บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
All Blogs
 

บ้านผมเป็นโรงงานบริหารงานแบบเถ้าแก่...ผมเพิ่งจบ แต่อยากปรับปรุงใหม่ครับ ทำยังไงดี ?

ในแง่ของคุณตอนนี้
ผมเข้าใจครับว่าคนที่จบมาใหม่ไฟแรงอยากเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลกเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในธุรกิจของบิดามารดา ผมว่า คุณก็พยายามที่จะเรียนรู้ ต้องการปรับปรุงระบบงานที่คุณคิดว่า น่าจะเอาระบบงานใหม่ๆ มาใช้มากกว่า ต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการเก็บข้อมูล พนักงานดูเหมือนทำงานไม่เต็มที่ สามารถลดต้นทุน ตรงนั้น ตรงนี้ได้.. สามารถจัดการบริการได้ดีกว่าเดิมได้ มีหนทางมากมายในการปรับปรุง... ซึ่งแนวคิด และ สิ่งต่างๆที่คุณอยากทำเป็นสิ่งที่ดี แน่นอน แนะนำว่า จดเอาไว้ครับว่า คุณต้องการปรับปรุงจุดไหน และ ปรับปรุงอย่างไรบ้าง... จัดระบบเป็นหมวดหมุ่แล้วมาวิเคราะห์อีกทีครับว่าดีเลวอย่างไร..

ในแง่ของลูกน้องพ่อแม่คุณ
เมื่อคุณเข้ามาทำงานในบริษัทฯ ของบิดามารดา สิ่งหนึ่งที่คุณจะได้รับคือ ความยำเกรงในความเป็นลูกเจ้าของ แต่ในเรื่องงานแล้ว เค้าก็ยังเห็นว่าคุณยังไม่มีประสบการณ์ในงานที่เค้ากำลังทำ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำกันอย่างไร คุณไม่รุ้ว่าเค้าอยู่กันอย่างไร มีชีวิตความเป็นอยู่กันอย่างไร มีครอบครัว มีพี่น้อง หรือ ติดขัดเรื่องใดบ้าง.. นั่นเป็นเพียงมุมมองของพนักงานของบิดามารดา แต่ยังไงแล้ว เขาเหล่านั้น ก็ให้ความเคารพในฐานะลูกของเจ้านายอย่างแน่นอน..

ยิ่งคุณมีอารมณ์ และ ความกดดันด้วยแล้วสิ่งหนึ่งที่ลูกน้องพ่อคุณมี ก็คือ อารมณ์ และ ความกดดัน จากคุณเช่นกัน การปกป้องตัวเองย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การไม่เชื่อในคำพูดของคุณ การเข้าไปบอกให้บิดามารดาของคุณรับทราบ ถึงความกดดันต่างๆที่ได้รับจากคุณนั้น ย่อมมีบ้าง หรือ มีบ่อยๆ ก็ขึ้นอยู่แต่ละสถานะการณ์ คราวนี้คุณจะแก้ปัญหาความกระด้างกระเดี่องอย่างไรหละ... คุณจะแก้ไขการไม่ยอมรับได้อย่างไร.. คุณจะแก้ปัญหาเข้าไปฟ้องพ่อแม่คุณได้อย่างไร.. ปัญหามันเริ่มเข้ามาสารพัด...

ในแง่ของพ่อแม่คุณ
มารดาคุณข้าใจในความเป็นคุณ และ คิดว่าคุณไม่มีประสบการณ์ จึงอยากให้ไปเรียนรู้การทำงานจริงๆเสียก่อน บิดาคุณอาจจะเป็นคนสนับสนุนอยู่เบี้องหลัง แต่ไม่อยากออกหน้าก็ได้.. ทั้งนี้ ท่านทั้งสอง เป็นคนกลางที่ต้องอยู่ระหว่างคุณ กับ ลูกน้อง ก็ต้องเอาเหตุและผลมาคุยแล้ว ลูกน้องพ่อแม่คุณ ก็ต้องคิดว่า ยังไง พ่อแม่คุณก็ต้องเข้าข้างคุณอยู่ดี เพราะคุณเป็นลูก ไม่ว่าแก้ตัวให้อย่างไรก็คงไม่ฟังกระมัง ส่วนคุณก็ยืนยันว่าต้องการพัฒนา ธุรกิจของพ่อแม่คุณต่อไป พ่อแม่ก็อยากได้อย่างนี้ทั้งนั้น ก็เลยไม่อยากขัด.. ผมว่า พ่อแม่คุณตอนนี้กำลังลำบากใจอย่างมากนะครับ ไปคุยกับท่านหน่อยดีไม๊ครับ..

ในแง่ของธุรกิจ
ธุรกิจที่มีความขัดแย้งภายใน ส่วนใหญ่ธุรกิจจะชลอตัว คุณภาพจะถดถอย ทำให้เกิดการหดตัว บางครั้งรุนแรง บางครั้งก็เล็กน้อย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความขัดแย้งภายใน เหมือนติดไวรัส.. ที่ก่อให้เกิดอาการออกมา...

ในแง่ของคุณในอนาคต
สาเหตุที่ผมพยายามมองในทุกๆด้านให้คุณเห็น คุณจะพบว่า ในแง่ของคุณต่อไปนี้ คุณน่าจะเข้าไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณ ให้ท่านชี้แนะเรื่องต่างๆให้ ทำความเข้าใจทั้งระบบงาน ระบบบัญชี และ ลักษณะการบริหารของคุณพ่อคุณ ปรึกษาหารือกับท่านหากคุณยังต้องการทำงานของท่านต่อไป...

เข้าหาพนักงานเรียนรู้ และ เข้าใจพนักงานทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร อย่าเพิ่งไปปรับเปลี่ยน เพราะไม่มีใครอยากถูกบังคับ ไม่มีใครอยากเปลี่ยนในสิ่งที่ตนเองถนัด การอะรุ่มอร่วย ระว่างพนักงานเก่า กับ คุณควรจะสร้างตั้งแต่ตอนนี้ ลดความเป็นเจ้าของบริษัทฯลง แล้วสร้างความเป็นพนักงานเหมือนกับ พนักงานเก่าของพ่อแม่คุณ ลองเห็นเค้าเหล่านั้นเป็นเพื่อน เป็นคนที่จะหนุนคุณ และ ธุรกิจที่คุณกำลังจะให้มันดำเนินไป ไม่ใช่แค่เพียงลูกจ้างรับเงินเท่านั้น คุณไม่สามารถทำงานทั้งหมดเพียงคนเดียว คุณยังไงก็ต้องพี่งพาพนักงานเหล่านั้นอยู่ดี.. ถึงแม้นไม่ใช่คนในปัจจุบันก็ตาม พนักงานใหม่เข้ามา คุณก็ต้องพี่งพาเขาอยู่ดี...

