Group Blog
 
All blogs
 
คุ ย น อ ก ร อ บ ...จากเวบประพันธ์สานสน์


วัสตรา หนึ่งในหลายนามปากกาของนักเขียนหญิงที่มีผลงานเขียนหลากประเภทตีพิมพ์ตามหน้านิตยสารราย ต่าง ๆ มากพอประมาณ เธอเริ่มมีงานเขียนลงตีพิมพ์ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเรียน จนหลังจบการศึกษาได้เข้าทำงานเป็นกองบรรณาธิการนิตยสารรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง แต่ก็ยังคงเขียนนวนิยายขนาดสั้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ และมีผลงานตีพิมพ์เล่มแรกออกมาในปี 2526 จวบจนปี 2532 นวนิยายสะท้อนชีวิตวัยรุ่นเรื่อง "ก้าวที่กล้า" ก็ทำให้เธอเป็นที่กล่าวขวัญถึงของบรรดาคอนวนิยายในวงกว้างมากขึ้น…
เมื่อให้กล่าวถึงแรงบันดาลใจ


เธอว่าตั้งแต่เด็ก ๆ ได้อ่านเรื่องจากสกุลไทย จากบางกอก ก็ทำให้รู้สึกอยากเขียนบ้าง มีความคิดตามประสาเด็ก ๆ ไปเรื่อย เพราะว่าคะแนนเรียงความได้ดีก็เลยชอบ นี่คือแรงบันดาลใจอย่างหนึ่ง…
หรืออาจเป็นเพราะลักษณะอีกอย่างหนึ่งที่ตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยได้พูด คืออยู่ในมุมที่ผู้ใหญ่ว่าถ้าไม่ถามก็อย่าตอบถ้าไม่บอกก็อย่าทำอะไร ทำให้เรามีโลกของเรา คิดโน่นคิดนี่ไปตามจินตนาการเรื่อย ๆ แล้วก็ถ่ายทอดออกมาทางเรียงความ เวลาเขียนเรียงความไป เราก็จะคิดแต่เรื่องโน้นเรื่องนี้แล้วก็เขียนไป น่าจะเป็นจากจุดนั้นมากกว่า ที่เป็นแรงบันดาลใจ

จนโตขึ้นมาอีกหน่อยในระดับมัธยมปลาย ด้วยความเป็นคนชอบขีด ๆ เขียน ๆ อยู่แล้วแต่ต้องไปเรียนสายวิทย์ ก็เลยต้องหาทางออกให้ความสบายใจกับตัวเอง โดยการเขียนโน่นเขียนนี่ เขียนกลอน เขียนอะไรไปตามเรื่อง เผอิญได้ลงในนิตยสารหรือได้ออกอากาศตามรายการวิทยุ ก็เลยเป็นกำลังใจที่ว่าเราสามารถทำได้นะ แล้วต่อมาอีกสักปีสองปีหลังจากเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็เริ่มได้สตางค์จากการเขียนเรื่องสั้น เลยรู้สึกว่าเป็นงานน่าทำยิ่งขึ้น ตอนนั้นเริ่มรู้ตัวแล้วล่ะว่า เราอยากเป็นนักเขียนจริง ๆ แล้วล่ะ
ปัจจุบันนี้แน่นอนว่าเธอยังคงทำงานเขียนเป็นงานหลักอยู่
2-3 ปีที่ผ่านมานี้ก็ถือได้ว่าไม่ได้ไปเป็นมือปืนรับจ้างทำนิตยสารหรือว่าไปรับเงินเดือนที่ไหน คือเขียนหนังสืออย่างเดียว ส่วนใหญ่เป็นจะเป็นนิยาย
ไม่มีบทความหรืองานเขียนประเภทอื่นบ้างหรือคะ


ช่วงหลัง ๆ ถือได้ว่าเราทำงานเขียนนิยายสำเร็จแล้ว เราก็จะเขียนแต่นิยาย บทความเมื่อก่อนก็จะมีบ้างตามหน้านิตยสาร ก็มีเพื่อน ๆ กัน เอ้า ! เขียนโน่นเขียนนี่มาหน่อยสิหน้าสองหน้าอย่างนี้ไป เรียกได้ว่าที่ตัดสินใจจะมายังชีพด้วยการเขียนนิยายอย่างเดียว เพราะว่าจริง ๆ แล้วมันก็คือพื้นฐานมานานแล้วว่าเราเขียนนิยายมาตั้งแต่ปี 2525-2526 ตอนนั้นเราเริ่มเขียนนิยายเล่มเล็ก ๆ ได้ สมัยก่อนก็ถือว่าเป็นงานที่ได้เงินเยอะสำหรับเด็ก ๆ คือสะสมมาเรื่อย ๆ จนเวลาขณะนี้สิบกว่าปีแล้ว เราถือว่าเราก็เขียนได้เร็วขึ้น คิดได้เร็วขึ้น แล้วก็ได้สตางค์เร็วขึ้น ก็จะเริ่มจากเล่มเล็ก ๆ เรื่อยมา



