Little drops of water, Little grains of sand Make the mighty Ocean, and the pleasant land. Little deeds of kindness, Little words of love Help to make Earth Happy, Like the Heven above.
Group Blog
 
All Blogs
 

สาเหตุที่แม่ไม่ยอมให้ซื้อหนังสือมือ 2

"ซื้อ มือ 1 เถอะลูก แพงหน่อยก็เอาเถอะถ้าอยากได้จริงๆ"

ใจปล้ำนะเนี่ยไฟเขียวแบบนี้ ทำให้ข้ออ้างเรื่องหนังสือมือ 2 มันราคาถูกตกไปในทันใด

แต่มันใช่ว่าเราจะซื้อมือ 1 ได้ทุกกรณีนินา หนังสือบางเล่มเลิกพิมพ์ไปนานแล้ว จะหามือ 1 ได้ที่ไหน ไม่อีกทีพวกหนังสือเป็นชุดๆ อยากได้ให้ครบชุดฉบับพิมพ์เก่า ก็หาซื้อไม่ได้ เพราะมีแต่ฉบับใหม่แทน ซื้อมามันก็เรียงบนชั้นไม่สวยหน่ะสิ


แต่เวลาที่เถียงกันเรื่องนี้ ทุกครั้งแม่จะต้องอ้างคำพูดของอาม่า(ยาย) ที่เคยกำชับบอกกับแม่ในสมัยที่แม่ยังเป็นเด็กว่า

"ห้ามซื้อหนังสือมือ 2 เด็ดขาด"


ทั้งๆที่ครอบครัวเราต่างก็ชอบอ่านหนังสือ แต่ทำไมๆๆ ถึงห้ามไม่ให้ซื้อหนังสือมือ 2 หรือแม้แต่จะไปเช่าหนังสือในร้านหนังสือมาอ่านก็ตาม

"หนังสือมือ 2 คือหนังสือของคนที่เป็นวัณโรค เค้าอ่านจบแล้วเอามาขาย"

"ให้ตายเถอะ เนี่ยเหรอคือเหตุผลของแม่"

"ก็สมัยก่อนคนเป็นวัณโรคเค้าต้องถูกขังอยู่แต่ในห้อง แล้วเค้าก็ไม่มีอะไรทำ นอกจากอ่านหนังสือ แล้วพออ่านจบแล้ว ก็เอามาขายเป็นพวกหนังสือมือ 2 เนี่ยหล่ัะ"

"โถ...แม่อย่าเอาเรื่องสมัยก่อนสงครามมาพูดได้ไหม"

"รู้ไหมวัณโรคหน่ะ สมัยก่อนเป็นแล้วตายลูกเดียวรักษาไม่หายนะ"

"รู้แล้ว แต่สมัยนี้หน่ะ เป็นแล้วไม่ตายแล้ว มียาที่รักษาหายได้ แล้วมันก็ใช่จะติดกันง่ายๆ ถึงได้รับเชื้อมา แต่โรคนี้หน่ะมันใช้เวลาฟักตัวนานมากๆๆๆๆ ถ้าเราร่างกายแข็งแรงก็ไม่เป็นหรอก หนูเรียนมาหนูรู้น่า"

แต่แม่ไม่ยอมลดละ
"แล้วไหนจะคนเป็นไทกออีก คิดดูซิน้ำหนองน้ำเหลืองอะไรอีกมากมาย มันก็มาติดตามหนังสือ บลาๆๆๆ เชื้อโรคมันก็หมกอยู่ในหนังสือนั่นหล่ะ"
"เพราะงั้นนะ ถึงลูกซื้อมาก็ต้องรีบไปตากแดดฆ่าเชื่อจนกรอบก่อน ค่อยเอามาอ่าน แล้วพอกรอบแล้วก็อ่านไม่ได้ ต้องทิ้งลูกเดียว เพราะงั้นไม่ต้องซื้อ"


แต่มาถึงตรงนี้ทีไร ข้าพเจ้าหล่ะขำก๊าก ยอมแพ้ทุกที
พระเจ้า...แม่คิดไปได้ยังไงเนี่ย ให้เอาหนังสือไปตากแดดฆ่าเชื้อจนกรอบ จิตนาการสูงส่งจริงๆ

แล้วบทสนธนาเดิมๆก็จบลง ข้าพเจ้าก็ยังคงไม่เคยมีหนังสือมือ 2 ไว้ในครอบครองจวบจนทุกวันนี้




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2551    
Last Update : 24 มกราคม 2554 19:25:49 น.
Counter : 781 Pageviews.  

