VUW - Victoria University of Wellington, New Zealand
Group Blog
 
All Blogs
 
ชีวิตนักเรียนนอกที่ วิคตอเรีย นิวซีแลนด์ ตอนที่ 2

(อ่านชีวิตที่ ม.วิคตอเรีย ตอนที่ 1)

ในเทอมที่ 2 ของ bridging year ผมมีโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในแดนกีวี เหมือนกระเหรี่ยงเข้ากรุง เพราะในช่วงเทอม 1 ไม่มีโอกาสลืมหู ลืมตามองดูโลกภายนอกเลย เอาแต่อ่านหนังสือ งมศัพท์ภาษาอังกฤษกับ talking dic คู่ใจ

ผมเองยังสงสัยตัวเองว่า ถ้าไอ้เจ้า talking dic ตัวคู่ใจ ตัวนี้ มันเสีย หรือหายไป ชีวิตผมจะเป็นอย่างไร....

บางคนบอกว่า อย่าไปใช้มันเลย เสียงมันเหมือนหุ่นยนต์ ออกเสียงภาษาอังกฤษก็เพี้ยนๆ แต่ผมว่า ผมเอาตัวรอดมาได้ก็เพราะมันนี่แหละ ผมบูชาให้มันเป็น .... เจ้าพ่อทอล์คกิ้ง ดิก ..... ถ้าเซ่นไหว้ด้วยเครื่องเซ่นได้ ผมคงเซ่นไหว้มันไปแล้ว

ใครจะว่ามันไม่มีประโยชน์ ... ก็ไม่ว่ากัน แต่สำหรับผม มันมีประโยชน์มหาศาล เพราะการจะมานั่งเปิดดิกชันนารีทีละคำ ทีละคำ ผมตายแน่ ตำราหนาเป็นตั้ง มีเวลาอ่านแค่สามวันในการทำรายงานประจำสัปดาห์ (weekly briefing paper) เจ้า talking dic ช่วยทุ่นเวลาผมมาก

พิมพ์หาคำศัพท์บ่อยๆ บางครั้งพิมพ์หาไปเมื่อวาน มาเจอศัพท์คำเดิมอีกครั้ง จำคำแปลไม่ได้ จะพลิกหาคำเก่าที่เขียนคำแปลด้วยดินสอ ก็หาไม่เจอ เพราะจดเต็มไปหมด ก็ต้องพิมพ์เข้าไปใหม่ พิมพ์บ่อยๆ เข้า มันจำได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องท่องเลย

จุดบอดของมันน่ะเหรอครับ มีแน่นอน ....

การใช้ talking dic ทำให้เราจำได้แต่คำศัพท์ แต่ไม่รู้วิธีใช้ ต่างจากเปิดดิกชันนารี ที่มักจะมีตัวอย่างประโยคแสดงให้เราดู

เช่น result เรารู้ว่ามันแปลว่า ผลที่ได้รับ แต่ถ้าผมจะเขียนว่า มันเป็นผลทำให้ ..... มันใช้ result in หรือ result to .... ใน talking dic ไม่ได้บอก

ผมจำคำนี้ได้ เพราะในรายงานประจสัปดาห์ ผมเขียนเป็น result to ตลอด และ Pettman ก็แก้ให้ผมเป็น result in ตลอดเช่นกัน

มีเรื่องเล่าที่น่าประทับใจอีกตอนหนึ่งก็คือ ....ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ผมทำท่าว่าจะไปไม่รอดอยู่แล้ว มีทีท่าว่าจะตกมิตกแหล่ มีพี่ที่อยู่เมืองไทยคนหนึ่ง ส่ง ส.ค.ส.ปีใหม่ไปให้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5

ผมก้มลงกราบ ส.ค.ส.แผ่นนั้น แล้วรีบไปซื้อกรอบรูปที่ร้านขายของหน้าบ้านมาใส่ภาพดังกล่าว นำไปไว้ที่หัวนอน กราบขอกำลังใจจากพระองค์ท่านทุกวันก่อนนอน

จำได้มาจนทุกวันนี้



ที่ประทับใจอีกอย่างคือ ผมมาเริ่มเข้าวัดจริงๆจังๆ เอาที่นิวซีแลนด์นี่แหละครับ ... คิดแล้วประหลาดแกมตลก .... อยู่เมืองไทยแทบไม่เคยเข้าวัด

วัดพุทธที่เวลลิงตันตั้งอยู่ที่เมืองสโตรก แวลลีย์ (Stroke Valley) อยู่ทางตอนเหนือของนครเวลลิงตันประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นวัดที่มีสถาปัตยการก่อสร้างแบบญี่ปุ่น เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว มีพระเป็นฝรั่งจำพรรษา เป็นพระที่บวชที่วัดหนองป่าพง โดยหลวงปู่ชา

รายละเอียดเรื่องนี้ ผมไม่เคยทราบมาก่อน ตอนนี้อยู่เมืองไทย ไม่เคยรู้จักวัดหนองป่าพง ไม่เคยรู้จักหลวงปู่ชา ..... มารู้จักเอาที่นิวซีแลนด์นี่แหละ ...

