กองทัพฟิลิปปินส์ ตอนที่ 1
กองทัพฟิลิปปินส์ (ตอนที่ 1)
โดย
พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ Master of International Relations (with merit) Victoria University of Wellington, New Zealand
ลงพิมพ์ในนิตยสารท้อปกัน ปี พ.ศ.2557
สงวนลิขสิทธิ์ในการลอกเลียนเพื่อการค้า เนื่องจากกำลังรวมเล่ม อนุญาตให้เผยแพร่เพื่อความรู้และการศึกษาเท่านั้น
ประเทศฟิลิปปินส์หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "สาธารณรัฐฟิลิปปินส์" (The Republic of the Philippines) นับเป็นประเทศที่มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยในหลายๆ ด้านมากที่สุดประเทศหนึ่งในสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตาของประชาชนชาวฟิลิปปินส์ จะมีความละม้ายคล้ายกับคนไทยจนแทบแยกไม่ออกว่า ใครคือคนฟิลิปปินส์ หรือ ใครคือคนไทย นอกจากนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของทั้งสองประเทศ ยังมีความใกล้เคียงกันอย่างมากคือ 1 บาท เท่ากับ 0.7 เปโซโดยประมาณ รวมทั้งฟิลิปปินส์ยังเป็น 1 ใน 5 ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนเช่นเดียวกับประเทศไทย ในอดีตที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์นับเป็นประเทศที่มีบทบาทโดดเด่นทางด้านความมั่นคงและประสบความสำเร็จมากที่สุด ในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย เช่น สายการบินของฟิลิปปินส์ หรือ "ฟิลิปปินส์แอร์ไลน์" (Philippines Airlines) นับเป็นสายการบินแรกของเอเชีย ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1941 และกลายเป็นต้นแบบของการบินพาณิชย์ในภูมิภาคนี้ จนแม้กระทั่งสายการบินของญี่ปุ่น หรือ "แจแปนแอร์ไลน์" (Japan Airlines) ยังต้องส่งบุคลากรมารับการฝึกฝนจากฟิลิปปินส์ เช่นเดียวกับธนาคารพัฒนาแห่งเอเชียหรือ "เอดีบี" (ADB : Asia Development Bank) ก็มีสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ มาตั้งแต่ปีค.ศ.1966 ส่วนทางด้านวิชาการนั้น ฟิลิปปินส์ได้รับการยอมรับว่า มีความรุ่งเรืองและมีมาตรฐานสูง จนกลายเป็นประเทศที่นักเรียน นักศึกษา จากประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง นิยมเดินทางไปศึกษาต่อกันเป็นจำนวนมาก ความโดดเด่นความรุ่งเรืองและความสำเร็จของฟิลิปปินส์ เริ่มถูกบดบังจากประเทศอื่นๆ ในละแวกใกล้เคียง เนืื่องมาจากการปกครองในระบอบเผด็จการอันยาวนานกว่าสามทศวรรษของอดีตประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส (Ferdinand Marcos) ที่เข้าดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 ส่งผลให้การคอร์รัปชั่นฝังรากลึก ลงในสังคมของประเทศ และกลายเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายการพัฒนาประเทศ ในแทบทุกด้าน อีกทั้งยังทำให้หนี้ต่างประเทศของฟิลิปปินส์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ฟิลิปปินส์ยังถูกซ้ำเติม ด้วยวิกฤติทางเศรษฐกิจอีก ในช่วงทศวรรษที่ 1980 จนนักลงทุนจากต่างชาติ เคลื่อนย้ายฐานลงทุนไปยังประเทศข้างเคียง แต่รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดี มาร์กอส ก็ไม่ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังมากนัก ในปี ค.ศ.1986 ประชาชนต่างลุกฮือ เพื่อโค่นล้มจอมเผด็จการมาร์กอสลงใน "การปฏิวัติพลังประชาชน" (the People Power Revolution) แต่ภาวะวิกฤติของฟิลิปปินส์ ก็ยังไม่หมดสิ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง ยังเต็มไปด้วยความสับสน มีการปฏิวัติและการกบฎ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แทบจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ และในช่วงนี้นี่เองที่ประเทศไทยและอินโดนีเซีย ได้มีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ทำให้เริ่มทิ้งห่างฟิลิปปินส์อย่างเห็นได้ชัด เศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้ชาวฟิลิปปินส์กว่าร้อยละ 30 ต้องอาศัยอยู่ในสภาพที่ยากจน รวมทั้งส่งผลให้กองทัพฟิลิปปินส์ ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพให้มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ได้ จนกระทั่งนิตยสาร "นิคเคอิอาเซียน รีวิว" (the Nikkei Asian Review) ถึงกับขนานนามฟิลิปปินส์ว่า "คนป่วยแห่งเอเชีย" (Sick man of Asia) ทำให้รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโนที่ 3 (Benigno Aquino III) หรือที่ชาวฟิลิปปินส์รู้จักกันในนาม "นอยนอย" ซึ่งเข้าบริหารประเทศเป็นประธานาธิบดีคนที่ 15 มาตั้งแต่ปี ค.