|
การโจมตีแบบพลีชีพ
การโจมตีแบบพลีชีพ (Suicide Attack)
ตีพิมพ์ในนิตยสาร Topgun ฉบับเดือนธันวาคม 2552
โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
"... การโจมตีแบบพลีชีพ ถูกผูกโยงเข้ากับการต่อสู้ทางศาสนา แต่ความจริงแล้ว การโจมตีดังกล่าวมีประวัติมายาวนานและไม่มีความเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางศาสนาเลยแม้แต่น้อย ..."
เสียงระเบิดที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมืองเปชาวาร์ (Peshawar) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2009 ที่ผ่านมา ได้ปลุกให้ประชาคมโลกหันมาให้ความสนใจกับการโจมตีด้วย ระเบิดพลีชีพ อีกครั้ง พร้อมๆ กับชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ 19 ชีวิตที่ได้ถูกมัจจุราชกระชากออกจากร่าง ทำให้บริเวณพื้นที่เมืองดังกล่าวกลายเป็นพื้นที่อันตรายที่ถูกโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพเป็นจำนวนถึง 6 ครั้ง ในเวลาเพียงไม่ถึงสองสัปดาห์ เป็นการตอกย้ำให้มวลมนุษยชาติได้ตระหนักว่า โลกยุคปัจจุบันคือ โลกแห่งยุคของการก่อการร้ายอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่โลกได้เคลื่อนตัวผ่านยุค สงครามเย็น และก้าวเข้าสู่ยุคแห่ง การก่อการร้าย อย่างสมบูรณ์แบบ สังคมต่างๆ ดังเช่นสังคมในเมืองที่เงียบสงบแบบเมือง เปชาวาร์ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวจากศักยภาพของการปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เพราะการปฏิบัติการเหล่านั้น ไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่สัญลักษณ์ทางการเมือง การทหาร หรือสิ่งที่แสดงถึงอำนาจของฝ่ายตรงข้าม
หากแต่มีเป้าหมายอยู่ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เด็ก สตรีและคนชรา การก่อการร้ายได้ก่อให้เกิดแนวความคิดที่ว่า ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยอีกต่อไป สถานที่หลายแห่ง เช่น โรงแรม สถานที่ตากอากาศ สถานีรถไฟ หรือห้างสรรพสินค้าที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า อาวุธแห่งการทำลายล้างที่รุนแรง เหี้ยมโหด ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายผลิตคิดค้นขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับอาวุธและอำนาจรัฐฯ ที่มีศักยภาพและความรุนแรงไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นระเบิดแสวงเครื่อง (IED Improvised Explosive Device) อาวุธเชื้อโรค (Biochemical weapon - Bioterrorist) อาวุธศักยภาพทำลายล้างสูง (Weapon of Mass Destruction) และระเบิดพลีชีพ (Suicide Bomb)
เมื่อกล่าวถึงการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ หรือที่บางคนเรียกว่า ระเบิดแบบฆ่าตัวตาย ที่กำลังกลายเป็นเอกลักษณ์ของการก่อการร้ายที่เชื่อมโยงกับสงครามทางศาสนา จนดูเหมือนจะเกิดความเข้าใจผิดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ว่า การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ คือ ภารกิจหนึ่งของการเสียสละเพื่อทำสงครามทางศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการจำนวนหนึ่งว่า เป็นแนวคิดที่ถูกทำให้ผันแปรไปจากความเป็นจริง รวมทั้งมีความพยายามชี้ให้เห็นว่า การโจมตีแบบพลีชีพนั้น ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการทำสงครามทางศาสนาอย่างที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายบางกลุ่มมุ่งหวังจะให้เป็น