พอช่วงหลัง ๆ ที่เราโตขึ้นเราค้นพบข้อมูลอะไรมากขึ้น เราก็จะมีความรู้สึกน่าจะแยกว่าเมื่อไหร่ที่เราอยากจะเขียน งานเพื่อสังคมหรือเมื่อไหร่ที่เราอยากจะเอาข้อมูลที่ได้มาเยอะ ๆ เขียนให้เป็นเรื่องเป็นเล่มใหญ่ ๆ ขึ้นมาเราก็จะเขียนแต่เล่มเล็กก็คือเส้นเลือดใหญ่ ในแวดวงของเราถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่จะต้องทำทุกเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 3-4 เรื่อง ก็จะอยู่ได้เหมือนกับการรับเงินเดือน ถ้าเกิดไม่เขียนหรือชะงักไป ส่งช้าไป รอบของรายได้มันก็จะไม่เข้ามา ก็ถือว่าในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมาจำเป็นต้องทำเป็นประจำเลย ต้องนั่งเขียนทุกวัน ๆ เพื่อให้รอบของค่าใช้จ่ายที่เราจะได้มาทุกวันมันสัมพันธ์กัน


ส่วนนิยายเล่มใหญ่ ๆ ก็คือนาน ๆ จะออกมาที เพราะว่ามันต้องใช้เวลา ใช้ความละเอียดและก็ต้องมีกระแสว่าใครเค้าไปถึงไหนคิดยังไงกันแล้ว บางทีสิ่งที่เราอยากเขียนอยากทำบางครั้งเขียนออกมาแล้วมันก็ไม่ได้ทั้งหมด เพราะว่าถ้าไปคุยกับใครมันก็อาจต้องเกี่ยวกับเรื่องการตลาด นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ออกมาน้อย ต้องถือว่าน้อย เพราะในสิบกว่าปีจะมีเล่มใหญ่ ๆ ที่ถือว่าใหญ่นะ ราคาแบบที่ขายแพง ๆ ประมาณ 7-8 เล่มเอง
แล้วพี่มีความหลงใหลอะไรเป็นพิเศษในงานเขียนนวนิยายคะ


ก็มีทั้งแบบนามธรรมและรูปธรรม ถ้ารูปธรรมก็หลงใหลแบบว่าไม่ทำไม่ได้แล้วเดี๋ยวหิว แต่ถ้าเน้นในเรื่องของงานก็คือว่า ถ้าเรานั่งอยู่หน้าเครื่องแล้ว เริ่มต้นไปแล้วเราก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป เวลาเราเขียนเองเราก็อยากรู้เนื้อเรื่อง อยากรู้ว่าตัวละครตัวนั้นตัวนี้มันจะไปทำอะไรต่อ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนกำหนดเค้าเอง แต่เราก็อยากรู้ บางทีเขียนแล้วมันดึกไปแล้วนะ เหนื่อยแล้วนะ จะไปนอนหรือไปพักแล้ว แต่ก็จะไม่พักล่ะ จะคิดต่อ คิดต่อเพื่อให้สนุกกับตัวเอง อีกอย่างมันทำให้เรารู้สึกว่าได้ใช้ภาษามากขึ้นมั้ง แต่ข้อเสียของมันก็คือถ้าเขียนอะไรที่มันมาก ๆ มันก็เหมือนก๊อปปี้คำพูดมา ลีลาเหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนชื่อตัวละคร เปลี่ยนเหตุการณ์เท่านั้นเอง ถ้าหลงใหลจริง ๆ ก็อย่างที่ว่า หลงใหลในเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องที่เรากระทำขึ้นมา
ส่วนใหญ่เอาพล็อตเรื่องมาจากไหนคะ ดูหนัง อ่านหนังสือ หรือจากเรื่องราวคนรู้จัก


