着物祭り&Tea Ceremony



28 October 2012
สวัสดีค่ะ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่แสนจะยุ่งเหยิงจริงๆ ไม่ได้อยู่ติดหอเลย

ความจริงคือวันนี้เป็นวัน Kimono fitting & Tea ceremony ที่อาสาสมัครสอนภาษาญี่ปุ่น(พวกคุณลุงคุณป้าวัยเกษียณที่บ้านอยู่ในละแวกนี้)จัดขึ้น สถานที่จัดงานก็คือหอคันไซค่ะ เป็นหอแจสโซ่เก่าเหมือนกับหอเรา เซนเซย์สอนภาษาญี่ปุ่นเราที่เคยมาอยู่หอนี้สมัยปี 1999 บอกว่าแต่ก่อนหอเราและหอคันไซเป็นหอพี่หอน้องกัน แต่ตอนหลังแจสโซ่ขายให้มหาลัยไป หอเราเลยกลายเป็นของฮันได อีกหอเป็นของคันไซยู

เวลานัดคือเที่ยงครึ่ง เราเลยขนเครื่องสำอางไปแต่งที่ห้องแก้วตอนเที่ยง ปรากฎว่า"เละ" เจ้าค่ะ ต่างคนต่างแต่งกันไม่ค่อยจะเป็น โดยเฉพาะเจ้าแก้ว..ไม่มีเครื่องสำอางเลยสักชิ้นเว้นแต่แป้งกะลิปมัน =w=; เราเลยให้ยืมบลัชออน.. ซึ่งก็หาสีที่แมชกะนางได้ยากมาก.. สรุป.. เราสองคนเลยแต่งกันแค่อ่อนๆ ทาแป้ง ทาบลัชออน ทาลิป.. เป็นอันเสร็จ ฮ่าๆ

จากนั้นก็เดินไปหอคันไซกัน ใช้เวลาแค่ราวๆสามนาทีก็ถึง เสียค่าตั๋วเข้างานคนละร้อยเยน จากนั้นก็เข้าไปในห้องแต่งตัว ปรากฎมีคนมาถึงก่อนเราเยอะพอสมควร กิโมโนสวยๆถูกเลือกไปบ้างแล้ว พวกเราเลยรีบไปเลือกกิโมโนกัน (มีลายให้เลือกค่อนข้างเยอะนะ ราวๆเกือบยี่สิบแบบ) จากนั้นก็ไปเลือกโอบิที่เข้ากับสีกิโมโน(มีคุณป้าคอยช่วยเลือก) และไปหากิโมโนชั้นในกับถุงเท้าใส่ต่อ

(ถุงเท้าเบอร์เล็กมากค่ะ เบอร์ใหญ่ๆถูกฝรั่งจับจองไปเกือบหมด.. เหอะๆ)


(ตอนใส่กิโมโนจะมีป้าๆอาสาสมัครมาคอยช่วยใส่ให้ค่ะ)


(เด็กแว่นสวมชุดกิโมโนค่ะ ฮ่าๆ)

หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จก็ออกมาห้องทานข้าว ที่นี่ทุกคนที่สวมชุดเสร็จแล้วต้องไปนั่งที่โต๊ะ และจะได้รับขนมและน้ำชาไว้ทานคนละเซ็ต (ชาคือชาที่เพิ่งชงเดี๋ยวนั้นเลยค่ะ ชาแบบในพิธีชงชาอะ)


(คิกขุไหมล่ะ ขนมที่เห็นเป็นรูปฟักทองเข้ากับเทศกาลฮัลโลวีนที่ใกล้เข้ามาแล้วนั่นคือถั่วกวนนะคะ รสชาติหวานแหลม กินกับน้ำชาเขียวขมๆจะได้รสกำลังพอดี)

กินขนมกับน้ำชาเสร็จ ก็ถึงเวลาถ่ายรูปและชมหอตามอัธยาศัย

 คำเตือน ต่อไปนี้จะเป็นการโพสต์รูปแฟชั่นกิโมโน(แบบเพี้ยนๆ)ของข้าพเจ้าเอง...มีทั้งรูปปกติ และรูปเถื่อนๆ.. เด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดควรได้รับคำแนะนำระหว่างชม (ขู่ไปงั้นล่ะ ฮ่าๆ)



(นี่เป็นรูปภาพที่ประดับอยู่ในหอคันไซ น่ารักดี - ดอกไม้ประจำเขตต่างๆของโอซาก้าค่ะ)


(เหม่อมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง.. ว่าแต่จะกางร่มในอาคารทำไมเนี่ย ฮ่าาา)


(รูปนี้โพสต์โดยอาศัยความช่วยเหลือจากพี่ๆคนไทยที่มางานนี้ เนื่องจากเดี๊ยนพ้อยท์เท้าไม่เป็นฮ่ะ พี่ๆต้องคอยกำกับว่าต้องเอียงมุมไหน กี่องศา ฮ่าๆ)


(รูปนี้ถ่ายคู่กับแก้ว รูปที่แล้วให้คนอื่นกำกับท่า แต่รูปนี้เราครีเอทท่าเองนะขอบอก ฮี่ๆ)


(สาวบ้านนามาเมืองกรุงค่ะ กดตู้ขายน้ำอัตโนมัติไม่เป็น)


(ถ่ายคู่กับเพื่อนคนไต้หวันค่าาา)


(เปลี่ยนบรรยากาศ ออกมาข้างนอกบ้าง)


(รับพรจากท่านเทพ... รับบทโดยเพื่อนสาวชาวจีนค่ะ)


(คนนี้แสดงเป็นผีสาวที่สิงอยู่ในต้นไม้...)


(เฮ้ย มีไร หาเรื่องเรอะ??? - ยากูซ่าแก้ว)


(ไม่ได้หาเรื่อง.. แค่อยากมาหลอก... แฮร่.... - ผีเพี้ยน รับบทโดยเราเอง)


(ปิดท้ายด้วยป้ายชื่องาน)

ความจริงอยากเอารูปคนอื่นมาลงอีกนะ.. แต่ไม่ได้ขอเค้าไว้ ขี้เกียจเซนเซอร์ด้วยอะ เพราะงั้น.. ช่างมันเถอะ ๕๕๕๕

หลังจากลั้นลาได้อยู่ราวๆชั่วโมงก็ถึงเวลากลับหอ เรากับแก้วไปนั่งพักที่หอประมาณชม.นึงก็ถึงเวลาหกโมงเย็น เลยออกมาทานข้าวแถวๆสถานีมินามิเซนริ ใกล้ๆหอ ตอนเดินออกมาฟ้าครึ่มๆ พอใกล้ถึงฝนก็เทลงมาพอดี แต่โชคดีที่เราสองคนใส่เสื้อกันหนาวเป็นผ้าร่ม ตัวเลยไม่เปียกค่ะ

(เซ็ทนี้ราคา ๕๒๐ เยนฮับ อร่อยใช้ได้นะคะ)