เข้าทำนอง ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา

ผมไปวัดบ่อยมาก สาเหตุหนึ่งก็คือ เวลาที่เรียนไม่รู้เรื่อง ผลสอบออกมาไม่ค่อยดี ไม่รู้จะไปพึ่งใคร นักเรียนไทยแต่ละคน ก็กระจัดกระจายกัน หาทางต่อสู้เอาตัวรอดกันไปวันวัน ไอ้เรื่องที่จะมาช่วยเหลือกัน มีไม่มาก ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด จะไปช่วยคนอื่นอีก ... มันจะพากันตายหมู่เสียเปล่าๆ ....

เวลาไปวัดที่ Stroke Valley จะเจอคนพุทธทุกเชื้อชาติ ทั้งศรีลังกา ลาว เขมร เวียดนาม ญี่ปุ่น ไทย จีน เยอะแยะไปหมด บางครั้งก็เพลินดี เห็นพุทธศาสนิกขน ต่างเชื้อชาติ ต่างแผ่นดิน มาไหว้พระพุทธรูป ศรีลังกานั่งยองๆ จีนจุดธูปที่กำเบ้อเริ่ม ลาว - ไทยสวดมนต์คล้ายกันอย่างกับคนชาติเดียวกัน

คนลาวที่นิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่มากันตั้งแต่ลาวแตก เป็นผู้อพยพ ออกลูกออกหลานเป็นกีวีกันหมดแล้ว

วันหนึ่ง เจอผู้เฒ่าชาวลาวคนหนึ่งมาวัด แกมานั่งคุยกับผม พอรู้ว่าผมเป็นทหารไทย มาเรียนปริญญาโท แกดีใจมาก เล่าเรื่องราวของแกให้ฟังเสียยืดยาว

แกบอกว่า แกก็เป็นทหาร รบกับคอมมิวนิสต์ ก่อนที่ลาวจะแตก และตกเป็นของคอมมิวนิสต์ แกบอกว่า แกเป็นทหารจ้อง .....

... ทหารจ้อง .... เกิดมาผมไม่เคยได้ยินทหารหน่วยนี้เลยในชีวิต .... มันจะไปจ้องใคร .....

นึกขึ้นได้ว่า ภาษาเหนือ เวลาผู้หญิงกางร่ม เขาเรียก แม่ยิงกางจ้อง .... นึกได้แบบนี้ ก็ถึงบางอ้อ .... คุณตาแกเป็นทหารพลร่มนั่นเอง ... แหม... ทหารจ้อง.... ทหารพลร่ม .... เล่นเอางง

ช่วงเทอมที่สองนี่เอง ที่ผมเริ่มอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น วิชา International system change สอนโดย Dr. Chan เป็นคนจีนวัยกลางคน ใจดีมาก พูดภาษาอังกฤษช้า ชัดถ้อยชัดคำ ฟังง่ายมาก

Dr Chan นี่แหละ ที่เป็นตัวอย่างในการพูดภาษาอังกฤษให้ผม พูดให้ช้า พูดให้ชัด ฝรั่งจะฟังรู้เรื่อง พูดเร็ว พูดรัว ฝรั่งนั่งงงเป็นไก่ตาแตก มันตามเราไม่ทัน

.... พูดก็ไม่ชัด ดันพูดเร็ว พูดรัวอีก มันจะไปฟังรู้เรื่องได้ยังไง นอกจากเราจะพูดอังกฤษชัดเจนแบบเด็กไทยที่โตที่เมืองนอกนั่นแหละ ....




