One Fine Day :)
Group Blog
 
All blogs
 

วิ่งไปวิ่งมาวันรับนิสิตเพิ่มรอบสอง

วันนี้ไปช่วยงานอาจารย์ที่คณะมาค่ะ

เมื่อวันก่อนนู้น ในเน็ตประกาศรับนิสิตรอบสองเพิ่มอีก 14 คน
ก็เลยนัดตรวจร่างกายและสัมภาษณ์วันนี้


ในฐานะนิสิตสัมพันธ์ อิฉันเก๊าะเลยไปช่วยไลน์แถว อำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่และอาจารย์ค่ะ


ตอนแรกก็เกรงใจน้องปีสองอยู่ เพราะว่าเป็นเด็กต่างจังหวัดทั้งนั้นเลยที่มาช่วยงานกันในรอบแรก ตอนนี้เพิ่งหลังสงกรานต์หมาด น้องอาจจะยังอยู่บ้านอาจจะยังหารถกลับเข้ามาช่วยงานเราไม่ทัน

เราก็เลยโทรบอกน้องที่บ้านอยู่กรุงเทพ 2-3 คนให้มาช่วยกัน
คิดว่า นิสิตใหม่ 191 คน เราก็นำไลน์แค่ยี่สิบกว่าคนยังไหว
14 คน เอาไปแค่นี้แหละ เบาะๆ


โห คิดผิดอย่างมหันต์ทีเดียวแหละ


เพราะว่าคราวที่แล้วรับเยอะ พี่พยาบาลกะพี่รปภ.เค้ากันคนไว้ให้ กันลิฟท์ไว้ให้อ่ะค่ะ มันก็โฟลว์ดีมาก ไร้ซึ่งปัญหา
แต่คราวนี้ แค่สิบกว่าคน เก๊าะไม่ได้กันอะไร กะว่ามาปุ๊บ ก็ลัดคิวคนไข้นิดหน่อย รีบๆตรวจ ก็น่าจะพอ

เหอ เหอ เหอ

ไม่ทันอ่ะ
เราไม่สามารถพาน้องตรวจร่างกายทุกอย่างเสร็จภายในสองชั่วโมงได้
โดนอาจารย์โทรตาม บอกว่ากรรมการที่จะสัมภาษณ์น้องเค้ามากันแล้ว น้องยังตรวจไม่เสร็จอีกเหรอ

ตอนนั้น นึกอยากจะสับร่างกายออกเป็นชิ้นๆ แล้วก็กระจายไปทำหน้าที่เลยอ่ะค่ะ

เพราะเราคนเดียว กะน้องปีสองที่มาช่วย(ซึ่งแวบไปหาอาจารย์หมอแป๊บนึง)
ไม่สามารถนำไลน์พร้อมๆกันได้
จะทิ้งไว้บางส่วนทางนี้ แล้วไลน์บางส่วนกลับ ก็ทำไม่ได้อีก
แถมน้องปีหนึ่งเข้าใหม่ ยังโดนตรวจเพิ่มเรียกเพิ่มอะไรไม่รู้อยู่ตลอด
ไม่มีใครแข็งแรงดีสักกะคน ดังนั้น ทิ้งให้อยู่ตึกนี้ลำพังไม่ได้เด็ดๆ


กำลังจนด้วยเกล้าสุดๆ สติหลุดลอย ไม่รู้จะทำยังไงดี
ตอนนั้นเอง กำลังเสริมที่เรียกไปเมื่อสิบกว่านาทีก็ปรากฏร่างขึ้น
เย้ ดีใจสวรรค์เบี่ยง!
เบี่ยงมาเข้าข้างเรา ^^



ดีใจจนได้สติ สั่งให้น้องกำลังเสริมที่มาใหม่ ช่วยพาบางส่วนกลับไปสัมภาษณ์ แล้วเราอยู่ดูแลทางนี้ก่อน แล้วค่อยปะมือกันทีหลังอีกที



ยุ่งยากมากมาย
วิ่งขึ้นลงตึก ภปร. จนปวดขา
วิ่งไปมาระหว่าง ตึกอานันทฯ กับ ภปร. จนลิ้นห้อยแน่ะ


แต่อย่ากระนั้นเลย
เราก็ผ่านพ้นวันนี้มันมาได้


ขอบคุณน้องๆกำลังเสริมของพี่มากๆนะคะ
ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ
--------------------------------
ทำงานกับน้องๆ สนุกดีนะคะ
ผอมลงอย่างชัดเจน (ก้อวิ่งซะขนาดนั้น)
ดังในหมู่น้องๆ น้องเข้ามาเอาใจ 55+ (ก้อต้องพึ่งเราไว้ก่อน เดี๋ยวพี่พาไปหลงในโรงพยาบาลแล้วจะยุ่ง)

!ที่สำคัญที่สุด มีคนมาขอเบอร์ด้วย!