หม่ำเสร็จ ฝนก็หยุดตก เราสองคนเดินกลับหอไปด้วยกัน แต่ยังไม่ทันถึง ท่านพี่มิกกี้ก็โทรมาบอกว่าเพิ่งกลับมาถึงที่สถานีมินามิเซนริค่ะ(วันนี้นางไปเที่ยวเกียวโตมา) และ.. จักรยานที่นางยืมแก้วมาใช้และจอดไว้ข้างใต้สถานีมันหายไปไหนก็ไม่รู้ O_O''

สรุป.. เราสองคนเลยต้องเดินวกกลับไปหาพี่แกอีกรอบ เพื่อช่วยหาจักรยานที่หายไป แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ พี่มิกกี้บอกว่าเมื่อเช้ารีบมากเลยลืมล็อกจักรยาน แถมเอาไปจอดไว้ตรงที่เค้าห้ามจอดนานๆด้วยล่ะ เราเลยคิดว่าถ้าไม่ใช่โดนขโมย ก็คงถูกเทศบาลเก็บไปเป็นแน่แท้ =w=;

พรุ่งนี้พี่มิกกี้เลยจะไปหาจักรยานตามป้ายประกาศที่เขียนบอกไว้แถวนั้นว่าจะเก็บจักรยานที่ทำผิดกฎไปไว้ที่ไหน รู้สึกต้องจ่ายค่าปรับด้วย ประมาณสามพันเยน.. เฮ้อ.. พี่มิกนี่มีแต่เรื่องเสียตังจริงๆ(สามอาทิตย์ก่อนกล้องหาย วันนี้หาตังตัวเองที่กดมาไม่เจอ ตอนเย็นก็จักรยานหายอีก Smiley)


เอาล่ะค่ะ เรื่องราวในวันนี้ก็จบลงแล้ว ขอปิดท้ายด้วยรูปนี้รับฮัลโลวีนล่วงหน้านะคะ ฮี่ๆ

(อุวะฮ่าๆๆ เดี๊ยนจิตใช่ไหมล่ะคะ แต่ก็เข้ากับธีมฮัลโลวีนดีน้า  Smiley)








Create Date : 29 ตุลาคม 2555
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2555 23:53:31 น.
Counter : 1598 Pageviews.

4 comment
เดินเที่ยวงาน Midosuji-Kappo



อู้ไม่อัพบล็อกมาหลายวันค่ะ ไม่ค่อยว่างด้วยล่ะ เพราะอาจารย์เริ่มสั่งงานให้อ่านโน่นอ่านนี่/เขียนรายงานละ แถมพอว่างก็โดนเพื่อนชวนไปเที่ยว แหะๆ (=´∇`=)
วันนี้คิดว่าน่าจะเป็นฤกษ์งามยามดี อัพบล็อกที่ไปเที่ยวมาลงซะที (แต่คงไม่หมดหรอกนะคะ เอาไปแค่บล็อกนี้ก่อนละกันนะคะคุณแม่)

คำเตือน.. บล็อกต่อไปนี้โหลดนรกนะคะ เพราะมีรูปเยอะมาก แต่เราย่อรูปลงแล้วคงไม่เป็นไรมั้ง...


14 October 2012
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะหมกตัวอยู่ในหอไม่ออกไปไหน แต่พอตื่นมาตอน 11.00 น.ก็ดันเจอแมสเสจจากเพื่อนคนอินโดชวนไปเที่ยว Midosuji-Kappo ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร เลยไปค้นในกูเกิ้ล เจอข้อมูลในเว็บนี้ค่ะ

"An event to walk along Midosuji which is open for pedestrians for one day only under the concept of “Have a try at becoming a new me, new Osaka!” Encounter a new charming aspect of Osaka and a new challenge. Local specialty from Osaka and many places in Japan, a music stage in six places on site, and a performance square where various programs gather to lift the spirit of the event. Please enjoy one refreshing autumn day in Midosuji."

อืมมม.. น่าสนใจๆ เดินดูร้านค้า โชว์ต่างๆตามท้องถนนไปเรื่อยๆสินะ..

เราเลยตอบตกลงเพื่อนไปค่ะ สรุปว่าก็ไปกันแค่สองคนนี่ล่ะ ออกจากหอตอนเที่ยงกว่าๆ ไปถึงสถานีอุเมดะตอนเกือบบ่าย แล้วเดินไปทาง Jr Osaka ตรงไปเรื่อยๆ (อีกนัยหนึ่งคือดูป้ายตามถนนไปเรื่อยๆ (〜 ̄▽ ̄)〜)อีกประมาณยี่สิบนาทีก็ถึงสถานที่จัดงานค่ะ


ผ่านตึก... ผ่านห้าง..


ผ่านทางเดินที่มีต้นไม้ปลูกอยู่เต็มข้างทาง


ข้ามสะพานเล็กๆ


ถึงสถานที่จัดงานแล้วค่ะ เค้าปิดถนนเพื่องานนี้เลยนะเออ

ภายในงานมีการจัดร้านค้าและซุ้มเกม เป็นซุ้มๆ ตามถนนเลยค่ะ ถนนสายนี้มีสอง - สามเลน ร้านค้าก็เลยมีสองถึงสามแถวตามไปด้วย เดินๆไปตามซุ้มต่างๆเจอเวทีร้องเพลงข้างถนนคั่นเป็นระยะๆด้วยนะ เดินได้เดินดีไม่มีเบื่อค่ะ ┏(^0^)┛


ซุ้มเกมค่ะ น้องๆกำลังเล่นปาบูมเบอแรงอยู่


มีมาสคอตเดินไปเดินมาให้ถ่ายรูปด้วย น้องคนนี้เราไม่รู้จักหรอกนะคะ แต่เห็นถ่ายรูปอยู่เลยไปแจม ฮ่าๆ น่ารักดี (=`ω´=)


เดินไปเจอะกับวงดนตรี.. วงนี้มาแนวสาวน้อย เหมือนจะได้ยินตอนแนะนำตัวว่าอายุแค่ 13-15 เองมั้งคะ 〜( ̄▽ ̄〜)


ส่วนวงนี้ก็ร็อกหน่อยๆ ร้องไปเต้นไป สะบัดหัวไปค่ะ ได้อารมณ์มาก (。⌒∇⌒)。


แต่ละจุดที่มีเวทีจะมีป้ายบอกว่ามีใครมาแสดงตอนไหน เวลาไหนบ้าง


ส่วนซุ้มนี้ขายน้ำผึ้งค่ะ ว่าแต่เค้าทำอะไรกันก็ไม่รู้... แหะๆ


มีน้ำผึ้งให้ชิมฟรีด้วยล่ะ เราไปชิมมาสองช้อน ช้อนแรกเค้าบอกว่าเก็บน้ำผึ้งตอนเดือนเก้า อีกช้อนเก็บตอนเดือนสิบ รสชาติมันต่างกันจริงๆด้วยค่ะ ช้อนที่เก็บตอนเดือนสิบมันจะมีกลิ่นหอมอวลๆมากกว่าของเดือนเก้าล่ะ สีเข้มกว่า รสชาติก็หวานนุ่มกว่าด้วย แต่ทั้งนี้อาจมีปัจจัยอื่นประกอบด้วยนะคะ เช่นเกสรดอกไม้ที่ผึ้งกิน เราไม่รู้ว่ามันเหมือนกันรึเปล่า พอดีฟังไม่ออกทั้งหมดน่ะ 〜( ̄△ ̄〜)


รูปนี้เป็นรูปสินค้าในซุ้มขายของโอทอปค่ะ (แต่ราคาไม่ได้โอทอปตาม.. หรืออาจจะโอทอปของเค้าแต่ไม่ใช่ของคนไทยก็เป็นได้ค่ะ..)