เมื่อคุณเข้าได้กับทุกส่วน เอาความคิดในสมุดที่จดไว้ในข้อแรก เข้ามาดูอีกครั้ง เข้ามาปรับ ทีละเล็กน้อย ถามความคิดเห็นของบิดามารดาก่อนเสมอ เสนอแนวทางใหม่ๆ ต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างแนวทางผสมผสาน อย่างลงตัว ไม่บังคับหรือบีบคั้นมากเกินไป เมื่อถึงจุดนั้นผมคาดการณ์ไว้ก่อนเลยว่า ครึ่งหนึ่งคุณสามารถเอามาปรับใช้งานได้ทันที อีกครึ่งหนึ่ง คุณจะคิดว่า ระบบที่บิดามารดาของคุณสร้างนั้น เป็นระบบงานที่ดีแล้ว...

การสร้างสภาวะที่ทำงานให้น่าทำงาน จะเป็นแนวทางเพื่อให้ได้คุณภาพของงานที่ดี ได้ความทุ่มเทในการทำงาน ได้แนวร่วมเพื่อสร้างธุรกิจ อย่าให้ความบาดหมาง หรือ ความไม่พอใจในระบบงานเก่า ทำให้ทั้งระบบรวนนะครับ ติงไว้แค่นี้...

ขอให้โชคดี และ บริหารงานธุรกิจของบิดามารดาได้ก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองต่อไปนะครับ เอาใจช่วยครับ...




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2548 18:22:44 น.
Counter : 2021 Pageviews.  

ผู้นำ กับ เจ้านาย

ผู้นำ...

เป็นคำที่เรียกคนที่มีภาวะผู้นำ ซึ่งคนที่มีลักษณะนี้เป็นคนที่เข้าใจ 3 สิ่งคือ

1. เข้าใจในตัวคน ทั้งตัวเอง และ ผู้อื่น การเข้าใจทั้งตัวผู้นำ และ การเข้าใจคนอื่นว่า แต่ละคนมีลักษณะอย่างไร ต้องการสิ่งใด ทำให้ผู้นำสามารถรับรุ้และ ชักจูงคนเหล่านั้นให้ไปในทิศทางที่ตนต้องการได้ คนที่หวาดกลัวก็ให้กำลังใจ คนที่ไม่ชอบข่มขู่ก็พูดจากับเขาดีๆ ไม่ต้องแบ่งชั้นวรรณะก็ได้ เป็นต้น

2. เข้าใจในการใช้คน บริหารคน เมื่อเข้าใจทั้งต้วผู้นำ และ เข้าใจคนอื่นๆ การใช้คน หรือ บริหารงานบุคคลก็จะเป็นการง่าย เพียงแต่เข้าใจในธรรมชาติของแต่ละคนว่า มีลักษณะนิสัยเข้ากับงานประเภทใด และต้องรับรู้ว่าคนแต่ละคนมีหน้าที่ หรืองานที่รับผิดชอบมากเท่าใด สามารถรับงาน หรือ จ่ายงานให้ได้อีกหรือไม่...

3. เข้าใจในการสื่อสาร และ สั่งงาน การสื่อสารของผู้นำ จะต้องสื่อให้ผู้ตามเกิดความเข้าใจ เกิดความรู้สึกปราถนาที่จะทำงานนั้นๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประส่งค์ การสั่งงาน ก็จะมีลักษณะตามแต่ละผู้ตาม ผู้ตามที่ต้องใช้คำนุ่มนวล หรือ ผู้ตามที่ต้องใช้คำสั่งลงไป ก็ต้องมองผู้ตามให้ออกเช่นกัน...





เจ้านาย...

เป็นคนที่มีอำนาจเหนือเรา ซึ่งจะมีความเป็นผู้นำ และ สร้างภาวะผู้นำ ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละบุคคล
เจ้านายไม่ใช่มีเพียงภาวะผู้นำเพียงอย่างเดียว แต่ต้องประกอบจากหลายสิ่งหลายอย่าง ภาวะผู้นำเป็นเพียง องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น... เช่น
1. การวางเป้าหมาย
2. การกำหนดแผนงาน
3. การมอบหมายงาน และ ดำเนินการ
4. การติดตามงาน


ทั้งนี้ ภาวะผู้นำเป็นเพียงตัวขับเคลื่อนให้บุคคลที่เป็นเจ้านาย ได้สามารถติดต่อสื่อสาร ได้มีสัมพันธืกับลุกน้อง และ ได้รับความร่วมมือจากลูกน้องเป็นอย่างดี... ทำให้เจ้านายสามารถดำเนินกิจกรรม หรือ ธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2548 18:46:24 น.
Counter : 2366 Pageviews.  

เลือกคนให้เข้ากับงาน เลือกงานให้เข้ากับคน

ไม่ว่าจะเลือกคนเข้าทำงานวิธีใด ผมว่า การเลือกคนให้เข้ากับงานนั้น จะทำให้คนๆนั้นทำงานที่รับมอบหมายให้ทำได้นาน และ มีคุณภาพดีครับ...

คนทำงานแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะของ 4 กลุ่มนี้ไม่เท่ากันครับ และ การเน้นหนักของแต่ละกลุ่ม ก็จะสื่อให้เราทราบว่า เค้าควรที่จะทำงานประเภทใดครับ...

กลุ่มที่ 1 - คนที่มีลักษณะ มีเหตุ มีผล ตรงตามกฎระเบียบ คนลักษณะนี้ผมให้เป็นคนสีน้ำเงินครับ คนกล่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหาร เพราะต้องใช้เหตุและผลเป็นองค์ประกอบ แต่คนประเภทนี้จะไม่มีจิตใจ ไม่ค่อยคิดถึงใจเขาใจเรา สักเท่าไหร่ คิดว่าเหตุผลถูกต้องที่จะให้ออก ก็ให้ออกครับ เพราะมีเหตุมีผลมาสนับสนุน เป็นตัน...

กลุ่มที่ 2 - คนที่มีลักษณะความคิดสร้างสรร ไร้ระเบียบ คิดเร็ว คนลักษณะนี้ผมให้เป็นคนสีเหลืองครับ ซึ่งเป็นคนที่เหมาะกับการสร้างสรรงานต่างๆ เช่นอุปกรณ์ต่างๆ วงจรไฟฟ้า คนพวกนี้ต้องการความรู้เป็นอาหารสมองอย่างมาก และใช้สมองในการคิด นักการตลาดที่มีความคิดสร้างสรร จะทำให้มีผลงานที่แปลกๆออกมาแต่ได้ผล ครับ แต่เป็นคนที่ทำงานประเภท Routine ไม่ได้ ให้ทำงานซ้ำไปซ้ำมาแบบไม่ใช้หัวสมองไม่ได้ครับ...