ดีใจดีใจ
มีความสุข

(มันขอเพราะว่า จะโทรมาถามเรื่องรายละเอียดสัญญา การค้ำประกัน บลาๆๆๆ ต่างหากล่ะ จะดีใจเพื่อ!)




 

Create Date : 17 เมษายน 2551    
Last Update : 17 เมษายน 2551 22:56:47 น.
Counter : 289 Pageviews.  

เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ!

เหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดจากความหิว!

คือตอนกลางวันที่ผ่านมา หมูหวานได้คุ้ยตู้เย็นหาอะไรกินกันตาย
เจอเวเฟอร์ชอคโกแลต ของ แคดบิวรี ที่ซื้อมาวันก่อน
ยี่ห้อนี้ บ้านเราชอบมากๆ กินแล้วอร่อยแถมไม่เป็นสิวนะคะ รู้สึกเหมือนกันทั้งบ้านเลย ท่าทางเคมีจะตรงกับชอคโกแลต 55+ เพราะแนะนำเพื่อนไปกินแล้วมันบอกว่าไม่เห็นอร่อยเลย


อ๊ะ มีคนแกะเอาไปกินแล้วเกือบครึ่งหนึ่งแน่ะ

ไม่ได้การล่ะ ทิ้งไว้ ผ่านไปอีกครึ่งวัน มันอาจไม่เหลือแล้วก็ได้
เรื่องอาหารเนี่ย บ้านเราสอนให้เรารู้ว่า อย่าไว้ใจใครทั้งสิ้น (ฮ่าๆ)


หยิบออกมาชิ้นหนึ่ง แกะ แล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน ยืนมองหาหนังสือบนโต๊ะทำงานไม้สีน้ำตาลเข้มตัวเก่า

จะอ่านอะไรดีหว่า??

(สายตากวาดๆมองหนังสือ และกัดชอคโกแลต)

อ๊ะ หก

(กรุณานึกภาพ เศษๆชอค&เวเฟอร์ร่วงเป็นชิ้นเล็กๆสองสามชิ้น หล่นบนโต๊ะสีน้ำตาลเข้ม)

อย่ากระนั้นเลย ไม่ทันคิดอะไร นิ้วเราก็ตามไปกดๆ ให้เศษๆชอคโกแลตมันติดนิ้วขึ้นมา จะเอาเข้าปาก

เห็นมั้ยว่า จิตใต้สำนึกรักความสะอาดสุดๆของเรายังพ่ายแพ้ความเสียดายของกิน

ก่อนถึงปากแค่ไม่ถึงนิ้ว ก็เกิดสติฉุดรั้งขึ้นมา

จะดีเหรอ หมูหวาน แกเป็นหมอนะเว้ย แกควรจะคำนึงถึงสุขภาพอนามัยที่ดี และทำติดตัวให้เป็นแบบอย่างแก่มนุษย์มนาทั่วไปทั้งหลาย
ทำให้ติดตัว เวลาเผลอ จะได้ไม่มั่วออกมา


ในตอนนั้นเอง ที่สังเกตเห็นว่า เศษเวเฟอร์ที่กดๆติดนิ้วขึ้นมานั้น มีชิ้นหนึ่ง รูปร่างมันแปลกประหลาดชอบกลอยู่ แต่ตอนแรกไม่ทันสังเกตเพราะสีโต๊ะมันคล้ายกับเวเฟอร์ กลมกลืนอยู่ๆ


ด้วยความสงสัย เราเก๊าะเดินออกจากห้องทำงาน มาห้องกินข้าว อาศัยแสงแดดธรรมชาติที่ผ่านประตูเข้ามา สังเกตสังกา "เศษชอคโกแลต" ในมืออีกครั้ง

และแล้ว ก็รู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทั่วร่างกาย


ให้ตายเหอะ! นี่มันขี้จิ้งจกนี่หว่า


เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ!




