imagination explosion
Group Blog
 
All Blogs
 

my first stort story "เขตปลอดภัย"

ก่อนอื่นคงต้องขอพูดถึงที่มาของการเขียนหนังสือของผมก่อนนะครับ ตอนนี้ผมยังไม่อาจเรียกตัวเองว่านักเขียนได้เพราะพึ่งเขียนงานจริงๆไปงานเดียวคืองานนี้ นอกนั้นเขียนอยู่ในหัวทุกวี่ทุกวัน ซึ่งก่อนหน้านี้มันก็เป็นอย่างนี้ละครับ คิดไปเรื่อยๆ วางพล๊อต วางตัวละคร วางปม วางทุกอย่าง แต่!ไม่ได้เริ่มเขียนจริงๆซักที วันเวลาล่วงเลยไปจนผมขึ้นปี2ซึ่งก็คือไม่นานมานี้ได้มีข่าวคราวว่าจะมีค่ายค่ายนึงชื่อค่าย เยาวชนนักเขียนกับศิลปินแห่งชาติ ดีมากๆ วิทยากรระดับสุดยอดมีworkshop และสุดท้ายก็จะได้เขียนเรื่องสั้นคนละเรื่องเพื่อให้คณะวิทยากรได้ประเมิน ใครที่ได้ระดับดีขึ้นไปก็จะได้รับเลือกให้ตีพิมพ์ โอ้ ผมละตัดสินใจเลยครับว่า ไป แน่นอน เพราะคิดมาตลอดว่าเรามันไม่ยอมทำอะไรเลยครั้งนี้ละจะได้รู้กันซักทีว่าเราเหมาะกับอาชีพนักเขียนไม๊ สรุปว่า ไปถึงค่ายระยะเวลา5วัน ส่งเรื่องสั้น1เรื่องในวันที่4 คนที่อ่านงานเราคือ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์และนักเขียนอาชีพ โอ้วว เกร็งสิครับงานนี้ มีเวลา4วัน เครียดมากๆ เกิดมาไม่เคยคิดพล๊อตเรื่องสั้น(คิดแต่พวกแฟนตาซี) เราก็เอาไงดีฟะ คนที่มาค่ายเป็นตัวแทนจากทุกมหาวิทยาลัยจากทั่วประเทศซึ่ง(สถาบันละ2คน(บางสถาบันก็เกิน)) ทุกคนมีงานมาหมด เราก็ เอ่ออออ แล้วเราจะรอดไหม คิดไปคิดมา เอาวะ ช่างมันประไรได้มานี่ก็กำไรชีวิตสุดๆ เอาละ ลองเขียนดู สรุปว่างานของผมได้รับคัดเลือกให้ตีพิมพ์ครับ(มีซักสิบกว่างาน) แบบ ดีใจสุดๆๆๆ ทำให้เราคิดว่า เราเองก็เจ๋งเหมือนกันนะเนี่ย(ปรกติจะไม่มั่นใจในตัวเองเลย) ผลงานที่ผ่าน(จากวิทยากร)ได้รับการตีพิมพ์จะได้รับคำวิจารณ์ข้อคิดเห็นจากศิลปินแห่งชาติ ของผมได้คุณอัศศิริ ธรรมโชติ แบบว่า ดีใจสุดๆที่ได้รับคำวิจารณ์จากนักเขียนระดับนี้~
แรงบันดาลใจของเรื่องจะขออธิบายไว้หลับจบเรื่องนะครับ


เขตปลอดภัย
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาอย่างนุ่มนวลลอดผ่านหมู่แมกไม้เขียวขจี สร้างความสดใสให้สวนใจกลาง “เขตปลอดภัย” สายลมพัดพาใบไม้ให้ไหวอย่างอ่อนโยน ดอกไม้หลากสีหลายพันธุ์แข่งกันเบ่งบานรับอาทิตย์ นกนานาชนิดพากันออกบินรับยามเช้าส่งเสียงจ๊อกแจ๊กหน้าฟัง ลมสายหนึ่งพัดมาอย่างเบาบางประทะเข้ากับเรือนผมสีน้ำตาล ลู่ไปตามใบหน้าผุดผ่องสดใส ดวงตากลมโตหลุบมองหนังสือที่กางอยู่บนตัก เธอมองกระดาษชิ้นหนึ่งที่คั่นอยู่บนหน้าหนังสือ กระดาษชิ้นนั้นดูคล้ายรูปถ่ายของใครคนหนึ่ง เรียวปากอวบอิ่มได้รูปถูกเม้มสนิท คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง…