กลุ่มที่ 3 - คนที่มีลักษณะขอบคิดว่าใครจะคิดอย่างไร เข้าใจใครๆไปหมดซะทุกอย่าง คนลักษณะนี้ผมให้เป็นคนสีแดงครับ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ตรงข้ามกับสีน้ำเงิน คนกลุ่มนี้ไม่กล้าที่จะไล่ใครออกครับ เพราะ ไม่อยากให้ใครคิดว่าเราเป็นคนไม่ดี ให้ใครออกแล้วเค้าจะทำอะไรเป็นต้น ซึ่งงานที่เหมาะกับคนกลุ่มนี้ก็น่าจะเป็นคนที่ทำงานทางด้านบุคคล หรือ ทำงานเกี่ยวข้องกับการโน้มน้าวคน ซึ่งคนกลุ่มนี้จะทำได้ดีครับ

กลุ่มที่ 4 - คนที่มีลักษณะที่ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง คนลักษณะนี้ผมให้เป็นคนสีเขียวครับ คนกลุ่มนี้ถ้าสอนอะไรให้ทำแล้ว สามารถทำในสิ่งที่สอนได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่นอกลู่นอกทาง ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่พอใจในการทำงานที่ตนทำอยู่ ไม่ต้องเด่น ไม่ต้องดัง แต่ขอเพียงทำงานที่ฉันเคยทำก็เพียงพอ คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักเป็นคนทำงานประจำ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง...

เมื่อรู้ลักษณะคน ก็ต้องรู้ลักษณะงานของแต่ละหน้าที่ด้วยว่าควรรับพนักงานกลุ่มใดเข้ามาทำงานให้ตรงกับหน้าที่ เช่น..

1. ผู้บริหาร - ควรจะเป็นคนที่มีความโดดเด่นทาง สีน้ำเงิน และ สีเหลือง เพราะต้องการคนที่มีเหตุและผล รวมทั้งต้องการคนที่มีความคิดสร้างสรรในการทำงานเพื่อสร้างงานในรูปแบบใหม่ๆด้วย..

2. นักการตลาด - ควรจะเป็นคนที่มีสีแดง และ สีเหลือง เพราะนักการตลาด ต้องเข้าใจว่า คนที่ซื้อสินค้าเป็นคนลักษณะใด ต้องสร้างสรรหรือ ต้องจับนิสัยคนในกลุ่มเป้าหมายอย่างไร ต้องเสนออะไรให้กับกลุ่มเป้าหมายถึงจะโดน เป็นต้น (สังเกตคุณแบมสิ)

3. นักบัญชี - ควรเป็นคนที่มีสีเขียว และ สีน้ำเงิน เพราะ นักบัญชีเป็นคนที่ทำงานตามระบบงานมาก มีแต่ตัวเลข บวกลบคุณหาร ต้องมียอดนั้น ตรงกับยอดนี้ มีเหตุ มีผล และต้องทำงานได้ตรงตามเวลาที่กำหนดด้วย..

4. HR - เป็นคนที่ต้องติดต่อกับคนเป็นส่วนใหญ่ มนุษยสัมพันธ์ต้องดี บุคคลกลุ่มนี้ ต้องมีสีแดงที่โดดเด่น อาจมีสีน้ำเงิน และ สีเหลืองบ้าง เพื่อเป็นลูกล่อลูกชนบ้าง

อื่นๆ...

ยกตัวอย่าง... บริษัทฯ ไมโครซอฟ ก็ทำการวิจัยเรื่องนี้เช่นกัน เพราะ บิลเกต เป็นคนที่มีสีเหลือง โด่งสุดๆ มีสีน้ำเงินรองลงมา ดังนั้น บิลเกต จะขาดการติดต่อสื่อสารกับลุกน้องเป็นส่วนใหญ่ ถ้าหัวเรือใหญเป๋นลักษณะนี้ คนที่ บิลเกตเห็นคุณค่าและ โปรโมทขึ้นมาก็เป็นลักษณะนี้ด้วย ยกเว้นลูกน้องคนสนิท เป็นคนที่มีวาทะดี มีเหตุมีผล เป็นคนที่มีในสิ่งที่บิลเกตไม่มีครับ เป็นคนสีน้ำเงิน ผสมสีแดง ..

เรื่องนี้ผมไปอบรมมา และนำมาประยุกต์ใช้ครับ ไม่ได้คิดเอง แต่สามารถอธิบายอย่างคร่าวๆให้เห็นได้เพียงเท่านี้แหละครับ.. ส่วนแบบสอบถามที่ผมใช้ก็คิดเอง เพื่อสามารถรัยรู้ได้ว่าคนที่มาสมัครทมีสีอะไรเป็นสัดส่วนเท่าใด เพื่อเป็นพื้นฐานในการคัดคนเบี้องตันครับ หลังจากนั้นการสัมภาษณ์ก็จะเป็นการมองที่ Attritude เป็นสำคัญครับ...




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2548 19:53:19 น.
Counter : 1761 Pageviews.  

งานบริหารไม่มีกฎตายตัว...

คนมีหลายแบบ และ ธุรกิจก็ต้องการคนหลากหลายแบบ ธุรกิจไม่สามารถดำเนินไปได้ด้วยคนประเภทเดียว

คนบางคนเหมาะกับการทำงานในส่วนที่ต้องทำ เป็นงานประจำที่ไม่มีการพลิกแพลงมากนัก ซึ่งแน่นอนผู้บริหารก็คงต้องการให้เขาอยู่เพื่อทำในสิ่งที่เขารับผิดชอบ เขาจะก้าวหน้าไม๊ อาจจะไม่ แต่ขาดเขาได้ไม๊ มันก็ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะถ้าทุกคนในบริษัทฯ พยายามขึ้นไปเป็นหัวหน้างานกันหมด แล้วใครจะทำงานให้กับองค์กรในส่วนปฏิบัติการจริงๆ ผมคิดว่ามันจะยุ่งเสียมากกว่า เพราะว่า ต่างคนต่างทำงานที่คิดสร้างสรร แต่เจ้านายสั่งงานมาก็ทำให้น้อย คราวนี้มันจะกระทบกับงานที่จะส่งให้ลูกค้าแล้วซิ เพราะงานที่เป็นงานสั่ง บางส่วนเป็นงานที่ต้องส่งลูกค้า คราวนี้ละก็สนุกแน่ๆ เพราะไม่มีคนทำงานเพื่อจะส่งให้ลูกค้า...