หากมองย้อนกลับไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เราจะพบว่านักรบกลุ่มแรกๆ ที่เปิดฉากการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ ไม่ใช่นักรบที่สละชีพเพื่อศาสนา ไม่ใช่แม้แต่สละชีพเพื่อพระเจ้า หากแต่เป็นการสละชีพเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินมาตุภูมิของนักบินกองทัพอากาศญี่ปุ่น ที่สร้างวีรกรรมอันห้าวหาญด้วยการนำเครื่องบินขับไล่บรรทุกระเบิด ตอร์ปิโด หรือบรรทุกน้ำมันเต็มลำพุ่งเข้าชนเรือรบของสหรัฐฯ และสัมพันธมิตรภายใต้ชื่อ กามิกาเซ่ (Kamikaze) หรือ ลมศักดิ์สิทธิ์
ทั้งนี้เพื่อมุ่งผลในความแม่นยำของการโจมตีเป้าหมาย โดยกามิกาเซ่เริ่มปฏิบัติภารกิจครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 1944 ในการรบที่อ่าวเลย์เตของฟิลิปปินส์ เพื่อหยุดยั้งการรุกคืบหน้าของกองเรือสหรัฐฯ การปฏิบัติภารกิจของเหล่านักบินกามิกาเซ่เป็นการปฏิบัติที่กล้าหาญ เสียสละ และอุทิศตนต่อการทำลายเป้าหมายทางทหารของข้าศึก
ดังเช่นบันทึกตอนหนึ่งของ ร้อยโท ยูกิโอะ เซกิ(Lieutenant Yukio Seki) นักบินกามิกาเซ่ที่กล่าวว่า
เราสมควรตายดีกว่า หากจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างคนขี้ขลาด
ในขณะที่นักบินกามิกาเซ่ปฏิบัติการโจมตีด้วยการขับเครื่องบินพุ่งชนเรือรบของศัตรู ทหารราบญี่ปุ่นเองก็มีวิธีการโจมตีแบบพลีชีพ หรือที่โลกตะวันตกขนานนามว่า การโจมตีแบบบันไซ (Banzai Charge) ด้วยเช่นกัน
การโจมตีชนิดนี้จะเป็นการใช้คลื่นมนุษย์ของเหล่าทหารกองทัพญี่ปุ่น เคลื่อนที่เข้าโจมตีข้าศึกในการรบขั้นแตกหัก หรือการรบที่เต็มไปด้วยความเสียเปรียบ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับเป็นเชลย หรือการยอมแพ้
การที่ทหารอเมริกันเรียกการโจมตีชนิดนี้ว่า การโจมตีแบบบันไซ ก็เพราะขณะที่เคลื่อนที่เข้าโจมตี ทหารญี่ปุ่นจะตะโกนว่า เทนโนะเฮกะ บันไซ ซึ่งแปลว่า ขอให้องค์จักรพรรดิทรงพระเจริญ
การโจมตีแบบบันไซครั้งแรกๆ เปิดฉากขึ้นเมื่อญี่ปุ่นตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพ่ายแพ้ที่เกาะอัตสุ (Attu Island) ซึ่งพันเอกยาสุโกะ ยามาซากิ (Colonel Yasuko Yamazaki) สังกัดหน่วยนาวิกโยธินญี่ปุ่น ได้รวบรวมทหารจำนวนกว่าหนึ่งพันนาย เข้าตีที่มั่นของทหารอเมริกัน
โดยเขาถือดาบซามูไรนำหน้าเหล่าทหารด้วยความกล้าหาญจนสามารถเจาะแนวตั้งรับเข้าไปได้จนถึงกำลังส่วนหลังของกองทัพอเมริกัน สร้างความสูญเสียอย่างมาก ก่อนที่กำลังทหารญี่ปุ่นทั้งหมดจะถูกทำลายลง
ผลจากการรบ มีทหารญี่ปุ่นรอดชีวิตเพียง 28 นาย พลเสนารักษ์ของญี่ปุ่นที่รอดชีวิตจากการสู้รบ ได้เล่าถึงยามาซากิว่า
พันเอกยามาซากิเป็นนักรบที่กล้าหาญมาก เขารู้ว่าทหารญี่ปุ่นไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้กับกำลังของฝ่ายสหรัฐฯ ที่มีจำนวนมากกว่าได้ แทนที่จะรอวันตาย เขากลับสั่งให้ทหารทุกนายวิ่งเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ก่อนตายยามาซากิบันทึกไว้ในหนังสือไดอารี่ของเขาว่า ... ฉันกำลังจะสละชีพเพื่อผืนแผ่นดินนี้ หลังจากที่มีชีวิตอยู่มาเป็นเวลา 33 ปี ... ฉันไม่เคยเสียใจ และจะไม่เสียใจที่ตัดสินกระทำการเช่นนี้ ... ขอองค์พระจักรพรรดิจงทรงพระเจริญ ...
