ตามล่าหา Saffron ที่สเปน ตอน 2
เมื่อคืนนี้( 8 ตค.53)นอนโรงแรม Catalonia Atenas ที่ถนน Meridiana เอากระเป๋าขึ้นไป แพคใหม่โดยจัดใบเล็กใส่เสื้อผ้าของใช้ประจำวันสัก 2 คืน เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาใบใหญ่ลงจากรถในอีก 2 คืนข้างหน้า เนื่องจากการเดินทางระยะไกลโดยรถโคชคันเดียวกันตลอดเส้นทางจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ การเอากระเป๋าขึ้นลงที่พัก คืนละ 2-3 ใบเป็นอุปสรรคมาก ประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยว สอนเรามาต้องทำแบบนี้ เรื่องนี้สำคัญพอสมควร ไม่ว่าจะไปแบบโสดคนเดียว หรือ 2 คนตายาย

เช้านี้ รายการเดินชื่นชม ย่านท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองบาร์เซโลน่าและที่สำคัญ คือ ถนนลารัมบลา(Larambla) เป็นถนนคนเดินเล่น ยาวประมาณ กิโลเมตรเศษ ย่านนี้มีร้านค้าแบรนด์เนมมากมาย
แต่เราไม่สนใจแบรนด์ทั้งหลายหรอก แค่เดินถนนคนเดินกิโลกว่าๆก็น่าจะพึงใจแล้ว




ยังเช้าอยู่ร้านค้าและคนเดินยังไม่มาก มีร้านของที่ระลึกมากมาย เดินไปสักพักก็เจอขุมทรัพย์ ด้านขวามือ โอ๊วว....แม่เจ้า นี่เลยของโปรดอิฉันละ ตลาด ตลาดสดๆ เหมือนเด็กเห็นของเล่นเลยเรื่องตลาดกะอิฉันน่ะ
เดินเข้าไปก็เห็นร้านแฮมเข้าไปทักทายเซย์ฮัลโล สักพักก็โอเค จัดการแฮม มา 1 กิโล คนขายท่าทางใจดีมากเอามาให้ชิมหลากหลาย เราบอกว่ามาไกลจากบางกอก ไทยแลนด์ พูดสวัสดีทันที ตอบเราทันทีอึ้งทึ่งเลยเรา เค้าก็ประกันสินค้าว่าซีลให้อย่างดีไม่ต้องแช่เย็นจะอยู่ได้ 6 เดือน อ่ะ ...ไม่ได้เดินทางทางเรือหรอกจ้ะ พ่อคุณขอบใจมาก




เดินเข้าไปตามล่าหาทอง(Saffron) ข้างในตลาด ดีกว่า เข้าไปถามเจ้านึง มีการพาไปที่ห้องหับมีกระจกกั้นอย่างดี โอ้... เชื่อแล้วเป็นที่เก็บทองของเธอ ทองบรรจุไว้เป็นตลับพลาสติก มีหลายขนาด เราเลือกมา 10 กรัม ราคา 45 ยูโร โอเค อีกเราน่ะ ไม่มัวรีรอเกี่ยงราคาละ แต่ก็นะ ร้านหลังจากนั้นหลายๆแห่งราคาแพงกว่าเช่น 55 ยูโร ยิ่งใกล้เมืองหลวงแมดริด ยิ่งแพงถึงเกือบ 70 ยูโรเลย เราเลยรู้สึก แฮปปี้ว่ารักแรกพบนี่มันมีและดีจริง



เมื่อเสร็จภารกิจแล้วก็มีความสุขเดินไปชมในตลาด ฟาดอินทผลัมมาอีก 1 กิโล ก็ดูสิลูกใหญ่โตโอฬาร เพิ่งเคยเห็นขนาดใหญ่มากราคา 15 ยูโร



รู้สึกเหมือนอิ่มใจได้เดินตลาดสด จะบอกว่าความรู้สึกนี้อิฉันและครอบครัวหมายถึงสามีและลูกๆ เป็นมานานเหมือนปลูกฝังกันมา ชอบเดินตลาดต่างเมืองต่างประเทศ ถ้าเดินห้างใหญ่ก็อยากเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ท หรือแผนกเครื่องแต่งบ้านและครัว ไม่มีเป้าหมายว่าซื้อก็ขอให้ได้ไปชม แต่เชื่อเถอะ ต้องมีติดมือมาทุกทีทุกที่



กลับมาพบกันที่รถตามกำหนดนัดหมาย สมาชิกทัวร์ก็เอาสินค้าแบรนด์ และของที่ระทึกทั้งหลายมาอวด กัน อิฉันก็เก็บงำของที่ระทึกของตัวเองเงียบไว้ ไม่บอกกล่าวใคร แบบว่า....กลัวเชยยยยยยยย

บ่ายนี้เราออกจากบาร์เซโลน่า เดินทางสู่เมือง ซาราโกซ่า ( Zaragoza ) ถ้าดูตามแผนที่จะอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง คงจะประมาณขอนแก่นบ้านเราน่ะเอง มาถึงเมืองนี้ได้รับน้ำมนต์จากพระเจ้าทันที เริ่มลงเม็ดตอนวิ่งเข้าบริเวณมหาวิหาร ฝนตกเยอะ แต่ระยะสั้นๆ ระหว่างเข้าไปในมหาวิหารแม่พระแห่งศักด์สิทธิ์ ออกมาฝนก็หยุดแล้ว บริเวณลานนอกมหาวิหารเตรียมงานเฉลิมฉลองสักอย่าง เตรียมเวทีการแสดงและจอยักษ์เชียว




แม่พระนางมารี หรือ ซานตามาเรียเดอร์ฟิลลา เป็นนิมิตของนักบุญ ในสมัยแรกเริ่มของพระศาสนจักร ที่เห็นท่านแม่พระปรากฏอยู่บนเสาที่หมู่เทพนิกรแบกมา เชื่อกันว่าเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ที่ศาสนิกชนเคารพนับถือ นิยมมากราบไหว้ขอพรจากพระแม่มารีให้หายจากอาการเจ็บป่วย




คืนนี้เรานอนที่โรงแรมเล็กๆห่างจากเมืองเล็กน้อย โรงแรมน่ารัก มี 2 ชั้น ค่ำนี้มีเลี้ยงอาหารท้องถิ่น พร้อมเสิร์ฟไวน์



ร่างกายเข้าที่ดีแล้ว นอนหลับสบาย ชอบใจจังโรงแรมทุกแห่งในสเปน มีหมอนหนุนนอนขนาดยาวเท่าเตียงนอน ถูกใจนุ่มพอเหมาะ และทุกโรงแรม มีเครื่องเป่าผมในห้องน้ำ ที่ถูกใจอีก ของเราที่หอบเอาไปจากไทย ไม่ได้งัดเอามาใช้เลย พบกันใหม่ตอน 3นะคะ



Create Date : 01 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2553 21:32:09 น.
Counter : 1048 Pageviews.

2 comment
ตามล่าหา Saffron ที่ Spain
ก่อนหน้าจะมีกำหนดการไปเที่ยวสเปน ได้เข้าไปทำธุระในที่ทำงานเก่า น้องเตือนใจ ที่เคยเข้ากลุ่มท่องเที่ยวชวนว่า "ไปเที่ยวสเปนไหมพี่"
"ไปกะใครเหรอ"
"ไม่รู้ว่าไปกะใคร แต่เจ้าดนชวน" ตอบแบบนักเลงเที่ยว
"อ๊ะไม่มีถามเลยเหรอว่าไปกะใคร เมื่อไร"
ท่านตอบว่า"ไม่ต้องรู้ รู้แต่ว่าจะไป" (มีงี้ด้วยวุ๊ย....)
เราก็ "เอ่ออออ...เดี๋ยวถามปั๋วก่อน" เค้าอ้ายคนโสดนี่มันสบายไม่ต้องถามใคร
ผ่านไป สัก 7 วันไปเจอพี่ต้อ กะพี่สงวน ก็ชวนว่า "ไปเที่ยวสเปนกันไหม "

ฉันถาม"อ๋า... ที่จะไปกะเตือนใจเหรอ"
พี่ต้อตอบ"ไม่รู้ รู้แต่ว่าอีกกลุ่มนึง 11 คนแล้ว "
กลับมาบ้านเลยถามคุณตา จะไปไหม ไม่ไป ฉันไปนะ (รีบรวบรัด) ตาบอกเอ้อ.... ไปเตอะ (เพราะตาเคยไปกะกลุ่มเทศบาลมาแล้วน่ะเอง)

เลยได้เข้าคู่กะเจ้าดนส่วนเตือนใจ คู่กับพี่สาว นอกนั้นเค้าจัดคู่กันเรียบร้อยแล้ว สรุป งานนี้...กากีนั้ง ทั้งนั้น (แปลว่าคนกันเอง ใช่ไหม....จำเค้ามาพูด)

ก่อนไปมีภารกิจหนักเชียว เจ้าลูกชายเจ้าของร้านกาแฟ&อาหาร ไอเดียบรรเจิด สั่งให้แม่ตามล่าหาเครื่องเทศ แพงที่สุดในโลกมาให้ด้วยเป็นของฝาก หนำซ้ำยังมีรายการ แฮมสเปนอันลือชื่ออีก คือ Jamon Serrano หรือ Jamon Iberico ก็ได้ จ๊ากกกกกกกก...