ระบบงานทุกระบบย่อมมีจุดอ่อน และ จุดแข็งของมันเอง ไม่มีระบบไหนสมบูรณ์ การใช้งานระบบใหม่ๆ ก็เช่นกัน อย่าง KPI ที่กำหนดกัน ส่วนใหญ่กำหนดรายปี มากที่สุดก็กำหนดครึ่งปีครั้ง แล้วหากเจอคนตรงมากๆ โดยไม่คิดถึงความสำคัญของบริษัทฯมาก่อน อาจจะทำให้บริษัทฯ เกิดความเสียหายได้ อย่างเช่น มีงานพิเศษที่ไม่อยู่ใน KPI แต่เป็นงานที่สามารถทำเงินได้อย่างมากหากทำสำเร็จ แล้วน้องในทีม เกิดทำงานแต่ KPI แล้วไม่ทำงานที่สั่ง เพราะคิดว่านี่ไม่ใช่งานที่จะใช้ในการตรวจวัด KPI มันจะไม่มีผลงานในปลายปี พองานเข้ามาพร้อมกัน ก็ต้องทำงานที่สามารถตรวจวัดตาม KPI ก่อน พนักงานไม่ผิด แต่ บริษัทฯ อาจจะไม่ได้เงิน หรือ อาจจะโดนปรับจากการส่งงานล่าช้า... องค์กรอาจจะล่มสลายไม่ช้าหากมีแต่คนประเภทนี้...

คนบางประเภทแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แก้ตัวเป็นไฟ หาเหตุผลมากมายมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง สร้างภาพ ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเองเก่ง หรือ ตนเองเด่นดีในด้านนั้นๆ แต่แท้ที่จริงแล้ว เขาอาจจะเป็นเพียงพนักงานธรรมดา ที่สื่อสารได้ดี แต่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันก็ได้ พนักงานในรูปแบบนี้มาเยอะไป...

ผมเห็นชีวิตของคนทำงานแต่ละคนแตกต่างกันไป บางคนเหมาะกับการเป็นพนักงานธรรมดา เขาเก่งทางด้านการทำงานให้สำเร็จไม่ได้เก่งคิด เจ้านายที่เก่งคิด ก็จะจัดให้คนๆนี้ แป๊ก... เป็นเรื่องปกติ... แต่ในทางกลับกัน คนที่เก่งคิด ฉลาด สร้างภาพ สื่อสาร รวมทั้งพยายามปรับปรุงส่วนต่างๆให้ดีขึ้น แต่กลับไปอยู่กับเจ้านายที่ชอบในการทำงานที่เป็นระบบ ต้องการทำงานตามขั้นตอน ห้ามลัด ห้ามนอกคอก ก็จะทำให้พนักงานที่เป็นเช่นนี้ แป๊ก... เช่นกัน

หัวหน้างานเป็นอย่างไร มักชอบลูกน้องที่เป็นอย่างนั้น ในทางกลับกัน ความก้าวหน้าและการเลื่อนขั้นของลูกน้องส่อให้ถึงว่า เจ้านายเป็นเช่นใดด้วย มันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนโดยทั่วไป...


คนเราก็แปลก สิ่งอะไรแปลกใหม่ ย่อมอยากรู้อยากเห็นแล้วบอกว่าสิ่งนี้แหละดี เด่น อย่างบางคน ชอบเสาะหาของอร่อยทาน เมื่อแรกเจอร้านที่อร่อย ก็จะบอก จะชมไม่ขาดปาก แล้วก็จะไปทานบ่อยๆ เมื่อทานบ่อยเข้าก็รู้ว่า อาหารร้านนี้อร่อย แต่ก็ไม่เข้าไปทาน หรือ ทานเป็นบางครั้งไม่บ่อยครั้งเหมือนตอนแรก อย่างข้าวขาหมูตรองซุง ทำอาหารรสชาดดีมาตลอด แต่เกิดเหตุแค่ครั้งเดียว ทำให้คนรับประทานข้าวขาหมูลดการบริโภคไปนาน... ที่ผมกล่าวมาข้างต้นก็เพื่อบอกว่า เจ้านายก็เช่นกัน คนเก่งๆ ทำงานฉลาดๆ เสนองานได้ดี ดูดีมีผลงาน แน่นอนแรกๆ เจ้านายย่อมเห็น คุณค่าของคนๆนั้น แต่หากคนเก่ง ก็เก่งได้ตลอดเวลา เจ้านายย่อมมองเห็นว่า คนนี้นะเก่ง แต่ก็ไม่ได้ชื่นชมเหมือนแรกๆแน่นอน ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่มันเป็นเรื่องปกติที่เขาสามารถทำได้ไปเสียแล้ว ไม่ตื่นเต้นในผลงานหรอก นี่เป็นธรรมชาติของคนเราอีกเช่นกัน ส่วนความผิดพลาดนั้น มันย่อมส่งเสียงดังกว่า ผลงานเสมอสำหรับคนเก่งๆ เพราะว่า มันไม่ค่อยได้พบ ได้เห็นสิ่งผิดพลาดทีเกิดจากคนเก่งสักเท่าไหร่... มันก็เลยเป็นธรรมชาติของเจ้านานที่ต้องพยายาม บอก พยายามแจ้งในสิ่งเหล่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้อีก มองในแง่ดีก็ดี มองในแง่ร้ายก็ร้ายได้เช่นกัน...

งานบริหาร งานบุคคล มันไม่ตายตัว... ก๋วยเตี๋ยวร้านเดียวกัน แต่ทำกันคนละวัน คนละช่วงเวลา รสชาดก็ยังไม่เหมือนกันเลย ผมคิดว่า มันเป็นไปตามศิลปะของการทำ ตามแต่ละบุคคล ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว...

มันก็แค่ความคิดเห็นจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ที่ไม่ใช่ศาสตร์หรือทฤษฎีอะไร...




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 18 กรกฎาคม 2548 21:01:31 น.
Counter : 3057 Pageviews.  

แนวทางการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

แนวทางการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้


โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)




จากที่รู้จักภาคใต้ คนใต้ และคนพื้นเมืองนั้น.. จริงๆแล้ว คนโดยทั่วไปไม่มีอะไรน่ากลัว ที่เป็นปัญหาจริงๆไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ แต่เป็นเพียงคนบางกลุ่ม เท่านั้นที่ทำให้เกิดเรื่องต่างๆขึ้น...