The Witches , เรื่องของแม่มด by Roald Dahl

The Witches



ต้องบอกว่า หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเรื่องแรกที่มีแต่ตัวหนังสือ ที่เราเริ่มอ่าน (จริงๆมีภาพประกอบเล็กน้อย) ตอนนั้นยังเป็นเด็กหญิงอายุซัก 8-9 ขวบได้
ทุกครั้งที่ปิดเทอมแม่จะต้องเอาไปฝากบ้านญาติเพราะไม่มีใครดูแล ที่บ้านนี้มีพี่สาวเรียนโบราณคดี เค้าชอบอ่านหนังสือ ในตู้ของพี่จะมีหนังสือเต็มไปหมด เมื่อไหร่ที่มีโอกาศเปิดตู้ส่วนตัวของพี่สาว จะระทึกมากๆ เพราะถ้าเปิดไม่ดี หนังสือทั้งหลายในตู้มันจะเทลงมากองเป็นภูเขา

จากหนังสือในตู้มากมาย ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าตัวเองหยิบมาอ่านอยู่หลายเล่ม ทั้ง นิยาย เรื่องตลก ประวัติศาสตร์ รู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง

ต้องขอบคุณพี่สาวที่เป็นคนปลูกฝังให้เรารู้จักรักการอ่าน และสอนให้เรา้รู้จักอ่านหนังสืออื่นๆนอกจาก สกุลไทย และการ์ตูน talent

แต่สุดท้าย เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ถึงจะไปหยิบหนังสือมาอ่านหลายเล่ม แต่เล่มที่ชอบที่สุดและจำได้ มันก็คือหนังสือสำหรับเด็กอยู่ดี
เรื่องแรกคือ The witches หรือ เรี่องของแม่มด ส่วนอีกเรื่องคือ เรื่องเก้าอี้กับเด็กหญิงอีดะ

หลังจากอ่านของพี่สาวจบไปไม่รู้กี่สิบรอบ ก็เพียรพยายามหาซื้อเป็นของตัวเอง แต่ก็หาไม่ได้ เหมือนจะขาดตลาดอยู่พักนึง จนหลายปีผ่านไป มีการพิมพ์ใหม่ออกมา ถึงได้มาเป็นของตัวเองซักที
แต่เชื่อไหมคะ...หลังจากที่ได้หนังสือเป็นของตัวเอง เคยอ่านแค่ หนเดียวก็คือตอนที่ซื้อมา หลังจากนั้นก็เก็บเข้าตู้อย่างดี ไม่เคยหยิบมาอ่านอีกเลยจนบัดนี้....

เออ..ให้มันได้อย่างนี้สิ

หลังจากนั้นเมื่อสัปดาห์ก่อน ระหว่างที่กำลังถามหาหนังสือกับพนักงานที่ร้าน kinokuniya สายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนึงวางอยู่บนชั้นโปรโมท
อ๊ะ... ภาพประกอบมันคุ้นๆ
อ๊ะ...ชื่อคนแต่งมันคุ้น Roald Dahl
อ๊ะ...The witches
กริ๊ด......นี่มันเรื่องของแม่มดนินา

เห็นปุ๊บตัดสินใจได้เลยทันที รีบบอกพนักงาน ไม่ต้องหาเล่มนั้นแล้วค่ะ เอาเล่มนี้แทน

จริงๆ ตรงชั้นนั้นมีหนังสือของ Roald Dahl เป็นชุดๆเลยค่ะ เราได้อ่านฉบับภาษาไทยมาแล้วหลายเรื่อง ชอบทุกเรื่องเลย อยากจะซื้อมันยกทั้งแผง แต่ยังช่างใจไว้ก่อน เพราะแม้จะเป็นหนังสือเด็ก แต่ก็เป็นภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยความรู้ภาษาอันอ่อนด้อยของเรา ต้องสารภาพว่าตอนอ่านยังต้องเปิดดิกอยู่หลายคำ เอิ้กๆ
แต่ว่ามันไม่ใช่แค่เปิดดิกแล้วจะรู้เรื่องหล่ะสิ ในตอนกลางๆเล่มที่แม่มดตัวจริงปรากฏออกมา และมีการเปิดประชุมแม่มด โดยหัวหน้าแม่มด ซึ่งในหนังสือบอกไว้ว่าท่านหัวหน้าแม่มด มีปัญหาในการออกเสียงตัวอักษรหลายตัว เช่น ตัว W และ ตัว R โดยตัว W จะออกเสียงเป็นตัว V หรือ ตัว R จะเขียนเบิ้ลหลายตัวมากๆ เพื่อให้คนอ่านเข้าใจว่ากระดกลิ้นรัวมากกว่าปกติ

ยกตัวอย่างเช่น คำว่า We ที่แปลว่า พวกเรา จะเขียนแทนด้วย Vee
หรือ คำว่า worse ที่แปลว่าเลวร้าย ก็จะเขียนแทนด้วย vurse

ดังนั้นลองอ่านประโยคง่ายๆ
"Vee Vill vipe them all avay!"
แปล อังกฤษเป็นอังกฤษได้ว่า
"We will wipe them all away!"

ยากขึ้นมาอีกนิด
"Vee vitches are vurrking only vith magic?"
แปล อังกฤษเป็นอังกฤษได้ว่า
"We witches are working only with magic?"