ช่วงนี้ ผมมีรายงานมาก การทำ weekly briefly paper ของ Pettman ยังมีมีอยู่ ผมนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ พิมพ์รายงานประจำสัปดาห์เป็นบ้าเป็นหลัง ได้งานอังคาร ส่งพฤหัส ได้งานพฤหัส ส่งอังคาร หมุนเวียนกันแบบนี้ ภายใต้เงื่อนไขเดิม คือต้องได้เกรดไม่ต่ำกว่า บี จึงเข้าเรียนต่อปริญญาโทได้

ผมนั่งพิมพ์งานจนดึกแทบทุกวัน ตีสองนี่เรื่องเด็กๆ อย่างน้อยตีสาม เพราะภาษาเราไม่ดี ไม่แน่น แกรมม่าผิดเป็นว่าเล่น พยายามใช้รูปประโยคง่ายๆ ไม่ซับซ้อน

Pettman แนะนำว่า วิธีเขียนรายงานที่ง่ายที่สุด คือ หนึ่งย่อหน้า หนึ่ง Main idea ...

เช่น จะพูดว่าช้างมีลักษณะอย่างไร ย่อหน้าแรก ช้างตัวโต ก็ให้พูดแต่เรื่องช้างตัวโต เรื่องอื่นไม่ต้องพูด

ย่อหน้าต่อไป ช้างตาเล็ก ก็พูดแต่เรื่องช้างตาเล็ก เรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยว ไม่ต้องใส่ในย่อหน้านี้

วิธีการนี้ เหมาะสำหรับคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษอย่างผม เพราะอาจารย์จะสามารถเดาได้ว่า ย่อหน้านี้ ผมพูดถึงเรื่อง ช้างตัวโต ประโยคทุกประโยคในย่อหน้าต้องเกี่ยวกับช้างตัวโตแน่นอน

.... ไม่มีเรื่องช้างตาเล็ก ช้างกินกล้วย ช้างอายุยืนมาเกี่ยวข้อง ..... มันช่วยให้อาจารย์ฝรั่งเข้าใจรายงานของเราง่ายขึ้น

ไม่ต้องใส่ใจว่า ในย่อหน้าที่ว่า ช้างตัวโตจะมีแค่สามประโยค แต่ถ้าจะเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น ให้ขึ้นย่อหน้าใหม่ทันที .... เป็นเทคนิคที่น่าสนใจทีเดียว



ช่วงเทอม 2 เป็นช่วงที่ผมขลุกอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมากที่สุด ได้เห็นความแตกต่างของเด็กฝรั่ง กับเด็กไทยอย่างผมก็คือ เด็กฝรั่งเรียนเพื่อให้รู้ ผมเรียนเพื่อให้สอบผ่าน

อาจารย์ให้ไปอ่านหนังสืออ้างอิง แล้วมาพูดในชั้นเรียน เด็กฝรั่งมันอ่านมากกว่าที่อาจารย์ให้อ่าน ผมเคยสงสัยว่า มันไปเอาเรื่องราวแบบมาจากไหน มันบอกว่า มันค้นคว้าเพิ่มเติมจากในห้องสมุด อาจารย์ให้อ่านสามบท มันอ่านห้าบท บวกกับอีกสามบทจากหนังสืออื่นที่อาจารย์ไม่ได้ให้อ่าน

เพื่อนผมมันบอกว่า มันสนใจ และอยากรู้แค่นั้นเอง .... แค่นั้นเองจริงๆ

ทึ่งเด็กฝรั่งตรงความใฝ่รู้

แต่ในเรื่องความลวก ความชุ่ย มันก็มี

รายงานประจำสัปดาห์ ผมเห็นเด็กกีวีทำแล้ว น่าเอน็จอนาถ ลายมือตัวเท่าหม้อแกง เขียนตัวโย้ไปเย้มา ขีดฆ่าเป็นว่าเล่น หาความสะอาดไม่ได้

แต่มันได้คะแนนดีแทบทุกคน ... อาจารย์ดูที่เนื้อหา ไม่ได้ดูที่ความสะอาด

มีอยู่วันหนึ่ง อาจารย์อธิบาย นักเรียนมันเถียง อาจารย์เลยบอกให้มันออกมาอธิบาย แล้วอาจารย์มานั่งที่นักเรียน ไอ้เจ้านักเรียนกีวี ออกไปอธิบายหน้ากระดาน สลับที่กัน เท่านั้นยังไม่พอ อาจารย์ดันถามมันเหมือนอาจารย์เป็นนักเรียน

"โทษที อธิบายใหม่ได้มั้ย ผมตามคุณไม่ทัน" อาจารย์ถามนักเรียน อาจารย์เป็นดอกเตอร์ นักเรียนเรียนปริญญาตรีปี 3 ... เอากะมันสิ ...