นั่นเลยค่ะ ตามหัวบล็อกเลย


7-16 ตุลา 2553 คือกำหนดการ สเปน-โปรตุเกส โดยเตอร์กีสแอร์ไลน์

วันแรก ต้องไปต่อเครื่องอิสตันบูล ตามประสา เมืองของสายการบิน แล้วไปลงที่ Barcelona เลยค่ะ

ไปถึงที่นั่นก็เที่ยงวัน (บ้านเราประมาณ 5 โมงเย็นของวันที่ 8ตค.) เที่ยวต่อสิคะ เวลาเป็นเงินเป็นทองนี่

มุ่งตรงไปที่สวนสาธารณะเกล(Guell Park) กันเลย




ภายในสวนนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาคาร์เมล ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก เริ่มก่อนสร้างเมื่อปี 1900 เป็นผลงานรังสรรค์ โมเสก นับล้านชิ้น ของอันโตนี เกาดี้ สถาปนิกชาวสเปนยุคอาร์ตนูโว.... หรือแนวใหม่นั่นเอง




ในสวนสวย บนเนินเขา กับเวลาอันเร่งรีบ ประกอบกับผ่านการเดินทางและอดนอนมาเกือบทั้งคืน ป้าก็เกือบเป็นลมละจ้ะ เอิกกกกกกก...เหนื่อยว้อย



กลับมาขึ้นรถ นั่งดมยาสักพักค่อยดีขึ้น แล้วก้เร่งรีบ(อีกแล๊วววว..) ไปชมวิหาร ที่เคยอ่านพบว่า น่าจะ ชื่อวิหาร สวยที่สร้างไม่เสร็จ

นั่นคือมหาวิหารซากราด้าฟามิเลียร์ (Sagrada Familia) สัญลักษณ์ ของเมืองอันโด่งดัง ที่สร้างเมื่อปี 1882 ในแบบ นีโอ โกธิค ต่อมาปี 1891ท่าน อันโตนี เกาดี้ก็รับช่วงสร้างต่อ ปัจจุบันก็ ยังมีปั่นจั่น เป็นเครื่องประดับอยู่ คาดว่าเมื่อหลานอิฉัน อายุ 16 ปี จึงจะแล้วเสร็จ เออจะไปกะหลานอีกครั้ง ดีไหม..
เป็นวิหารที่ห้ามเข้า ต้องยืนถ่ายรูปกันบนทางเท้าข้างถนน รถอาจจะชนได้ถ้าเซ่อซ่าเกินเหตุ




ระหว่างทางที่รถวิ่งภายในตัวเมืองก็พบกับอาคารบ้านเรือน ที่สวยงาม ของยุคท่านเกาดี้



ยามเย็นมาเยือน เริ่มหิวอาหาร ควัก กล้วยตากเมืองสองแควมากินละ
ยังมีนัดกะนักเดินเรือคนเก่งแห่งประเทศสเปน คือ อนุสาวรีย์ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ที่ตั้งอยู่บริเวณท่าเทียบเรือยอร์ชของเมือง บาร์เซโลน่า




ดูท่านชี้มือไปทางประเทศอเมริกา ผืนแผ่นดิน ที่ท่านค้นพบ

แต่ข้าพเจ้า หิวข้าวและอ่อนล้าเต็มทีแล้ว ไกด์บอกโทรไปร้านอาหารแล้วยังไม่พร้อมที่จะให้เข้าไปกิน ไม่เป็นไร เรามีกล้วยตากกินให้หายคิดถึงบ้าน เพราะนี่บ้านเรา มันก็ปาเข้าไป เกือบเที่ยงคืนแล้ว....



กินกล้วยตากแล้วยังพอยิ้มได้อยู่

ยังหาเครื่องเทศ ของลูกชายไม่ได้เลย แต่ก็แอบหมายมั่นอยู่ในใจ เพราะพรุ่งนี้จะมีโอกาสเดินช็อปปิ้งตาม(หา คุณ)อัธยาศัย



Create Date : 31 ตุลาคม 2553
Last Update : 31 ตุลาคม 2553 14:45:39 น.
Counter : 813 Pageviews.

2 comment
เดินทางไปอเมริกาแบบเดี่ยวๆ คนเดียวแท้ๆ
อยากจะเล่าเรื่องการเดินทางไปอเมริกา แบบเดี่ยวๆ คนเดียวแท้ๆ ไว้เป็นข้อมูลของตนเองและคนอื่นๆที่อยากเดินตามรอย....

เรื่องไปอเมริกา (จะบอกว่าไม่ได้โอ้อวด) ครั้งนี้เป็นครั้งที่ เท่าไร แต่เมื่อมาไล่เรียงก็พบว่า อ่า....ครั้งที่๖ แล้วววว....


ครั้งที่ ๑ เมื่อ ตุลาคม ๒๕๓๙ ไปเยี่ยมลูกสาวคนกลาง (แอ้ม) ที่ไปเรียนต่อที่แอลเอ การเดินทางครั้งนั้น จำได้ว่าไปกับสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ไปกับลูกชายคนโต เที่ยวบินแวะที่สิงคโปร์ เกาหลี (หรือไง ชักลืม) และแอลเอ ไปครั้งนี้ก็คิดว่าคง จะยากที่จะมีครั้งต่อไป เพราะไม่น่าจะมีเหตุปัจจัยอะไรอีก ทั้งๆที่ วีซ่าครั้งนั้นได้มาตั้ง ๑๐ ปี

ครั้งที่๒ เมื่อตุลาคม ๒๕๔๒ ไปสืบเสาะสังเกตเหตุการณ์ บริบทแวดล้อม ของชายหนุ่มอเมริกัน ที่ริอ่าน มามีความสัมพันธ์กะลูกสาวคนเล็ก (อ๊อฟ)คราวนั้นไปกับอ๊อฟ ถึงรัฐเท็กซัส ที่เค้าทำงานอยู่ เป็นทหารค่ะ เรื่องนี้มีคนอยากรู้ถามว่า ลูกสาวรู้จักกะลูกเขยยังไง เค้ามาฝึกคอบบราโกล์ดเหรอ

มีขำเล็กน้อย ก็น่าถามหรอกนะ แต่เรื่องมันไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เรื่องมันยาว จึงได้แต่บอกว่าไม่ใช่หรอก....พอกลับจากไปสำรวจครั้งนี้ ก็กลับมาบอกกับพ่อว่าอนุมัติให้รักกันได้ อนาคตเป็นไงก็ดูกันต่อไป
ไปครั้งนี้กันสายการบินนอร์ทเวสต์ จากบ้านเรามาแวะญี่ปุ่น -แอลเอ -........-เท็กซัส ที่จุดๆไว้น่ะลืมไปละ เรียกชื่อไม่ถูก รู้แต่ว่าเป็นรัฐที่เอลวิส
อยู่ เทนเนสซี่เหรอ ไม่รู้วุ้ยจำไม่ล่ายแล้วเดี๋ยวจะมาเฉลยละกัน รู้แต่ว่าไกลมากกกกกก หนำซ้ำระหว่างนั้นยังไปมากะรัฐจอร์เจีย ที่เป็นบ้านเกิดของเขาอีก เพราะต้องแซะกันให้ลึก

ครั้งที่ ๓ เมื่อเมษายน ๒๕๔๕ นี่เลยครั้งนี้แหละที่มางานแต่งงานแบบบ้านเค้า มาที่รัฐนอร์ทแคโรไลน่า มาครั้งนี้กะแอ้ม และพ่อ โดยสายการบินอีวาแอร์ จากบ้านเราก็มาแวะไต้หวัน มาแอลเอ และแวะขับรถเที่ยวไปเยี่ยมอาแป้มน้องสาวลูกพี่ของพ่อที่ซานฟรานฯ ๒-๓ คืนแล้วต่อเครื่องจากซานฟรานมาลงชาลอตของรัฐนอร์ทฯ