แต่มันไม่ง่ายอย่างนี้เสมอไปหน่ะสิ บางทีอ่านแล้วเจอะศัพท์บางตัวที่ไม่รู้จัก ก็ไม่แน่ใจว่าตกลง V นี้มันใช่ศัพท์มันจริงๆหรือว่าแปลงมาจากตัว W

หลังจากเพียรพยายามอ่านภาษาคาราโอเกะภาคอังกฤษของท่านหัวหน้าแม่มดอย่างสนุกสนานจนจบเล่ม
จขบ ก็ขอปฏิญาณตนว่าจากนี้จะพยายามเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องมากขึ้น และเลิกใช้ภาษา chat โดยเด็ดขาด เพราะซึ้งแล้วว่าเวลาอ่านภาษาที่มันเขียนไม่ถูกต้องเนี่ยมันหงุดหงิดยังไง


หลังจากอ่านจบในตอนที่ตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้สึกว่าตัวเองได้อะไรมากขึ้นกว่าตอนเป็นเด็ก และรู้สึกขอบคุณคนแต่งที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ย้ำนักย้ำหนา นั่นคือแม่มดทุกคน ก็เหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป พวกหล่อนจะปลอมตัว และซ่อนสิ่งชั่วร้ายไว้ในคราบสาวสวย
อย่าไว้ใจใครง่ายๆ แม่มด อาจเป็นคุณครูผู้แสนดี ที่กำลังอ่านหนังสือเรื่องนี้ให้เด็กๆฟัง และกำลังหัวเราะ หึหึ ในใจ
ขอให้เด็กๆอย่าวางใจ จงหมั่นสังเกตุสิ่งผิดปกติต่างๆ หากรู้จักระวังตัวให้ดี เราก็จะปลอดภัยจนโตเป็นผู้ใหญ่ (จริงๆแม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็โดนหลอกได้เหมือนกัน
)

ซึ่งจะว่าไป มันคือกุศโลบายหลอกเด็ก ให้รู้จักระมัดระวังตัว อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ แม้ว่าคนเหล่านั้นภายนอกจะดูดีก็ตาม โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งส่วนใหญ่จะดูไม่มีพิษภัย แต่ใครจะรู้ ภายใต้หน้าตาสวยๆ กิริยามารยาทอ่อนหวาน เธออาจจะนิสัยไม่ดีก็ได้

ความทรงจำในตอนเป็นเด็ก ของเรื่องนี้ รู้สึกคลุมเครือเสมอเมื่ออ่านตอนจบ เพราะไม่เคยจำได้ซักทีว่ามันจบยังไง
พอมาอ่านครั้งนี้ ก็เข้าใจแล้ว เพราะมันเหมือนจะ happy แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ต้องบอกว่าจบแบบฝันกลางวันนิดๆมากกว่า
จริงๆเรื่องนี้ไม่ได้จบแบบสวยงามตามสูตรหนังสือเด็กเท่าไหร่ แต่คนแต่งก็เขียนให้รู้สึกว่าจบแบบสวยๆได้ น่าทึ่งมากๆ ในตอนเป็นเด็กจำได้ว่าพออ่านถึงตอนจบรู้สึกสนุกและตื่นเต้นไปด้วยกับคำพูดที่ทิ้งท้ายเอาไว้ แต่พอมาอ่านในตอนโตที่เรารู้เดียงสามากขึ้นแล้ว กลับรู้สึกว่ามันน่าเศร้านิดๆ เพราะดันไปคิดต่อว่าจากนั้นเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป ระหว่างยายที่แก่แล้วกับหนูน้อย แถมยังชวนให้คิดถึง Mr. Jingle ในหนังเรื่อง Green mile ซะอีก ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหวั่นใจ


นี่สินะ ที่เค้าเรียกว่า แก่แล้วไปอ่านหนังสือเด็ก มันจะได้อีกรสชาตินึง ไม่ได้อยู่แต่ในความฝันเหมือนแต่ก่อน แต่ถ้าเลือกได้ อยากกลับไปไร้เดียงสาเหมือนตอนเด็กๆ จะได้อ่านเรื่องนี้จบแบบมี
ความสุขจริงๆ

มีเป็นanimation ด้วยอ่ะ อยากดูๆ แต่ไม่รู้จะไปหาได้ที่ไหน

แต่ไม่ว่าจะตอนเป็นเด็กหรือตอนนี้ มีสิ่งนึงที่คิดเหมือนกัน นั่นคือ อยากไปร้าน The Witch !!!
ผับเก่าแก่ซึ่งถ้าใครผ่านไปแถวทองหล่อ คงจะต้องรู้จักดี ในตอนเป็นเด็ก ทุกครั้งที่แม่ขับรถผ่าน จะต้องบอกแม่ว่า ม๊า...แม่มดในรูปนั้นหน่ะไม่ใช่แม่มดจริงๆหรอก อันเนี่ยมันของหลอกเด็ก แม่มดจริงๆนะ จะต้องเป็นแบบนี้ๆๆๆ บลาๆๆๆ เล่าตามที่หนังสือเล่มนี้บอกไว้ ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องของแม่มดจริงๆ

มาึถึงตอนนี้ แม้อายุจะเลยกำหนดเที่ยว pub มานานแล้ว แถมผับร้านนั้นก็ยังอยู่ แต่ก็ไม่เคยเข้าไปซักที และก็ยังอยากรู้อยากเห็นเหมือนเดิม อยากรู้ว่าข้างในเป็นยังไง มีแม่มดจริงๆหรือเปล่า
มีใครสนใจจะไปด้วยกันไหมคะ


Fossegrimhallingen - Arne M. Solvberg




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2551    
Last Update : 24 มกราคม 2554 19:27:06 น.
Counter : 2619 Pageviews.  

