ติมอร์ เลสเต จากบันทึกหน้าหนึ่งของทหารไทย ตอนที่ 1
ติมอร์ เลสเต จากบันทึกหน้าหนึ่งของทหารไทย ตอนที่ 1 จากหนังสือเรื่อง "สิบกองทัพอาเซียน" โดย พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ Master of International Relations (with merit) Victoria University of Wellington, New Zealand บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.การพิมพ์ พ.ศ.2537 ห้ามทำซ้ำหรือดัดแปลงเพื่อการพาณิชย์ ให้ใช้เผยแพร่เพื่อการศึกษาหรือสำหรับผู้สนใจค้นคว้าเท่านั้น
ประเทศติมอร์ เลสเต (Timor Leste) นั้นเดิมคือติมอร์ตะวันออก หรือที่อินโดนีเซียเรียกว่า "ติมอร์ ติมูร์" (Timor Timur) คำว่าติมูร์เป็นภาษาอินโดนีเซียแปลว่าตะวันออกบางครั้งชาวอินโดนีเซียเรียกชื่อ ติมอร์ตะวันออกย่อๆว่า "ทิม ทิม" (Tim Tim) ส่วนชาวติมอร์ตะวันออกเรียกชื่อดินแดนของตนในภาษาพื้นเมือง "เตตุน" (Tetum : แม้ Tetum จะเขียนลงท้ายด้วยอักษรเอ็ม (M) แต่ก็ออกเสียงเป็นเอ็น (N) .. ผู้เขียน) ว่า "ติมอร์ โลโรไซ" (Timor Lorosae) โดยคำว่า "โลโรไซ" แปลว่าตะวันออกเช่นเดียวกัน ปัจจุบันติมอร์เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นภาษาโปรตุเกส ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมดั้งเดิมมานานกว่า 400 ปีว่า "ติมอร์ เลสเต" โดยคำว่า" เลสเต" ในภาษาโปรตุเกสก็แปลว่าตะวันออก เช่นเดียวกัน ติมอร์ เลสเตเป็นประเทศที่แสดงความประสงค์จะเข้าเป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.2011 แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วม แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาประเทศสมาชิกอาเซียนหลายประเทศ ต่างแสดงท่าทีสนับสนุนคำร้องขอของติมอร์ เลสเต ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย, ไทย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, บรูไนหรือแม้แต่พม่า ล่าสุดในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 22 ประจำปี 2013 ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไน สมาชิกอาเซียนได้ยินยอมตกลงให้ติมอร์ เลสเต เข้าประชุมในฐานะประเทศผู้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งถือว่าเป็นก้าวสำคัญของติมอร์ เลสเต อีกก้าวหนึ่ง ในความพยายามที่จะก้าวเข้าสู่ความเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน คงต้องติดตามกันต่อไปว่า อาเซียนจะมีสมาชิกประเทศที่ 11 ที่ชื่อติมอร์ เลสเต หรือไม่และเมื่อใด หน้าแรกของประวัติศาสตร์ติมอร์ เลสเตเปิดฉากขึ้น เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2542 เมื่อประชาชนชาวติมอร์ตะวันออก ร้อยละ 78.57 ลงประชามติให้ดินแดนติมอร์ตะวันออกแยกตัวเป็นเอกราช และแยกตัวออกจากการเป็นดินแดนในการปกครองของประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้กองกำลังกึ่งทหารชาวติมอร์ตะวันออก หรือที่รู้จักกันในนาม "มิลิเทีย" (Militia) ซึ่งยังมีความจงรักภักดีต่อประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากบางคนทำธุรกิจค้าขายหรือเป็นพนักงานในบริษัทของชาวอินโดนีเซีย