คือมันมีอยู่สองสามประเด็น ถ้าทำนิยายเรื่องเล็ก กว่าสิบปีที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องที่เราได้รู้ได้เห็น เล็ก ๆ นิดเดียว จุดเดียวหรือบางทีคำพูดประโยคเดียวของคนที่เราได้ยิน หรือภาพ ๆ เดียวที่เราได้เห็น มันก็มาสร้างต่อเป็นเรื่องนิยายได้ ส่วนใหญ่เลยจะไม่ขายชีวิตตัวเอง หมายความว่า ไม่ค่อยดึงอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองออกมา จะเอาสิ่งที่อยู่รอบตัวทั้งใกล้และไกล เพราะว่ามันได้หลากหลายกว่า เพราะชีวิตเรามันธรรมดาก็เอาสิ่งที่อยู่รอบข้างดีกว่า พูดถึงถ้าอะไรที่มันใหญ่ ๆ เรื่องใหญ่ ๆ จุดใหญ่ ๆ ในยุคก่อนที่เขียนอย่างเรื่องก้าวที่กล้า จุดใหญ่ ๆ เพราะเราเห็นเห็นวัยรุ่น เห็นคนหนีออกจากบ้าน หลาย ๆ คนมารวมกัน มันก็เลยกลายเป็นเรื่องที่เราคิด คิดแล้วก่อเรื่องขึ้นมา คนหนีออกจากบ้าน คนประสบความสำเร็จ คนล้มเหลวก็มีนะ ตายก็มีนะ อันนั้นคือมองแบบปัญหาสังคม มองแบบลึกซึ้งแล้วทำ แต่เรื่องเล็ก ๆ ไม่ต้องมองอะไรมากจุดเล็กจุดน้อยก็เอามาต่อเรื่องขายได้ อย่างเรื่องม่านรักไฟเสน่ห์หา ที่กำลังจะพิมพ์ออกมาเร็ว ๆ นี้ ก็จะเป็นเรื่องของการทำงาน เราเห็นจากแวดวงของคนทำงานหลาย ๆ คน หลาย ๆ สถาบัน เลยเอามารวมเป็นหนึ่งเรื่อง เราไม่ได้หยิบชีวิตของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เราหยิบชีวิตของคนในสังคมยุคปัจจุบันที่ใช้ชีวิตกันแปลก ๆ ซึ่งนั่นคือจุดที่สามารถหยิบออกมาได้
พูดถึงนักเขียนในดวงใจที่ชื่นชอบเป็นพิเศษหรือที่เอาเป็นแบบอย่างกันบ้าง พอจะมีบ้างมั้ยคะ
ถ้าพูดถึงแรกเริ่มเดิมทีเลย คนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากเป็นนักเขียนเราอยากเขียนหนังสือเหมือนคนนี้ จริง ๆ แล้วคือ นันทนา วีระชน เพราะในยุคที่เราอ่านหนังสือเยอะ ๆ เราจะหานิยายของเขาอ่าน แล้วงานของเขาก็เป็นสไตล์ที่อ่านง่าย ส่วนสำนวนภาษาหรืออะไรอย่างอื่นก็ธรรมดาทั่ว ๆ ไป เพราะสมัยก่อนโน้นที่อ่านยังเป็นเด็ก ๆ ส่วนหนังสือของกฤษณาหรือของโสภาค อ่านแล้วจะเข้าใจยาก คิดตามแล้วไม่สนุก คิดภาพไม่ออก จินตนาการตามไม่ได้ แต่ว่าก็จะอ่านได้ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงอ่านเยอะก็จะเป็นของนันทนาเสียมากกว่า แต่ถ้าถามว่าเป็นนักเขียนในดวงใจมั้ย ในแง่ของผลงานก็ไม่ใช่ เพราะถ้าถามว่าประทับใจอะไรในผลงานของเขาเอ่ยชื่อไม่ถูกเลย เพราะเราอ่านงานของเขาเยอะมาก