ซุ้มเกมอีกแล้ว เกมนี้ไงที่โนบิตะจากเรื่องโดราเอมอนเล่นเก่งน่ะ (มีอยู่ไม่กี่อย่าง กร๊ากกกก)


มาสคอตในงาน มีหลายตัวมากค่ะ




บางตัวก็ทำหน้าที่แจกของให้คนในงาน


และแล้วเราก็เดินไปจ๊ะเอ๋กับขบวนพาเรดค่ะ


ฮึบ ! ฮึบ !


พักเหนื่อย ฮ่าาาาาา


พอดีบนถนนเส้นนี้มีวัดอยู่ริมถนน เราเลยเดินเข้าไปดู ข้างในวัดก็มีจัดงานนะคะ มีดูดวงด้วยล่ะ! เหมือนที่ไทยเลย เราก็อยากลองดูเหมือนกันแต่เสียดายตัง เพราะฟังไม่ออกแน่ๆ ヾ(-_- )ゞ


มีเกมให้เด็กเล่นอีกละ


วกกลับมาที่ถนน.. เราก็พบกับลูกเสือหลากหลายวัย ฮ่าๆ


มีสวนดอกไม้ให้ชมด้วยค่ะ

หลังจากนี้เป็นซุ้มของทานเล่นค่ะ แต่ไม่ได้ซื้ออะไรมาเลยเพราะมันแพง.. จบจากโซนของกินก็สุดถนนค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าเราเดินไปถ่ายรูปกันไปชิลๆตั้งสามชั่วโมงครึ่ง!?! ตอนนี้สี่โมงครึ่งแล้วค่ะ งานเลิกพอดี พวกเราเลยจะหาทางกลับบ้าง ปรากฎว่าไปเจอป้ายบอกทางไปชินไซบาชิ(คล้ายๆสยามบ้านเรา เป็นถนนที่มีร้านขายของเยอะๆน่ะค่ะ) !! โอ้มายก้อด พวกชั้นเดินมาไกลถึงชินไซบาชิเลยรึนี่.. Smiley คือมันอยู่ห่างจากอุเมดะที่เราลงรถมาสามสี่สถานีแน่ะค่ะ แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว พวกเราเลยตัดสินใจไปเดินเล่นที่ชินไซบาชิกันต่อซะเลย เดินไปได้ไม่นานหรอก ฟ้าก็มืด เลยกลับหอกัน

เป็นอันหมดวัน.. วันนี้เดินเยอะจนเหนือยจริงๆค่ะ แต่ก็สนุกดีนะ Smiley

((เก็บตกจากชินไซบาชิค่ะ)

เสื้อกันหนาวพร้อมฮู้ดลายสนู้ปปี้!! น่าร๊ากกกก Smiley


กีต้าร์ที่ร้านยามาฮ่า ว่างๆว่าจะเอามาเทียบราคากับที่ไทยซะหน่อย


สุดท้ายคือป๊อกกี้รสแพนด้า เอ้ย รสคุ้กกี้แอนด์ครีมที่ซื้อมาค่ะ อร่อยดีนะ เคี้ยวกรุบๆดีตรงช็อกโกแลตเม็ดๆที่เคลือบอยู่ Smiley









Create Date : 22 ตุลาคม 2555
Last Update : 22 ตุลาคม 2555 14:26:08 น.
Counter : 1736 Pageviews.

1 comment
ละลายทรัพย์ที่แหล่งการ์ตูนรอบสถานีอุเมดะ..



10 October 2012

วันนี้เราไปเที่ยวที่อุเมดะกันอีกรอบค่ะ
สืบเนื่องมาจากเราอยากไปช้อปริลักคุมะมากกก และพี่มิกกี้กับแก้วบอกว่าแถวๆอุเมดะมีร้านการ์ตูนที่ขายทุกอย่างอยู่ ทำให้เราเกิดอาการอยากไปเยี่ยมชมขึ้นมาค่ะ ฮ่าๆ วันนี้หลังจากไปหาหมอที่โรงพยาบาลกับพี่มิกกี้ตอนสายๆแล้ว พวกเราสามคนจึงออกเดินทางไปอุเมดะด้วยกันสามคนฮับ

(จะว่าไปคือความจริงไปแค่สอง.. พี่มิกกี้แกจะไปดูคอนเสิร์ต the GazettE แถวๆชิมไซบาชิฮะ)

พอมาถึง พี่มิกกี้เลยแยกตัวไปต่อรถ ส่วนเรากับแก้วก็เดินเล่นในสถานีกันต่อไป จนเจอร้านหนังสือคิโนะคุนิยะในสถานี เลยสอยอาร์ตบุ๊คของแอนนิเมเรื่องแอเรียตตี้มาเล่มนึงค่ะ Smiley

จากนั้นหญิงแก้วก็นำทางเดี๊ยนไปยังต้นกำเนิดมนุษย์สายพันธุ์โอตาคุ อะหึหึ..
ห่างจากสถานีอุเมดะไม่มากเท่าไรค่ะ เดินไปได้ ใช้เวลาแค่ประมาณสิบนาทีเอง.. แล้วเราก็จะเจอสิ่งนี้



จากนั้นก็จะมีบันไดลงไปชั้นใต้ดิน(? รึเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเนินก็ได้นะ) เราก็พบร้านดังกล่าวเจ้าค่ะ ร้านใหญ่พอสมควร แถมข้างหน้ามีตู้กาชาปองเป็นสิบๆยี่สิบตู้ประดับไว้ยั่วกิเลสด้วย ข้าพเจ้าเลยกดท่านเนียนโกะเซ็นเซย์จากนัตสึเมะมาสี่ตัวรวดเดียว โฮะๆๆ


มีเรื่องฮันเตอร์ฮันเตอร์ด้วยนะเออ คุราจังของช้านนน แอร๊ยยยยย  (> <,)
(บ้ามาตั้งแต่มอหนึ่งค่ะ นานแสนนานมาก... สิบปีพอดี)

หลังจากเสียทรัพย์ไป.. เราก็เดินเข้ามาในร้านค่ะ

โอ้มายก้อดดดด ของเยอะมากกก ทั้งการ์ตูนเป็นเล่มๆและของที่ทำให้แฟนคลับซื้อ อาทิแฟ้ม แก้วน้ำ นาฬิกาปลุกเสียงเหมือนตัวละครในการ์ตูน ชุดคอสเพล เกม ฟิกเกอร์ เน็นดรอยด์ พวงกุญแจ ปฏิทิน ซีดีเพลงประกอบแอนนิเม กาชาปอง(อีกแล้ว) และบลาๆๆ เยอะแยะมาก จนตาลาย @_@


(ชุดคอสเพลชิซึจังจาก Durarara! ก็มีขาย.. แต่ราคาแพงมว๊าก สมควรตัดเองดีกว่า..)