ยิ่งไปกว่านั้นบุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกทหารอินโดนีเซียฝึกให้เป็นกองกำลังรักษาหมู่บ้านหรือชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับทหารอินโดนีเซีย ดังนั้นกลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่พอใจต่อการแยกตัวเป็นเอกราช เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นคือ เป็นเพียงรัฐที่มีอำนาจปกครองตนเองภายใต้อำนาจอธิปไตยของประเทศอินโดนีเซีย หรือที่เรียกว่า "โปร ออโทโนมี" (Pro-autonomy) จึงได้ก่อความไม่สงบขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากทหารอินโดนีเซีย ทั้งด้านอาวุธและทุนทรัพย์ ส่วนชาวบ้านทั่วไปที่สนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราช เรียกว่าพวก "โปรอินดีเพนเดนซ์" (Pro-independence) ส่วนใหญ่ไม่มีอาวุธ จึงถูกพวกมิลิเทียเข่นฆ่าไปทั่วทั้งดินแดนติมอร์ตะวันออก กลุ่มติดอาวุธมิลิเทียเหล่านี้มีมากมายหลายกลุ่ม และกระจัดกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วดินแดนติมอร์ตะวันออก เช่น กลุ่มไอทารัก (AITARAK แปลว่าคมหอก) ทำการเคลื่อนไหวในกรุงดิลีเมืองหลวงของติมอร์ตะวันออก, กลุ่มมาฮิดี (MAHIDI Mati Hidup Integrasi Dengan Indonesia แปลว่า ผนวกกับอินโดนีเซียชั่วนิรันดร์) นำโดย นายแคนซิโอ โลเปซ เดอ คาวาลโย (CancioLopez De Cavalho) ทำการเคลื่อนไหวในเมืองไอนาโร่ (Ainaro) และเมืองคาสซา (Cassa) ทางตอนกลางของติมอร์ รวมทั้งกลุ่มซากูนา (Saguna ในภาษาพื้นเมืองแปลว่า แมงป่อง) นำโดย นายซีโม โลเปซ (SeimoLopez) ซึ่งรับผิดชอบการสังหารโหดผู้คนนับสิบคนที่เมืองตูมิน (Tumin) ในพื้นที่เขตโอกุสซี่ (Oecussi) เป็นต้น กลุ่มมิลิเทียเหล่านี้ได้เคลื่อนกำลังออกเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ อาคารบ้านเรือนจำนวนมากถูกเผาทำลาย ส่งผลให้ติมอร์ตะวันออกตกอยู่ในสภาพกลียุคและไร้กฎหมาย โดยเฉพาะที่เมืองไอนาโร่ ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชันนับพันฟุตทางตอนกลางของประเทศติมอร์ ซึ่งผู้เขียนเคยปฏิบัติหน้าที่ผู้สังเกตุทางทหารของสหประชาชาติ (United Nations Military Observer : UNMO) อยู่ที่เมืองนี้นานถึง 5 เดือน มีกลุ่มมิลิเทียที่ชื่อว่า มาฮิดี ทำการเข่นฆ่าผู้คนและเผาเมืองพินาศไปทั้งเมือง โดยเฉพาะผู้นำของกลุ่มคือ แคนซิโอ โลเปซ เดอ คาวาลโย ซึ่งมีคำขวัญในการก่อความไม่สงบว่า "โจมตีจุดอ่อนหลีกเลี่ยงจุดแข็ง" พวกเขาจึงพยายามเลือกสังหารแต่เด็กและสตรีที่ไร้หนทางสู้ ในเมืองไอนาโร่และพื้นที่ใกล้เคียง เช่น เมือง "คาสซา" (Cassa) และเมือง "ซูมาไล" (Zumalai) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง "ซูไอ" (Suai) ที่กองกำลังเฉพาะกิจ 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออกของกองทัพไทยตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงโดยทางรถยนต์ ความเหี้ยมโหดของพวกมาฮิดีที่เข่นฆ่าและทำลายบ้านเรือนผู้คนอย่างรุนแรง ทั้งโรงไฟฟ้า ที่มีเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ถึง 