 

Create Date : 15 เมษายน 2551    
Last Update : 15 เมษายน 2551 1:17:02 น.
Counter : 233 Pageviews.  

สงกรานต์...เมื่อคนทุกรุ่นเติบโตผ่านช่วงเวลาเดียวกัน

สงกรานต์ในมุมมองของเด็กผู้หญิงที่สวมแว่นกันแดดอันโต จ้องเป๋งผ่านเลนส์สีน้ำตาลเข้มไปยังถนนข้างทาง จากหน้าต่างรถข้างหลัง ที่นั่งด้านซ้าย หันหน้าเฉียงออก 45 องศาไปข้างนอก


เบื้องนอก ได้ยินเสียงเพลงเปิดดังไม่เกรงใจใคร แต่ก็ไม่มีใครอยากจะเกรงใจใครอยู่แล้ว สีหน้าทุกคนพร้อมสนุกสนานไปกับเพลงดังๆ ดนตรีดัดแปลงเหล่านั้น ผู้คนที่ร้อยวันพันปี นั่งอยู่ในบ้านเงียบเชียบ กลับลุกออกมาเต้นอวดโชว์ฝีไม้ลายมือกันริมทางที่รถวิ่งกันขวักไขว่ ไม่อายสายตาใคร


เด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งยืนจังก้าขวางถนนไว้ ยกมือขึ้นห้ามรถที่วิ่งตรงมาอย่างไม่กลัวตาย ฉันว่าถ้าจับเด็กพวกนี้ตรวจแอลกอฮอล์สงสัยจะมีมากกว่า 50 มก.แน่ๆ แต่ช่างเหอะ ตราบใดที่เขาไม่ขับ ฉันจะไปว่าอะไรได้

สายตาคู่นั้นมองจ้องรถเราตาเป็นมันเสมือนเห็นเหยื่อกำลังเข้ามาติดกับ

วันสงกรานต์ เหยื่ออันโอชะสำหรับคนกำลังเล่นน้ำ ก็คือ คนตัวแห้ง และ รถแห้ง ไอ้เรื่องที่ว่าเหยื่อจะยอมเปียกหรือไม่ยอม ดูจะไม่มีความหมายทั้งนั้น

พ่อเราค่อยๆชะลอรถ กึ่งบ่นกึ่งเปรย แต่ไม่มีแววโกรธขึ้งไม่พอใจปะปน
"รถเรานี่โดนน้ำทุกปีเลยนะ"
"ก็เราเอาคันนี้ไปเที่ยวทุกปีนี่คะ พ่อ"

ปัง! โครม! และอีกสารพัดเสียงที่ดังขึ้นระหว่างการตะลุมบอน หลังหลุดออกมาจากจุดนั้น รถของเราที่พ่อเพิ่งเช็ดมันวับก็กลายเป็นรถสีน้ำตาลเทา ที่มีคราบขาวๆเป็นก้อน และคราบน้ำจับเป็นหย่อม ดูกะดำกะด่างสุดๆ


นึกแล้วก็หวนถึงบล็อกของพี่เอ๋ นิ้วกลม
นั่นสินะ ปะแป้งให้รถคนอื่นอย่างไม่เต็มใจนี่
ถือเป็นสงกรานต์แบบ"ไทยๆ"หรือเปล่านะ
-----------------------
ประเพณีนี้ อยู่คู่คนไทยมานานเท่าไร เราก็ไม่รู้เหมือนกัน


เปล่า ไม่ได้อยากรู้ หรือต้องการคำตอบอะไรหรอก พอดีว่าจากที่นั่งด้านหลัง มองผ่านแว่นกันแดดอันเดิม ทะลุผ่านไปหลัง กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังเล่นน้ำอย่างเมามัน เราก็เห็นผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งคุยนั่งกินอาหารกันอย่างสบายใจ มองลูกหลานเล่นน้ำด้วยรอยยิ้มในลูกตา