(กระเป๋าผ้าก็มี นี่เรื่อง Prince of Tennis ค่ะ)

เราเสียตังไปกับแฟ้มนัตสึเมะอีกแล้วค่ะ สวยจริงจัง ชอบสีแนวๆสีน้ำแบบนี้ที่สุดเลย Smiley
สุดท้ายเราก็หลุดมาจากแหล่งอโคจร(๕๕๕)จนได้ จากนั้นเราก็เดินต่อไปที่ตึก Yodobashi Camera ใกล้ๆสถานีอุเมดะ เพื่อเลือกกล้องให้ท่านพี่มิกกี้ค่ะ นางฝากให้พวกเรามาดูให้เพราะนางทำกล้องถ่ายรูปหายไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว..

Yodobashi Camera เป็นตึกขนาดใหญ่ที่ขายแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชั้นล่างขายพวกอุปกรณ์มือถือ แท็ปเลต เราเสียตังไปอีกห้าร้อยเยนเพื่อติดฟิล์มให้โทรศัพท์มือถือตัวเองค่ะ ส่วนชั้นสองเป็นชั้นอุปกรณ์กล้อง และตู้กาชาปอง(อีกแล้ว.. มันมีทุกที่จริงๆ พอๆกับ Vending Machine เลย) ชั้นสามเป็นต้นไปไม่ทราบว่าเป็นอะไรค่ะ จำไม่ได้เพราะไม่ได้ขึ้นไปดู


(ตู้กาชาปองที่เจอที่นึ่)


หลังจากเดินมาสามชั่วโมง(รวมเวลาหลงทางไปด้วย ที่ไม่กล่าวถึงเพราะไปไหนมาไหนมันก็หลงอะค่ะ ชักจะชิน..ฮ่าาาา) ท้องพวกเราก็เริ่มร้อง พี่มิกกี้บอกว่าเดินไปแถวๆอีกฟากของสถานีอุเมดะ จะเจอตึกกัปปะ(?) ในนั้นมีแต่ร้านอาหารอร่อยๆ เรากับแก้วอยากกินโอโคโนมิยากิ ของขึ้นชื่อของโอซาก้า เลยเดินหาตึกนั้นกันโดยอาศัยจากคำบอกเล่าของพี่มิกค่ะ หลงทางไปอีกราวๆยี่สิบนาทีจนในที่สุดก็เจอจนได้ (= =;)

//เผื่อใครไม่รู้จักกัปปะ กัปปะเป็นปิศาจชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น อาศัยอยู่ตามหนองน้ำ ตรงกลางหัวจะล้านและมีน้ำขังอยู่ บริเวณนั้นห้ามแห้งเด็ดขาด ไม่งั้นกัปปะจะสิ้นฤทธิ์ เพราะงั้นถ้าเจอกัปปะ เค้าว่าให้หลอกให้มันก้มหัวให้ได้ เพื่อให้น้ำบนศีรษะไหลลงมาค่ะ



(ป้ายกัปปะโดดเด่นมาแต่ไกล)


(แหงนหน้าขึ้นไปยนตัวตึก จะเจอกัปปะยืนเซ็กซี่ต้อนรับ)


(ข้างในมีบ่อน้ำของกัปปะด้วยนะ กำลังสวีตกันอยู่ด้วย ฮี่ๆ)

ข้างในมีร้านโอโคโนมิยากิอยู่ร้านเดียว พอเดินเข้าไปจะเจอที่นั่งสองแบบ คือหน้าเตาและโต๊ะ(มีแค่สามโต๊ะ) เราสั่งโมเดิร์นโอซาก้าโอโคโนมิยากิ(เพิ่มเส้น) ส่วนแก้้วสั่งโอซาก้าโอโคโนมิยากิธรรมดาค่ะ

(จานใหญ่มากกกก ทานครั้งเดียวอิ่มไปอีกสองมื้อ จานเราสนนราคา 880 เยนค่ะ)

อ้อ ระหว่างทานกันอยู่ คุณลุงโต๊ะข้างๆ(ที่คงได้ยินเราคุยกับแก้วเป็นภาษาไทย)ถามเราว่าเป็นคนไทยรึเปล่าด้วยนะ คุณลุงพูดภาษาไทยได้ด้วย บอกว่าเรียนภาษาไทยมาตอนอยู่มหาลัย อู้ววววว


พอหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน แต่เรายังหลับไปได้ เพราะต้องเดินทางกลับ แถมพอออกมาข้างนอกก็เผชิญกับอากาศยามค่ำที่เริ่มเย็น ตาเลยสว่างไปโดยปริยายค่ะ

พอดีตอนเดินออกมา ตอนแรกก็กะว่าจะไปร้านหมีริลักคุมะแถวสถานีแล้วกลับหอกันเลยอะนะ แต่พอดีสายตามันเหลือบไปเห็นตึก Tower Record ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตึกกัปปะซะก่อน เลยตัดสินใจเดินเข้าไปดูสักหน่อยค่ะ

ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกนะว่า Tower Record เป็นตึกอะไร แต่พี่มิกกี้ผู้คลั่งไคล้ J-Rock นางมาที่นี่บ่อยเพราะต้องมาซื้อซีดีเพลง ทำให้เรารู้ว่าตึกนี้เป็นตึกที่ขายทุกอย่างเกี่ยวกับเพลง โดยจะมีชั้นนึงทั้งชั้นที่ขายทุกอย่างที่เป็นซีดี พอพวกเราเข้าไปก็ต้องอึ้งกับปริมาณซีดีค่ะ เยอะจริงอะไรจริง มีทุกอย่างเลยทั้งเพลงญี่ปุ่น เพลงสากล เพลงเกาหลี แอนนิเมชั่น(บลูเรย์และดีวีดี) แต่สู้ราคาไม่ไหวจริงๆ สามพันเยนอัพทั้งนั้น ขอยอมแพ้ ดูน้ำลายไหลไปอย่างเดียวก่อนก็แล้วกันนะคะ Smiley



(ดีวีดีเพลงนัตสึเมะ หน้าปกเซนเซย์ สี่พันเยนได้ แอร๊กกกก ลาก่อนนะ รอตอนรวยจะมาซื้อ Smiley)


(โซน Ghibli Collection สวรรค์ของช้านนนนน Smiley)

หลังจากฟินกับโลกส่วนตัวของแต่ละคนเรียบร้อย(โลกการ์ตูนของเรากับโลกเคป็อบของหญิงแก้ว) โดยไม่ซื้ออะไร เพราะถือคติ ดูแต่ตา มือต้องได้ แต่ห้ามซื้อ(ไม่งั้นอาจไม่มีตังเหลือไว้ทานข้าว) เราก็มุ่งหน้ากลับสถานีอุเมดะเพื่อไปร้านน้องหมีค่ะ



(ร้านน้องหมีค่าาาาาา ตั้งอยู่ทางเหนือของสถานีอุเมดะ ทั้งร้านมีแต่ของน่ารักทั้งน้านนน)