ทั้งการโจมตีแบบกามิกาเซ่และบันไซ ล้วนเป็นการโจมตีแบบพลีชีพทั้งสิ้น ไม่ต่างจากการโจมตีแบบพลีชีพที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในยุคปัจจุบัน หากแต่มีความแตกต่างตรงที่ กามิกาเซ่ และ บันไซ เป็นการโจมตีที่มุ่งหวังต่อกำลังพล สถานที่ทางยุทธศาสตร์และอาวุธยุทโธปกรณ์ของข้าศึก มิได้มุ่งหวังทำลายล้างชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงทำให้การโจมตีของกองทัพญี่ปุ่นทั้งสองรูปแบบ ได้รับการยกย่องว่าเป็นการปฏิบัติการรบที่กล้าหาญและเสียสละ
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด เรื่องราวของการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพก็เริ่มจางหายไปจากความทรงจำของผู้คน หลงเหลือไว้แต่เรื่องราวอันห้าวหาญของทหารเหล่านั้น จนกระทั่งกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม (Liberation Tigers of Tamil Eelam) ในประเทศศรีลังกาได้เปิดฉากใช้การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้เป็นการโจมตีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อสู้และบั่นทอน ทำลายอำนาจรัฐ และสถาปนารัฐอิสระ ทมิฬ ขึ้นทางตอนเหนือและทางตะวันออกของประเทศศรีลังกา
คราวนี้ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ว่ากลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมเป็นกองกำลังกลุ่มแรกที่คิดค้น เข็มขัดพลีชีพ (suicide belt) อันลือชื่อที่กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ นำมาใช้ในการโจมตีแบบระเบิดพลีชีพในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังได้มีการจัดตั้งหน่วยพลีชีพที่มีชื่อว่า พยัคฆ์ดำ (Black Tiger) ที่มีสมาชิกทั้งชายและหญิง ทำหน้าที่ในการโจมตีแบบพลีชีพในทุกรูปแบบต่อหน่วยทหารศรีลังกา ผู้นำรัฐบาลและบุคคลสำคัญในวงการเมืองของศรีลังกา
นิตยสาร เจน (Jane) ได้สรุปสถิติการโจมตีแบบพลีชีพของหน่วยพยัคฆ์ดำว่าได้ออกปฏิบัติภารกิจจำนวน 168 ครั้ง ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 จนถึง 2009 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่กลุ่มต้องประสบกับความพ่ายแพ้ต่อฝ่ายรัฐบาลในที่สุด รวมถึงการโจมตีท่าอากาศยานโคลัมโบของศรีลังกาในปี 2001 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 16 คน และทำให้อากาศยานพาณิชย์และอากาศยานทางทหารของกองทัพอากาศศรีลังกาจำนวนหนึ่งได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ในปี 1998 กลุ่มพยัคฆ์ดำยังเป็นผู้โจมตีศาสนสถานของพุทธศาสนาในเมืองกันดี (Kandy) ซึ่งได้รับการจัดให้เป็นมรดกโลก และนับเป็นศาสนสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของศรีลังกา การโจมตีครั้งนี้ทำให้มีผู้แสวงบุญจำนวน 8 คนเสียชีวิต
รวมทั้งนักรบพยัคฆ์ดำก็ยังเป็นผู้โจมตีแบบพลีชีพในการสังหารอดีตนายกรัฐมนตรีราจีฟ คานธี ของอินเดียในปี 1991 อีกด้วย ซึ่งการโจมตีแบบพลีชีพของกลุ่มนับเป็นการโจมตีบนพื้นฐานของการเมืองเป็นหลัก มิได้มีพื้นฐานอยู่บนหลักศาสนาแต่อย่างใด
การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพที่กำลังเป็นที่จับตามองในปัจจุบัน ก็คือการโจมตีในตะวันออกกลางซึ่งมีพื้นฐานมาจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ส่งผลให้เกิดความกดดันทางจิตใจต่อชาวปาเลสไตน์อย่างมาก
ดังเช่นที่สมาชิกกลุ่มฟาทาฮ์ (Fatah) ซึ่งปฏิบัติการต่อต้านอิสราเอลในฉนวนกาซาและเวสต์แบงค์เปิดเผยต่อสำนักข่าวตะวันตกว่า
... ความเคียดแค้น ชิงชังที่มีต่ออิสราเอลในการกระทำต่อชาวปาเลสไตน์นั้น เป็นสิ่งที่ทำให้มีจดหมายยื่นความจำนงเข้าเป็นมือระเบิดพลีชีพเพื่อต่อสู้กับอิสราเอลหลั่งไหลเข้ามามากมายราวกับสายน้ำเลยทีเดียว ในจำนวนนี้มีทั้งสตรีหม้ายที่สูญเสียทั้งสามีและบุตร มีทั้งเด็กเยาวชนที่สูญเสียบิดามารดาไปจากการโจมตีของทหารอิสราเอล ...