เมื่อหลายปีก่อน-อาจจะเป็นสิบปี-เราเชื่อว่าพวกเขาคงเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถือปืนฉีดน้ำ ขันน้ำ แป้ง ดินสอพอง เป็นอาวุธประจำกาย วิ่งไล่ล่าเพื่อนฝูง ที่บัดนี้ก็นั่งอยู่ข้างๆกันนี่แหละ อย่างสนุกสนานไม่แพ้เด็กๆที่กำลังวิ่งกันอยู่เนี่ยแหละ


วันเวลาเปลี่ยนไป จากคนเล่น ก็กลายเป็นมาคนดู


เคยอ่านเรื่องอะไรก็ไม่รู้ นานมาแล้ว ที่กล่าวถึงเรื่องยิปซี มิใช่ยิปซีที่เป็นชนเผ่า แต่หมายถึง ลูกหลานชาวอเมริกัน ที่ทำตัวเป็นยิปซี คล้ายๆว่าต้องการจะค้นหาตัวเอง ใช้ชีวิตแปลกแหวกแนวไปจากที่พ่อแม่ต้องการไปไกลสุดกู่


หากเรื่องทำนองนี้เกิดที่เมืองไทย รับรองว่าต้องมีคุณๆทั้งหลายออกมารณรงค์กันอย่างจ้าละหวั่น ป้องกันมิให้เด็กไทยเสื่อมเสีย เดินหลงผิดทางไปมากกว่านี้ แต่พอดีเป็นไอ้กัน เมืองที่ไม่มีใครสนใจเรื่องของใครมากไปกว่าเรื่องของตัวเอง คำตอบที่ได้ก็เลยเป็นแค่


"ช่างเขาเหอะ ชีวิตใครก็ของมัน อีกอย่าง ไม่เคยเห็นใครเป็นยิปซีจนอายุ 40 สักที"

นึกถึงยิปซีแล้วหันมามองกลุ่มวัยรุ่นและบรรดาผู้ใหญ่กลุ่มที่ "สร้างสรรค์" ผลงานศิลปะบนรถของเราอีกครั้ง

บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน

เรื่องของการเติบโต*

ps. เปล่า anti นะคะ แค่เสนอมุมความคิด ที่จริงถ้าไม่คิดอะไรมาก น้ำเย็นๆ ก็ทำให้รถเย็นดีค่ะ
แต่แป้งนี่ ทำคุณพ่อบ่น - เครียด - เช็ดรถ 55+
กลัวสีมันจะกัด ประมาณนั้นมั้งคะ

เวลาโดนปาแป้งใส่รถที เสียงมันก็น่ากลัวไม่หยอกเหมือนกัน ใจหายยังก๊ะรถจะบุบ




 

Create Date : 14 เมษายน 2551    
Last Update : 14 เมษายน 2551 1:59:11 น.
Counter : 287 Pageviews.  

เก็บรอยยิ้มข้างทาง

อยากไปเที่ยว*

ก็แค่บอกว่าอยากเที่ยวเท่านั้น แค่ไม่รู้จะไปไหน
ทำไมทุกคนจะต้องถามด้วยล่ะ ว่าจะไปไหน



ฉันว่า สิ่งมีค่าของการเดินทาง อยู่ที่ตรง "ระหว่างทาง" มิใช่จุดหมาย
การเดินทางต้องถามด้วยหรือว่าจุดหมายอยู่ที่ใด??



ฉันก็แค่อยากเที่ยว เพื่อจะได้ฝากร่องรอยแห่งความทรงจำ เก็บรอยยิ้มจากเศษทรายที่ติดรองเท้า เก็บความสดใสมาจากก้อนหินทุกก้อนข้างทาง




 

Create Date : 12 เมษายน 2551    
Last Update : 12 เมษายน 2551 22:23:47 น.
Counter : 260 Pageviews.  

เห็นทางออกของปัญหา เสมือนเห็นดาวพรายตาในเมืองกรุง

ถึงบ้าน


หลังจากกรำงานหนักเหนื่อยท่ามกลางอากาศร้อนระอุจัดของเดือนเมษา วันสุดท้ายก่อนเทศกาลหยุดยาวนานที่ทุกคนต่างรอคอย ค่ำวันนี้ เราก็ได้ก้าวลงจากรถ ถึงบ้าน


เหงื่อยังคงท่วมตัวเหนียวเหนอะหนะ แอร์ในรถช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะมันเสีย ลมที่ออกก็มี๊มีแต่ลมจริงๆ ไอเย็นแม้กระผีกก็ไม่มีให้ชื่นใจ!