“อีฟ! อยู่ที่นี่นี่เอง” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในสวนและร้องทัก‘อีฟ’
เธอสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนสีหน้าหันมายิ้มทักทาย
“ฮื่อ เรามานั่งเล่นรับลมน่ะ เช้านี้อากาศดีเชียว”เธอตอบพลางปิดหนังสือ
“อืม…ชั้นจะมาชวนเธอน่ะ”เพื่อนของเธอตอบอย่างร่าเริง
“ชวน…ชวนไปไหนหรอ?” อีฟถาม
“คืนนี้ไง ไปที่นั่นน่ะ” เธอตอบพร้อมขยิบตาให้
อีฟมีท่าทีอึดอัก “แต่…”
“โอ๊ย” เพื่อนเธอร้องขึ้นอย่างเบื่อหน่าย “เธอเองก็เคยไปมาแล้ว ชั้นเองก็ด้วย ไม่เป็นไรหรอกน่า”
อีฟนิ่งไปครู่หนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากัน “ก็ดีเหมือนกัน ที่นั่นก็สนุกดี พวกของแปลกๆพวกนั้น”
“ใช่ พวกนั้นไง พวกนั้นให้ของชั้นมาด้วยนะ” เพื่อนตอบอย่างกระตือรือร้น พลางหยิบของสิ่งหนึ่งจากกระเป๋าส่งให้อีฟ อีฟหยิบมันขึ้นมาส่องกับแดดดู มันเป็นวัตถุทรงกลมโปรงคล้ายแก้วเจียระไนขนาดเท่าฝ่ามือ