ยังไม่พอค่ะ ตอนเดินออกไปจากร้านเพื่อไปสถานี ดันผ่านร้านสตูดิโอจิบลิแบบไม่คาดฝันอีกต่างหาก โฮรกกก รอบสถานีอุเมดะมีแต่แหล่งยั่วกิเลสทั้งนั้นเลยSmiley


(เป็นร้านเล็กๆ ข้างในของแพงมากค่ะ แต่ก็น่ารักมากด้วยเช่นกัน มีตุ๊กตารถแมวจากโตะโตะโร่ด้วย กรี๊ดดดด)


สุดท้ายกลับมาถึงหอ(จนได้)ตอนประมาณสองทุ่มกว่าๆค่ะ เป็นวันที่เหนื่อยและเสียตังไปเยอะมาก(ในความรู้สึก แต่ความจริงยังไม่อาจเทียบเท่าแม้เพียงครึ่งเดียวของท่านพี่มิกกี้ได้ เพราะนางใช้ไปสามหมื่นเยนในวันเดียวเพื่อซื้อของหน้าคอนเสิร์ต!!! โอ้จอร์จ.. เยอะไปไหนคะ)

ของที่ซื้อมาค่ะ



(เซนเซย์น่ารักที่สุดเลยค่าาา Smiley)









Create Date : 14 ตุลาคม 2555
Last Update : 14 ตุลาคม 2555 22:12:29 น.
Counter : 2180 Pageviews.

5 comment
ไปชมงานกีฬาเด็กประถมกับโฮสต์



7 October 2012


อย่างที่บอกไปในบล็อกเมื่อวานว่าวันนี้เรานัดกับโฮสต์ไปชมงานกีฬา(運動会)ของเด็กประถมที่โรงเรียนแถวๆนี้ พี่ต.ก็จะไปกับเราด้วย แล้วก็โรงเรียนก็ใกล้ชนิดที่ว่าขนาดนัดกับโฮสต์ไว้ตอน 11 โมง พวกเราออกจากหอตอน 10.45 น. ยังไปถึงก่อนเวลา 5 นาทีเลยค่ะ(เดินทางลัดตัดสวนสาธารณะมา) 

สถานที่จัดงานคือสนามบอลในโรงเรียนค่ะ กลางสนามเป็นที่สำหรับไว้แข่งกีฬา ส่วนข้างสนามมีเต๊นท์กางไว้หลายๆเต้นท์ไว้ให้อาจารย์ ผู้ปกครอง ผู้สนับสนุนโครงการ และเด็กๆที่ไม่ได้แข่งในรายการนั้นๆชมการแข่งขัน โดยจะแบ่งเป็นโซนๆ โซนที่โฮสต์เราทำงานอยู่คือโซน 来賓(らいひん) เป็นโซนวีไอพีค่ะ แต่ก็เห็นโฮสต์ช่วยเขาแจกของอยู่นะ อาจจะเป็น PTA ก็ได้มั้งคะ (ขออภัยจริงๆที่จนป่านนี้ยังไม่รู้ว่าโฮสต์ตัวเองทำอะไร สื่อสารกันยากมากจริงๆค่ะ โฮสต์พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย)

พี่ต.บอกกับเราว่า วันนี้เป็นวันกีฬาแห่งชาติของญี่ปุ่น โรงเรียนทั่วญี่ปุ่นก็จะจัดกีฬาแล้วเชิญพ่อๆแม่ๆมาร่วมงานพร้อมกัน พิธีนี้พี่ต.ได้ยินว่าเริ่มมาตั้งแต่สมัยที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพงานกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1964 ค่ะ แล้วก็จัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่เค้าจะพยายามเลือกวันหยุดเสาร์อาทิตย์เป็นวันงานเพื่อให้พ่อแม่พี่น้องของเด็กๆมาร่วมงานได้ค่ะ น่ารักดีเนอะ Smiley

ตอนที่เราไปถึงโฮสต์กำลังทำงานอยู่(แจกของ) โฮส์เลยให้พวกเราไปนั่งโซนวีไอพี บอกให้ดูกีฬาไปก่อน พร้อมกับแจกใบโปรแกรมมาให้อ่าน(คันจิล้วน...) ตอนที่เราไปถึงเด็กๆกำลังแข่งรายการที่เก้าอยู่ค่ะ เป็นการแข่งวิ่งคล้ายๆวิ่งสามขา แต่อันนี้แทนที่จะเอาขาติดกันกลับเอาตัวเด็กใส่ไปในกางเกงคนละข้างแล้วให้วิ่งให้ถึงเส้นชัย...


(น่ารักดีนะคะ น้องบางคนหกล้มแล้ววิ่งต่อ ทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลังด้วย กร๊ากกกก)



(นี่คือสิ่งที่เรียกว่าที่นั่งวีไอพีค่ะ โฮะๆ.. ว่าแต่ ชั้นได้ช่วยอะไรเค้าบ้างเนี่ย =_=)

ต่อไปรายการที่สิบเป็นการแข่งวิ่งโดยเอาลูกโป่งติดไว้ที่เอว แล้วกลิ้งให้แตกก่อนถึงเส้นชัยค่ะ รายการที่สิบเอ็ดแข่งเป็นทีม เป็นการวิ่งผลัดโดยให้ลากตะกร้าที่ใส่ลูกเทนนิสสามลูกไปด้วย.. เกมนี้ก็น่ารักค่ะเพราะในทีมจะมีทั้งเด็กทั้งผู้ปกครอง เรากับพี่ต.ขำกันตัวโยนเลยล่ะตอนที่คุณพ่อไม้สุดท้ายรีบวิ่งมากเกินไปจนลูกบอลร่วงไปสามรอบแล้วน้องตัวเล็กในทีมก็กระโดดเหยงๆอยู่กลางสนามคอยลุ้นเต็มที่ ฮ่าๆ

รายการต่อไปเป็นอีกรายการที่ดูแล้วอดจะอมยิ้มไม่ได้อีกแล้วค่ะ เป็นการแข่งคล้ายๆกินวิบาก แต่ให้คุณพ่อคุณแม่เด็กๆมีส่วนร่วมด้วย โดยที่คุณพ่อกับคุณแม่จะแบกลูกไว้ที่หลัง แล้ววิ่งไปจนถึงเชือกที่แขวนขนมปังไว้อยู่ น้องๆต้องใช้ปากงับขนมปังให้ได้แล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องวิ่งต่อให้ถึงเส้นชัย


(เอ้า เตรียมตัวววววว ระวังงงงง.....)


(ไป !!!)