งานฝ่ายยังคงเหนื่อยเหมือนเดิม แม้จะมีเหงื่อติดเสื้อผ้ากลับมาเป็นลิตร แต่วันนี้เราก็กลับมาพร้อมรอยยิ้ม และปัญหาที่พบทางออก


ย้อนไปปีที่แล้ว เราจำได้แม่นเลยว่าวันนั้นกำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ แต่ ณ บัดนี้ เราเดินห่างจากจุดนั้นมามาก มากจนแทบเรียกได้ว่า เป็นคนละคน แม้นิสัยยังคงเดิม ยังซุ่มซ่ามกะเปิ๊บปะป๊าบแบบเด็ก gross motor ไม่พัฒนา แต่ข้างในเราเปลี่ยนไป จนกระทั่งเราในปีที่แล้วคงนึกไม่ถึงหรอกว่า เราจะแกร่งขึ้นได้มากขนาดนี้ อะไรที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ ก็ทำลงไปแล้ว


น้ำตากับหยาดเหงื่อ หลั่งออกมาจากต่างที่ด้วยอารมณ์ที่แตกต่าง แต่สุดท้ายกลับให้ผลลัพท์เท่ากัน คือความภาคภูมิใจภายหลัง ในวันที่เราผ่านบททดสอบทั้งหมดแล้ว


และวันนั้น สายตาของเราก็จะกว้างขึ้น มองอะไรได้สวยงามขึ้น


วันนี้ เราก้าวลงจากรถ เปิดประตูบ้านช้าๆ


เงยหน้ามองฟ้าเบื้องบน พระจันทร์เสี้ยวสว่างสวยกว่าปกติ ท้องฟ้าสีเข้มจัด แต่งแต้มพราวพร่างไปด้วยดวงดาวนับหมื่น ไม่คิดเลยว่ากรุงเทพ ก็สามารถมองเห็นดาวได้เยอะขนาดนี้


จะเป็นไปได้ไหมว่า ทางออกของปัญหามันก็อยู่ตรงนั้นเอง เสมือนดาวที่เราทุกคนก็รู้ว่ามันอยู่ข้างบนโน่น แต่ไม่ค่อยมีใครเงยหน้าขึ้นไปดูดาว เพราะดูไม่เป็น ขี้เกียจดู มองไม่เห็น และข้ออ้างอีกสารพัน


ที่จริงเราก็ดูดาวไม่เป็น รู้จักบ้างแต่ก็เล็กน้อยมาก
หลังจากเราเงยหน้ามองฟ้าวันนี้ ด้วยเนื้อตัวชุ่มเหงื่อ เราก็ตระหนักอะไรได้บางอย่าง

ดาว* ไม่จำเป็นต้องรู้ หรือเข้าใจ เราก็ซึมซับความงามของมันได้


แสงสีและม่านหมอกควันเมืองกรุง บางครั้งก็บดบังดวงดาว ปิดตาเราเสมือนคนมีปัญหาที่ไร้ทางออก


แต่ในวันที่เข้มแข็ง วันที่กล้าเงยหน้า วันที่ท้องฟ้าเปิด ในวันที่เรามั่นใจในตนเอง อย่างที่มั่นใจว่าดาวจะอยู่บนท้องฟ้าเสมอ เราก็จะมองเห็นทางออกของปัญหา เหมือนมองเห็นดาวพรายตาในเมืองกรุง


วันนี้ ท้องฟ้าของทุกคน เป็นยังไงบ้างคะ?




 

Create Date : 11 เมษายน 2551    
Last Update : 12 เมษายน 2551 10:41:55 น.
Counter : 288 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

หวานจ๋อยหยอด
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เด็กผู้หญิงหน้ากลมชื่อหวานแต่เปรี้ยว
รักจะมองโลกผ่านเลนส์สีกุหลาบ
รักงานเขียนมากกว่าอะไร
รักคนไข้...หรือเปล่านะ?
รักและแคร์เพื่อนๆรอบตัว
รักครอบครัวที่สุด
Friends' blogs
[Add หวานจ๋อยหยอด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.