คืนจันทร์กระจ่างเงา อวสานไม่ถูกใจ หงุดหงิดสุดๆ







ไม่รู้จะว่ายังไงดี แต่รู้สึกเหมือนเรื่องนี้ถูกตัดจบยังไงก็ไม่รู้

แถมจบหักมุมแบบ....เฮ่อ...จะว่าค้างคาก็ไม่ใช่ เพราะคนเขียนก็สรุปมาหมดแล้ว ว่าใครเป็นไง แต่.....มันเหมือนว่าคนเขียนอยากเขียนต่อ แต่โดนสั่งตัดจบซะมากกว่า เพราะมันไม่ได้มีวี่แววอะไรเลยว่า มันจะจบในเล่ม 6

ทั้งๆที่คิดว่าเรื่องนี้น่าจะออกเป็นตอนๆต่อไปเรื่อยๆ เพราะเนื้อหามันสั้นจบในตอน แต่ปรากฏว่า ออกมาแค่ 6 เล่มก็จบเลยซะงั้น ฮือๆๆๆ

ทั้งๆที่ตอนนี้ความรักแบบผีหยอกๆของ ชิโค และ จิซึรุ ก็กำลังหวานอมเปรี้ยว น่ารักน่าลุ้นเรื่อยๆ แถมวาคาบะ ก็ดูเหมือนจะแอบสนใจ ทาคาชิ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการแกล้งกันซะมากกว่า แต่ทำไมถึงรีบจบหล่ะเนี่ยยยย

บ่นๆๆๆๆๆ ทั้งลายเส้นที่เปลี่ยนแปลงไป แบบเฮ้อ.....อะไรเนี่ย นี่พึ่งเล่ม 6 เองนะ ไม่ใช่เล่ม 40

แต่ที่หนักกว่าคือตัวเนื้อเรื่อง คนเขียนดันพลิกเรื่องราวกลับตะละปัด

วาคาบะ กลับรัก ทาคาชิจริงๆซะงั้น
อันนี้ตอนอ่านไปกลางๆเล่มยังพอว่า คิดว่า 2 คนนี้คู่กันก็ดีเหมือนกัน ทั้งๆที่จริงๆแล้วแอบหวังว่า ให้มิซาโอะ ได้สมหวังกับทาคาชิจริงๆ เพราะอายุใกล้ๆกัน หวังให้ทาคาชิเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อจิซึรุ จากคนรัก ให้กลายเป็นพี่สาวที่เคารพ

ส่วนชิโคหน่ะเหรอ แน่นอนเราคิดว่าต้องคู่กะจิซึรุอยู่แล้ว แต่ทุกอย่างไม่เป็นเช่นนั้น คนเขียนดันเล่นตลก ให้จิซึรุคู่กับ ทาคาชิ ซึงเราอ่านยังไงก็ยังไม่เข้าใจ จิซึรุ บอกลา ชิโค เพราะรู้สึกผิดต่อทาคาชิ และต้องรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบที่เป็นต้นเหตุให้ทาคาชิบาดเจ๊บงั้นเหรอ

สรุปเรื่องนี้ในตอนท้าย จบแบบบาดเจ๊บทุกคน รวมทั้งเราด้วย

1.จิซึรุ ทนรอทาคาชิโตเป็นผู้ใหญ่ นั่นหมายถึง ต้องรอนานถึง 6 ปี ซึ่งจะว่าไป อายุจิซึรุในสังคมสมัยนั้นต้องแต่งงานแล้ว แค่ตอนนี้ก็มีเรื่องต้องไปดูตัวให้ปวดหัว แถมโดนนินทาสารพัด นี่ต้องรอถึง 6 ปี!!! แถมต้องแต่งงานกับผู้ชายที่อายุอ่อนกว่าถึง 8 ปี จะถูกติฉินนินทามากมายขนาดไหนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้า 2 คนรักกันจริง เรื่องนี้มันจิ๊บๆ แต่ว่ามันไม่ใช่หน่ะสิ จิซึรุหน่ะ รักทาคาชิแน่เหรอ ในความคิดของเรา จิซึรุเลือกแต่งงานกับทาคาชิเพราะความรับผิดชอบ คิดดูซิ ต้องรอ และแต่งงานกับคนที่เราไม่ได้รัก แถมพอแต่งงานไปทาคาชิก็ไม่ได้มาอยู่ใกล้ๆอีก ไปทำงานห่างไกลแถม ตายตั้งแต่อายุยังน้อย คิดดู๊......ทำไมคนแต่งเค้าเขียนเรื่องได้โหดร้ายแบบนี้ โกรธมากๆๆๆๆ