ผมชื่นชม และประทับใจภาพในวันนั้นมาก อาจารย์พร้อมรับฟังลูกศิษย์ ลูกศิษย์กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากอาจารย์

วันหนึ่งผมทำรายงาน แล้วอ้างอิงจากหน้งสือ "Small is beautiful" พร้อมกับยกข้อความจากหนังสือมาอ้างอิง

Pettman เขียนต่อท้ายประโยคที่ผมอ้างอิงมาว่า "ไม่น่าเชื่อว่าคุณเชื่อในข้อความเหล่านี้"

Pettman สอนให้ผมไม่เชื่อในสิ่งที่ผมอ่าน .... ผมเคยอ่านหนังสทอ แล้วเชื่อในสิ่งที่ตำราบอก ... ไม่เคยเถียงตำรา ....

แต่จากวันนั้น Pettman สอนให้ผมเถียงตำรา ตราบเท่าที่ผมมีเหตุผลเพียงพอ .... Pettman บอกว่า ทำไมคุณจะเถียงตำราไม่ได้ เพราะวันหนึ่งคุณก็คือคนที่จะเป็นผู้เขียนตำรา ที่พร้อมจะรับคำโต้เถียงจากคนอื่น .... ต่างกันตรงไหน

Pettman สอนผมมากมาย สอนให้ผมคิดปกป้องประเทศของเรา

ฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า คุณมาเรียนเมืองนอก ก็เพื่อที่จะนำเอาวิชาความรู้กลับไปพัฒนาบ้านคุณใช่มั้ย

ผมตอบว่า ... ไม่ใช่ .... ผมต้องการปกป้องตะวันออกของผม จากการรุกรานของตะวันตก ...

วิธีการที่ผมจะปกป้องบ้านของผมจากตะวันตกได้ ก็คือ ผมต้องรู้ก่อนว่า ตะวันตกคิดอย่างไร และคิดอะไรกับบ้านผม วิธีที่จะรู้ได้ง่ายที่สุด คือใส่ตัวผมเองลงมาในโลกตะวันตก เรียนรู้ที่จะคิดแบบตะวันตก เรียนรู้ที่จะทำแบบตะวันตก

ด้วยวิธีนี้ เมื่อผมกลับมาเมืองไทย และมองย้อนกลับไปยังตะวันตก ผมมีโอกาสที่จะรู้แนวคิดของตะวันตก ที่มีต่อตะวันออกได้ไม่ยากเย็น .... เพราะผมเคยเป็นมาก่อน




Create Date : 14 ตุลาคม 2551
Last Update : 19 ตุลาคม 2551 11:36:50 น. 11 comments
Counter : 3665 Pageviews.

 
มาให้กำลังใจค่ะ เราจบมาจาก Canterbury University ค่ะ.
ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความพยายามของเราจริงๆ


โดย: Cookie IP: 91.125.106.172 วันที่: 15 ตุลาคม 2551 เวลา:1:47:33 น.  

 
แวะมาเยี่ยมค่ะ เพราะเคยเรียนที่ NZ เหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้จบแล้ว เอาใจช่วยนะคะ ตามประสบการ์ณของตัวเอง คนไทยอย่างเราสู้เขาได้อยู่แล้วค่ะถ้าเรามีความตั้งใจดี


โดย: BeachBum วันที่: 15 ตุลาคม 2551 เวลา:15:55:02 น.  

 
สู้ๆนะคะ
มาเรียนต่างแดนเหมือนกัน
ไม่เคยไปนิวซีแลนด์เลย เคยไปใกล้สุด ก็แทสมาเนีย ออสเตรเลียน่ะค่ะ

ได้ยินแต่ว่าวิวสวย และเงียบ จริงอะป่าวคะ


โดย: ชะเอมหวาน วันที่: 15 ตุลาคม 2551 เวลา:21:47:21 น.  

 
สวัสดีค่ะ เขียนบล็อกอ่านมีสาระ น่าติดตามมากค่ะ พัทก็จบจากที่นี่ สถาบันเดียวกัน เมืองลมแร้งแรงนี่ล่ะค่ะ :) แต่พัทจบ Development Studies ไปเรียนมาหลายปีนู่นแล้ว (ป่านนี้เค้ายุบคณะไปยังไม่รู้ เอิ้ก)

เคลเบิร์นยังสวยเหมือนเดิม ตอนพัทอยู่พักที่ AB House หอของนักเรียนปริญญาโทค่ะ วิวสวยขาดใจมากๆ

แล้วจะติดตามอ่านต่อไปนะคะ


โดย: พัท (Il Maze ) วันที่: 16 ตุลาคม 2551 เวลา:3:51:48 น.  