ผมเสนอให้ใช้ วิธีประนีประนอม แบบเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และ ต้องปฏิบัติอย่างเฉียบพลัน

เนื่องจากคนพื้นเมือง ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ทั้งๆที่อยู่เมืองไทย ตอนไปนอนค้างแรมกับเขา ก็แทบจะใช้ภาษาใบ้กัน ก็สนุกไปอีกแบบ แต่ย้อนกลับมาตอนนี้ นี่แหละคือปัญหาอันใหญ่หลวง เลย ดังนั้น หากรัฐต้องการปรับปรุงเรื่องภาษาเหล่านี้ ผมคงต้องเสนอให้เสนองานและพัฒนาคนที่สามารถพูดภาษาทั้ง 2 ภาษาได้ก่อน โดยรับเข้ามาเป็นข้าราชการเพิ่ม และ เงินเดือนจะต้องดึงดูดให้ทำงาน ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่ให้รับผิดชอบ คือการสื่อสารระหว่างข้าราชการ และ คนท้องถิ่น เพื่อวางแผนพัฒนาสังคมทั้ง 2 รูปแบบให้กลมกลืนกัน ซึ่งต้องทำและต้องวางแผนให้ต่อเนื่องอย่างน้อย 10-20 ปี เพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่จะเริ่มเข้ามาในสังคมนั้น จะต้องเป็นคนที่พูดได้ทั้ง 2 ภาษา โดยเน้นภาษาไทยเป็นภาษากลางในการติดต่อ...

ข้าราชการกลุ่มใหม่นี้ ต้องเข้าให้ถึงรากหญ้าของสังคมทั้ง 3 จังหวัด ซึ่งหากพูดภาษาได้ จะไม่ยากเลยที่จะนำข้อมูลข่าวสารของราชการ และ สังคมภายนอก แผ่เข้าไปในสังคมของเขา คนท้องที่เป็นคนที่รักกันและกัน และเป็นกลุ่มก้อน รวมทั้ง ยังยึดพวกพ้อง ดังนั้น ต้องสร้างให้แต่ละตำบล อำเภอมีคนลักษณะนี้ให้มากๆ เพื่อสื่อสาร และทำความเข้าใจ รวมทั้งเป็นกลุ่มคนที่ศึกษาความต้องการที่แท้จริงของคนท้องที่ เพื่อนำเสนอความต้องการได้ถูกต้องและตรงกับความต้องการ

วางแผนรับพนักงานลักษณะนี้ให้มากเพื่อให้กลมกลืนกันระหว่างรัฐ และท้องที่ เพิ่มอัตรากำลังคนกลุ่มนี้ให้เพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้า... มันยากสำหรับรัฐที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ 4 ปี และ ทำงานไม่ต่อเนื่อง แต่ยังไงแล้วถ้าหากเริ่ม เราก็จะแก้ปัญหาระยะยาวได้...

การศึกษาภายในถิ่นที่ลึกเข้าไปนั้น เป็นโรงเรียนที่ไม่มีคุณภาพ ที่กลุ่มนักเรียนนักศึกษาเข้าไปถึงก็ดีหน่อย ออกค่ายกันพัฒนากัน ได้มากในระดับหนึ่ง แต่ ยังมีสถานที่อีกมาก ที่เข้าไปไม่ถึง ทำให้โรงเรียนเป็นฐานอำนาจของกลุ่มคน การพัฒนาก็ต้องเริ่ม ณ จุดนี้เช่นกัน

แทรกแซงให้กลมกลืน สมานไม่แบ่งแยก
ราชการคือประชาชน ประชาชนเป็นคนในชาติ
ปัญหาของเขาคือปัญหาของเรา
รบแบบไม่รบ สงบแบบกลมเกรียว
แก้ปัญหาภายในเมือง แต่เข้าไปช่วย และ สร้างเสริมทั่วทุกแห่ง
ตัดแขนขาคนไม่ดี... สร้างกลุ่มชนที่รักชาติ...


มีกลวิธีมากมายในการใช้ มันก็ขึ้นกับสถานการณ์ คนอยู่ในเมืองไม่รู้ว่านอกเมืองเป็นอย่างไร... ดังนั้น หากให้เสนอคงได้แค่นี้ แต่หากให้ทำมันต้องเปลิ้อนดิน เปลื้อนฝุ่นกันอย่างมาก.. มันขึ้นกับว่า ใครจะลงมือทำจริงๆเท่านั้น...




  • ลดระยะห่างในแนวดิ่งลง เพื่อทำให้การสื่อสารขึ้นมาได้เร็วขึ้น


งานของจังหวัดใดๆนั้น ตอนนี้มี CEO กันดังนั้น อยากให้สร้างแนวเสริมจาก CEO ทุกๆท่าน เพื่อให้ได้ระบบการบริหารที่ลดขั้นการดำเนินการลง ต้องมีกำหนดการให้ CEO ได้เข้าประชุมร่วมกับ นายอำเภอของจังหวัดตน ทุกๆ เดือน อย่างน้อยเดีอนละครั้ง และ มีการสร้างทีมงานระหว่าง ตัวจังหวัด และ อำเภอ เพื่อสร้างกลุ่มบริหารระดับสูงให้แข็งก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำ... และให้ทำเป็นขั้นเป็นตอนโดย ให้นายอำเภอจัดการประชุมกับผู้บริหารระดับตำบล-กำนัน ก่อนเข้ามาประชุมกับ CEO กำนันก็ต้องประชุมกับผู้ใหญ่บ้าน ในส่วนที่ตนรับผิดชอบ เพื่อแจ้งผลและรายงานเป็นขั้นตอนขึ้นมา รายงานประชุมจะต้องส่งขึ้นมาอย่างน้อย 2 ระดับเสมอ... นี่เป็นการจัดระบบการสื่อสารระหว่างส่วน เพื่อสร้างทีมงานที่สมบูรณ์ก่อน..

  1. ประชุมผู้ใหญ่บ้านทั้งหมด กับ กำนัน เป็นประจำทุกเดือน โดยส่งรายงานการประชุมให้กับ กำนัน และ นายอำเภอทุกครั้ง... ซึ่งบางครั้ง นายอำเภอจะต้องเข้าร่วมประชุมด้วยเพื่อให้เข้าถึงแต่ละหมู่บ้าน

  2. ประชุมกำนันทั้งหมด กับ นายอำเภอ เป็นประจำทุกเดือน โดยส่งรายงานการประชุมให้กับ นายอำเภอ และ CEO ประจำจังหวัด

  3. ประชุมนายอำเภอทั้งหมด กับ CEO เป็นประจำทุกเดือน โดยส่งรายงานการประชุมให้กับ CEO และ สำนักนายก


ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่การทำลักษณะนี้จะเป็นการลดขั้นการบริหารแนวดิ่ง ให้แคบลงได้ ขอยกตัวอย่าง จ.ปัตตานี.. CEO จะประชุมกับ นายอำเภอ 12 ท่านเท่านั้นทุกเดือน คิดว่าเป็นจำนวนไม่มากเกินไป และ นายอำเภอแต่ละท่าน จะประชุมกับกำนันประมาณท่านละ 9-10 ต่ำสุด 3-4 คน สูงสุดที่ 18 คน ซึ่งก็ไม่มากเกินไปในการรับรู้เรื่องราวต่างๆภายในอำเภอของตน และ กำนันแต่ละคน ก็จะต้องเข้าประชุมกับผู้ใหญ่บ้าน เฉลี่ยแล้วประมาณ 5-6 คน ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่สวยมากเช่นกัน... นี่เป็นการจัดระบบการสื่อสารภายในตัวจังหวัดก่อน เพื่อจะได้ส่งข้อมุลขึ้นมาได้อย่างครบถ้วน และ สามารถจัดการกับปัญหา หรือ มีแนวทางในการจัดการกับปัญหาต่างๆภายในเดือนๆนั้น หรือ อย่างมากก็หลังจากเกิดเหตุไม่เกิน 1 เดือน...