มือระเบิดพลีชีพเหล่านี้ได้ออกปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนมีนาคม 2002 ที่กลุ่มฮามาสและฟาทาฮ์ได้โหมปฏิบัติการต่อเป้าหมายในอิสราเอลอย่างถี่ยิบ ตั้งแต่วันที่ 2, 5, 7, 9, 17, 20, 21, 27, 29, 30, 31 มีนาคม ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากเนื่องจากการโจมตีแต่ละครั้งมุ่งไปที่สถานที่ชุมชนของชาวยิวในเมืองสำคัญๆ
เช่นในวันที่ 29 มีนาคม กลุ่มฟาทาฮ์ได้ส่งมือระเบิดพลีชีพที่เป็นสุภาพสตรีปาเลสไตน์ผูกระเบิดจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัมรอบตัว ก่อนที่จะเดินเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตในกรุงเยรูซาเร็ม และจุดระเบิดบริเวณเคาน์เตอร์ที่เต็มไปด้วยผู้คน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 28 คน
และต่อมาวันที่ 31 มีนาคม กลุ่มฮามาสก็ได้ใช้มือระเบิดพลีชีพโจมตีภัตตาคาร มัทซา (Matza restaurant) ซึ่งเป็นภัตตาคารหรูหราในเมืองไฮฟา ทำให้ชาวยิวที่กำลังรับประทานอาหารเสียชีวิตทันที 15 คน บาดเจ็บอีกกว่า 40 คน
อย่างไรก็ตามหากวิเคราะห์จากพฤติกรรมในการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในอิสราเอลจะเห็นได้ว่า ไม่ได้เกิดขึ้นจากประเด็นทางศาสนาเป็นหลัก หากแต่เกิดขึ้นจากความต้องการในการตอบโต้ แก้แค้นและขับไล่อิสราเอลออกจากดินแดนปาเลสไตน์ รวมทั้งเป็นการโจมตีที่มีประเด็นของความกดดันทางจิตใจเป็นมูลเหตุสำคัญ แต่เนื่องจากความแตกต่างทางศาสนาในตะวันออกกลาง ทำให้การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพเริ่มถูกนำไปเชื่อมโยงกับความขัดแย้งทางศาสนา เพื่อสร้างความชอบธรรมและขยายแนวร่วมในการปฏิบัติการให้เพิ่มมากขึ้น
การเชื่อมโยงดังกล่าวทำให้การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพกลายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ในสงครามศาสนาไปในที่สุด โดยเฉพาะการโจมตีกำลังทหารสหรัฐฯ และฝรั่งเศสในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ด้วยมือระเบิดพลีชีพที่ขับรถยนต์โดยสารบรรทุกระเบิดเต็มคัน ทำให้ทหารสหรัฐฯและฝรั่งเศสเสียชีวิตถึงกว่า 300 นายในปี 1983 และเป็นผลทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนทหารออกจากเลบานอนในที่สุด
ความสำเร็จในครั้งนี้ถูกเชื่อมโยงเข้าสู่หลักศาสนาในการขับไล่ผู้รุกรานนอกศาสนาออกจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ในตะวันออกกลาง
จุดหักเหสำคัญที่ทำให้การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางศาสนาก็คือ ปฏิบัติการโจมตีแบบพลีชีพต่ออาคารเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ (World Trade Center) และกระทรวงกลาโหม เพนตากอน (Pantagon) ของสหรัฐฯ ในเหตุการณ์ 9/11 อันสะเทือนโลกในปี 2001 ของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ ซึ่งนำโดยโอซามา บิน ลาเดน ผู้ซึ่งเชื่อมโยงการก่อการร้ายและการโจมตีแบบพลีชีพเข้ากับการต่อสู้ในสงครามศาสนาจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ดังเช่นในปัจจุบัน
นับจากนั้นมา การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพก็เปิดฉากขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกเปิดฉากส่งกำลังทหารเข้ายึดครองประเทศอิรักเพื่อโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนเมื่อกลางปี ค.ศ. 2003
เป็นที่น่าสังเกตว่าการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพเพื่อต่อสู้กับสหรัฐฯ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดในช่วงปีแรกของการยึดครอง ทั้งนี้จากสถิติการโจมตีต่อเป้าหมายของกลุ่มต่อต้านในอิรักในปี 2003 มีเพียงครั้งเดียวคือ ในวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ.2003 ณ โรงแรมคาแนล กลางกรุงแบกแดด มีผู้เสียชีวิต 22 คน รวมทั้งผู้นำระดับสูงขององค์การสหประชาชาติคือนาย เซอร์จิโอ เดอ เมลโล (Sergio De Mello) ด้วย