ครั้งที่๔ มีนาคม ๒๕๔๗ มากะแอ้มโดยยูไนเต็ดแอร์ จากบ้านเราต่อที่ญี่ปุ่น แวะเที่ยวที่ชิคาโก ๓ วัน และต่อเครื่องมาชาลอต

ครั้งที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ มา ๒ คนกะพ่อ โดยยูไนเต็ด แวะที่ญี่ปุ่น และต่อมาแอลเอ นัดพบกันกะอ๊อฟ และบาร์ต พักขับรถเที่ยว ลาสเวกัส ๒-๓ วันเช่นกัน จากนั้นก็ต่อเครื่องมาชาลอต ของรัฐนอร์ทฯ
มาครั้งนี้พ่อบอกว่า คงไม่มาอีกละถ้าเธอยังไม่มีหลานให้ฉัน เธอก็ไปหาพ่อที่เมืองไทยเองละกัน เริ่มเบื่อการเดินทาง

ครั้งที่ ๖ คือครั้งนี้ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ครั้งที่ฉายเดี่ยว และฉายแบบต่อเนื่องไม่มีพักกลางทาง และระทึกใจมากกกก

ก่อนมาเริ่มมีบ่นกะลูกๆ ว่าทำไมอ๊อฟมันไม่มาอยู่แถวแอลเอ หรือซานฟรานวะ เพราะพ่อแม่จะได้ไม่ต้องต่อเครื่องมาก หรือไม่ก็มาอยู่แถวญี่ปุ่น (ชักคิดสั้นเข้าไปทุกที นี่ยังเกรงใจไม่บ่นว่า ทำไมเธอถึงไม่มาอยู่เมืองไทยซะให้สิ้นเรื่อง(ของเรา))

มาคราวนี้ก็ค่อนจะมีกำลังใจเพื่อมารอดูหน้าหลานตัวน้อยที่ใกล้จะแว้ไวๆนี้ วางแผนกันไว้ว่าเราจะล่วงหน้ามา และคุณตา จะตามมาปลายเดือนเมษา แล้วจะกลับพร้อมกันปลายเดือนพฤษภาคม


จัดการติดต่อซื้อตั๋วกับบริษัท...จะได้ค่าโฆษณาไหมเนี่ย ฮา...เอาซะหน่อยของเค้าใจดีจริงๆ บริษัท Krungthep Metro Travel ถ้าติดต่อก็หาเบอร์โทรเอาเองนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าเป็นนางหน้า เราตัดสินใจเดินทางโดย UA พยายามตามรอยเดิมที่คิดว่าจะดีที่สุด คือไปญี่ปุ่น-ชิคาโก-ชาลอต ค่าเครื่องไปกลับซื้อล่วงหน้าก่อนเดินทางสัก สี่เดือน ก็สี่หมื่นสี่ร้อยบาท อันนี้ก็แล้วแต่วาสนากันและกันเพราะไม่สามารถพยากรณ์ได้แม่นตรง เราซื้อเผื่อสามีด้วยเลยทั้งที่จะเดินทางตั้งเดือนเมย เผื่อเหนียวเพราะราคาเครื่องนี่ก็รู้ๆกันอยู่มันขึ้นลงตามอำนาจราคาน้ำมันโลก

ก่อนการเดินทาง ๒ เดือนเราก็ให้บริษัทจัดหาที่นั่งให้ ตามที่เราอยากได้ ได้ประมาณ แถวที่ ๔๑ เมื่อเดินทางแล้วพบว่ามันใกล้กับในครัวมากไปหน่อยได้ยินเสียงเตรียมอาหารและพนักงานบริการพูดคุยเสียงค่อนข้างดัง แต่ก็พอทน ถ้าให้ดีก็น่ะสักแถว๓๕-๓๗ เพราะจะอยู่กึ่งกลางระหว่างครัวและห้องน้ำ นี่คิดว่าจะเมล์ไปขอเปลี่ยนแปลงให้สามี และเราตอนขากลับ ไม่รู้ว่าจะได้รับความกรุณาจากบริษัทหรือเปล่า



เมื่อถึงเวลาเดินทาง วันที่๙ กุมภา ๕๓ ออกจากบ้านแอ้มตั้งแต่ตี ๔ ครึ่ง มาถึงตี ๕กว่าๆ เราบอกลูกเขยว่าไม่ต้องลงมาส่งแม่ เดี๋ยวทำเองได้ (อันที่จริงต้องออกตี๔ นะ เพราะเราพลาดจำเวลาผิดคิดว่า ๖.๕๐ น. ) เที่ยวบิน UA882 เวลา ๖.๓๕ เชคอินที่แถว L คนเยอะ (ระหว่างรอแถวนึกขึ้นได้ว่าลืมน้ำพริกแกงที่เราเอาแช่แข็งไว้ที่ตู้เย็นแอ้ม เพื่อจะเอาไปฝากอ๊อฟ ไม่เป็นไรเดี๋ยวให้พ่อเอาตามไป นี่เป็นการแนะนำที่ผิดนะ เพราะตามหลักเค้าไม่ให้เอาเข้า เราจะดื้อตาใส เสี่ยงทายว่าพระโคจะเจอไหม)

ขณะเชคอินของเราสิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ Check Through หมายถึงการเชคกระเป๋าใหญ่ตั้งแต่ไทย-ญี่ปุ่น –ชิคาโก และชาลอต จะปรากฏในสติกเกอร์ที่คล้องกระเป๋า และเจ้าหน้าที่จะให้หางสติกเกอร์มาด้วย เราก็ต้องพยายามเก็บไว้อย่างดีเผื่อมีปัญหาตอนรับกระเป๋า ก็ต้องเก็บไว้ในพาสปอร์ตน่ะแหละ ไม่ต้องกลัวร่วงหล่นมันมีกาวเหนียวติดอยู่ อีกอย่างที่ต้องไม่ลืมคือ รีบบอกหมายเลขสมาชิกสะสมไมล์ จะได้สะสมแต้มไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์ อันนี้คือสิทธิของเรา อ้อ..... แล้วจะบอกไว้นะว่าเตรียมที่อยู่ในอเมริกาไว้ด้วย เค้าถามเราและจดไว้เลยนะ จะได้ยื่นให้เค้าทันที

อ่ะๆๆๆเกือบเสร็จแล้ว แต่อย่าลืมหยิบเอกสารกรอกข้อมูลบัตรเข้าออกต่างประเทศ เอามากรอกข้างนอกแถวไว้ด้วย แน่นอนค่ะ ปากกาอย่าลืมเตรียมติดตัวไว้เลย อย่าคิดว่าจะไปหายืมใครๆภายหน้า เพราะอิฉันมัวประหวั่นว่าจะไปเข้าเกทไม่ทัน เนื่องจากนี่ปาเข้าไปเกือบ๖ โมงเช้าแล้ว ออกจากแถวมาทันที ต้องย้อนไปเอาใหม่เสียเวลาจังเลย อ้อ มัวกังวลด้วยเพราะต้องไปแลกเงิน อ้ายเรื่องแลกเงินนี่ก็มัวโอ้เอ้ แทนที่จะแลกล่วงหน้านานแล้ว

เข้าไปเพื่อตรวจคนออกเมือง จะมีแถวของชาวต่างประเทศหลาย มีแถวคนไทยแถวเดียว จะบ้าเหรอน่ะ ฉันก็ไปแอบๆอยู่แถวชาวต่างประเทศที่ติดกะแถวคนไทยน่ะแหละ มันสั้นกว่านี่นา และก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ๖ .๑๐ แล้ว

เอ้า!!!ยังมีด่านกักกันเอกซเรย์สิ่งของติดตัวตรงนี้อีก เมื่อต้นปีที่แล้ว ยังไม่เห็นมีตรงนี้ เมื่อผ่านได้ ก็รีบเดินเกือบวิ่ง ไปที่ ทางเข้าเกท D 2 ไกลเหมือนกันนะ ใครยังไม่เคยไปอย่ามัวชี้นกชมไม้เชียว ยกเว้นมาตั้งแต่เช้าๆกว่านี้ (ต้องบอกให้พ่อมา ตี ๔) อ่ะ...ลงบันไดเลื่อนลงไปที่ D2แถวยังยาวอยู่ เป็นคนไทยเจ้าหน้าที่ปล่อยผ่านไวหน่อย เข้าเครื่องไป ได้ที่นั่ง 43k เรานั่งริมหน้าต่าง ติดกับชายหนุ่ม และชายสูงวัย โชคดีเหมือนถุกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว เพราะค่อนข้างสุภาพ กอดอกตลอดเวลาไม่เอาแขนออกมาเกะกะเราเลย