“สวยจังเลย…ข้างในมีอะไรด้วยนะ!” ภายในวัตถุโปร่งแสงมีเครื่องจักรสีดำขนาดเล็กทำงานอยู่ ดูคล้ายจะมีชีวิต หากไม่พิจารณาดูให้ดี ก็จะไม่สามารถเป็นได้เลย
“ช่างมันเถอะ! แต่มันก็ดูสวยใช่ไหมล่ะ” เสียงของเพื่อนฉายแววแห่งความรำคาญ
“ใช่ เปลือกน่ะ แต่…ดูสิ จุดเล็กๆที่คล้ายเมล็ดถั่วนั่น” อีฟตั้งข้อสังเกตและส่งลูกแก้วคืนให้ “มันดูน่ากลัวเหมือนกันนา” เพื่อนของเธอรับแล้วมองลูกแก้วนั้น แต่ก็ไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแต่อย่างใด “มันดูสวยออก ไม่เห็นต้องใส่ใจอย่างอื่นเลย” เธอตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋าตามเดิม
“อีกอย่าง ที่นี่ “เขตปลอดภัย”นะ มันจะไปมีอะไรไม่ดีได้ยังไงล่ะ” เพื่อนย้ำ
““ไม่ดี”หรอ? จะว่าไปเราก็ไม่ค่อยรู้อะไรเลยนะว่าอะไรคือ“สิ่งไม่ดี”น่ะ” อีฟตั้งข้อสังเกต
““เจ้าหน้าที่”คงจัดการไปหมดแล้วล่ะ โดยเฉพาะใน“เขตปลอดภัย”นี้ พวกเขากันพวกมันออกไปให้ไกลจากพวกเราอยู่แล้วนี่”
“ใช่ มันเป็น “นโยบาย””อีฟยอมรับ “อันสำคัญยิ่งของที่นี่ สิ่งที่“ไม่เหมาะสม”จะถูกปิดกั้นไปจนหมด…จนทำให้พวกเรา ไม่รู้จักอะไรเลย”
“ช่างประไร ในเมื่อ“เจ้าหน้าที่”บอกว่า พวกมันเป็นสิ่งไม่ดี ไม่เหมาะสม แถมถูกปิดกั้นไปจนหมดแล้ว เราจะไปสนใจเรียนรู้รู้จักมันทำไม”
“คงงั๊นมั๊ง เรื่องแบบนี้ ให้เป็นหน้าที่ของ“เจ้าหน้าที่”ไป” อีฟเห็นพ้อง “ถึงมันจะเหมือนเราถูกตีกรอบก็เถอะ” อีฟพึมพำ
“จุ๊ๆ ระวังหน่อยเดี๋ยว“เจ้าหน้าที่”ได้ยินเข้า” เพื่อนปราม
อีฟขมวดคิ้ว “ฮึ!! อะไรก็ไม่ได้ เอาเถอะๆ ไว้ค่ำนี้เราไปหาความแปลกใหม่ที่นั่นกับพวกนั้นกัน”
“ใช่ ที่นั่นสนุกจะตาย ถึงพวกนั้นจะมีรูปร่างแปลกซักหน่อย แต่...”
“ก็ดูสวยงามดี” อีฟขัดขึ้นอย่างรู้ใจ พร้อมเสริมว่า “ไม่รู้ว่าภายในจะซ่อนอะไรไว้เหมือนลูกแก้วนั่นรึเปล่า”
“วนกลับเรื่องเดิมอีกแล้วนะ” เพื่อนแย้ง
“เอาเถอะ เราเองก็ชักชอบพวกนั้นแล้วเหมือนกัน แม้ว่า เราจะไม่รู้ว่าพวกนั้นคืออะไร…หรือว่าจะเป็น“เครื่องจักร””
“พูดอะไรน่ะ!! ” เพื่อนร้องอย่างตกใจ “เธอหมายถึง สิ่งชั่วร้ายที่พยายามจะกลืนกินมนุษยชาติที่ทำให้เกิดที่นี่ขึ้นน่ะรึ”
“เราเองก็ไม่รู้อะไรมากหรอก แต่เราเคยหลงเข้าไปใน “หอสมุด”เขตหวงห้ามน่ะ แล้วบังเอิญไปเจอคำนี้เข้า”
“งั๊นเหรอ พวกเราอยู่ที่นี่ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยนะ มันเป็นยังไงล่ะ?” เพื่อนถาม
“ไม่รู้สิ ยังไม่ทันได้เปิดอ่าน ก็โดนพบตัวเข้าซะก่อน เราเลยรู้เท่าที่เธอรู้นั่นแหละ รู้เพียงแต่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี”
“สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ชั่วร้าย” เธอทวนคำ
“พอเถอะๆ เราไปกันเถอะ” เพื่อนบ่นพลางชี้ไปยังก้อนเมฆสีดำที่ค่อยๆคืบคลานเสมือนหนึ่งกำลังกัดกินท้องฟ้าที่แจ่มใส“ฝนเริ่มตั้งเค้าแล้ว”เพื่อนย้ำ
“ว๊า…เรากะจะนั่งรับลมเย็นอีกนานๆซักหน่อย งั๊น เราไปหาพวกนั้นบ่ายนี้เลยดีไหม? ”
“อื้อ ดิสิ งั๊นเรารีบไปทานข้าวกัน” เพื่อนกล่าวอย่างลิงโลด
“ไปกันเถอะ” อีฟตกลง