การโจมตีมาเริ่มต้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2004 โดยเฉพาะในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2004 เมื่ออันซาร์ อัล ซุนน่าห์ (Ansar Al Sunnah) หนึ่งในผู้นำกลุ่มต่อต้านได้ส่งมือระเบิดพลีชีพ 2 คนคาดเข็มขัดที่มัดด้วยระเบิดแรงสูงเข้าโจมตีสถานที่สำคัญ 2 แห่งในเมืองโมซุลของอิรัก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 117 คน บาดเจ็บ 221 คน
และอีกสิบวันต่อมาคือวันที่ 10 กุมภาพันธ์ มือระเบิดพลีชีพก็ขับรถยนต์บรรทุกระเบิดจำนวน 250 กิโลกรัม พุ่งเข้าใส่สถานีตำรวจอิรักในกรุงแบกแดด ซึ่งเต็มไปด้วยประชาชนที่กำลังเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อสมัครเข้าเป็นตำรวจ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 55 คน บาดเจ็บอีก 67 คน
ต่อมาในวันที่ 2 มีนาคม 2004 ก็เกิดการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในมัสยิดของชนนิกายชีอะห์พร้อมๆ กันทั้งที่กรุงแบกแดดและเมืองคาร์บาล่า โดยเชื่อว่าเป็นการลงมือปฏิบัติการของกลุ่มอัล กออิดะฮ์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมกันถึง 171 คน และบาดเจ็บเกือบหกร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นเด็ก สตรีและคนชรา
และในวันที่ 17 พฤษภาคม ก็เกิดการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในรถยนต์ใจกลางกรุงแบกแดด ส่งผลให้ เอซซาดิน ซาลิม (Ezzadin Salim) ประธานสภาปกครองอิรักเสียชีวิตพร้อมกับพลเรือนอีก 6 คน หลังจากนั้นตลอดทั้งปี 2004 ก็มีการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพประปราย แล้วเปลี่ยนมาใช้การโจมตีส่วนใหญ่ด้วยระเบิดแสวงเครื่อง เครื่องยิงลูกระเบิดและการซุ่มโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่กำลังทหารสหรัฐฯ และชาติตะวันตกเป็นหลัก
โมฮัมเหม็ด เอ็ม ฮาเฟซ (Mohammed M. Hafez) จากสถาบันเพื่อสันติภาพของสหรัฐฯ (United States Institute of Peace) ได้วิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอิรักไว้ในหนังสือของเขาเรื่อง ระเบิดพลีชีพในอิรัก (Suicide bombers in Iraq) ว่าเป็นที่น่าแปลกใจที่อิรักตกเป็นสถานที่แห่งการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพอย่างรุนแรงและต่อเนื่องตั้งแต่การเลือกตั้งในเดือนมกราคม 2005 เป็นต้นมา
โดยเฉพาะในเดือนเมษายน เมื่อรัฐสภาอิรักได้ลงมติรับรองรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ภายหลังจากวันลงมติหนึ่งวัน คือในวันที่ 26 เมษายน มีการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพถึง 16 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการสื่อสารให้โลกภายนอกได้รับรู้ว่า กลุ่มต่อต้านจะไม่ยอมรับการแก้ปัญหาภายในของอิรักบนแนวทางการเมืองอย่างที่โลกตะวันตกต้องการ ซึ่งจากจุดนี้เองที่ฮาเซฟชี้ให้เห็นว่า แท้จริงแล้ววัตถุประสงค์ของการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพนั้น มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ไม่ใช่วัตถุประสงค์ทางศาสนาอย่างที่กลุ่มต่อต้านกล่าวอ้าง
นอกจากนี้โมฮัมเหม็ด เอ็ม ฮาเฟซยังให้เหตุผลว่า การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในอิรักมีการพุ่งเป้าหมายไปที่พลเรือน มากเท่าๆ กับเป้าหมายทางทหาร โดยเฉพาะสถานที่สำคัญอันเป็นที่ปฏิบัติศาสนกิจของชนนิกายชีอะห์ ทั้งนี้เพื่อสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างชนนิกายสุหนี่และชีอะห์