ศ.2010 ต้องประกาศนโยบายต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างเอาจริงเอาจัง ดังคำกล่าวของเขาที่ว่า ".. เมื่อปราศจากคอร์รัปชั่น .. ก็จะปราศจากความยากจน .." (Without corruption, there will be no poverty) ตลอดจนยังมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการรักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังประกาศกฏหมายคุมกำเนิด เน้นการวางแผนครอบครัวที่มีประสิทธิภาพ แม้จะได้รับการต่อต้านจากกลุ่มผู้นำศาสนาโรมันคาทอลิค และพวกหัวเก่า แต่อดีตประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโน ก็เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับโน้มน้าวประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ให้เห็นถึงความสำคัญของการคุมกำเนิดว่า จะนำมาซึ่งการลดความยากจน และนำไปสู่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันฟิลิปปินส์ มีประชากรประมาณ 97 ล้านคน (96.7 ล้านคน ในปี ค.ศ.2012 จากตัวเลขของธนาคารโลก) และคาดว่าจะถึง 100 ล้านคน ในปีค.ศ.2014 นี้ ส่งผลให้กลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุด เป็นอันดับสองรองจากประเทศอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภายหลังที่ประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโนพัฒนาประเทศ และทำการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ได้ทำให้ "ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ" หรือจีดีพี (GDP: Gross Domestic Product) พุ่งสูงขึ้น จนถึงระดับร้อยละ 7.2 ในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายนของปี ค.ศ.2012 ซึ่งนับเป็นอัตราที่สูงที่สุด ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน สวนทางกับประเทศข้างเคียง ที่ประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เช่น ไทยและเวียดนาม เป็นต้น หน่วยงานต่างๆ ทั้งในสหรัฐฯและยุโรป ต่างชื่นชมความพยายามของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ในการต่อสู้กับปัญหาคอรัปชั่นในประเทศ ตลอดจนมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ความชื่นชมดังกล่าวส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ เริ่มหวนกลับมาสู่ดินแดนแห่งนี้ โดยในช่วงสองเดือนแรกของปี ค.ศ.2013 มีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้าไปลงทุนในฟิลิปปินส์ เป็นจำนวนสูงถึง 33,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น "ไห่เยียน" (Haiyan) เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2013 ก็ได้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อฟิลิปปินส์ และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมากเช่นเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์คือ "กิจการธุรกิจรับจ้างบริหารระบบธุรกิจ "หรือ"บีพีโอ" (Business Process Outsourcing หรือ BPO) ซึ่งเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการให้บริการ "คอลล์เซนเตอร์" (Call Centre) และ "ดิจิตอลคอนเทนท์" (Digital Content) ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่เติบโตขึ้นในอัตราร้อยละ 40 ระหว่างปี ค.ศ.2006 2007 โดยในปี ค.ศ.2007 นั้น ธุรกิจบีพีโอสามารถสร้างรายได้กว่า 4,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสร้างงานให้กับคนฟิลิปปินส์ได้กว่า 300,000 อัตรา จนในปี ค.ศ.2008 2009 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของฟิลิปปินส์ ได้อนุมัติคำขอรับการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือในการลงทุนของบริษัท บีพีโอ จากต่างประเทศ ทำให้กิจการธุรกิจรับจ้างบริหารระบบธุรกิจ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน และกรุงมะนิลา เมืองหลวงของประเทศ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นจุดหมายปลายทางของธุรกิจ บีพีโอ ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยโค่นเมือง บังกาลอร์ ของอินเดียที่เคยครองตำแหน่งมายาวนานลงอย่างราบคาบ ส่งผลให้บริษัท ไอบีเอ็ม (IBM) ของสหรัฐฯ จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อใช้ในธุรกิจบีพีโอในกรุงมะนิลา และในเกาะมินดาเนา เพื่อรองรับความเจริญเติบโตดังกล่าว นอกจากนี้รัฐบาล ยังได้ตั้งเป้าหมายให้ฟิลิปปินส์ ครองส่วนแบ่งตลาดของโลกธุรกิจบีพีโอให้ได้ ร้อยละ 10 ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจดังกล่าวของฟิลิปปินส์ มีมูลค่ากว่า 13,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี ค.