ส่วนนักเขียนที่ประทับใจในความเป็นตัวเขาหรืองานของเขา ก็จะเป็นคนเก่า ๆ อย่าง นิมิตร ภูมิถาวร นั่นรู้สึกกับเขาตั้งแต่เด็ก ๆ เราไม่รู้จักตัวเขาหรอก แล้วก็ไม่ได้ตามอ่านว่าชีวิตเขาคือใคร มีความเป็นมาอย่างไร รู้แต่ว่าเขาน่าจะเป็นครูภูธร ก็เลยรู้สึกว่านักเขียนคนนี้เขียนเรื่องบ้านนอกเขียนเรื่องชีวิตภูธรดีจังเลย นั่นเป็นสิ่งที่สามารถนึกถึงได้ กับอีกคนคือทมยันตี อ่านเรื่องของเขาเป็นครั้งแรกคือเรื่องเพลงชีวิต เราจะรู้สึกประทับใจว่านักเขียนคนนี้เขียนให้เราร้องไห้ได้ เป็นเรื่องแรกที่ทำให้เราร้องไห้ด้วย ไม่รู้ว่าจะนิยามคำว่านักเขียนในดวงใจขนาดไหนเอาแค่ว่าถ้าเอ่ยถึงงาน ก็จะมีสองคนที่เอ่ยถึงนี่แหละ ไม่ได้ยึดจากว่าใครจะรู้จักมากน้อยแค่ไหน หรืออาจจะเพราะว่าเราอ่านงานของแต่ละคนไม่ได้มาก แล้วเราสัมผัสชีวิตเขาไม่ว่าจากการอ่านหรือว่าจากการได้พบปะตัวจริงไม่ได้มาก เราไม่ได้เป็นกลุ่มก้อนของพวกนักเขียนที่จะสนิทกับคนนั้นคนนี้ เพราะฉะนั้นความประทับใจในตัวคนก็จะไม่สามารถเอ่ยได้ ความประทับใจในงานก็เอ่ยได้ไม่ทั้งหมดนะ
ตอนนี้มีผลงานอะไรออกมาบ้าง
ณ ปัจจุบันที่ทำอยู่ ถ้าเส้นเลือดใหญ่ก็ถือว่าเป็นนิยายเล่มเล็กอยู่เหมือนเดิม เดือนละ 4-6 เรื่อง งานที่ลงนิตยสารก็จะมีเรื่องสายลับสะบัดช่อ ที่หญิงไทยรายปักษ์ ที่เขียนเพื่อจะรอพิมพ์ก็คือ สามทหารเสือกับธนูดอกฟ้า แล้วที่วางพล็อตอีก2-3 เรื่องเป็นงานแนวดราม่า แนวสะท้อนสังคม
ตั้งความหวังเกี่ยวกับงานในแวดวงวรรณกรรมนี้ไว้อย่างไรบ้าง
ถ้ากับนิยายเล่มเล็ก ๆ ความหวังก็คือว่าทำแล้วคนอ่านติดใจ แน่นอนพอคนอ่านติดใจแล้วยอดขายก็จะดีตามไปด้วย ความหวังก็คือว่าอยากให้เค้าต้องการงานของเราไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีคอมเมนต์ว่างานเขียนล้าไปแล้วนะ โครงเรื่องซ้ำ ๆ ส่วนความหวังในการเขียนงานนวนิยายเล่มใหญ่ จริง ๆ แล้วเราก็มีเป้าหมายในใจเป็นรางวัลอยู่ลึก ๆ เหมือนกันนะ ซึ่งถ้าเราเขียนงานนิยายดี ๆ ออกมาเล่มหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าแค่ไหนมันจะดี รางวัลอะไรที่เค้ามีเราก็อยากมีกับเค้าเหมือนกัน หรือว่าในสนามของนวนิยายสนามใหญ่เหลือเกินอย่างซีไรท์ถามว่าเรากล้าหวังไหม ในนาทีที่เราคุยกันยังไม่กล้าหวัง แต่ถ้าถามว่าเป็นเป้าหมายไหม ก็อยากให้ใคร ๆ มองว่าเราไม่ได้เขียนงานประโลมโลกอย่างเดียว เราก็อยากเขียนแล้วเพื่อสะท้อนให้คนที่เค้าตั้งรางวัลคิดว่า มันให้อะไรกับคนอ่าน ให้อะไรกับชีวิต แต่ถ้าโดยทั่ว ๆ ไปการเขียนนวนิยายเล่มใหญ่ ๆ เราก็หวังที่จะให้มีสำนักพิมพ์รองรับ มีนิตยสารที่เห็นคุณค่าหรือว่าเห็นความน่าสนใจเอาไปลง มันก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเราไป ก็จะเป็นว่ามีคนตามทวงต้นฉบับของเราแล้วนะ
ปรกติพี่มีงานอดิเรกอะไรเป็นประจำบ้าง หรือชอบท่องเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า