ผู้บริหารที่สูงกว่า 2 ขั้น ควรจะเข้าร่วมประชุมกับงานบริหารระดับต่ำลงมา 2 ชั้น เพื่อรับข้อมูลข่าวสาร และ เป็นขวัญกำลังใจให้กับคนทำงาน อย่างเช่น CEO ก็ควรเข้าประชุมกับ การประชุมกำนันของแต่ละหมู่บ้าน อย่างน้อย เดือนละ 2 ตำบลจะใช้เวลาประมาณ ครึ่งปี ก็ครบรอบ ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลข่าวสารที่ดีขึ้น และได้เห็นการทำงานจริงๆของกำนัน การร่วมมือกันระหว่างกำนัน และ นายอำเภอ เป็นต้น ดังนั้น หากนายอำเภอปฏิบัติเช่นเดียวกัน ก็จะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างกำนันกับผู้ใหญ่บ้าน ว่าเป็นอย่างไร ผู้ใหญ่บ้านคนใดรักลูกบ้าน ต้องการแก้ไขปัญหาภายในอย่างแท้จริง และอีกอย่าง ข่าวสารความจริงก็ไม่ตกหล่นไปมากนักเพราะได้รับฟังจากหูของตัวเอง...

หากเป็นไปได้ นายอำเภอ และ กำนัน ก็ควรที่จะต้องออกไปตรวจสอบท้องที่ ให้เห็นกันจริงๆว่า แต่ละที่ แต่ละจุดมีปัญหาอย่างไร...

นี่เป็นแนวทางการจัดการลดขั้นตอนการสื่อสารลงก่อน...





  • เจาะเข้ากลางใจประชาชน


ในแต่ละจังหวัด หากสร้าง "ทีมลุย" ในการปรับปรุง และ หาแนวทางการพัฒนาในแต่ละหมู่บ้าน แต่ละ ตำบล จะส่งผลให้ส่วนรวมทั้งหมดดีขึ้น... โดย "ทีมลุย" ควรจะขึ้นตรงกับ CEO

"ทีมลุย" ที่ผมเสนอ จะประกอบด้วย..
1. แพทย์ 1 ท่าน
2. พยาบาล 2 ท่าน
3. วิศวกรด้านต่างๆ ประมาณ 2-3 ท่าน
4. ผู้ที่มีดูแลสาธารณูปโภค รวมทั้งระบบการศึกษา ประมาณ 2-3 ท่าน
5. ล่ามประจำกลุ่ม 2 ท่าน ซึ่งต้องพูดภาษาท้องที่ได้ และ/หรือ รู้จักกับผู้ใหญ่บ้านส่วนใหญ่

โดย "ทีมลุย" มีหน้าที่เข้าไปศึกษาแต่ละหมู่บ้าน แต่ละ ตำบล โดยเฉพาะในอำเภอที่ห่างไกล ตำบลที่ด้อยพัฒนา เพื่อทำรายงานเสนอให้ CEO

การเข้าไปของทีมลุย นำโดยทีมสุขภาพเพื่อเข้าไปตรวจรักษาคนในท้องที่ โดยมีล่ามเข้าช่วย เป็นการให้บริการโดยรัฐ เพื่อพัฒนาสุขภาพอนามัยของคนในท้องที่ ก่อน ซื้อใจเขาก่อนจะให้เขาช่วยทำอะไร.. และศึกษาคนส่วนใหญ่ด้วยว่า สุขภาพส่วนใหญ่เป็นอย่างไร ทำไมเขาถึงมีสุขภาพที่ไม่ดี หรือ โรคที่เป็นเหมือนๆกันในหมู่บ้านนั้นๆ เกิดจากสาเหตุที่แท้จริงอย่างไร...

ส่วนอีกทีม ก็เข้าไปศึกษาท้องที่ การศึกษาของคนในท้องที่ เพื่อหาแนวทางการปรับปรุงในแต่ละท้องที่ เพื่อทำเรื่องต่างๆเสนอขึ้นมา สิ่งที่ต้องทำเป็นการเร่งด่วนคือ การศึกษาของประชาชน โรงเรียนอยู่ห่างไกลจากชุมชนมากเพียงใด สาธารณูปโภคที่ต้องปรับปรุงคืออะไร การทำมาหากินของหมู่บ้านสามารถเพิ่มได้จากอะไรบ้าง ควรปรับปรุงอย่างไร..

รายงานทั้งหมดต้องส่งเป็น 5 ชุด โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดศึกษาแนวทางที่ทีมงานได้เสนอมาว่า สามารถปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด และ ให้วางแผนในการปฏิบัตืให้เกิดรูปธรรมภายใน 6 เดือนเป็นอย่างช้า เรื่องใดที่ใช้งบที่มีได้ ให้ใช้งบที่มีก่อนที่จะเสนอของบใหม่...

"ทีมลุย" ต้องอยู่ในหมู่บ้าน อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อศึกษาให้ถ่องแท้และหาแนวทางแก้ปัญหาให้ได้ จากนั้น ให้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ในการเขียนรายงานสรุปมา

"ทีมลุย" จะสามารถทำงานได้ดี ก็ต่อเมื่อ มีการประชุมจากกระทู้ที่แล้ว เพราะ จะได้รู้ว่า หมู่บ้านใด ตำบลใด ควรจะเข้าไปก่อน มีปัญหามากก่อน แน่นอน ในตอนเริ่มแรก ทุกที่มีปัญหาหมด แต่หากทำลักษณะนี้ไปสัก ปี-2ปี ปัญหาต่างๆก็จะเริ่มเบาลงเอง..

ที่ต้องระวังคือ "ทีมลุย" ต้องมีความเป็นกลางและทุ่มเทให้กับการพัฒนาอย่างจริงจัง และ CEO รวมทั้งรัฐบาลต้องให้การสนับสนุนในการปรับปรุงตามแผนอย่างจริงจัง..