เครื่องเริ่มหมุนตัวไปมาสัก ๖.๔๐ และขึ้นเวลา ๗ โมง ได้กินอาหารเช้าตอน ๘ โมงแล้วกินยาคลายกล้ามเนื้อช่วยเพื่อให้ไม่ปวดเมื่อย และจะได้หลับดี ตื่นมาตอน ๑๐.๓๐ เข้าห้องน้ำเรียบร้อย อ่านหนังสือพักเดียวเครื่องเริ่มลดระดับตอน ๑๑ โมงนิดๆ ถึงพื้นดินที่นาริตะ เฉียดๆเที่ยงวัน แต่พอลงไปเห็นนาฬิกาของสนามบินคือ ๑๔.๑๐ บ้านเราก็๑๒.๑๐ นั่นเอง

คราวนี้เราได้ที่นั่ง 41 A อ่า...โชคดีถูกรางวัลที่ 4 ก็แล้วกันเพราะที่นั่งกลางว่างเปล่า และได้เพื่อนร่วมแถวเป็นผู้หญิง สังเกตครั้งแรกนึกว่าคนไทย แต่พอได้คุยกันเขาบอกว่าเค้าเป็นอินโดนีเชีย ไปเป็นซิติเซ่นของอเมริกาแล้ว จะไปต่อเครื่องชิคาโกไปนิวออลีน (เริ่มมีคนสงสัยยังว่า ทำไมเราเทียบเรื่องที่นั่งเป็นถูกรางวัลสลากกินแบ่ง ฮา...ไม่มีไรหรอก แต่จะบอกว่าถ้ารางวัลที่ ๑ คืออะไร ก็จะเป็นที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสน่ะซี้ และได้เพื่อนร่วมทางที่เป็นสามีหรือลูก น่ะแหละรางวัลที่ ๑ ละ)


อ่ะต่อไปเป็นรายการมาราธอน ประมาณ ๑๑ ชั่วโมง ๒๐นาทีที่เราต้องอยู่บนเครื่องนี้ พอนาฬิกาข้อมือบอก ๑๖.๐๐น. ของบ้านเรา เครื่องก็ขึ้นอย่างนิ่มนวลอากาศปลอดโปร่งสะดวกสบายตลอดการเดินทาง ไม่มีคลื่นใดๆ มารบกวน เราก็เริ่มควักหนังสือเล่มกระทัดรัดออกมาอ่านบ้าง นอนหลับตาเฉยๆบ้าง หลับจริงบ้าง ลุกขึ้นมากินตามระเบียบบ้าง

นึกดู ๑๑ ชั่วโมงเรียกกิน ๓ รอบ รวมทั้ง อาหารว่างอีก เป็น ๔ เรียก พนักงานนิสัยดี มื้อสุดท้ายเราเริ่มไม่อยากกินอะไรละ เพราะถ้าเทียบบ้านเราก็ตี ๒ น่ะ ก็คะยั้นคะยอให้ดื่มนม กะน้ำ เพื่อความสดชื่น เอาก็เอา สักพักเครื่องเริ่มลดระดับตี ๒ กว่าๆบ้านเรา มองลงไปข้างล่าง แม่จ้าว หิมะทั้งน้านนนนน

และแล้วเครื่องก็แตะพื้นรันเวย์ เมื่อเวลาที่ข้อมือ ตี ๓บ้านเรา แต่ที่ชิคาโกคือ บ่ายสองโมง และระหว่างเครื่องแท็กซี่ไปตามรันเวย์หิมะก้เริ่มตกกระหน่ำต้อนรับซะเลย เราก็คิดว่าเอาวะเป็นไงเป็นกัน


ออกจากเครื่องได้ก็เดินตามๆเค้าไป ตาก็ดูว่า ตม.กะรับกระเป๋าตรงไหน จะเล่าว่า ตอนที่เราเชคอินที่เมืองไทยนั้น แม้ว่าเราจะเชคผ่านจนถึงชาลอตก็จริง แต่เราต้องมาผ่านการตรวจคนเข้าเมืองที่นี่ เมื่อเราเข้าแถวผ่านตรวจคนเข้าเมืองนั้น ไม่มีคนเลย ก่อนหน้านี้คงไม่มีเครื่องลง โชคดีจังเข้าเป็นอันดับ ๒ อ้อ อย่าๆๆๆ อย่าไปบังอาจเข้าแถวกะพวกพาสปอร์ตน้ำเงินนะจ๊ะ นั่นเค้าเป็นพลเมืองชั้น ๑ เรามันชั้นรองๆลงมา ดูด้วยๆๆช่องเค้ามีเข้าต่างกัน สังเกตๆๆ

หน้าตาเจ้าหน้าที่ช่องเราก็แสนจะน่ารัก เป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาน่าเอ็นดู เราก็ต้องยื่นพาสปอร์ตให้ ก็ทักทายเค้าหน่อย อย่าเผลอไปกูดมอนิ่งนะ เราอาจจะงัวเงียอยู่ เพราะนี่มันแอฟเตอร์นูนแล้ว ระหว่างนั้นเค้าก็จะถามเหมือนชวนคุย เช่นว่า มาทำไม ลูกสาวมาทำอะไรที่นี่ ทำงานอะไร สามีเค้าทำงานไหม เคยมาครั้งที่เท่าไรแล้ว จะมานานไหม (ขอดูตั๋วกลับด้วย อ้อๆๆๆที่อยู่ลูกสาวด้วย) แล้วก็มองกล้อง แต้มนิ้วโป้ง ขวา/ซ้าย แต้มสี่นิ้วขวา/ซ้าย (จนณ บัดนี้ยังงงๆอยู่นะความจริงนิ้วอะไรบ้างเค้าบอกให้วางนิ้วอะไรก็วางไปเตอะนะ) และแล้วก็ประทับตราให้อยู่จนถึง ๘ สิงหาแน่ะ ฮ่ะๆๆๆ ตั๋วอิฉันกลับตอนพฤษภาค่ะ ขี้เกียจเสียเงินเลื่อนตั๋ว

อย่าลืมเก็บเอกสารโน่นนี่ให้หมดนะ ขี้เกียจวิ่งกลับมาเอาอีกรอบ ไม่ต้องรีบลนลานอกจากช่องนั้นหรอก ไงๆ เค้าให้เราเข้าอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ค่อยๆสังเกตเอาว่าเราต้องไปรับกระเป๋าที่สายพานไหน ออกจากช่องตม.ไปแล้วจะค่อนๆไปทางขวามือเดินไปสัก๕๐ เมตร ไปรอรับกระเป๋านี่เหมือนฟังหวยออกเหมือนกันแหละ ของเรานี่นานเชียว ชักใจไม่ดี แต่ก็มาตอนท้าย สักเลขท้าย สามตัวแหละ พอได้กระเป๋าแล้วให้เดินเข้าช่องขวามือสุด อย่าเดินเข้าช่อง ซ้ายมือซึ่งจะมีอีกหลายช่อง

เพราะเมื่อผ่านแล้ว (เราไม่ต้องโดนสุ่มเอกซเรย์ หรือเปิดกระเป๋า ซึ่งอันนี้ก็ต้องบอกว่ามันแล้วแต่วาสนาของแต่ละคน เป็นแบบอย่างกันไม่ได้จริงๆ) อย่างที่บอกว่าเข้ามา ครั้งที่ ๖ แล้ว ไม่เคยโดนเปิด ตรวจค้นเลย พอมาถึงทางออก ก็เห็นเคาน์เตอร์ของ UA อันนี้นี่แหละที่เราต้องเอากระเป๋าใหญ่ไปให้เค้าใส่สายพาน เพื่อต่อเครื่องบินในประเทศ “ เน้นว่า” จะอยู่ด้านขวามือสุดเมื่อออกจากทางออกมา เมื่อมอบกระเป๋าให้เค้าแล้วเค้าจะเอาเครื่องสแกนมาปิ๊บๆที่สติกเกอร์เรา ก็เป็นอันว่าไว้ใจได้ว่ากระเป๋าเราได้ต่อเครื่องแน่