อีกทั้งยังเป็นที่น่าประหลาดใจอย่างมากที่มือระเบิดพลีชีพส่วนใหญ่ในอิรักนั้นกลับไม่ใช่ชาวอิรัก หากแต่เป็นกลุ่มอาสาสมัครที่เดินทางมาจากประเทศต่างๆ เช่น อียิปต์ ซีเรีย จอร์แดน ลิเบีย โซมาเลีย และอัฟกานิสถาน ที่ต้องการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ ทั้งๆ ที่ชาวอิรักส่วนใหญ่โดยเฉพาะชนนิกายสุหนี่ ไม่มุ่งทำการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ โดยเฉพาะการโจมตีใส่กลุ่มประชาชนผู้บริสุทธิ์
ฮาเซฟสรุปบทความของเขาว่า การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในอิรัก จึงเป็นการโจมตีชาวอิรักโดยชาวต่างชาติที่ต้องการสละชีพเพื่อทำสงครามศักดิ์สิทธิ์บนดินแดนอิรัก และเพื่อดำเนินกลยุทธในการทำลายประเทศอิรักด้วยการสร้างสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างชนสองนิกาย ซึ่งจะส่งผลให้อิรักกลับไปสู่จุดต่ำสุดของประวัติศาสตร์ อันเป็นการทำลายโครงสร้างของประเทศลงอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะเริ่มสร้างสังคมใหม่ที่เป็นสังคม ศาสนาบริสุทธิ์ ขึ้นมานั่นเอง
ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบางประเทศ เช่นในประเทศกัมพูชาช่วงเขมรแดงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั่นเอง จะแตกต่างกันก็เพียงแต่มีการนำหลักศาสนาเข้ามาเชื่อมโยงด้วยเท่านั้นเอง
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น แสดงให้เห็นได้ว่าการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพที่กำลังเป็นภัยคุกคามสังคมอันสงบและสันติอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการทำสงครามทางศาสนาแต่อย่างใด หากเป็นการกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความขัดแย้งทางการเมือง การทหาร เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ตลอดจนความขัดแย้งเกี่ยวกับดินแดน
อีกทั้งการโจมตีแบบพลีชีพนี้ก็มิได้เพิ่งเกิดขึ้นในโลกยุคก่อการร้าย หากแต่มีการปฏิบัติกันมาในสงครามหรือความขัดแย้งต่างๆ นับตั้งแต่อดีตมาแล้ว เพียงแต่การโจมตีเหล่านั้น มีเป้าหมายต่อกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ของข้าศึกรวมทั้งมุ่งหวังที่จะสร้างความได้เปรียบในการรบหรือทางยุทธวิธี ตลอดจนสร้างผลกระทบต่อสถานภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของข้าศึก มิได้มุ่งหวังที่จะประหัตประหารชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นหลัก
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมวลมนุษยชาติทุกคนที่จะต้องร่วมมือกันทุกวิถีทางในการหยุดยั้ง การโจมตีแบบพลีชีพ ซึ่งเป็น การสังเวยชีวิตตน เพื่อ ทำลายล้างชีวิตคนผู้บริสุทธิ์ โดยอ้างหลักศาสนาเพื่อสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทั้งๆ ที่คำสอนของศาสนาทุกศาสนาล้วนแต่มุ่งหวังหล่อหลอมให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนดีด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อนำสังคมแห่งความสงบสุขกลับคืนสู่พื้นพิภพแห่งนี้อย่างมั่นคงถาวรตราบชั่วลูกชั่วหลานสืบไป
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2553 13:11:23 น. |
|
4 comments
|
Counter : 4937 Pageviews. |
|
|
|
โดย: lsm IP: 118.174.130.105 วันที่: 24 กันยายน 2555 เวลา:11:29:02 น. |
|
|
|
โดย: lsm IP: 118.174.130.105 วันที่: 24 กันยายน 2555 เวลา:11:36:55 น. |
|
|
|
โดย: unmoknight (unmoknight ) วันที่: 30 กันยายน 2555 เวลา:15:54:18 น. |
|
|
|
โดย: axis IP: 113.53.253.238 วันที่: 13 กรกฎาคม 2556 เวลา:15:38:29 น. |
|
|
|
| |
|
|