2.ทาคาชิ ต้องแบกรับความรู้สึกผิด ตั้งแต่เด็ก จนถึงแต่งงาน และจนตาย ก็ยังติดกับความรู้สึกผิดนั้น ความรู้สึกที่หลอกลวงจิซึรุ และพรากจิซึรุ จากชิโคไป ด้วยความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ไม่รู้ว่าทรมาณแค่ไหน แต่ความสุขที่ได้มาบนความทุกข์ของคนอื่น ทาคาชิเองก็ไม่ปลื้มเท่าไหร่หรอก และสุดท้ายก็เลือกที่จะไปตาย แล้วทิ้งจิซึรุกับลูกไว้เบื้องหลัง คนอะไร๊ จนสุดท้ายก็ยังเห็นแก่ตัวไม่เลิก แอบสงสารทาคาชินิดนึง แต่ด้วยความที่ไม่ชอบคนบุคลิกนิสัยแบบนี้ เลยแอบเกลียดไปด้วย เหอๆ

2.วาคาบะ หลงรักทาคาชิ คิดว่าตั้งแต่ตอนทาคาชิอายุ 8 ขวบนั้นหล่ะ และความรู้สึกนั่นก็ยังคงอยู่ ผ่านมาหลายปี จนสุดท้ายทาคาชิตาย วาคาบะถึงได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และกินทาคาชิ แล้วก็วนเวียนอยู่กับความรู้สึกนั้น จนถึงเวลาช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตของจิซึรุ และเอาความรู้สึกในใจ รวมถึงเรื่องที่ทาคาชิปิดบังไว้มาบอก หลังจากถ่ายทอดความรู้สึกของทาคาชิให้จิซีรุรับรู้ วาคาบะก็หมดอาวรณ์และสลายร่างไป แงๆๆๆ ต่อมน้ำตาแตก วาคาบะน่าสงสารมากๆ จบอยู่กับความรักของทาคาชิอยู่ตั้งหลายปี ตั้งแต่จิซึรุยังสาว จนกลายเป็นคุณยายแล้วอ่ะ คิดดู กี่สิบปีหล่ะนั่น

3.ชิโค ผู้มีความอดทนสูงสุด ทนรอจิซึรุ แต่งงานกับทาคาชิ รอ...รอ...รอ จนจิซึรุแก่ มีลูกมีหลาน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตจึงมาหา และมารับไปอยู่ในโลกของความมืดด้วยกัน แต่มาถึงตอนนี้แอบสงสัยว่า ทุกทีพอตายแล้ว วิญญาณทุกคนต้องเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ลอยขึ้นไป ชิโคไม่น่าจะสัมผัสได้ แต่งวดนี้ปรากฏว่า ไปด้วยกันได้แฮะ ...ซะงั้น
จริงๆไม่ชอบให้จบแบบนี้เลย ถึงชิโคจะรอจิซึรุยาวนานหลายสิบปีก็จริง แต่ถ้ารักกันจริง ต้องพยายามสิ ทำไมปล่อยให้ทาเคชิคว้าไปได้ง่ายๆ แล้วสงสัยด้วย ตอนที่จิซึรุแต่งงานกับทาคาชิ ชิโครู้สึกยังไง โกรธ เสียใจ หึง หรือ ไม่มีความรู้สึก แค่ทนรอ หรือว่ารู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายก็จะมารับ เลยปล่อยไปงั้นเหรอ มันขัดใจๆๆๆ และไม่เข้าใจจริงๆๆๆ

4.ชูจิ อันนี้ไม่ชอบแต่แรกแล้ว รักจิซึรุ แต่ไม่ยอมทำอะไรเลย ถึงตัวเองจะฐานะทางสังคมต่ำกว่า แต่สุดท้ายก็เทียบเท่ากันได้แล้ว ทั้งๆที่อุตส่าห์เป็นรักแรกของจิซึรุ แต่กลับปล่อยไป แถมยังแก้ตัวด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ และรู้ว่าอีกฝ่ายมีความสุขก็พอแล้ว ซะงั้น ผู้ชายอะไร๊ ไม่ยอมไขว้คว้า จะให้ผู้หญิงเค้ามาตามฝ่ายเดียวหรือไง แย่ๆๆ ดังนั้นไม่ได้แอ้มจิซึรุหล่ะถูกแล้ว

สรุปอ่านมาจนจบ ขัดใจทุกคน เฮ้อ.....เรื่องมากไปไหมเนี่ยเรา

ก็พอจะเข้าใจนะว่าการตูนย้อนยุค ที่ไม่เน้นความรัก ออกๆแนวเรื่องชีวิต แฝงคติสอนใจ และความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน แถมยังเป็นเรื่องลึกลับแบบผีๆอีก ด้วยความที่การตูนแบบนี้มันขายยาก กลุ่มเป้าหมายมีน้อย แต่ทำไมต้องตัดจบแบบนี้ด้วยเนี่ยขัดใจจริงเรยยยย








 

Create Date : 04 กันยายน 2551    
Last Update : 24 มกราคม 2554 19:27:58 น.
Counter : 933 Pageviews.  

Hansel and Grethel ฉบับเทพนิยาย Grimm

กาลครั่งหนึ่งนานมาแล้ว ที่ชายป่ามีครอบครัวของคนตัดไม้ผู้ยากจนอาศัยอยู่กับภรรยา ลูกชายและลูกสาวอย่างละ 1 คน ชื่อ Hansel และ Grethel

เมื่อถึงฤดูแล้ง ชายตัดฟื้นไม่สามารถหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวได้เพียงพอ ทำให้ต้องอดมื้อกินมื้อ และมีความเป็นอยู่อย่างแร้งแค้น

ในคืนหนึ่ง หลังจากที่เด็กๆเข้านอน ชายตัดไม้กับภรรยาก็คุยกันด้วยความเศร้า
“เราจะทำยังไงดี ฉันไม่สามารถหาเงินเพียงพอจะเลี้ยงพวกเราได้ พวกเราจะต้องอดตายแน่ๆ” ชายตัดไม้กล่าวพร้อมกับมองภรรยา แน่นอนเธอเป็นแม่เลี้ยงของเด็กๆ

“ฉันรู้ว่าเราควรจะทำยังไง”
“พรุ่งนี้ แต่เช้าเราจะพาเด็กๆเข้าไปในป่าลึก และทิ้งพวกเค้าเอาไว้ที่นั่น พวกเด็กจะหาทางกลับบ้านไมได้ แล้วพวกเราก็จะเป็นอิสระ จากนี้เราก็จะทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเราเอง”

“ ไม่นะ ฉันไม่มีทางทำอย่างนั้นเด็ดขาด เราจะใจร้ายทิ้งพวกเด็กๆไว้ในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายได้ยังไง” ชายตัดไม้กล่าว

“เจ้าโง่!!! ถ้าเธอยังลังเลที่จะทำ ไม่นานพวกเราก็คงจะอดตายกันหมด แล้วหลังจากนั้นเธอคงต้องไปตัดไม้มาทำโลงศพให้พวกเราแล้ว”

แม่เลี้ยงกล่าวพร้อมตึงตังจากไป ทิ้งให้ชายตัดไม้ครุ่นคิดด้วยความกลุ้มใจ

ในขณะนั้น เด็กน้อยทั้ง 2 คน ซึ่งหิวเกินกว่าจะหลับตาลงได้ ก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่แม่เลี้ยงกล่าวกับพ่อ
Grethel ร้องไห้สะอื้นกับพี่ชาย
“จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา Hansel ฮือๆ”
“ชู่....Grethal” Hansel กระซิบ “อย่าเศร้าไปเลย พี่รู้ว่าเราจะทำยังไง”

เมื่อทุกคนเข้านอน Hansel แอบลุกขึ้นมา สวมเสื้อโค้ด และออกไปนอกบ้าน เก็บก้อนหินที่สะท้อนกับแสงจันทร์สีขาวมาใส่ในกระเป๋าจนเต็ม แล้วกลับไปนอน



เช้าวันรุ่งขึ้น


“ตื่นได้แล้วเจ้าโครงกระดูจอมขี้เกียจทั้งหลาย เราต้องเข้าไปในป่าเก็บฟืนกัน” แม่เลี้ยงกล่าว

จากนั้นเธอก็ให้ขนมปังกับเด็กคนละ 1 ก้อน

“ขนมปังมีแค่นั้นหล่ะ พวกเธอต้องเก็บไว้กินจนถึงมื้อเย็น”

ทุกคนเริ่มออกเดินทางเข้าไปในป่า Hansel หันกลับมาดูบ้านหลายครั้งหลายหน จนแม่เลี้ยงสงสัย
“ทำไมแกถึงต้องมาอยู่ข้างหลังตลอด แล้วหันกลับไปบ่อยๆทำไมกัน
“โถ แม่ครับ ผมมองเห็นแมวสีขาวนั่งอยุ่บนหลังคาบ้าน และผมรู้สึกว่ามันกำลังร้องไห้ให้ผมอยู่” Hansel ตอบ
“ไร้สาระ! นั่นไม่ใช่แมวของแกซักหน่อย นั่นคือแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ต่างหาก”

จริงๆแล้ว Hansel ไม่ได้มองเห็นแมว แต่ที่เค้าอยู่ด้านหลังเสมอ ก็เพื่อแอบโปรยหินลงตามทางเดินต่างหาก

ในที่สุด ทั้งหมดก็เดินทางมาถึงในป่าลึก

“เด็กๆ ไปหากิ่งไม้มา เราจะก่อไฟกัน เพราะที่นี่หนาวมาก”
“นั่งรออยู่ที่นี่หล่ะ จนกว่าชั้นจะไปหาพ่อ ที่ตัดไม้อยู่ในป่าใกล้ๆนี้ เมื่อพวกเราเสร็จงานแล้วจะกลับมารับ” แม่เลี้ยงออกคำสั่ง

เด็กทั้งสอง นั่งผิงไฟรอเวลา และกินขนมปังที่แม่เลี้ยงให้ไว้ ทั้ง 2 คนยังคงรู้สึกปลอดภัย ตราบที่ยังได้ยินเสียงตัดไม้ของพ่ออยู่ แต่ไม่นานทั้ง 2 คน ก็ผลอยหลับไป