ส่วนใหญ่ก็จะตั้งเป้าการทำงานของตัวเองประจำวันตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ไว้ตั้งแต่ประมาณ 9 โมงถึงบ่าย 2-3 โมง หลังจากนั้นก็จะดูวิดีโอไป ดูตลก หรือว่าเช่าหนังที่น่าสนใจมาดู เพื่อว่าเราจะได้อะไรจากหนังบ้าง แต่ว่าก็ไม่ใช่นักดูอะไรมากนัก หนังสือนี่ยอมรับว่าไม่ได้อ่านเยอะ ในอาทิตย์หนึ่งไม่ได้อ่านจบเป็นเล่ม ๆ ก็คือเล่มหนึ่งใช้เวลาเดือนสองเดือนอ่านพิจารณาอยู่นาน อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อ่าน ก็จะอยู่ประมาณเท่านี้แหละ อ่านหนังสือ ดูทีวี แล้วพอถึงเวลาทำงานก็ทำอีก เรื่องท่องเที่ยวก็แล้วแต่ฤดูกาลว่าจะไปไหน ส่วนมากจะเป็นช่วงลูกปิดเทอมจะได้ไป ไม่ทะเล ก็ทางเหนือที่ละ 2-3 วัน ไปก็ไปพักผ่อนสมอง มันก็จะเป็นเหมือนเดิมที่ว่าพอออกไปจากเมืองกรุงไปเห็นอะไรที่จะเป็นแก๊กเอามาเปิดเรื่องตรงนี้นะ ก็ยังยังใช้ได้อยู่สำหรับการออกไปสัมผัสโลกภายนอกบ้าง
ให้กำลังใจน้อง ๆ ที่อยากแต่งนิยายเป็นอาชีพเหมือนพี่บ้างค่ะ
"สิ่งที่คิดแล้วต้องเขียน" เพราะฉะนั้นถ้าเกิดคิดว่าอยากเป็นนักเขียนลองมันตั้งแต่บันทึกประจำวันนี่แหละ เพราะตัวเองโดยส่วนตัวก็จะมีบันทึกประจำวันมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน การบันทึกอย่างดีตอนแรกมันก็แค่วันนี้ทำอะไรอย่างไร ต่อไปมันก็จะสอดแทรกความรู้สึก อารมณ์ การบรรยายอยู่ในนั้น มันก็เป็นการฝึกอย่างหนึ่งเหมือนกัน หลังจากนั้นคิดแล้วก็เขียน ถามว่าถ้าคนไม่มีความรู้เขียนเรื่องสั้นเขียนยังไง นิยายเขียนยังไง เดี๋ยวนี้หนังสือมีเยอะแยะ ดังนั้นก็หามาอ่านแล้วศึกษาวิธีว่าเรื่องสั้นเขียนอย่างไร นิยายเขียนอย่างไร วิธีการมันเป็นยังไง ก็ทำให้ได้ความรู้ แต่อย่างแรกเลยเขียนให้มันเป็นเรื่องเป็นภาษาก่อน ยังไม่สละสลวยหรือยังใช้ไม่ได้ก็แล้วไปเพราะว่าในชีวิตที่ผ่านมาก็คือลงถังขยะมาเยอะ แล้วก็เคยพิจารณางานของนักเขียนลงถังขยะมาเยอะแล้วเหมือนกัน โดยตัวเราจะรู้ว่าคนไหนอ่านมามากเขียนแล้วเป็นอย่างไร ให้อ่านเยอะ ๆ คิดแล้วก็ลงมือทำ หลังจากนั้นก็หาผู้ช่วยคอยช่วยขัดเกลาและก็ให้คำแนะนำ ซึ่งก็ไม่น่าจะยาก อันนี้จากประสบการณ์จริงเลยค่ะ…


//www.praphansarn.com/talk/ttalk34.asp





Create Date : 01 มีนาคม 2549
Last Update : 1 มิถุนายน 2551 19:28:57 น. 0 comments
Counter : 509 Pageviews.

วัตตรา
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




วั ต ต ร า
ผลงานสร้างชื่อเสียง ละครช่อง 3

- รหัสลับสมปองน้องสมชาย
- บอดี้การ์ดแดดเดียว
- ร่ายริษยา
- รุ้งร้าว
- คุณหนูฉันทนา
- พระจันทร์สีรุ้ง
- โบตั๋นกลีบสุดท้าย
- ก๊วนกามเทพ
- ลูกไม้เปลี่ยนสี



คลิก คุยกับวัตตราที่เวบ




Friends' blogs
[Add วัตตรา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.