(สู้เค้านะ หนูน้อย)

ต่อจากนั้นก็เป็นกีฬาแข่งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ค่ะ แข่งโยนบอลลงห่วงให้ได้มากที่สุดภายในกำหนดเวลา ทีมผู้ใหญ่ใช้บอลสีขาว ทีมเด็กใช้บอลสีแดง ที่ตลกคือตอนแรกเค้าเซ็ทห่วงสองสีให้เท่ากันค่ะ แล้วทีมป้าๆลุงๆก็โยนห่วงแบบเยอะมาก แต่ทีมเด็กดันโยนมั่วค่ะ บอลเยอะกว่าอย่างเห็นได้ชัดแต่ลงห่วงไม่กี่ลูกอะ สุดท้ายเค้าเลยปรับให้ห่วงของผู้ใหญ่สูงกว่าเดิมส่วนของเด็กให้เตี้ยลง คราวนี้น้องๆให้พ่อแม่อุ้มปาบอลลงห่วงค่ะ ฮ่าๆ


(เล่นกันแบบนี้เลย Smiley)

จากนั้นก็พักทานข้าวกลางวันกันค่ะ โฮสต์ก็ขอโอเบนโตของโรงเรียนมาให้เรากับพี่ต.ด้วย ทานข้าวด้วยกันในเต้นท์นั่นล่ะ แต่เราแอบเห็นเด็กๆนั่งทานโอเบนโตกับครอบครัวบนเสื้อใต้ร่มไม้ด้วยนะ เหมือนมาปิกนิกกันเลย น่าร๊ากกกกก Smiley


(โอเบนโตของเราค่ะ อร่อยใช้ได้เลย นี่เป็นภาพถ่ายจากกล้องมือถือใหม่ของเราที่รีวิวไว้ในบล็อกที่แล้วล่ะ พอดีลืมเอากล้องไป แหะๆ)

ช่วงบ่ายมีโปรแกรมที่ให้คนนอกเข้าร่วมได้ โฮสต์เราก็จัดการเลยค่ะ ให้เรากับพี่ต.เข้าไปเล่นกะเค้าด้วยแบบงงๆ คือพอบอกว่า 借り物ก็พอเข้าใจอะนะว่าให้แข่งยืมของ แต่ประเด็นคือมันต้องวิ่งไปหยิบป้ายที่เขียนของที่เราจะต้องยืมไว้มาอ่านน่ะสิคะ จะอ่านออกไหมเนี่ยยยยย

โชคยังดี มีคุณป้าข้างๆพอรู้ว่าพวกเราเป็นชาวต่างชาติเลยบอกว่าจะช่วย พอสัญญาณปืนยิงปุ๊บ เราวิ่งไปที่ป้ายแล้วยิ่นให้ป้าแกอ่านเลยค่ะ ฮ่าๆ ป้าแกก็น่ารักนะ ชี้ไปที่กลางสนามที่กองของแปลกๆชนิดที่ว่าคงไม่มีใครพกติดตัวมางานกีฬาไว้อยู่ เราเลยวิ่งไปแล้วเอาป้ายที่ให้คุณลุงที่ประจำตรงนั้นอ่านอีกทีค่ะ คุณลุงอ่านแล้วก็ยื่นไม้แรกเก็ตเทนนิสมาให้ เลยเก็ทตอนนั้นเองว่าตัวเองโดนให้ยืมอะไร ฮ่าๆ

พี่ต.หนักกว่านั้นค่ะ เจ้แกได้ป้ายแล้วกำลังงงอยู่ คุณป้าคนนั้นก็ช่วยเราอยู่ ปรากฎว่าโฮสต์เราวิ่งมาหาพี่แล้วหยิบป้ายไปดูเองเลยค่ะ พออ่านจบโฮสต์ก็ไม่พูดไม่จา แต่คว้าหมวกจากฝูงชน(?)ที่ยืนอยู่ข้างสนามมาสวมให้พี่แล้ววิ่งจูงเข้าเส้นชัยไปเฉยเลย พี่ต.บอกว่างงมากค่ะ แล้วตอนหลังเจ้าของหมวกเดินมาทวงหมวกกับพี่ต.ด้วยนะ ฮ่าๆ อ้อ.. ทุกคนที่เล่นเกมจะได้ของรางวัลนะคะ ของคนอื่นไม่รู้ว่าได้อะไร แต่เรากับพี่ต.ได้กล่องทิชชู่เช็ดหน้าค่ะ

หลังจากนั้นเราก็ได้ลงแข่งกีฬาคนแก่อีกค่ะ มันคือการเอาเบ็ดตกปลาเกี่ยวถุงพลาสติกที่ใส่ทิชชู่ไว้ข้างใน(อีกแล้ว) พอตกถุงได้ก็ให้วิ่งเข้าเส้นชัย แล้วของในถุงนั่นล่ะคือของรางวัล.. ตอนแรกเรากับพี่ต.เกือบไม่ได้แข่งเกมนี้ เพราะคุณลุงคุณป้าหันมาบอกเราว่า "ตรงนี้สำหรับคนอายุหกสิบนะหนู" แต่คุณลุงที่รู้จักกับโฮสต์วิ่งมาบอกค่ะว่าพวกเราเป็นคนต่างชาติ พวกเราเลยได้สิทธิพิเศษแข่งกีฬาคนแก่ ฮ่าาาา

อีกเกมที่เราได้เล่นคือเกมวิ่งแข่งค่ะ แต่ก่อนถึงเส้นชัยจะมีถุงพลาสติกทึบวางไว้อยู่ให้ก้มเก็บแล้ววิ่งต่อจนถึงเส้นชัย และแน่นอนว่าของในถุงก็คือของรางวัลนี่ล่ะ(อีกแล้ว..) เรากับพี่ต.ได้ซองซอสทาหน้าโอโคโนมิยากิ แต่พวกเราทำโอโคโนมิยากิไม่เป็นอ้ะ.. ถือเป็นของที่ระลึกแทนก็แล้วกันเนอะ อิอิ
(คนอื่นๆบางคนก็ได้น้ำตาล บางคนได้เกลือ บางคนได้เกล็ดขนมปังไว้ทำเทมปุระค่ะ)


หลังจากนั้นก็มีแข่งอีกสองสามรายการ เช่นชักเย่อ วิ่งผลัด วิ่งวิบากสำหรับเด็กโต

(บรรยากาศการแข่งขันชักเย่อค่ะ)

สุดท้ายก็เป็นพิธีปิดงาน เด็กๆทุกคนมารวมตัวกันในสนามแล้วเต้นออกกำลังกายประกอบเพลง บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองและคุณครูที่อยู่ในเต้นท์ก็เต้นไปกับเด็กๆด้วยนะ น่ารักมากเลย Smiley


(บรรยากาศพิธีปิดงาน)


จากนั้นก็เหมือนเป็นการสุ่มจับฉลากของรางวัล โดยครูใหญ่จะจับฉลากคูปองจากในกล่องที่วางไว้ให้เด็กๆและผู้ปกครองใส่คูปองของตัวเองลงไปตั้งแต่เช้า ของรางวัลก็มีตั้งแต่พรมเช็ดเท้า ข้าวสารถุงละห้ากิโล ไปจนถึงจักรยานค่ะ เด็กๆลุ้นกันมาก ยืนล้อม(คนที่เราคิดว่าน่าจะเป็น)ครูใหญ่แล้วลุ้นผลการจับสลากกันอย่างใจจดใจจ่อ


(รูปนี้เป็นภาพหลังจากประกาศผลรางวัลใหญ่ไปแล้วค่ะ ตอนแรกครูใหญ่(มั้ง)จับคูปองที่เจ้าของไม่อยู่ขึ้นมา หลังจากรอไปสักพักแล้วไม่มีคนแสดงตัว ครูใหญ่เลยถามเด็กๆว่าให้จับใหม่ไหม เด็กๆก็ตอบว่า จับใหม่สิฮะ ๕๕๕ จนพอจับใหม่ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ได้จักรยานรางวัลที่หนึ่งไปครอบครองค่ะ)