เด็กน้อยตื่นมาอีกทีกลางดึก Grethel ที่น่าสงสารเริ่มร้องไห้
“เราจะออกจากป่านี้ไปได้ยังไง ฮือๆๆ”
“ไม่ต้องห่วง Grethel รอเวลาจนพระจันทร์ขึ้น แล้วเราจะกลับบ้านกัน” Hansel ปลอบ

เมื่อพระจันทร์ขึ้น Hansel จับมือน้องสาว แล้วพากันเดินกลับบ้านตลอดคืน และถึงบ้านในรุ่งเช้าพอดี

เมื่อแม่เลี้ยงเปิดประตูออกมาเจอะเด็กทั้ง 2 คน
“เจ้าเด็กจอมซน ไปทำอะไรอยู่ในป่าตั้งนาน พวกเรานึกว่าจะไม่กลับมากันแล้ว”
แม่เลี้ยงเอ็ดตะโรเสียงดัง ในขณะที่พ่อกลับดีใจเป็นอันมากที่ได้พบลูกๆอีกครั้งหนึ่ง


เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ช่วงเวลาแห่งการเสียงสละก็มาถึงอีกครั้ง
“ ตอนนี้ขนมปังเหลือแค่ครึ่งแถวเท่านั้น และเมื่อมันหมดไปก็จบสิ้นกันซะที”
“พวกเด็กๆจะต้องออกไป ครั้งนี้เราจะพาไปทิ้งในป่าที่ลึกกว่าเดิม เด็กๆจะต้องหาทางกลับบ้านไม่ได้แน่นอน นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เราไม่อดตาย” แม่เลี้ยงยื่นคำขาดกับชายตัดฟืน

และแน่นอนครั้งนี้เด็กๆก็ได้ยินอีกเช่นกัน
และเมื่อทุกคนหลับกันหมดแล้ว Hansel ก็รีบออกไปเก็บก้อนหิน แต่ทว่า..........
ประตูบ้านถูกล๊อค ด้วยฝีมือของแม่เลี้ยงนั่นเอง ทำให้ Hansel ไม่สามารถออกไปเก็บก้อนหินได้

เช้าวันรุ่งขึ้น แม่เลี้ยงก็ปลุกเด็กทั้ง 2 และให้ขนมปังคนละชิ้นและแน่นอนชิ้นเล็กลงกว่าครั้งที่แล้ว

จากนั้นก็พาเข้าไปในป่าเหมือนเดิม

ในระหว่างการเดินทาง Hansel หันกลับไปมองบ้าน และหยุดเดินบ่อยครั้ง เพราะแอบหักขนมปังที่ได้มาตลอดทางเดิน

“ Hansel ทำอะไรหน่ะ ทำไมถึงเดินชักช้า แล้วหันกลับไปบ่อยๆทำไม” แม่เลี้ยงเริ่มสงสัย
“ผมเห็นนกพิราบเกาะอยู่บนหลังคาบ้าน ผมรู้สึกว่ามันกำลังร้องไห้ให้ผมอยู่”
“ไร้สาระ ! นั่นไม่ใช่แมวของแกซักหน่อย นั่นคือแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ต่างหาก”

หลังจากนั้น Hanse ก็ไม่ได้หันหลังกลับไปอีก แต่ยังคงบิขนมปังโปรยไปตลอดทาง
ครั้งนี้ แม่เลี้ยงพา Hansel และ Grethel เข้าไปยังส่วนที่ลึกและมืดที่สุดของป่า ซึ้งแม้แต่ตัวแม่เลี้ยงเองก็ไม่เคยเข้าไปลึกขนาดนี้มาก่อน

และเหมือนกันครั้งก่อน แม่เลี้ยงสั่งให้เด็กๆไปหากิ่งไม้มาก่อไฟขนาดใหญ่พร้อมกับออกคำสั่งเช่นเคย

“รออยู่ที่นี่หล่ะ ชั้นจะไปช่วยพ่อตัดไม้ในป่า ถ้าเหนื่อยก็นอนพักซะ แล้วเมื่อพวกเราเสร็จงานก็จะกลับมารับในตอนเย็น”

เด็กๆนั่งรอจนถึงเที่ยงวัน Grethel แบ่งขนมปังของเธอให้กับพี่ชาย จากนั้นเด็กทั้งสองก็ผลอยหลับไป และตื่นขึ้นมาในตอนค่ำ และแน่นอน ไม่มีใครมารับพวกเค้า

เมื่อความมืดและความเงียบมาเยือน Grethel ก็เริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว แต่ Hansel ก็ปลอบใจว่า “ไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ได้ทิ้งเศษขนมปังเอาไว้ตามทาง เดี๋ยวเรารอจนพระจันทร์ขึ้น แล้วเราจะเดินตามรอยขนมปังที่ทิ้งไว้ ก็จะถึงบ้านได้อย่างสบายๆ”


แต่ทว่า....เมื่อพระจันทร์ขึ่น ทั้ง 2 คนกลับไม่พบเศษขนมปังที่ทิ้งไว้ซักชิ้นเดียว

เนื่องจากว่าบรรดานกที่อาศัยอยู่ในป่ามาจิกกินเสียหมด

Hansel พยายามข่มความเศร้าและกลัว และปลอบใจน้องสาว “ไม่ต้องตกใจ Grethel พี่เชื่อว่าเราสามารถหาทางกลับบ้านได้ แม้จะไม่มีเศษขนมปังก็ตาม เรามาพยายามกันเถอะ”