ศ.2012 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี ค.ศ.2016 ตลอดจนสามารถสร้างงานจำนวนกว่า 770,000 อัตรา และคาดว่าจะสูงถึง 1.3 ล้านคน ในอนาคตอันใกล้นี้ สำหรับอัตราค่าจ้างขั้นต้นในธุรกิจบีพีโอนั้น อยู่ที่ 15,000 เปโซซึ่งสูงกว่าค่าแรงในภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจอื่นๆ รายได้ที่งดงามเหล่านี้ ส่งผลให้มีการกระตุ้นอัตราบริโภคของผู้คนภายในประเทศอย่างเห็นได้ชัด คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ฟิลิปปินส์ประสบความสำเร็จในธุรกิจ บีพีโอ คือความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ในการสื่อสารของชาวฟิลิปปินส์ ที่มีศักยภาพสูงมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ยังทำให้ชาวฟิลิปปินส์ออกเดินทางสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ, ยุโรป, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และตะวันออกกลาง เพื่อทำงานในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่งานเล็กๆ เช่น แม่บ้าน เรื่อยไปจนถึงการเป็นพนักงานบริษัทต่างๆ , ครูสอนภาษา, บุคลากรทางการแพทย์ ไปจนถึงผู้บริหารระดับกลาง ซึ่งสามารถทำรายได้จำนวนมหาศาล โดยในปี ค.ศ.2010 เงินโอนสุทธิจากแรงงานโพ้นทะเลของฟิลิปปินส์ หรือ "โอเอฟดับเบิลยู" (Overseas Filipino Workers : OFWs) กลายเป็นแหล่งรายได้อันดับสองของประเทศ โดยมีสูงถึง 18,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปีละกว่าร้อยละ 10 จนสูงถึง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี ค.ศ.2011 และ 21,390 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี ค.ศ.2012 สำหรับประเทศที่ชาวฟิลิปปินส์นิยมไปทำงานมากที่สุด คือสหรัฐฯ ส่วนประเทศไทยนั้น ชาวฟิลิปปินส์ก็นิยมมาประกอบอาชีพเช่นกัน แม้จะยังมีไม่มากนัก แต่ก็สามารถส่งเงินกลับประเทศของตนได้เป็นจำนวนกว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าเมื่อมีการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว ชาวฟิลิปปินส์จะหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยอาศัยความได้เปรียบทางด้านภาษา โดยเฉพาะบุคลากรสายการแพทย์ ซึ่งเงินโอนสุทธิจากแรงงานฟิลิปปินส์นี้ ได้ส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศเป็นอย่างมาก จนทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของฟิลิปปินส์ขยับขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และเริ่มกลายเป็น "คนป่วย" ที่กลับมายืนหยัดในสังคมโลกได้อีกครั้งหนึ่ง นอกจากอดีตประธานาธิบดี เบนิกโน อาคิโน จะแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างได้ผลแล้ว เขายังมุ่งแก้ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนทางตอนใต้ บริเวณเกาะมินดาเนา (Mindanao) ที่เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศมายืดเยื้อยาวนาน ด้วยการหาหนทางเจรจากับกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (MoroIslamic Liberation Front) ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่เกาะมินดาเนาแห่งนี้ มาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 16 ก่อนที่สเปนจะเข้ายึดครองฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมเสียอีก กลุ่มชาวมุสลิมเหล่านี้ต่อต้านการตั้งรกรากของชาวคริสเตียน โดยกล่าวหาว่าชาวคริสเตียนเหล่านี้ กำลังช่วงชิงและยึดครองดินแดนของชาวมุสลิม แม้ว่าในปัจจุบันร้อยละ 90 ของชาวฟิลิปปินส์จะนับถือศาสนาคริสต์ก็ตาม ความขัดแย้งในเกาะมินดาเนาขยายตัวอย่างรุนแรง ในช่วงปี ค.ศ.1970 จนกลายเป็นสงครามแบ่งแยกดินแดน ที่ดำเนินมานานกว่าสี่ทศวรรษ มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100,000 คนการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่หยุดชะงัก ส่งผลให้ประชาชนกว่าครึ่งหนึ่งในเกาะมินดาเนา ที่มีประชากรประมาณ 20 ล้านคน ต้องอยู่ในสภาวะยากจน แม้ดินแดนดังกล่าวจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วย แร่ธาตุทองคำ, ตะกั่ว และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ มากมาย เมื่อมีการเจรจาสันติภาพเกิดขึ้น ในเดือนตุลาคม ค.ศ.2012 รัฐบาลและกลุ่มแนวหน้าปลดปล่อยอิสลามโมโร ตกลงที่จะกำหนดกรอบเจรจาสันติภาพ โดยให้มีการจัดตั้งเขตปกครองตนเองบนเกาะมินดาเนาในปี ค.