  • ใช้ทรัพยากรที่มีในจังหวัดให้มากที่สุด


ทรัพยากรที่ว่านี้ไม่ใช่พื้นที่ หรือ ว่า ต้นไม้ใบหญ้า แต่มันคือ บุคคลากร ภาคใต้มี ม.อ. อยู่ อย่างปัตตานี ก็มี และ มหาลัยต่างๆก็มีมากมาย เปิดการศึกษาทางด้านภาษาขึ้น ซึ่งอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเพราะคนที่อยู่ลึกเข้าไปก็คงไม่สามารถเข้ามาเรียนได้ ดังนั้น การให้ทุนสนับสนุน มหาลัย เพื่อออกค่ายพัฒนา เพื่อส่งคนเข้าไปในโรงเรียนแต่ละ อำเภอ แต่ละตำบล เพื่อเข้าไปช่วยคนในพื้นที่ให้ได้รับการศึกษามากที่สุด โดยเน้นไปที่เด็กที่ต้องเริ่มเข้าเรียน รวมไปถึงกลุ่มชนวัยรุ่น ให้ได้รับการเรียนรุ้ได้อย่างมาตรฐาน การอัดฉีดเข้าไปยังมหาลัย เพื่อสร้างผลงานออกมานั้น ง่ายกว่าการอัดฉีดเข้าไปตรงๆ อีกอย่าง นักศึกษามหาลัย ที่ต้องการพัฒนาชนบทกับถิ่นที่ตนเองเกิด จะมีความรู้สึกว่า อยากทำให้กับถิ่นที่ตนเกิด มากกว่า คนอื่นที่มาจากที่อื่นๆ

การกระจายการศึกษาออกไปจากตัวเมืองนั้น ต้องมีหลายส่วนให้การสนับสนุน ดังนั้น การเบิกทางจากการประชุมในระดับ CEO จะช่วยได้มากในการสร้างใบเบิกทางต่างๆ ที่จะส่งผลลงไปถึงหมู่บ้านต่างๆได้ง่ายขึ้น

ยกตัวอย่าง จ.ปัตตานี มีโรงเรียนทั้งหมด 377 โรง แต่มี หมู่บ้านทั้งหมด 627 หมู่บ้าน ดูเหมือนว่าเพียงพอ แต่โรงเรียนส่วนใหญ่กลับไปอยู่ในเมือง ไม่ได้กระจายให้ทั่วทั้งจังหวัด มันจึงทำให้ คนที่อยู่ห่างไกลขาดการศึกษาเท่าที่ควร โรงเรียนที่นอกสังกัดจึงเกิดขึ้นในรูปแบบของโรงเรียนศาสนาเป็นต้น ดังนั้น จึงต้องมาศึกษากันใหม่ว่า ในแต่ละจุด ควรมีโรงเรียนใหม่หรือยัง ซึ่งต้องพี่ง "ทีมลุย" เพื่อสรุป และ จะได้จัดสร้างให้ได้ตรงกับความต้องการได้มากที่สุด

อาจารย์ที่จะเข้ามาสอนในโรงเรียน ก็ควรเป็นคนในพื้นที่ อาจารย์ที่รู้จักทั้ง 2 ภาษา จะมีอัตราเงินเดือนพิเศษ โดยบวกค่า ภาษา ให้ด้วย เพื่อส่งเสริม และ สร้างให้คนที่รู้ทั้ง 2 ภาษา มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อสร้างวัฒนธรรมว่า คนที่รู้ทั้ง 2 ภาษา จะได้เงินเดือนที่ดีกว่ามาก จะทำให้คนในพื้นที่ จะส่งให้ลูกๆ เรียนรู้ทั้ง 2 ภาษามากขึ้น แทนที่จะเป็นภาษายาวีอย่างเดียว หลักการนี้ก็เหมือนกับบริษัทฯเอกชนที่ให้เงินเดือนพนักงานที่รู้ภาษาอังกฤษดี มากกว่ามาก ทำให้สังคมเราเปลี่ยนไป ต้องการให้ลูกๆเรียนรู้หลายๆภาษา เราก็ใช้หลักการนี้กับภาคใต้ ก็จะทำให้คนรุ่นใหม่ มีการเรียนรู้ทั้ง 2 ภาษามากขึ้น แต่การพูดคุยก็ต้องให้ใช้ภาษากลาง เมื่อทำได้อย่างนี้แล้ว ภาษากลาง ก็จะค่อยๆซึมซับให้กับทุกๆ หมู่บ้านไม่เกิน 3 ชั่วอายุคน





  • ส่งเสริมความเชื่อของแต่ละบุคคล


ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้น การส่งเสริมให้คนที่นับถือศาสนาของตนนั้น ได้มีเวลาและปฏิบัติให้ตรงตามศาสนา เป็นเรื่องที่จะเข้าถึงจิตใจคนในพื้นที่ได้มาก ไม่ใช่เพียงศาสนาอิสลาม แต่ในทุกๆศาสนา "ทีมลุย" จะเป็นกลุ่มคนที่ศึกษาพื้นที่ให้ ว่าสมควรจะจัดสร้างอะไร ให้ตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่ เช่น อาจจะตั้งมัสยิด ตั้งสุเหล่า สร้างวัด ก็แล้วแต่ หรือหากไม่สร้างขึ้นมา อย่างน้อย ก็ต้องทำนุบำรุง ไม่ปล่อยให้ร้าง หรือ ดูไม่งาม

การสื่อสารกับกลุ่มบุคคลในแต่ละศาสนาเพื่อเข้าถึงพื้นที่นั้น ก็สมควรอย่างมาก การศึกษาก็ควรจะเน้นให้เข้าใจในแต่ละศาสนา เพื่อลดความขัดแย้งในชุมชนต่างๆด้วย เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่เราก็ไม่เคยกีดกันศาสนา ดังนั้น เราก็คงยึดหลักเดิมได้ ไม่กีดกันศาสนาใดๆ แต่ส่งเสริมให้ทุกคน ได้รู้จักศาสนาหลายๆศาสนาว่า สอนให้คนเป็นคนดีในแง่ต่างๆได้อย่างไร

คนไทยมีนิสัยรักสันติ ที่เกิดเหตุอาจจะไม่ได้เกิดจากคนในพื้นที่ แต่มันอาจจะเกิดจากความเชื่อถือบุคคลก็ได้ หากสามารถรวมกลุ่มคนที่มีอิทธิพลให้เข้ามาในปกครอง ก็จะสามารถรวบรวมความเชื่อของคนส่วนมากได้เช่นกัน การรวบรวมกลุ่มคน ก็ต้องใช้คนในพื้นที่เป็นคนทำ มองหา Key Man แล้วดึง คนๆนี้เข้ามาให้ได้ ซึ่งก็ต้องพึ่ง "ทีมลุย" เพื่อสังเกตุให้ด้วยว่า ใครบ้างที่เป็นมีอิทธิพลในแต่ละหมู่บ้าน