แท้จริงแล้ว“เครื่องจักร”เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี มันเป็นสิ่งชั่วร้ายที่สุดที่พยายามเข้ากลืนกินโลกมนุษย์ ด้วยการล่อหลอกและเข้าครอบงำ ในความเป็นจริง มันเป็นสิ่งที่เกิดจากตัวมนุษย์เอง มันถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับคนเราและซุกซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกและดำมืดที่สุดของจิตใจ หากมนุษย์ผู้นั้นมีจิตใจที่อ่อนแอมากเท่าใด พวกมันก็จะยิ่งเข้าครอบงำได้อย่างง่ายดายมากขึ้นเท่านั้น และในที่สุด ความเสื่อมทรามของสังคมมนุษย์ที่พัฒนาจนถึงขีดสุดก็ทำให้พวกมันแข็งแกร่งจนกระทั่งสามารถพัฒนาจนมีเกิดเป็นรูปร่างขึ้น พวกมันเริ่มสร้างอาณาจักร ล่อลวงและเข้าครอบงำทำลายความเป็นมนุษย์ไปจนหมดสิ้น รูปร่างที่แท้จริงของพวกมัน ดูคล้ายเครื่องจักรที่มีชีวิต ดำสนิทและน่าพรั่นพรึง พวกมันจะห่อหุ้มตัวเองด้วยสิ่งลวงต่างๆที่มนุษย์หลงใหลและปรารถนา และเมื่อมนุษย์หลงใหลในสิ่งลวงนั้น พวกมันจะเข้ายึดร่างกายของผู้โชคร้ายนั้นอย่างโหดเหี้ยม มนุษย์ผู้นั้นจะไม่ใช่นายของกายตนเองอีกต่อไป พวกเขาจะยังรับรู้แต่ไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้ ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น ในช่วงเวลาสุดท้ายของคนเหล่านั้น พวกเขา จะมานึกเสียใจ ก็สายไปเสียแล้ว และในห้วงเวลาสุดท้ายพวกเขาจะคิดคร่ำครวญถึงสิ่งที่พวกเขารัก พวกมันจะนำพาร่างของพวกเขาเหล่านั้น ไปทำลายสิ่งที่พวกเขารักมากที่สุด…ด้วยน้ำมือตนเอง

เพราะเหตุนี้จึงมี “นโยบาย”ที่จะป้องกัน “เยาวชน” ออกจาก “เครื่องจักร” ด้วยการสร้าง “เขตปลอดภัย”ขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เด็กทุกคนจะได้ไปอยู่ใน “เขตปลอดภัย” นี้

พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เมฆฝนสีดำแพร่กระจายปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าที่แดงฉาน แสงแดดเหลือเพียงรำไรเรื่อรางเกือบจะมืดสนิท แทบจะมองไม่เห็นทาง เมื่อฟ้าแลบแปลบปลาบ แสงสีขาวจ้าก็ทาบไปที่หมู่ไม้ต้นสูง ดูน่าสะพรึง ลมพัดกระโชกกระชากกิ่งไม้ส่งเสียงหวีดหวิว ท้องทุ่งหม่นหมอง น้ำในลำธารดำสนิทเหมือนน้ำหมึกชั้นดี แสงไฟริบหรี่เล็ดลอดจากกระท่อมซอมซ่อ หญิงวัยกลางคนในชุดมอซอผู้หนึ่งนั่งทอดอาลัยอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ผมสีน้ำตาลแห้งกระด้างถูกเกล้าไว้อย่างลวกๆมีผมขาวแทรกประปราย ใบหน้าฉายแววทรุดโทรมเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า เธอเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปเงิน เธอจ้องมองมัน ดวงตาฉายแววแห่งความสุข กรอบรูปนั้นสลักเป็นลวดลายลูกและใบแอปเปิลงดงาม ผิดกับสิ่งอื่นที่ทรุดโทรมและคร่ำคร่า เธอเหม่อมองมันเนิ่นนาน รอยยิ้มคลี่ไปทั่วใบหน้า…
““อีฟ”ตอนนี้ลูกคงโตแล้วสินะ” เธอพึมพำแล้วทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ไกลออกไป เธอมองเห็นเสาสีขาวต้นหนึ่งที่สูงใหญ่ มีแสงสีแดงสว่างวาบจากยอดเสาเป็นระยะ แสดงให้เห็นถึง อาณาเขตของ “เขตปลอดภัย”
“ตอนนี้ลูกคงมีความสุขดี…และ อยู่ห่างไกลจาก สิ่งเหล่านั้น”เธอละล่ำละลัก น้ำตาเริ่มเออคลอ “แม้ว่าแม่จะต้องแลกด้วยทุกสิ่งทุกอย่างก็ตาม…แม่จะไม่ยอมให้ลูกต้องเป็นแบบพ่อ!!” เธอยกชายผ้าขึ้นซับน้ำตา แสงจ้าจากฟ้าแลบสาดเข้ากระทบร่างของเธออีกครา เผยให้เห็นหญิงผู้เหนื่อยล้าแต่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่งและเข้มแข็ง
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม”