ส่วนตัวเรานั้นก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนไป ซึ่งอยู่ตรงหน้าเราน่ะแหละ สังเกตประกอบด้วยว่ามีคนเดินไปเยอะๆ และมีป้ายบอกว่าขึ้นรถไฟไปอาคาร ๑ ๒ ๓ เพราะที่เราออกมานี่คืออาคาร ๕ นานาชาติ (ส่วนอาคาร ๔ ไม่รู้อยู่ไหนช่างมันเหอะ) พอเราขึ้นจากบันไดเลื่อนมา คนก็มารุมยืนออกันอยู่ สักพักเจ้าหน้าที่ก็มาไล่ๆให้ไปทางโน้นอีกก็ได้อย่ามายืนรุมที่นี่ เราไม่ไป ดื้อๆๆ เหมือนหลายคนก็ไม่ไ ป แต่สักพักพอรถไฟมาเราเพิ่งเข้าใจว่า อ๋อ!!! ที่ยืนอยู่นี่พอรถไฟจอดมันเป็นตู้สุดท้าย แป่ว!!เป็นไงล่ะ

แต่ก็นะ พยายามเดินเบียดเข้าไปจนได้ แหละอย่ารีบร้อนเกินไปหรือยืดยาดเกินไป เดี๋ยวจะเจ็บตัว ความจริงเค้าน่าจะจัดระบบว่าใครไปอาคาร ๓ ให้เข้าก่อน อยู่ในสุด เพราะพอถึงอาคาร ๑ คนก็เบียดเสียดกันออกมา มีหลายคนจะออกไม่ทันเอา ส่วนเราไปอาคาร ๓ ชิวๆ ระหว่างอยู่บนรถไฟ ก็ได้เห็นข้อมูลบนรถไฟด้วยว่า สายการบินไหน อยู่อาคารไหน ของ UA นี่อยู่อาคาร ๓ มาถูกต้องแล้วเรา


พอถึงอาคาร ๓ ออกมาได้ ก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนอีก จะมีบอร์ดบอกว่าเที่ยวบินไหนไปเกทอะไร เค้าเรียงชื่อสนามบินตามลำดับตัวอักษร เราจะไปชาลอต เราก็ดูที่ตัว C – Charlotte แล้วเราก็เห็นต้องไปที่ เกท B 10 เดินตามกันไปสักพักก็ลงบันไดเลื่อน พอดีเจอเคาน์เตอร์ UA เป็นแถวยาวพรื้ดดด ลงบันไดแล้วให้เดินเลี้ยวซ้าย จะพบว่ามีช่องทางเข้าอยู่กลางๆแถวเคาน์เตอร์ อย่าเดินไปสุดทางเดินล่ะ ไกลเกินไป พอเดินเข้าไปก็พบช่องทางเข้าคิวตรวจเอกซเรย์กระเป๋า และตัวเรา (อีกแล้ว) ก็นะ เตรียมพาสปอร์ต ถอดแจกเกต รองเท้าเข็มขัด ใส่ถาดที่เขามีไว้ให้ อย่าพยายามเอากระเป๋าเดินทางเล็กวางบน ถาดเค้านะ เลื่อนไปทั้งอย่างนั้นแหละ แอบขำ เพราะมีชายคนนึงพยายามจะเอาวางบนถาดเค้าให้ได้ ขำวุ้ย

อ้อๆ โทรศัพท์ และแลปทอป เอาออกมาโชว์วางในถาดให้เห็นชัดเจน
(ฮ่ะๆๆๆขำตัวเอง ตอนผ่านที่ญี่ปุ่น พนักงานถามแลปทอป งง พักนึง ความที่อยู่บ้านเราเรียกกันแต่โน๊ตบุ๊ก กะคอมพิวเตอร์ ดีว่าสติดีนะ)

ด่านนี้งานเข้า เพราะเราลืมกระป๋องน้ำกินเล็กขนาด ๑๗๐ ซีซี ที่ติดตัวเราไว้ เผอิญเมื่ออยู่บนเครื่องเราเปิดก๊อกน้ำกินเอาติดตัวเผื่อจะกินกลางดึก ขี้เกียจเรียกพนักงานไง แต่ไม่ได้กิน ลงมาก็ลืมตรวจสอบเททิ้ง เลยโดนเปิดกระเป๋าเล็ก จะเอาของเราทิ้ง เราบอกว่าขอกระป๋องเปล่าคืนน้าแล้วทำหน้าน่าสงสารหน่อยนึงก็ได้คืนมา

พอออกมาได้ก็แหงนหน้าดูป้ายหน่อย เพราะอาคาร ๓ นี่มี หลายโซนอยู่ ไปทางซ้ายก็มี ส่วน B 10 ของเรานี่มุ่งไปทางขวา ค่อยๆดู ไม่ต้องรีบร้อนเวลาเยอะ แต่อย่าเผลอเดินไปทางโซน C นา งานจะยาวเลย เพราะที่ไหนไม่เกี่ยวกะเรา อย่าไป ถ้าไม่รู้จริงๆ งงจริงๆ ก็เอาบอร์ดดิ้งพาสของเราให้เจ้าหน้าที่สายการบินดู เค้าจะบอกเราเอง

เมื่อพบเกทของเราแล้วก็เริ่มหาสถานที่ทำธุระส่วนตัว ไปตู้โทรศัพท์ โทรบอกลูกก่อนว่าผ่านด่านมาเรียบร้อยทุกอย่างไม่มีปัญหา ทั้งหมดที่เล่ามาตั้งแต่ลงเครื่องจนถึงตรงนี้ใช้เวลาไปประมาณเกือบ ๒ ชั่วโมง ดังนั้นจะแนะนำว่า ไงๆ เข้าห้องน้ำบนเครื่องก่อนลง แบบผ่อนเบาๆไปก่อน บ้างจะได้ไม่เสียเวลาอะไรหลายๆอย่าง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ค่อยมาผ่อนหนัก เอาแถวๆรอที่หน้าเกท ฮา..... แล้วก็ไปเดินๆดูร้านอาหาร ชักหิวเหมือนกัน เพราะก่อนลงเครื่องมันหยิ่งไม่กินอาหารเช้าเค้าไง

เดินไปดูรายการอาหาร กินซุปบล็อกเคอรี่สักถ้วยท่าจะดี สนนราคาก็พอเหมาะ ๒ เหรียญกว่า เค้าจัดใส่ถุงให้พร้อมกับบิสกิตอีก ๓-๔ ชิ้น เอามานั่งละเลียดกินพร้อมกับดูสายหิมะโปรยปราย มีผู้โดยสาร มารออยู่สักพอประมาณ ทั้งๆที่เหลือเวลาอีกนาน มัวหันหลังให้คนอื่น พอหันมาอีกที เอ้า ผู้โดยสารไปไหนกันหมด เวรละตรู..เก็บของแล้วลากกระเป๋าไปดูที่บอร์ด เวรละทะลึ่งเปลี่ยนเกทใหม่ แต่ก็ค่อยโล่งอก เปลี่ยนไปเกท 11 ใกล้ๆกันน่ะเอง วู๊ ระวังนะ ใครเดินทางมาทีหลัง โปรดระวังเรื่องเปลี่ยนเกทฉับพลันด้วย




ต้องเน้นย้ำว่าเวลาที่ชิคาโกนี่ต่างกับชาลอตคือไวกว่า ๑ ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จะเรียกขึ้นเครื่องเวลา 6.35 PM ให้ดูนาฬิกาของสนามบินเป็นหลัก (นาฬิกาข้อมือเรามัน 5.35 ระวังจะตกเครื่อง) ถ้าดูเวลาจากตั๋วเหมือนเดินทาง ๒ ชั่วโมงกว่าจากชิคาโก ไปชาลอต ความจริงเพียงแค่ชั่วโมงกว่าเท่านั้น

มองออกไปข้างนอกหิมะยังตกกระหน่ำหนักอยู่ มี ๒ เที่ยวบินที่ไปชาลอต งดเดินทาง คนเลยมารวมกันอยู่เที่ยวนี้ พอขึ้นเครื่องเรียบร้อย ได้ที่นั่ง 20 A มีชายสองคนมานั่งด้วย 7.00 PM นี่ควรจะออกได้ละ แต่....บนปีกเครื่องบินมีแต่หิมะ เค้าประกาศออกมาฟังไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว แต่พอจะประมาณได้ว่า อ้ายWING มันมีปัญหา เครื่องบินถอยออกมาจากหลุมจอดให้เครื่องอาบน้ำมาชำระล้างหิมะอีก กินเวลาไป ๑ ชั่วโมง แล้วเริ่มแท้กซี่ไปเรื่อยๆ ท่ามกลางหมอกปะปนหิมะ

มองไม่เห็นอะไรเลยมืดไปหมด นอกจากไฟวิบวับเป็นบางจุด จากเครื่องลำอื่นๆ แต่เราเห็นว่าหิมะเริ่มเกาะตัวกันหนาแน่น บนปีกเครื่องอีก แล้ว มันจะไปได้ไหมเนี่ย....... ไปไม่ได้ก็อย่าไปเน้อ กรู ยังอยากมีชีวิตอยู่ดูหน้าหลาน พอนึกถึงตรงนี้เริ่มใจไม่ดีกระวนกระวายแล้วสิ เพราะดูเวลานี่มันได้เวลาเครื่องลงที่ชาลอตแล้วนี่ เริ่มนั่งหลับตาสวดมนต์ในใจ ปลุกพระที่ห้อยคอ

เออวะ มันจะทำอะไรก็ให้มันทำปายยยยย.... พอเครื่องจอด ลืมตาดู อ้ายบร้า.....มาจอดที่เดิมประกาศออกมาว่าต้องอาบน้ำเครื่องบินอีก โอ้ ตรูหนอตรู เอาหนังสือมาอ่านต่อแก้เครียด เด็กเล็กบนเครื่องเริ่มร้องไห้กระจองอแง ๓ ชั่วโมงแล้วนี่ ที่อยู่บนเครื่อง พยายามจะใช้มือถือของเราติดต่อกับลูกก็ทำไม่ได้ ไม่รู้เป็นบ้าอะไร แต่เห็นคนข้างเคียงใช้ได้ เราก็เดาเอาว่าเค้าต้องรายงานญาติของเค้านึกในใจว่าเอาไงดีว้า ถึงจะติดต่อกะอ๊อฟได้

เริ่มเล็งไปชายสองคนที่นั่งติดกัน คนนั่งติดกันท่าทางจะใจดีกว่า เพราะดูเหมือนจะเอเชียผสม แล้วเมื่อเข้ามานั่งใหม่ๆ เค้าก็ส่งยิ้มให้ แต่อีกคนที่นั่งริมทางเดินเป็นหนุ่มกว่าอเมริกันแท้เลย สวมชุดนักบินด้วยระหว่างที่นั่งอึดอัด ชายหนุ่มนั่นก็นั่งเอาแต่เล่นเกมในมือถือ ตัดสินใจกะคนนั่งกลางติดกะเรานี่แหละ อาศัยใจกล้าหน้าแก่ เอ่ยปากบอกความในใจว่า ลูกสาวมารอรับที่ชาลอต ใช้โทรศัพท์ตัวเองก็ไม่ได้ อยากขอใช้โทรศัพท์จะได้ไหม โอ้!!!พ่อยอดชายของฉัน หยิบให้ทันที อิฉันก็ส่งกระดาษเบอร์ของลูกให้ เค้ากดให้ แล้วส่งให้เราพูด ส่งข่าวอ๊อฟว่าไม่ต้องห่วงนะ ดูสิลูกยังบอกว่านึกว่าเครื่องแม่ลงแล้ว เพราะดูข้อมูลจากมือถือตัวเองบอกว่าเครื่องมันออกมาแล้ว ฮือออ........ มันออกมาแล้วก็จริงแต่ออกมาขับไถหิมะเล่นจ้า......


ดูเวลาบนข้อมือเรา มัน11.30 PM แล้ว (เวลาชิคาโก 10.30 PM) เครื่องเริ่มแท็กซี่ออกมาอีกครั้ง หิมะก็ยังปอยๆ คราวนี้ดูทีท่าว่าจะได้ไปแน่ และแล้วก็ขึ้นมาได้อย่าปลอดภัย แต่มองออกไปข้างนอกงี้จิตตกห้อยเลยเรา

เครื่องบินใช้เวลาชั่วโมงกว่าจริงๆ สักเที่ยงคืนครึ่งก็ลงที่ชาลอตอย่างปลอดภัย กว่าจะเดินตุ๊บตั๊บลงมาเจอลูกก็ตี ๑ นิดๆ อ๊อฟกะบาร์ตมายืน ถือช่อดอกไม้รอรับ โฮยยย....อารมณ์นี้ไม่รู้อารมณ์ไหน ยังไม่จบนะคุณ เพราะเมืองที่ลูกอยู่ไม่ใช่เมืองนี้ มันคือเมือง Hickory ต้องขับรถกลับบ้านอีก ๑ ชั่วใมง เราไปถึงบ้านตี ๒ กว่าๆ โทรบอกแอ้มว่าถึงแล้วนะ กว่าจะถึงบ้านอ๊อฟและอาบน้ำนอนก็คงสิริรวม ๓๕ ชั่วโมงจากบ้านเราที่เมืองไทย

นึกแต่ว่า ถ้าเป็นพ่อ พ่อจะเป็นยังไงบ้าง ป่านนี้จิตตกหกหล่น บอกยกเลิกตั๋วที่จะมาเดือนเมษาไหมน่ะ ป่านนั้นก็ไม่มีหิมะแล้วเน้อ ยังพูดกะอ๊อฟว่า ถ้าเครื่องมาไม่ได้ เลื่อนเป็นเช้าแม่ก็ไม่ว่านะ จะนอนรออยู่ที่สนามบินน่ะแหละ เพราะผ้าห่มหมอนเตรียมมาแล้ว ขออย่างเดียวให้มันปลอดภัยละกัน ขอบคุณคุณพระคุณเจ้าที่คุ้มครอง



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 6:12:58 น.
Counter : 1862 Pageviews.

4 comment
รัสเซียที่รัก (ตอนจบ)
วันนี้มาเปิดกล่องดู ว้าย ๆๆๆจะเน่าซะแล้ว
๒ เดือนเต็มยังเอาเนื้อความรัสเซียมาเผยไม่หมด มันจะเน่าแล้วจ้า ไม่ได้ๆต้องทำให้เสร็จวันนี้เลย ไม่งั้นครูตีตายการบ้านค้างเดือน
จากความตอนที่แล้ว กลับจากพระราชวัง Pushkin Village ตอนเย็นก็มาโอ้เอ้กันที่ร้านของที่ระลึกใกล้ๆพระราชวังนิโคลัส เพื่อรอดูการแสดงพื้นเมือง ซึ่งจะเริ่มราวๆ ทุ่มตรง

เมื่อใกล้เวลา ก็เดินเข้าไปในเขตพระราชวัง ที่เค้าแยกส่วนไว้เพื่อกิจกรรมนี้โดยเฉพาะ ก็นับว่าเป็นการหาเงินเข้าประเทศที่ดียิ่ง

เดินขึ้นบันไดไปเป็นบริเวณโถงใหญ่ ที่จัดไว้เฉพาะมีนักแสดงมาบรรเลงเปียโนขับกล่อม มีแชมเปญและวอดก้าวางไว้ให้ดื่มชิม มีอาหารว่างที่พิเศษคือคาเวียร์ไว้ให้ลิ้มรส ใกล้เวลาแสดงก็เข้าไปยังที่นั่งซึ่งจัดไว้ไม่มากนัก คะเนเอาไม่น่าจะเกิน ๑๐๐ ที่นั่ง มีเวทียกสูงเป็นเวทีเล็กๆ และมีเครื่องดนตรีพื้นเมืองตั้งรอนักแสดงอยู่แล้ว ชอบมากกก......เป็นพิเศษ คือ เป็นการแสดงที่ไม่มีเครื่องเสียง และเครื่องขยายเสียงใดๆเลย เสียงที่เกิด เกิดจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองและเสียงขับร้องเดี่ยว และประสานเสียงของนักแสดงทั้งสิ้น


มีพรรคพวกในกลุ่มที่เป็นชาย(ไม่ใช่ทหาร) เมาแชมเปญหน้าเขียวหน้าเหลืองเรียกหายาดมกันจ้าละหวั่น.....บอกแล้ววว...... เค้าเอาไว้ให้ชิมลิ้มรส

การแสดงมีพักครึ่ง เหล่าคนดูไปทำธุระห้องน้ำ และมีอาหารว่างให้บริการอีกแล้ว (แน่นอน เค้าบวกไว้กับค่าตั๋วแล้ว) นอกจากนั้นก็มีสินค้า ของที่ระทึกมาวางล่อตาล่อใจเหล่ากลุ่มทัวร์ นักแสดงนั่นแหละนอกจากได้พักแล้วยังมาขายของอีก บริการให้ถ่ายรูปด้วย แต่เราน่ะเขิน การแสดงมีถึงประมาณ ๓ ทุ่มก็จบ