ไม่อยากกล่าวถึงเพื่อนบ้าน แต่เงินของเขามีมาก ทำให้สร้างภาพลักษณ์ทางศาสนาที่แตกต่างจากเราได้มาก การทุ่มเงินบางส่วน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางศาสนาให้ดีเลิศในแต่ละจังหวัด ก็อยากให้ทำ ซึ่งจะทำให้เป็นจุดศูนย์รวมที่ดีเลิศได้เช่นกัน ทั้งนี้รัฐ และ ผู้ปกครองในแต่ละระดับ ก็ต้องไม่ทอดทิ้ง หรือ ออกห่างจากสถานที่ๆสร้างขึ้น ควรดูแลอย่างใกล้ชิด และ ตอกย้ำผลงานของภาครัฐ ให้คนในศาสนานั้นๆเข้าใจว่า รัฐ ใส่ใจดูแลเพียงใด

อย่าเน้นเพียงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่ต้องให้ความสำคัญกับทุกๆความเชื่อ อย่าลืมว่า ในแต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ มีกลุ่มคนที่มีความเชื่อแตกต่างกันออกเป็นกลุ่มๆ หากเน้นเพียงกลุ่มเดียว ก็จะทำให้อีกกลุ่มไม่พึงพอใจ แต่ในเหตุการณ์อย่างนี้ ต้องเน้นบ้างเท่านั้น แต่อย่าเน้นนานเกินไป..





  • ส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยว และ สร้างอาชีพ


ภาคใต้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย แต่เนื่องจาก แต่เนื่องจากมันไกลจากเมืองหลวง ดังนั้นสถานที่ท่องเที่ยวจึงมีคนไปน้อยมาก เมื่อการท่องเที่ยวไปได้ไม่มากเท่าที่ควร การสื่อสารระหว่างภาษากลาง กับ ยาวี ก็จะมีน้อยลงไปมากๆ

สถานที่ท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ดึงเงินคนเพื่อใช้ในการบริหารงานจังหวัดได้อย่างมาก และ สร้างสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้อย่างดี จึงควรส่งเสริมในเรื่องนี้.. หากรัฐส่งเสริม ก็จะทำให้เกิดการสร้างงานมากขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในแถบบริเวณนั้นๆ ก็จะดีขึ้น...

ที่เห็นที่เที่ยวมา ไม่มีการบูรณะสถานที่ท่องเที่ยวเท่าที่ควร CEO อาจจะมองว่ามีคนไปท่องเที่ยวน้อย ดังนั้น การเสริมจากรัฐเพื่อให้สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ ดูดีขึ้น เหมาะแก่การไปพักผ่อน และ ราคาเหมาะสมแล้ว ก็จะช่วยได้มาก..

CEO ก็ควรเร่งพัฒนา และ สื่อสารให้คนทั่วไปเห็นถึงจุดเด่นของแต่ละสถานที่ หาดแต่ละหาดยังสด และ สวยงาม ดึงสิ่งดีๆขึ้นมา แล้วโฆษณา สื่อสารให้คนไทย และ ต่างชาติสนใจเข้ามาครับ...

อาชีพของคนใต้ลึกๆ หากไม่ทำสวนยางก็จะเป็นครูสอนศาสนา เพราะ การส่งไปเรียนศาสนาที่ต่างประเทศ ใช้เงินไม่มาก และ ต่างประเทศก็สนับสนุน หากสร้างงานให้รองรับกับจำนวนคนเพื่อให้ลดการส่งบุตรหลานไปเรียนศาสนาต่างประเทศได้ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว ถึงแม้นว่ารายได้ต่อบุคคลของคนในภาคใต้ จะสูงที่สุด มีเงินเก็บมากที่สุด ก็ต้องทำให้เขามองเห็นโอกาสในการลงทุน และ สร้างโอกาสในการลงทุนให้เขาให้มากขึ้น เพื่อสร้างงานให้มากขึ้นด้วย คนที่ไม่มีงาน หรือ คนที่เป็นครูสอนศาสนา ก็จะได้เข้ามาทำงานในระบบได้มากขึ้น ซึ่งค่าตอบแทนที่ให้เขาเหล่านั้น ก็ต้องมากตามความเหมาะสมด้วยเช่นกัน





  • สร้างสื่อท้องถิ่น จากรัฐสู่ประชาชน


การสื่อสารระหว่างรัฐ และ ประชากรที่อยู่ลึกไปในชนบท ยังขาดตกบกพร่องอยู่มาก ดังนั้น ก็ต้องสร้างสื่อเพื่อชี้แจงเหตุการณ์ และ ข้อมูลข่าวสารจากรัฐให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด...

สถานีวิทยุ และ โทรทัศน์ ก็มีผลอย่างมากกับพฤติกรรมของคน การให้วิทยุเถื่อน ให้เข้ามาในระบบนั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างมากในภาคใต้ ต้องมีการควบคุมการสื่อสารในเชิงยุยงประชาชนลง รัฐไม่ได้ดูแลเรื่องนี้มานาน ทำให้ผู้มีสื่อในมือสร้างสังคมอย่างสะสมและต่อเนื่องมา ความนึกคิดของประชาชน ก็เลยคล้อยตามสื่อด้วย...

หากกำกับควบคุมดูแลได้ ก็ต้องสร้างสื่อที่จะสื่อสารกับประชาชนโดยรวมได้เช่นกัน ใช้ทั้ง 2 ภาษา มีพิธีกร 2 คน คอยคุย คอยแปล เพื่อจะได้ให้ข้อมูลไม่ขาดตกบกพร่อง...

สถานีโทรทัศน์ของเราเองก็ไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่.. เพราะ พื้นที่เป็นหุบ เป็นเขา หมู่บ้านอยู่ระหว่างเขาเป็นต้น ต้องเดินเข้าไป 1-2 ชั่วโมงก็มี สถานีไม่คุ้นที่จะติดตั้งเสา และเห็นว่ามันห่างไกล สถานีของรัฐเองยังไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เลย.. ซึ่งสถานีโทรทัศน์ เป็นสื่อเดียวที่จูงใจคนให้มีแนวความคิด และ เข้าใจสภาพการณ์ได้ดีมากที่สุด แต่เมื่อรัฐไม่ให้ความสำคัญ พวกเขาก็ไม่ได้รับข่าวสาร ก็เกิดความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น ไฟฟ้า น้ำประปา บางที่ก็ไปไม่ถึง.. ต้องพึ่งพึงกันเอง...

หากขยายสื่อให้ชัดเจน และ ทั่วถึงทั้งหมดแล้ว โทรทัศน์มาเลย์ ก็๋คงลดบทบาทลง การสื่อสารระหว่างเราก็จะได้มีมากขึ้น..


(คำแนะนำในช่วงเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ ที่ทางพันทิปรวบรวมความคิด)




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 31 สิงหาคม 2551 14:53:34 น.
Counter : 6196 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.