซึ่งทำให้มีเวลาในการดูโทรทัศน์เป็นประจำ เพราะไม่ได้ไปไหนครับ


7. สินค้าที่ต้องการเข้าถึงประชากรจำนวนมากในเวลาอันสั้น
เนื่องจาก โทรทัศน์ เป็นสื่อเดียวที่สามารถโฆษณาได้ทั้งประเทศภายในเวลาตั้งแต่ 7.5 วินาทีขึ้นไป (ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ไม่ค่อยเห็นแล้ว โดยปกติจะมีความยาว 15 และ 30 วินาที) ซึ่งเพียงเวลาเท่านี้ สามารถทำให้คนเป็นล้านๆ เห็นโฆษณาได้ในเวลาเดียวกัน ทั่วประเทศ


8. เจ้าของสินค้าต้องมีเงินทุนอย่างมาก
ค่าโฆษณาสินค้าที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ ค่อนข้างแพง ถึง แพงมากๆ ซึ่งราคาคิดเป็นนาที เฉลี่ยแล้วน่าจะอยู่ที่ นาทีละ หลายแสน บาท และค่าจัดทำโฆษณาแต่ละเรื่องก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันนะครับ


ขอเสริมเรื่อง การเลือก Agency ด้วยนะครับ เพราะ Agency ที่มีคุณภาพนั้น ต้องสามารถทำให้สินค้าของคุณ เข้าไปอยู่ในใจของกลุ่มเป้าหมายของคุณให้ได้ และ สามารถจัดทำทั้ง Pre และ Post Analysis ให้กับคุณได้ดูและเปรียบเทียบ การวางแผนและความเป็นจริงที่ได้รับ ได้จำนวนคนชมภาพยนต์ และ จำนวนความถึ่โดยเฉลี่ยของแต่ละคน ได้ลงตัว เพื่อจะให้แต่ละคนสามารถจดจำสินค้าของคุณได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับ เงินในกระเป๋าของคุณ ที่จะมีใช้จ่ายในการโฆษณาด้วยครับ...




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 31 สิงหาคม 2551 14:58:15 น.
Counter : 1838 Pageviews.  

กลยุทธ์ สงครามการตลาดเชิงรุก

กลยุทธ์ สงครามการตลาดเชิงรุก
วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj) // Jung

กลยุทธ์สงครามการตลาดเชิงรุก คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่มีเป้าหมายเพื่อบรรลุเป้าประสงค์บางอย่าง โดยทั่วไปจะเป็นการชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งที่เป็นเป้าหมาย นอกจากส่วนแบ่งการตลาดแล้ว กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกยังมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ได้มาซึ่ง กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก, กลุ่มตลาดระดับบนและกลุ่มลูกค้าที่มีความภักดีสูง

ปัจจัยสำคัญ

ปัจจัยหลักของของกลยุทธ์มี 4 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. ประเมินจุดแข็งของคู่แข่งที่เป็นเป้าหมาย พิจารณาถึงความสนับสนุนที่จะได้จากพันธมิตรของคู่แข่ง อนึ่ง ควรเลือกเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวในการจู่โจม

2. ค้นหาจุดอ่อนในตำแหน่งของคู่แข่ง โจมตีไปยังจุดนั้น ควรพิจารณาดูว่า การที่คู่แข่งเป้าหมายจะได้รับแรงสนับสนุนเพื่อกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้เสียเปรียบอีกครั้งต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่

3. เปิดฉากโจมตีให้ลงไปในตำแหน่งที่จำเพาะเจาะจงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากธรรมชาติของผู้ตั้งรับจะต้องตั้งรับในทุกทิศทุกทางที่อาจจะถูกโจมตี จึงเป็นข้อได้เปรียบทางกลยุทธ์ของผู้โจมตีให้สามารถทุ่มเทกำลังไป ณ จุดๆเดียว

4. เปิดฉากการจู่โจมให้เร็ว พลังของการโจมตีแบบไม่คาดฝันให้ผลที่มากกว่าการโจมตีด้วยกำลังมหาศาลแต่เอิกเริก