ศ.2016 หลายฝ่ายต่างก็คาดหวังว่า เมื่อสงครามและความขัดแย้งที่นองเลือดยุติลง นักลงทุนจากโลกภายนอก จะสามารถเข้าไปลงทุนและพัฒนาพื้นที่ในเกาะมินดาเนาได้ อดีตประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโน่ มีความมุ่งมั่นอย่างมาก ที่จะยุติปัญหาดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ.2012 เขาได้แถลงถึงความคืบหน้าในการเจรจา จัดทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโรว่า จะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศ ให้มุ่งไปสู่ความมีเสถียรภาพ อีกทั้งช่วยส่งเสริมบทบาทแก่ภาคธุรกิจ ที่จะเข้าไปพัฒนาเกาะมินดาเนา ที่เคยเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าว ทั้งนี้รัฐบาลและกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร ได้พยายามร่วมลงนามข้อตกลงสันติภาพเป็นครั้งแรก ในอีกสามวันต่อมา คือวันที่ 15ตุลาคม แต่ก็ยังมีความคืบหน้าไม่มากเท่าที่ควรจนมีความพยายามที่จะลงนามเป็นครั้งที่สอง โดยประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโน ถึงขนาดสั่งการหัวหน้าผู้แทนฝ่ายรัฐบาลในการเจรจา ไม่ให้เดินทางกลับกรุงมะนิลา จนกว่าจะบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยเขาคาดหวังว่าข้อตกลงสันติภาพจะบรรลุผลก่อนสิ้นสุดวงรอบ การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่สองของเขา ในปี ค.ศ.2014 แม้ว่าจะยังคงมีการต่อต้านจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนบางกลุ่ม เช่น กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร (MoroNational Liberation Front : MNLF) ที่ไม่พอใจในการเจรจากับรัฐบาลของกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร และรู้สึกว่ากลุ่มของตนกำลังถูกกีดกันออกจากการเจรจา จึงบุกยึดเมือง "ซามบวงกา" (Zamboanga) เมื่อกลางเดือนกันยายน ค.ศ.2013 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการสู้รบอย่างรุนแรง แต่ในที่สุดกองทัพฟิลิปปินส์ก็สามารถปราบปรามกลุ่มดังกล่าวลงได้อย่างราบคาบ จนนานาชาติต่างจับตามองฟิลิปปินส์ว่า หากสามารถเอาชนะปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการแบ่งแยกดินแดนปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาความยากจนได้ ฟิลิปปินส์จะสามารถก้าวเข้าสู่อนาคตอันสดใสอย่างแน่นอน ปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้การพัฒนากองทัพฟิลิปปินส์ (ArmedForces of the Philippines : AFP) หรือ เอเอฟพี ซึ่งประกอบไปด้วย กองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ เป็นไปด้วยความยากลำบาก ในห้วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผลที่ปรากฏออกมาคือกองทัพฟิลิปปินส์เต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์ที่ประจำการอยู่มาเป็นเวลานาน แม้จะมีความพยายามในการประกาศพัฒนากองทัพไปสู่ความทันสมัย ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1995 ด้วยการออกกฏหมายสาธารณรัฐ ฉบับที่ 7898 (Republic Act No.7898) เพื่อให้กองทัพสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างเต็มขีดความสามารถ ตามรัฐธรรมนูญ ในการปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศ ตลอดจนรักษาไว้ซึ่งมรดกแห่งชาติ แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ก็ได้ส่งผลให้แผนการพัฒนากองทัพดังกล่าวไม่บรรลุผลสำเร็จ ดังนั้น เพื่อพัฒนากองทัพให้สามารถรับมือกับภัยคุกคาม ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการแผ่ขยายอำนาจทางทะเลของจีน จนทำให้เกิดกรณีข้อพิพาท เหนือหมู่เกาะสแปรตลีในทะเลจีนใต้ ซึ่งอยู่ห่างจากดินแดนฟิลิปปินส์เพียงประมาณ 200 กิโลเมตร โดยฟิลิปปินส์เรียกว่าหมู่เกาะ "กาปูลูอันงัง กาลายาอัน" (Kapuluan Ng Kalayaan) อยู่ในเขตเมือง "กาลายาอัน" จังหวัด "ปาลาวัน" (Palawan) แต่อยู่ห่างจากดินแดนของจีนกว่า 1,200 กิโลเมตร รวมทั้งการประกาศอย่างชัดเจน ถึงการมีเป้าหมายที่จะเป็น "เจ้าทะเล" ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคของกองทัพจีน ทำให้ประธานาธิบดีเบนิกโน อาคิโน่ ได้อนุมัติกฏหมายสาธารณรัฐฉบับที่ 10349 (Republic Act No.10349) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.2012 เพื่อฟื้นฟูโครงการพัฒนากองทัพฟิลิปปินส์อีกครั้ง (โปรดติดตามตอนที่ 2)
Create Date : 03 กันยายน 2557 | | |
Last Update : 3 กันยายน 2557 8:35:54 น. |
Counter : 2116 Pageviews. |
| |
|
|
|