กลุ่มเราย้ายไปห้องเลี้ยงอาหารแบบกาลาดินเนอร์ ซึ่งมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนปะปนอยู่ประมาณ ๒ โต๊ะด้วย
ส่วนกลุ่มเราน่ะหลายโต๊ะอยู่ เฮฮากันมากเป็นพิเศษ เพราะวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดบุคคลสำคัญของกลุ่มด้วย เลยมีเค้กมาให้เป่า ที่โต๊ะเรา
กิน เล่น เฮฮา กับนักเปียนโน ที่เล่นเพลงไทยหลายเพลงอยู่ หันไปดูโต๊ะกลุ่มจีน ล่าถอยไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ฮ่ะๆๆ เรื่องพลังกลุ่มนี่มันมันจริงๆ
แต่เราก็รู้สึกเกรงใจ๊เกรงใจ (เพราะคิดว่าถ้ากลุ่มเรามาน้อยก็คงรีบกินๆและกลับๆ รำคาญเสียงเฮฮาจริงๆ พูดอะไรกันฟังไม่รู้เรื่อง ดูซิเล่นแต่เพลงอะไรฟังไม่รู้เรื่องอีก)



เช้าวันที่ ๒ เมษา
หลังอาหารเช้า เราเดินทางไปนอกตัวเมืองใหญ่ ประมาณ ครึ่งชั่วโมงก้ถึงพระราชวังฤดูร้อนเปโตรควาเรสต์ หรือที่คุ้นหูมากกว่าคือ พระราชวังปีเตอรฺฮอฟ วันนี้อากาศสดใสดี แต่ก็หนาวค่อนข้างมาก พระราชวังแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในเลย เรามองออกไปทางทะเลบอลติกไกลๆ จินตนาการว่าเรือลำน้อยคงไปรับพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยามเข้ามาทางล่องน้ำที่ขุดไว้อย่างกว้างขวาง แต่ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและแผ่นน้ำแข็ง ซึ่งรวมทั้งอุทยาน พฤกษานานาพันธุ์ด้วย

จึงทำให้น้ำพุไม่ตระการตา ในฤดูนี้ แต่คงตระการตาในฤดูร้อน ......
ถ้างั้นฤดูร้อนมาอีกดีไหม ?





พอบ่ายๆก็เข้ามาในตัวเมือง เพื่อเข้าชมพระราชวังฤดูหนาว ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ปัจจุบันก็มีสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์ เฮอร์มิเทจ ที่นี่ไม่ห้ามถ่ายภาพ แต่ใครจะถ่าย ต้องเสียเงิน จำไม่ได้ว่าเท่าไร เพราะเราไม่ยอมรับกติกา เอ๊ยไม่ใช่ เพราะเราเป็นกล้องเด็กๆ พวกที่กล้องแบบซุเปอร์ ไม่ยอมให้เอาเข้า ต้องฝากไว้ด้านหน้า ดูๆเหมือนใจร้ายไหม แหมพิพิธภัณฑ์หลายๆที่เช่น ลูฟว์ ในปารีส สมิธโซเนียน ในวอชิงตันดีซี เค้าเก็บค่าเข้าชมแพงแล้ว เค้าก็ใจกล้ายอมให้ถ่ายได้ไม่อั้น ฮ่าๆๆๆๆๆ ก็ใจกล้าๆหน่อยปล่อยเค้าถ่ายไปเถิ้ดดดด....

เวลาเดินชมในพิพิธภัณฑ์ เรานะจะช้าดูแบบนิ่งนาน สามีฉันก็เดินไปรอที่ไหนๆ ดังนั้นจะอาศัยไหว้วานให้ถ่ายรูปก็รอไปเลย ขำมากเลยสามีฉันโดนพรรคพวกถามว่า พี่ผู้หญิงไปไหน สามีฉันก็ตอบหน้าตาเฉยว่าไม่รู้สิ คนอื่นๆจะมองว่าแปลก แต่ฉันไม่แปลกหรอกรับได้ อยู่แล้ว เพราะเดินชมพิพิธภัณฑ์ อย่ารั้ง อย่ารอกัน คนมันจินตนาการต่างกันนะจะบอกให้ จริงไหมท่านผู้ชม
ภายนอก



ภายใน



ระหว่างอยู่ในพระราชวังนี้ อิฉันก็จินตนาการว่าพระเจ้าปีเตอร์มหาราชจะทรงพระราชดำเนินไปทางไหน บ้างนะ เมื่อมองออกไปทางแม่น้ำก็เห็นวิวสวยงาม เมื่อมองอีกด้านก็เห็นลานกว้างด้านหน้า เมื่อมองยอดโดมก็นึกว่า พระองค์เจ้าจักรพงษ์ภูวนาท ท่านเคยมาประทับที่นี่ ยาวนาน ท่านจะเหม่อมองออกหน้าต่างพระราชวัง แล้วคิดถึงเมืองไทยไหม

นี่แล้วอย่างนี้จะให้สามีอิฉันเค้ารอเราได้ไหม.................

คืนนี้เริ่มมาเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมไว้เช้าพรุ่งนี้ต้องออกจากโรงแรมพบว่าเงินที่แลกไว้จะเหลือมากเกินไปเลยลงไปซุปเปอร์ใกล้ๆที่พักหาซื้อของกิน และว้อดก้ามาฝากพรรคพวก

เช้าวันที่ 3 เมษา ตื่นมาชะโงกดูบรรยากาศ ฮ่ะ!!หิมะกำลังโปรยปรายลงมา หันมาเรียกตาลุง มาดูหิมะ เร้ววว.... ไปอาบน้ำแต่งตัว กลับมาอีกที ฮ่ะ!!หนามากขึ้น และเริ่มๆจะมีฝน เอาเข้าไป สับสนกันใหญ่




มีโปรแกรมหลงเหลืออีกเล็กน้อยคือไปชมป้อมปราการปีเตอร์แอนด์พอล
ซึ่งตั้งอยู่ภายในเกาะที่เป็นที่ฝังพระศพของพระเจ้าซาร์และพระญาติทุกพระองค์ ระหว่างเกิดเหตุการณ์เลวร้ายในรัสเซีย ที่นี่ก็จะเป็นที่คุมขังนักโทษการเมือง นี่ไกด์ท่านว่าอย่างนั้น

เราเลยคิดว่านักโทษจะรู้สึกกลัว หรือว่าจะรู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่ใกล้ซาร์ที่เค้ารักก็ได้จริงมะ



พอออกมาหิมะก็โปรยปรายตลอด บ้านนอกอย่างพวกเราเป็นมนุษย์กลัวฝนอยู่แล้ว ตามประสาคนโซนร้อนชื้น รถเลยพาชมเมืองเรื่อย ๆเพื่อรอเวลากินอาหารกลางวัน ก่อนไปสนามบิน อารมณ์ชงอารมณ์ช็อป ไม่มีเหลือแล้ว ไม่อยากเปิดกระเป๋าใดๆ ทั้งสิ้น


อาหารท้องถิ่นมื้อสุดท้ายของรัสเซีย(ทริปนี้ อิอิ .... อาจมีทริปหน้า)


ประมาณบ่าย 2 โมง ก็มาถึงสนามบิน รายการวันนี้คือบินจากเซ้นต์ปีเตอร์เบิร์ก ถึงมอสโคว์ และเปลี่ยนสายการบินกลับกรุงเทพฯ ประสบการณ์ที่สนามบินที่นี่ คือต้องผ่านห้องเอกซเรย์ ต้องบอกว่าห้อง เพราะเข้าไปทีละคน สงสัยเห็นเข้าไปในลำไส้เลยเชียว ทุกแห่งที่ไปแค่ผ่านช่องให้มันร้องปี๊บๆ หรือไม่ก็มีเจ้าหน้าที่เอาแผ่นตรวจมาลูบๆเราไปมา อยากให้ร้องซะจริง แต่ที่นี่เข้าเป็นห้องทึบ!!!!

มารอต่อเครื่องที่มอสโคว์ หิมะก็ตกไม่หยุดหย่อน ทั่วถึงจริงๆ ขอบคุณนะขอบคุณ ที่ตกมาให้หนำใจ ชาวเขตร้อนชื้นอย่างเรา ๆได้เห็นเป็นขวัญตา คุ้มๆๆๆ พบกันใหม่นะรัสเซียที่รัก............




ของแถมน่ารักไหม....เราบอกว่าให้พาหลานมาหาเราให้ได้นะ
และการบินไทย เที่ยวบิน ที่ 975 ก็เดินทางถึงเมืองไทยอย่างปลอดภัยซ้าธุ



Create Date : 03 กรกฎาคม 2552
Last Update : 3 กรกฎาคม 2552 14:45:51 น.
Counter : 707 Pageviews.

2 comment
รัสเซียฝันเป็นจริง ตอนที่ 3
ถัดจากตอนที่ 2 มานี่ นานจริงๆ ไม่รู้ฝันค้างอะไรกันหนักหนา แต่ก็คิดอยู่นะว่า เป็นคนว่างงานแท้ๆ แต่ทำไม....เมื่อไร....จะทำงานคั่งค้างนี้ให้เสร็จซะที
อ่ะ..มาต่อกันดีกว่าจากตอนที่แล้ว...