รูปแบบของกลยุทธ์เชิงรุก

รูปแบบหลักๆของกลยุทธ์สงครามการตลาดเชิงรุก มี 4 แบบ ดังต่อไปนี้

การจู่โจมซึ่งหน้า - เป็นการโจมตีแบบตรงๆ ที่ต้องมีการรวบรวมเอาสรรพกำลังและทรัพยากรในองค์กรทั้งหมดที่มีอยู่ โดยเฉพาะเม็ดเงินที่ถือเป็นทรัพยากรหลัก ทุกๆหน่วยงานในองค์กรของคุณจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเตรียมตัวจู่โจม ตั้งแต่ฝ่ายการตลาดไปจนถึงฝ่ายผลิต และยังเกี่ยวข้องกับการโฆษณาที่เข้มข้นเพื่อประกอบกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ได้มีการทุ่มเทพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธในการโจมตีคู่แข่งในส่วนที่เป็นจุดอ่อนโดยเฉพาะ บ่อยครั้ง ที่เป็นความพยายามที่จะ "ปลดปล่อย" กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (ออกจากการครอบงำของสินค้าคู่แข่ง) แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลยุทธ์แบบจู่โจมซึ่งหน้ามักจะพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก เนื่องจากเหตุผลสองประการ หนึ่งก็คือ ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง ทรัพยากรที่มีคุณค่าหลายอย่างต้องถูกระดมมาใช้และสูญเสียไปในการทำสงคราม ข้อที่สอง กลยุทธ์แบบนี้มักจะไม่ประสบผลสำเร็จ ในกรณีที่ฝ่ายตั้งรับสามารถที่จะจัดหาทรัพยากรเพื่อมาสนับสนุนการฟื้นตัวได้ทันเวลา ข้อได้เปรียบทางกลยุทธ์ของฝ่ายบุกจะหมดไปในทันที ทำให้คุณจำเป็นจะต้องแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ จริงๆแล้วก็มีตัวอย่างอยู่มากมายเช่นกัน (ทั้งการแข่งขันในเชิงธุรกิจและสงคราม) ที่ฝ่ายตั้งรับสามารถต้านทานผู้บุกรุกที่กล้าแข็งกว่าได้ ดังนั้นกลยุทธ์จะเหมาะสมกับการใช้ก็ต่อเมื่อ

- สินค้าในตลาดค่อนข้างเหมือนกัน
- มูลค่าของแบรนด์ต่ำ
- ความภักดีของลูกค่าต่ำ
- ความต่างของสินค้าไม่มาก
- คู่แข่งมีทรัพยากรจำกัด
- ผู้โจมตีมีทรัพยากรมาก


กลยุทธ์โอบล้อม (กลยุทธ์ตีโอบ) กลยุทธ์นี้ค่อนรู้จักกันดี แต่ไม่ชัดเจนนักในแง่ของการเป็นกลยุทธ์เชิงรุก การโอบล้อมคู่แข่งทำได้สองทางด้วยกัน หนึ่ง คุณต้องพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกับของคู่แข่ง และให้ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวดึงเอาส่วนแบ่งการตลาดมาจากผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง, ปล่อยให้มันอ่อนแอ, ทำให้เสื่อมความนิยม และก็ถึงเวลาของการโอบล้อม ถ้ากระทำได้สำเร็จอย่างลับๆ จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาความยุ่งยากได้มาก อีกด้านหนึ่งการโอบล้อมจะกระทำที่ตลาดเฉพาะกลุ่มแทนที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ ผู้จู่โจมจะขยายกลุ่มตลาดที่จะค่อยๆโอบล้อมและครอบคลุมตลาดของคู่แข่ง การเข้ายึดพื้นที่ทีละเล็กละน้อยจะช่วยให้ได้ส่วนแบ่งการตลาดจากเป้าหมาย และกลยุทธ์โอบล้อมจะใช้ได้ในเงื่อนไขต่อไปนี้

- กลุ่มตลาดไม่ได้ถูกแบ่งอย่างชัดเจน
- ตลาดบางกลุ่มไม่ค่อยจะมีการแข่งขันมากนัก
- ผู้โจมตีมีทรัพยากรเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมาก
- ผู้โจมตีมีทรัพยากรเพียงพอที่จะใช้ในการดำเนินการกับกลุ่มตลาดหลายกลุ่มพร้อมๆกัน
- ผู้โจมตีมีโครงสร้างองค์กรแบบไม่รวมศูนย์


กลยุทธ์ก้าวกระโดด - กลยุทธ์นี้จะเป็นการสลายกำลังคู่ต่อสู้ไปพร้อมๆกับความสามารถในการแข่งขัน ในสมรภูมิธุรกิจจะหมายถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือสร้างแบบจำลองธุรกิจใหม่ๆ เป็นกลยุทธ์แห่งการปฏิวัติที่ฝ่ายรุกจะเป็นผู้เขียนกฏในการแข่งขันขึ้นใหม่ ยกตัวอย่างเช่น การมาถึงของเทคโนโลยีซีดีรอมที่ถือเป็นชัยชนะ (อย่างไม่เด็ดขาด ณ เวลานี้) ที่มีต่อคาสเซ็ตเทปผู้ซึ่งเป็นคู่แข่ง แบบที่ผู้ชนะไม่จำเป็นต้องทำสงคราม กลยุทธ์นี้จะมีประสิทธิภาพมากหากมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม

กลยุทธ์โจมตีด้านข้าง - เป็นกลยุทธ์แบบโจมตีทางด้านข้างเพื่อทำให้คู่แข่งเกิดความระส่ำระสายและเกิดแรงกดดันภายใน ในขณะที่คุณทำกำไรคู่แข่งก็ตกอยู่ในสภาวะวุ่นวาย เป็นการหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับกำลังหลักของคู่ต่อสู้ (ดูรายละเอียดในกลยุทธ์สงครามการตลาดแบบโจมตีด้านข้าง)


จาก Offensive marketing warfare strategies
แหล่งที่มา //en2.wikipedia.org/wiki/Offensive_marketing_warfare_strategies

แปลและเรียบเรียง Steady Mann


วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj) // Jung
DIP Consultant Award 2013
ที่ปรึกษาธุรกิจ วิทยากรกระบวนการเชิงกิจกรรม โค้ชผู้บริหารการจัดการ นักวิจัยการตลาด
Business Consult, Facilitator Trainer, Executive Management Coach, Marketing Survey




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 24 ธันวาคม 2558 21:54:39 น.
Counter : 36543 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.