งานวันนี้สนุกและน่ารักดีจริงๆค่ะ ถึงเราจะฟังภาษาเค้าไม่ค่อยรู้เรื่องแต่บรรยากาศเป็นกันเองมาก เราชอบไอเดียที่ทำงานกีฬาเด็กให้เหมือนกิจกรรมสันทนาการเชื่อมสัมพันธ์ในครอบครัวนะ มันดูอบอุ่นและน่ารักดีเวลาเห็นพ่อแม่กับลูกช่วยกันแข่งกีฬา แถมจัดพร้อมกันทั่วประเทศอีก เหมือนเป็นเทรนด์รณรงค์ให้พ่อแม่มางานกีฬากับลูกเลยอะ Smiley

การมางานกีฬาครั้งนี้ ทำให้เราหวนนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยอ่านตั้งแต่สมัยเด็กๆ ชื่อเรื่องว่า โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง ในหนังสือเล่มนี้เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของคุโรยานางิ เท็ตสึโกะ ดาราและพิธีกรชื่อดังของญี่ปุ่นสมัยที่เธอเป็นเด็กตัวเล็กๆในช่วงก่อนสงครามโลกคร้งที่สอง ในหนังสือมีการบอกเล่าเรื่องราวตอนที่เธอเป็นเด็กประถม มีเรื่องงานกีฬาสี ที่คุณครูพยายามจัดงานให้เด็กและผู้ปกครองทุกคนมีส่วนร่วม(เด็กพิการก็ร่วมแข่งกับเด็กปกติได้ด้วย) ของรางวัลของการแข่งกีฬาก็ไม่ได้เลิศเลอ แต่กลับเป็นพวกผัก ผลไม้ อุปกรณ์เครื่องครัว เพื่อให้เด็กภูมิใจในตัวเองและนำของรางวัลไปทานได้ เด็กบางคนไม่ชอบทานผัก แต่พอแข่งกีฬาชนะแล้วได้ผักมา กลับวิ่งถือผักไปบอกแม่ให้เอาผักไปทำเป็นอาหารเย็น.. งานกีฬาที่เรามาพบครั้งนี้อาจไม่ได้เหมือนกับในหนังสือทั้งหมด แต่บรรยากาศกลับคล้ายกันอย่างเห็นได้ชัด อย่างของรางวัล แม้จะไม่ใช่ผักสด แต่ก็เป็นของใช้ และของกินที่เอาไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ดูแล้วรู้สึกว่าน่ารักจังเลยค่ะ

ขอบคุณโฮสต์มากๆ ที่พาเราไปชมงานกีฬาของเด็กๆ เด็กๆดูสนุกสนานมีความสุขมาก ขนาดเราที่เป็นผู้ใหญ่ยังรู้สึกสนุกตามไปด้วยเลยค่ะ ถ้าโฮสต์ไม่ชวน เราคงพบเห็นสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ง่ายๆแน่(ยกเว้นจะมีลูก ลูกเข้าเรียนที่นี่แล้วเราต้องมางานกีฬากับลูก อะไรแบบเนี้ย =w=;)

ขอบคุณพี่ต.มากๆที่ถ่ายภาพสวยๆมาให้ สารภาพบาปว่าลืมกล้องไว้ในห้องจริงๆด้วยค่ะ กลับมาตั้งเด่นเป็นสง่าเลย ฮ่าๆ










Create Date : 07 ตุลาคม 2555
Last Update : 8 ตุลาคม 2555 0:30:18 น.
Counter : 2407 Pageviews.

2 comment
My host family and her house.



5 October 2012

วันนี้เป็นวันพบโฮสต์แฟมิลี่ค่า โฮสต์ของฮันไดจะไม่ใช่โฮสต์แบบที่เราเห็นกันทั่วไป เพราะไม่มีการพาเด็กไปค้างค่ะ เป็นแค่ครอบครัวที่คอยซัพพอร์ตเรา พาไปเที่ยว พาไปชมสถานที่ต่างๆ ทำกิจกรรมร่วมกันอะไรแบบนี้เท่านั้น..

เวลานัดพบคือบ่ายสาม ที่แคมปัสซุยตะ แต่เราเรียนเสร็จตั้งแต่สิบโมงครึ่ง หลังจากกินข้าวแล้วเราเลยเดินไปห้องสมุดเพื่อ... ไปนอนหลับค่ะ Smiley
(เป็นการใช้สถานที่ได้ถูกวิธีมาก ฮ่าๆ แหมมมม ก็มันอ่านไม่ออกนี่คะ)


จากนั้นพอถึงเวลานัดเรากับอลิส(เพื่อนคนไต้หวัน)และพี่มิกกี้ก็เดินไปสถานที่นัดพบด้วยกัน แต่พี่มิกไม่ได้มาพบโฮสต์วันนี้หรอกนะ เธอพบโฮสต์ไปเรียบร้อยตั้้งแต่อาทิตย์ที่แล้วล่ะค่ะ


มีคนมาพบโฮสต์วันนี้ราวๆยี่สิบกว่าคน ก่อนพบโฮสต์เราจะได้ฟังขั้นตอนการปฏิบัติตัวกับโฮสต์แบบคร่าวๆจากผู้ดูแลโครงการ จากนั้นจะได้รับกระดาษที่พิมพ์ข้อมูลคร่าวๆของโฮสต์มาหนึ่งแผ่น และจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ ๔-๕ คน

ตอนได้กระดาษมาเราตื่นเต้นมากค่ะ เพราะบ้านโฮสต์อยู่แถวๆหอเราเลย ชนิดที่ว่าเดินไปหาได้อะ ห่างกันประมาณ ๒๐ นาที(เดิน) แต่ถ้าปั่นจักรยานคงจะเร็วกว่านี้ละมั้ง..

โฮสต์เราชื่อนากาโมโต้ซัง อายุหกสิบปลายๆ งานอดิเรกคือ Japanese cultures in general.. Ohhhh จำได้ว่าตอนสมัครมันมีคำถามว่าจุดประสงค์ที่เข้าร่วมโครงการคืออะไรแล้วเรากรอกไปว่าอยากเรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นค่ะ เลยได้โฮสต์ด้านวัฒนธรรมมาจริงๆด้วย ฮ่าๆ

โฮสต์เราความจริงมีลูกชายด้วยนะคะ ในกระดาษบอกว่าลูกเค้าแก่กว่าเราสิบสองปี.. อืม... Smiley


จากนั้นผู้ดูแลโครงการก็เรียกเด็กออกไปหาโฮสต์เป็นกลุ่มย่อยตามห้องค่ะ เรากับอลิสอยู่กลุ่มเดียวกันด้วยล่ะ เลยเดินไปด้วยกัน พอเข้าห้องปุ๊บ เราก็เดาได้เลยว่าใครคือโฮสต์เรา... เพราะ...