บ่ายแก่ๆของวันสุดท้ายในมอสควา...(ดูเดิ้นไหมอ่านแบบนี้) ความจริงรายการต้องพาไปเดินตลาด ที่ถนนอารบัท ซึ่งเมื่อก่อนไปอ่านข้อมูลจากคนที่เคยไปมาแล้วก็ ดูๆว่าอยากไป

แต่พออยู่ที่นี่ 2 วัน ก็เห็นว่า รายการของและสินค้าที่ระทึกทั้งหลาย จะวางกันอยู่ทุกอนูของแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้นเมื่อรายการไปช็อป ที่ถนนอารบัทถูกงด เราเลยไม่ค่อยอินังขังขอบเท่าไรนัก

เย็นนั้นไปสนามบินภายในประเทศ เรานั่งสายการบิน แอร์พูลโดโว่ เที่ยวบินที่ FV 145 เครื่องบินดูเล็ก เก่า และค่อนข้างจะสกปรก ...... ทำใจให้เข้มไว้ก่อน ใช้เวลาบนเครื่องประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ประมาณว่าเหมือนบินจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ เมื่อใกล้ถึงเมืองเซนปีเตอร์เบิร์ก นักบินจิกหัวตอนลดระดับ โอ้โฮ น่ากลัวมาก...... เราแอบคุยกันว่า นักบินคนนี้ผ่านการขับเครื่องบินขับไล่ในสนามรบมาก่อนหรือเปล่าน้า....

สนามบินไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไรนัก เข้าเมืองเมื่อใกล้ดึก รถขับเข้าตัวเมือง เห็นแต่ตึกอาคารสวยงาม ที่มองว่าเป็นระเบียบ เพราะทุกอาคารจะถูกบังคับให้สร้างไม่เกิน 7 ชั้น เท่าๆกันหมด ทาสีอ่อนๆไม่ฉูดฉาดเหมือนเมืองทางเยอรมันและออสเตรีย ทุกอาคารมีโครงสร้างค่อนข้างเป็นระบบเดียวกันหมด บางส่วนก็กำลังก่อสร้างใหม่ แต่พอเข้าแถวเป็นแนวกับอาคารเก่า ก็ดูเหมือนจะถูกกลืนไปเลย

ไฟฟ้าสว่างไสว เอ่อออออ...ท่านผลิตน้ำมันเองได้ ท่านก็สามารถใช้ไฟ ได้อย่างโอฬารละนะ อ่า ...ค่ำคืนนี้ช่างสวยงามจริงๆ กว่าเราจะกินข้าวรอบดึก และเข้าที่พัก โรงแรม Pribaltijskaya ก็เกือบ ห้าทุ่ม เข้าพักห้อง 5115 โรงแรมก็ดูหรูหราดี มีระบบคีย์การ์ดเข้าออก ช่องทางเดินแต่ละช่อง ก่อน เข้าห้องพัก จึงค่อนข้างวางใจได้ ว่าปลอดภัย


1 เมษายน 2552
เช้านี้เราเข้าเยี่ยมชมดูงาน ฟังการบรรยาย ที่ Federation of Ecological Organization เกี่ยวกับการวางแผนเรื่องระบบนิเวศนวิทยา และสิ่งแวดล้อมของผังเมืองเซนปีเตอร์เบิร์ก วิทยากรมาบรรยายเป็นภาษารัสเซีย แต่ไกด์ติดต่อสาวน้อยรัสเซียคนนึงให้เป็นล่าม แปลเป็นภาษาไทย โอ้ยยย.....คนแก่ฟังแล้วหายใจไม่ออก แบบว่าอยากฟังภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทยแล้วล่ะตอนนี้ ช่วยด้วย....

แต่ก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง น่ะนะ ตามประสา ภาษาแปรปรวน อาศัยได้ดูภาพ กราฟ ตัวเลข และภาษาอังกฤษ(บางส่วน) ประกอบการนำเสนอ และการคาดเดาจากประสบการณ์ของตัวเอง ดูๆแล้ว เค้าจะ(อนุ)รักษ์ภาษาเค้าจังเลย ถ้าไปเที่ยวเองคงลำบากมากพอดู





ช่วงบ่าย หลังอาหารกลางวัน เราเดินทางออกนอกตัวเมือง ไปที่ Pushkin Village เพื่อไปชม พระราชวังแคทเธอรีน ระหว่างทางมีแต่ร่องรอยของหิมะตกค้างอยู่ และ...แม่จ้าว เมื่อถึงที่หมาย เราต้องเดินเข้าไปในบริเวณพระราชวัง ด้วยความหนาว แล้วยังเจอกับหิมะอีก ดีว่าแดดออกเล็กน้อย ระหว่างเดินก็ต้องคำนับตลอด เพราะต้องดูพื้นไง ไม่งั้นจะลื่นแล่นล้มเอา นานๆทีก็เงยหน้าชื่นชมความสวยงามของพระราชวัง

ภายในพระราชวังถ่ายรูปได้หลายๆห้อง ยกเว้นห้องอำพัน ห้องเหลืองอำพันที่สวยงาม เราเคยอ่านเจอการพบแหล่งอำพันของรัสเซีย จากNational Geographic สักปีที่แล้วนี่เอง
วันนี้มายืนชื่นชม ของเก่าที่เค้าตกแต่งไว้ ทั้งห้อง !!

เรื่องพระราชวังพระนางแคทเธอรีน นี่ ช่างโอ่อ่า วิจิตรอลังการ จริงๆ สมคำร่ำลือ ข้อมูลที่อ่านพบภายหลังจากกลับมาแล้ว น่าติดตามมาก จากเวปนี้
//www.tiewrussia.com/index.php

ก่อนไปยังไม่เจอ ฮ่า พอกลับมา อ่านแล้วจึงอยากไปอีก ว่าเข้านั่น.....
ข้อมูลความรู้อยู่ที่นี่เพียบ น่าขอบคุณผู้เสียสละทำเวปดีๆให้อ่านกัน


ภาพภายนอก





ภาพภายในที่สวยงาม


ฮ่าๆๆๆ มีขำตัวเองเล็กน้อย เพราะตกตอนเย็นตั้งใจไปซื้ออะไรก็ได้ ที่เป็นอำพัน แต่เชื่อไหม
ใจไม่นิ่งพอๆ เฮ้อออ....... เป็นพลาสติกหรือเปล่าน่ะ เห็นไหม.... ใจอกุศล แต่ผลที่สุดก็ได้ มา 2 เม็ด เพ่งๆหน่อยนะพี่น้อง วางคู่กับพลาสติกที่เป็นม่านหน้าต่าง ที่เผอิญหลุดตกลงมาใกล้ๆ เลยเอามาเทียบกัน เหอๆๆๆๆ






Create Date : 14 พฤษภาคม 2552
Last Update : 14 พฤษภาคม 2552 13:04:32 น.
Counter : 538 Pageviews.

4 comment
1  2  3  

วันจัน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



อดีต ครูระดับประถมศึกษา 12 ปี ข้ามขั้นมาเป็นครูระดับอุดมศึกษา 29 ปี ปัจจุบัน เป็นผู้เกษียณ อายุราชการ ปีที่11

งานหลัก เป็นผู้อำนวยการดูแลแม่อายุ 90 ปี(ปัจจุบัน2560เสียชีวิตแล้ว)
งานรอง เล่นเกม เล่นกับสัตว์เลี้ยง เดินดูต้นไม้ อ่าน เขียน ทำงานบ้าน ดูหนัง ไปให้คนอื่นนวดตัว ไปนั่งเล่นร้านกาแฟลูกชาย นัดเพื่อนเก่า/ลูกศิษย์เก่ากินข้าว ดูแลสวนกล้วยและต้นไม้อื่นๆตามใจที่อยากปลูก ทำอาหารและช่วยเหลือตนเองได้ในระดับ 9เต็ม10
งาน พิเศษ ช่วยดูแลหลานชายและหลานสาว(ตามที่มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนที่บ้านเขา)
ผลงานดีเด่น มีสามี1 คน และลูกชาย 1 คน ลูกสาว 2 คน
และหลานชาย 2 คน หลานสาว 2คน

สถานะล่าสุด ปี2561 😍😍ชีวิตเลือกได้
เนื่องจากไม่มีภาระใดๆมาให้ต้องห่วงหา ยกเว้นต้องห่วงตัวเองให้มากที่สุด เพราะปีนี้ ขึ้นหลักกิโลเมตรที่70 แล้ว