ประตูกระท่อมเปิดผางออก! ผู้เป็นแม่สะดุ้งสุดตัวและเพ้งมองไปที่ประตูที่เปิดอ้า เธอเห็นร่างสมส่วนแต่เพียงลางๆ
“ลูก…ลูกอีฟใช่ไหม…ทำไมถึงมาที่นี่ได้” เสียงของเธอสั่นเครือแต่ก็เคลือบแฝงด้วยความดีใจ
เธอเบิกตาดูอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นความผิกปรกติของร่างนั้น ดูคล้ายกับหุ่นเชิดที่เคลื่อนไหวติดๆขัดๆ
แสงจ้ากระทบร่าง เสียงฟ้าคำรามดังกึกก้อง ดวงตาของผู้เป็นแม่เบิกกว้าง สภาพของบุตรสาวปรากฏชัดต่อสายตา

“ไม่…ไม่จริง”เธอค่อยๆยันร่างขึ้น ร่างสั่นระริก กรอบรูปเงินยังคงอยู่ในมือที่สั่นเทา สายลมยังคงกระหน่ำซัดอย่างไม่ปราณี ร่างของอีฟขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปน เส้นเอ็นปูดแข็งสีเข้มเหมือนโลหะ คล้ายเป็นโครงเหล็กที่ใช้เชิดร่างนั้น ดวงตาเบิกกว้างอย่างผิดธรรมชาติ ลูกตาสีแดงก่ำเหมือนเส้นเลือดแตกจ้องมองมายังผู้เป็นแม่ แววตานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมและความเจ็บปวด ในชั่วขณะหนึ่งเธอสบสายตามารดาด้วยสายตาวิงวอน คล้ายให้รีบหนีไป ดวงตาสั่นระริก น้ำตาหยดใสๆหยดหนึ่งไหลผ่านแก้มที่ดูไร้ชีวิต ทันใดนั้น ใบหน้าของเธอกระตุกและบิดเบี้ยวแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส ร่ายกายที่เคยงดงามก็กระตุกตาม เครื่องจักรน่ารังเกียจฝังตัวปูดโปนออกมาจากบริเวณต้นคอส่งเสียงดังหึ่งๆเบาๆ กลางฝ่ามือมีมีดหน้าตาประหลายค่อยๆแทงทะลุออกมา…

ร่างของเธอกระตุกอีกครั้ง มารดาผู้ไม่สามารถจะทำอะไรได้ได้แต่ยืนมองด้วยน้ำตาที่นองและหัวใจที่เจ็บปวดสุดประมาณ อีฟพุ่งร่างเข้าหาเธอดั่งสัตว์ร้าย

มารดาโผร่างเข้าหมายกะโอบกอดบุตรสาวเป็นครั้งสุดท้าย
ฟ้าผ่าสนั่นหวั่นไหว เสียงโลหะตกกระทบพื้นดังกึกก้อง เสียงอีกสิ่งหนึ่งตกกระทบพื้นดังตึงหนักๆ

สายฝนโปรยปรายอย่างแผ่วเบาราวกับพยายามจะประโลมปลอบแผ่นดินที่เจิ่งนองไปด้วยกองเลือด ไม่นานโลหิตสีแดงฉานก็ถูกพัดพาไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย แต่เสียงกรีดร้องร่ำไห้อย่างบ้าคลั่งคละเคล้าไปด้วยเสียงร้องของฝูงนกที่แตกรัง ประดุจท่วงทำนองแห่งความตายอันแสนระทม





จริงๆผมตั้งใจจะจบแค่นี้ครับ แต่ที่เขียนในงานมันแบบว่า...ผมเลยแต่งตอนเสริมตอนท้ายเข้าไปด้วยว่า




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2550    
Last Update : 16 ตุลาคม 2550 11:51:29 น.
Counter : 291 Pageviews.  


Alovera
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




วรรณกรรมเชิญทางนี้ฮะ
หลังไมค์กดตรงนี้ได้เลยคร๊าบ
Friends' blogs
[Add Alovera's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.