 
อ่านภาคสองแล้วครับ เข้มกว่าเดิม


โดย: ข้าเจ้า IP: 58.8.151.12 วันที่: 16 ตุลาคม 2551 เวลา:14:46:15 น.  

 
ชอบคำคิดพี่ตอนท้ายมากเลยค่ะ

ปกป้องคนตะวันตก จะว่าไปเหมือนเอาความคิดมาจากสมัยรัชกาลที่ 5 เลยพี่ พอดีหนูอ่านประวัติรัชกาลที่ 5 สอนบุตรธิดาไปเรียนต่อต่างประเทศค่ะ ^ _______ ^ ดีมากๆเลยพี่


โดย: radiergummi วันที่: 13 สิงหาคม 2553 เวลา:16:48:41 น.  

 
ตามมาอ่านตอนที่ 2 ต่อค่ะ.....ดีใจมากๆ เลยนะคะ...ที่คนที่ไปเรียนเมืองนอกแล้วคิดอย่างนี้.....หอมเองก็คิดอย่างนี้
อยากให้เมืองไทยมีคนที่คิดแบบนี้ รักบ้านเมืองอย่างนี้เยอะๆ จริงๆ ค่ะ...ชื่นชมมากๆ

ตอนเรียนที่อังกฤษก็ประสบปัญหาความโหดหินของการทำ assignment และเรื่องเวลาเช่นกัน...ตี 2 นี่เป็นอย่างต่ำ...ถ้าใกล้วันส่งแล้ว ...โค้งสุดท้ายนี่ นั่งตาค้าง 3 วัน 3 คืนเลยค่ะ...อาศัยหลับเป็นงีบๆ แค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องกำลังใจนั้น...พอดีแม่ทิ้งหนังสือคำคมธรรมะไว้ให้เล่มหนึ่ง...พลิกอ่านไปเจอประโยคเด็ด..เป็นของ มจ. อากาศดำเกิง...ท่านว่าไว้....."ผู้ที่ตั้งใจเรียน ย่อมเป็นทุกข์จากวิถีแห่งการเรียนนั้น".....เมื่ออ่านเวลาเราเป็นทุกข์ อย่างน้อยก็รู้สึกว่า เพราะเราตั้งใจเรียนนะ เมื่อทำดีแล้วก็ต้องทำต่อไป.....

ขอบคุณที่ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ให้หลายคนได้อ่านนะคะ (ขนาดเรียนจบกลับมา 3 ปี แล้ว...ยังจำความรู้สึก..ความสุข-ทุกข์ที่นั่นได้อยู่เลยค่ะ...มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ จริงค่ะ.....)



น้ำหอม


โดย: น้ำหอม IP: 115.31.130.5 วันที่: 15 กันยายน 2553 เวลา:15:52:35 น.  

 
That's a subtle way of tihkning about it.


โดย: Daniel IP: 109.230.216.60 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:3:37:11 น.  

 
ZjNhXF , [url=//hxjpetvlihhr.com/]hxjpetvlihhr[/url], [link=//vgzcsskmaidy.com/]vgzcsskmaidy[/link], //htzjqvocluls.com/


โดย: iqrysgfmtf IP: 10.90.0.45, 205.159.178.246 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:23:09:08 น.  

 
ขอบคุณสำหรับประสบการณืดีๆที่มาเล่าสู่กันฟังนะครับ


โดย: ปีเตอร์ IP: 202.44.135.34 วันที่: 5 เมษายน 2558 เวลา:13:41:41 น.  

 
เขียนดีมากๆ เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่คิดไปเรียนต่างประเทศในมุมที่แทบไม่มีใครกล่าวถึง เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการไปเรียน ตปท.มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ไม่เคยมีใครบอกว่ามันต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างไรบ้าง ชื่นชมในความพยายามและขอบคุณที่มาช่วยแชร์ประสบการณ์


โดย: พุดตาน IP: 180.180.101.154 วันที่: 9 พฤษภาคม 2561 เวลา:13:43:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

unmoknight
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 49 คน [?]




ฉันจะบิน ... บินไป ... ไกลแสนไกลไม่หวั่น
เก็บร้อยความฝันที่มันเรียงราย ...
ให้กลายมาเป็นความจริง ...
New Comments
Friends' blogs
[Add unmoknight's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.