เธอใส่กิโมโนสีเขียวมาค่า สวยมากกกก คือรู้เลยว่าน่าจะใช่แน่ๆ(ดูจากงานอดิเรก ฮ่าๆ)
แต่ปัญหาเริ่มปรากฎค่ะ เพราะนากาโมโต้ซังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ส่วนเราก็ได้ญี่ปุ่นแค่นิดหน่อย สรุปคือ..เราต้องเดาคำพูดกันค่ะ = =''

สรุปคือ โฮสต์เรามีอาชีพเป็นครูสอนใส่กิโมโนค่ะ เราเลยตกลงกันว่าวันพรุ่งนี้โฮสต์จะมารับที่หอเราตอนสิบเอ็ดโมงเพื่อไปดูคลาสสอนใส่กิโมโนค่ะ และมะรืนนี้จะพาไปดูงานแข่งกีฬาที่โรงเรียนประถมทสึกุโมได(แถวหอนี่ล่ะ)

หลังจากนัดแนะกันเสร็จ(เป็นไปอย่างไม่ค่อยราบรื่น เพราะปัญหาด้านภาษา = =') เราก็แยกย้ายกันกลับ โฮสต์ถามเราว่าจะติดรถกลับหอไหม แต่พอดีเราปั่นจักรยานมากับพี่มิกกี้เลยปฎิเสธไป (ออ.. พี่มิกกี้ยืมจักรยานแก้วมาใช้น่ะค่ะ)

จากนั้นเรากับพี่มิกกี้ก็ปั่นจักรยานกลับหอ ก่อนกลับผ่าน P-Mart เลยแวะซื้อของ ปรากฎว่าเจอโฮสต์อีกรอบค่ะ กิโมโนสีเขียวเด่นมาแต่ไกล เรากับพี่มิกกี้เลยขอถ่ายรูปกับโฮสต์กัน


(ขอตัดหน้าออกนะคะ ไม่ได้ขอมาลงค่ะ)

จากนั้นก็กลับหอ แล้ววันนี้ก็จบลงค่ะ






6 October 2012

วันนี้เรานัดกับโฮสต์ไว้ตอนสิบเอ็ดโมงที่หน้าหอ โฮสต์ตรงเวลามาก สิบเอ็ดโมงเป๊ะ รถเข้ามาจอดหน้าหอปั๊บ คนขับคือลูกศิษย์ของโฮสต์ชื่อมิโฮโกะซังค่ะ เรานั่งไปบ้านโฮสต์กัน บ้านโฮสต์ของเราเหมือนเป็นอพาร์ทเม้นค่ะ แต่ข้างในใหญ่เหมือนบ้านเลย ห้องนั่งเล่นโฮสต์เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด ด้านหนึ่งเป็นห้องแบบบญี่ปุ่น อีกฟากเป็นห้องทานข้าว(ไม่มีผนังกั้น) ข้างๆโซนทานข้าวมีห้องครัวกั้นเป็นห้องแบบไม่มีประตูอยู่ ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ยกเว้นโซนห้องญี่ปุ่นที่เป็นห้องเสื่อทาทามิโล่งๆ มีตู้เก็บขอด้านข้าง และมีกิโมโนแขวนอยู่บนผนังสามตัวค่ะ

โฮสต์ให้เราลองใส่กิโมโนด้วยล่ะ คนช่วยใส่คือมิโฮโกะซัง แต่โฮสต์เราคอยช่วยอยู่ข้างๆตลอดเวลา กิโมโนสีน่ารักมากค่ะ สีโอโรส เวลาใส่กิโมโนต้องถอดเสื้อออกก่อนแล้วใส่กิโมโนสีขาวผืนบาง(はだじゅはん)ไว้ชั้นใน จากนั้นก็เอาแถบปกคอกิโมโนมาผูกไว้อีกชั้น แล้วค่อยเอาชุดกิโมโนที่มีสีสันสวยงามใส่เป็นชั้นนอก ต้องใส่แบบซ้ายทับขวานะคะ เพราะถ้าใส่ขวาทับซ้ายจะใช้ในพิธีศพค่ะ ตรงนี้ขั้นตอนยุ่งยากมาก ต้องรีดเสื้อให้เรียบ รัดชุดให้ตึง จากนั้นก็เอาโอบิมาสวมทับต่อ ใช้ผ้าหลายชิ้นมากในการผูก โอบิของกิโมโนที่เราใส่ยาว 4.7 เมตรค่ะ ยาวมากจนเวลาพับชายตรงข้างหลังต้องมิโฮโกะซังทำคนเดียวไม่ได้ แต่พอดีมีนักเรียนอีกคนเข้ามา ก็เลยช่วยกันผูก หลังจากผ่านไปราวยี่สิบนาทีได้ การใส่กิโมโนก็เสร็จ นากาโมโต้ซังก็พาเราไปทำผมต่อค่ะ แต่พอดีเราผมสั้นเลยไม่ต้องแต่งอะไรมาก แค่เอากิ๊บติดๆไปก็เสร็จ



(รูปกิโมโนที่เราใส่ค่ะ แถบโอบิที่มิโฮโกะซังผูกให้โฮสต์บอกว่าเป็นการพับแบบโชโจ(ผีเสื้อ)ค่ะ มีหลายรูปแบบ การพับแบบดอกไม้ก็มีค่ะ)

หลังจากที่แต่งตัวให้เราและถ่ายรูปเสร็จ นักเรียนสองคนก็หันไปฝึกแต่งกิโมโนกับหุ่นต่อค่ะ ฟังคร่าวๆแบบไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร(เพราะไม่มีใครอธิบายเป็นภาษาอังกฤษให้เค้าฟังได้เลย Smiley) ว่าฝึกเพื่อไปแต่งให้แม่เจ้าสาวในงานแต่งงานแบบญี่ปุ่นที่จะมีช่วงปลายเดือนนี้


(เป็นกิโมโนสีดำ ที่เป็นสีสุภาพ)

จากนั้นโฮสต์ก็เลี้ยงขนมกับชาค่ะ เราเชื่อว่าโฮสต์ต้องอ่านรายละเอียดของเราที่มหาลัยส่งไปให้อย่างละเอียดแน่นอน เพราะเธอหันมาถามเราว่าทานกาแฟกับโซดาไม่ได้ใช่ไหม.. = =;
เราเขียนลงไปในใบสมัครแบบนั้นจริงๆล่ะ ชักสงสัยแล้วสิว่าโฮสต์รู้ข้อมูลอะไรของเราบ้าง หุหุ

หลังจากนั้นก็กลับบ้านค่ะ มิโฮโกะกับโฮสต์พาเรากลับไปส่งถึงหอเลย ใช้เวลาอยู่กับโฮสต์แค่สองชั่วโมงกว่าๆแต่สนุกมากค่ะ ได้เห็นการสวมกิโมโนเป็นครั้งแรกด้วย ครั้งหน้าคือวันพรุ่งนี้โฮสต์จะพาเราไปโรงเรียนประถมเพื่อดูงานกีฬา ชักอยากรู้แล้วสิว่าจะเป็นยังไงSmiley









Create Date : 06 ตุลาคม 2555
Last Update : 7 ตุลาคม 2555 0:03:43 น.
Counter : 906 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  

แมวกับพระจันทร์
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]



New Comments