4 เครื่อง โรงพยาบาลขนาด 20เตียง โรงผลิตนำ้ปะปาและโรงเรียนประถมของเมืองจนราบเรียบ ทำให้มีการกล่าวว่ากันว่า ไอนาโร่เป็นเมืองที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากการก่อความไม่สงบของพวกมิลิเทียเป็นอันดับสองในติมอร์ จนชาวเมืองต้องพากันละทิ้งบ้านเรือนอพยพหลบหนีไปอยู่ตามป่าเขา ปล่อยให้เมืองที่เหลือแต่เถ้าถ่านกลายเป็นเมืองร้างนานนับสัปดาห์ จนเมื่อข่าวทหารของกองกำลังรักษาสันติภาพสหประชาชาติกำลังเคลื่อนพลเข้ามา พวกมาฮิดีจึงละทิ้งบ้านเรือนของตนหลบหนีข้ามเขตแดนไปอาศัยอยู่ในฝั่งอินโดนีเซีย ส่วนทหารอินโดนีเซียที่ตั้งฐานอยู่ที่เมืองไอนาโร่ จำนวน 2 กองพัน ก็พากันเผาค่ายทหารตลอดจนบ้านพักของตน ก่อนเคลื่อนย้ายกำลังกลับอินโดนีเซีย หลังจากนั้นชาวบ้านจึงลงมาจากที่ซ่อน และทำการเผาบ้านเรือนของพวกมาฮิดีเป็นการแก้แค้น ผลที่สุดเมืองไอนาโร่จึงถูกทำลายจนแทบหมดสิ้น กลุ่มมิลิเทียอีกกลุ่มหนึ่งที่สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของชาวติมอร์เป็นอย่างมาก คือกลุ่มซากูนา หรือในภาษาพื้นเมือง แปลว่า "แมงป่อง" ที่มีพื้นที่ปฏิบัติการอยู่ในเมืองโอกุสซี่ ซึ่งผู้เขียนได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่เป็นเวลากว่า 4 เดือน ผู้นำของกลุ่มคือ นายซีโม โลเปซ อดีตนายอำเภอของเมือง ที่ทำงานให้กับอินโดนีเซียมานานกว่า 8 ปี ได้เกณฑ์กลุ่มชาวติมอร์ที่จงรักภักดีต่ออินโดนีเซียออกเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก โดยเฉพาะการสังหารโหดที่บ้าน "ตูมิน" (Tumin Massacre) ตำบล "พาสซาเบ" (Passabe) ที่สหประชาชาติได้บันทึกไว้ว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดรองจากการสังหารโหดในกรุงดิลี ภายหลังจากที่กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาติเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ กลุ่มซากูนาได้หลบหนีไปอยู่ในประเทศอินโดนีเซียจนหมดสิ้น รวมทั้งนายซีโม โลเปซ ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสพบปะกับเขาหลายครั้งเมื่อต้องเดินทางข้ามไปประสานงานในดินแดนประเทศอินโดนีเซีย โดยอินโดนีเซียให้การดูแลหัวหน้ากลุ่มซากูนาผู้นี้เป็นอย่างดี และปฏิเสธที่จะส่งตัวให้ทางสหประชาชาติดำเนินคดีอีกด้วย ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วดินแดนติมอร์ตะวันออก ทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีระดับความสูญเสียที่สูงมาก มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วนจากความป่าเถื่อนของกลุ่มมิลิเทีย จึงได้จัดการประชุมเป็นกรณีเร่งด่วนเมื่อวันที่ 5 กันยายนของปีเดียวกันนั้นเอง เพื่อพิจารณาจัดตั้งกองกำลังนานาชาติเข้าควบคุมสถานการณ์และสถาปนาสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคง ให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวติมอร์ตะวันออก โดยผลการประชุมปรากฏว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ออกข้อมติ 1246 (1999) จัดตั้งกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออกหรือ "อินเตอร์เฟต" (INTERFET International Forces in East Timor) เพื่อฟื้นฟูสันติภาพและความปลอดภัยขึ้นโดยประเทศอินโดนีเซียเองก็ได้แสดงความจริงใจต่อการแก้ไขปัญหา ด้วยการออกประกาศยอมรับการส่งกองกำลังดังกล่าวเข้าไปปฏิบัติภารกิจในติมอร์ตะวันออก กองกำลังนานาชาตินี้มีกองทัพออสเตรเลียรับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมากองกำลังนานาชาติหรืออินเตอร์เฟตได้สิ้นสุดอาณัติลง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2000 สหประชาชาติจึงได้จัดตั้ง "องค์กรบริหารเพื่อการถ่ายโอนอำนาจในติมอร์ตะวันออกของสหประชาชาติ" ภายใต้ชื่อย่อว่า "อุนทาเอต" (UNTAET United Nations Transitional Administration in East Timor) เพื่อช่วยเหลือติมอร์ตะวันออกจัดตั้งระบบโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร สังคมและระบบราชการ ให้มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะปกครองตนเองได้เมื่อมีการประกาศเอกราช หรือเพื่อเตรียมความพร้อมให้ติมอร์ ก่อนที่จะเป็นประเทศเกิดใหม่นั่นเอง โดยกองกำลังนานาชาติบางส่วนได้แปรสภาพเข้าร่วมเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติ ต่อมาในวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.2002 ติมอร์ตะวันออกก็ได้ประกาศเอกราช และกลายเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติลำดับที่ 192 ส่งผลให้ "องค์กรบริหารเพื่อการถ่ายโอนอำนาจในติมอร์ตะวันออกของสหประชาชาติ" หรือ "อุนทาเอต" แปรสภาพเป็น "ภารกิจการสนับสนุนของสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก หรือ "อุนไมเสต" (UNMISET United Nations Mission of Support in East Timor) เพื่อทำหน้าที่ในการสนับสนุนส่วนราชการต่างๆ ที่ตั้งขึ้นใหม่ของประเทศติมอร์ตะวันออก ก่อนที่ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศคือนาย ซานานา กุสเมา (XananaGusmao) จะเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นภาษาโปรตุเกสว่า "ติมอร์เลสเต" พร้อมกับประกาศใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาราชการ ท่ามกลางความสงสัยของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า ติมอร์จะใช้ภาษาโปรตุเกสสื่อสารกับประเทศใดในกลุ่มอาเซียน ในส่วนของกองทัพติมอร์ เลสเต (TimorLeste Defence Force) นั้น ในภาษาโปรตุเกสคือ Forçasde Defesa de Timor Leste เรียกย่อๆว่า เอฟ เอฟดีทีแอล (F-FDTL) จัดตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2001 ภายหลังจากที่ติมอร์เลสเตได้รับเอกราชโดยในช่วงนั้นมีพลเอก ตัวร์ มาตัน รวก (TaurMatan Ruak) ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของประเทศเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ สำหรับ ตัวร์ มาตัน รวก นั้นมีความสนิทสนมกับทหารไทยที่เข้าไปปฏิบัติการรักษาสันติภาพภายใต้กรอบของสหประชาชาติเป็นอย่างมาก โดยทหารไทยจะเรียกเขาว่า ทีเอ็มอาร์ (TMR) บุคลิกที่ชอบสวมแว่นกันแดดสีดำ กลมกลืนกับผิวสีแทนของเขา ยังกลายเป็นที่กล่าวขานอยู่เสมอว่าคล้ายกับ "เชกูวาร่า" นักปฏิวัติชาวคิวบาอย่างมาก ในสมัยที่อินโดนีเซียปกครองติมอร์นานถึง 24 ปีนั้น ทีเอ็มอาร์ได้ทำการต่อสู้เพื่อเอกราชกับทหารอินโดนีเซียมาโดยตลอด นับตั้งแต่ยังมีอายุได้เพียง 20 ปี พื้นที่ที่เขาใช้เป็นที่ซ่องสุมกำลังจะอยู่ทางตอนกลางของประเทศบริเวณเมืองไอนาโร่ โดยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับซานานา กุสเมา ก่อนที่ซานานา กุสเมาจะถูกทหารอินโดนีเซียจับได้ ซึ่งภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนของไอนาโร่ ทำให้ทีเอ็มอาร์และพรรคพวกของเขา สามารถเดินทางต่อไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้ทั่วติมอร์ ในปี ค.ศ.1979 ทีเอ็มอาร์ก็ถูกทหารอินโดนีเซียจับกุมตัว แต่ด้วยความสามารถเฉพาะตัวเขาจึงถูกคุมขังเพียง 23 วันก่อนที่จะหลบหนีออกมาทำการต่อสู้ต่อไปได้ และกลายเป็นหัวหน้ากองกำลังต่อต้านอินโดนีเซีย สำหรับกองกำลังของชาวติมอร์ที่ต่อต้านอินโดนีเซียนั้นมีชื่อว่า "ฟาลินทิล" (Falintil) ย่อมาจากภาษาโปรตุเกสว่า Forças Armadas de Libertação e Independência de Timor-Leste แปลว่า กองกำลังติมอร์ตะวันออก ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายของติมอร์ตะวันออก ที่มีชื่อว่า พรรคแนวร่วมปฏิวัติเพื่อเอกราชของติมอร์ตะวันออก (TheRevolutionary Front for an Independent East Timor) หรือมีชื่อย่อจากภาษาโปรตุเกสว่า "เฟรติลีน" (Fretilin) ในขณะที่อินโดนีเซียถอนทหารออกจากดินแดนติมอร์ตะวันออก กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติได้เข้าควบคุมสถานการณ์ พร้อมกับทำการปลดอาวุธทุกฝ่ายทั้งฝ่ายมิลิเทียและฝ่ายกองกำลังฟาลินทิล โดยมีจุดปลดอาวุธอยู่ที่เมือง "ไอลิว" (Ailiu) ทางตอนเหนือของกรุงดิลี เมืองหลวงของติมอร์ เลสเต จากนั้นในปี ค.ศ.2001 สหประชาชาติก็ทำการสร้างกองทัพติมอร์ เลสเตขึ้นใหม่ จำนวน 2 กองพัน โดยมีกำลังพลของออสเตรเลียเกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ โปรตุเกสและสหรัฐฯ รับผิดชอบในการฝึกกองพันที่ 1 ที่ค่ายทหารในเมือง "ลอสปาลอส" (Los Palos) อยู่ห่างจากเมืองเบาเกาออกไปทางตะวันออก เมืองนี้อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกองร้อยทหารไทยจากกำลังเฉพาะกิจ 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก ซึ่งดูแลพื้นที่เมือง "ลอสปาลอส" และเมือง "วีเคเค" (Viqueque) โดยเมื่อทหารไทยถอนตัวออกจากพื้นที่ดังกล่าว เพื่อย้ายไปรับผิดชอบพื้นที่ใหม่ ทหารติมอร์ของกองพันที่ 1 ได้เข้ารับผิดชอบพื้นที่แทน ก่อนที่กองพันที่ 1 จะย้ายที่ตั้งของกองพันมาประจำการในพื้นที่ติดกับสนามบิน "เบาเกา" ซึ่งเคยเป็นพื้นที่เดิมที่กองกำลังเฉพาะกิจ 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก ตั้งอยู่และในที่สุดก็ย้ายไปอยู่บริเวณชายทะเลของเมืองเบาเกาที่หมู่บ้าน "ลากา" (Laga) จนถึงปัจจุบัน (โปรดติดตามตอนต่อไป)
Create Date : 24 พฤศจิกายน 2556 |
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2556 9:33:40 น. |
|
0 comments
|
Counter : 7152 Pageviews. |
|
|