ทั้งสองคนเริ่มออกเดินทางตลอดคืน จนถึงรุ่งเช้า....และจนค่ำ แต่แล้วก็ยังหาทางออกจากป่าไม่ได้ ทั้งสองคนต่างหิวกันมาก เพราะมีเพียงลูกไม้เล็กน้อยที่เก็บได้ในป่า

ในที่สุดขาเล้กๆของเด้กน้อยก้ไม่สามารถมีแรงเดินได้อีกต่อไป ทั้งสอนคนต่างล้มลงนอนหลับใต้ต้นไม้ และตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าของวันที่ 3 ที่ถูกทิ้ง
ทั้ง 2 คน เริ่มเดินอีกครั้งเพื่อหาทางกลับบ้าน แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งเดินก็เหมือนยิ่งหลงเข้าไปในป่าลึกยิ่งขึ้น

ในบ่ายวันนี้ เด็กทั้งสองได้พบกับนกสีขาวตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ และกำลังร้องเพลงอันไพเราะ เด้กทั้งสองหยุดฟังจนนกน้อยร้องเพลงจบ

เมื่อนกน้อยร้องเพลงจนจบ มันก็กางปีก และถลาบินลงมาตรงหน้าเด็กทั้ง 2 คน
Hansel และ Grethel จึงเดินตามทางที่นกบินไป จนในที่สุดก็พบว่าเจ้านกน้อยไปบินเกาะอยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางป่า

เมื่อทั้ง 2 คน เข้าไปใกล้ ก็พบว่า บ้านหลังนี้ทำจากขนมปังขิง ตกแต่งด้วยขนมเค้กและทาร์ท นอกจากนี้แล้ว หน้าต่างก็ยังทำจากน้ำตาลบาเลย์อีกด้วย!!!

“โอ เยี่ยมไปเลย Hansel เราพักที่นี่ และไปกินกันเถอะ ชั้นจะเริ่มกินชิ้นที่หลังคาก่อนเลย” Grethel กล่าวด้วยความดีใจ “ดูหน้าต่างนั่นสิ มันต้องอร่อยแน่ๆเลย”

เมื่อ Hansel ไปถึง ก็เริ่มกินตัวบ้านขนมปังขิงด้วยความหิวโหย
Grethel นั่งลงที่หน้าประตู และแกะเค้กที่ติดไว้มากิน


ในทันใดนั้น ก็มีเสียงดังออกมาจากบ้าน
“ใครกำลังกินบ้านของชั้น”
“ลม ลม แค่ลมเท่านั้น” เด็กๆตอบ และยังคงกินต่อไป เพราะไม่สามารถไปจากขนมแสนอร่อยนี้ได้ Hansel พบว่าเค้กบนหลังคานี้อรอ่ยสุดยอด และกำลังหักชิ้นต่อไป ในขณะที่ Grethel พึ่งแกะหน้าต่างน้ำตาลออกมากินทั้งบาน

เมื่อประตูบ้านเปิดขึ้น ทั้งสองก็พบกับ หญิงชราท่าทางแปลกประหลาดเดินออกมาพร้อมไม้เท้า

เด็กทั้งสองตกใจจนทำขนมที่อยู่ในมือตก

“โอ เด็กๆ ใครพาเธอมาที่นี่ มานี่สิ เข้ามาพักข้างในก่อน ชั้นไม่ทำอันตรายเธอหรอก” หญิงชรากล่าว พร้อมกันพาเด็กเข้าไปข้างใน

หญิงชรานำอาหารมากมายออกมาให้เด็กๆกิน ทั้งเครื่องดื่ม นม แพนเค้ก น้ำตาล รวมไปถึงถั่วและผลไม้

เมื่อค่ำลง หญิงชราก็พาเด็กๆไปยังห้องนอนที่มีเตียงอันแสนสวย และตกแต่งด้วยผ้าม่านสีขาว เด็กน้อยหลับอย่างเป็นสุข และพลางคิดในใจว่าตัวเองกำลังอยู่บนสวรรค์


แต่ใครจะรู้ว่า แท้จริงแล้วหญิงชราหาใช่คนใจดีไม่ แต่กลับเป็นแม่มดผู้ชั่วร้าย
ผู้ซึ่งสร้างบ้านหลังนี้ไว้เพื่อล่อจับเด็กๆ และขุนจนอ้วน จากนั้นก็นำเด็กๆมาเป็นมื้อค่ำ!!!


ในเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนที่เด็กๆจะตื่น แม่มดใจร้าย ก็มาที่เตียงของเด็กๆและยืนดู พลางคิดในใจว่า “จะต้องอร่อยแน่ๆ หึหึ”

แม่มดใจร้าย ลาก Hansel ขึ้นมาจากเตียงและนำไปขังไว้ในกรงเล็กๆ และถูกปิดปาดHansle ตกใจมาก และพยายามตะโกนจนสุดเสียง แต่ก็เปล่าประโยชน์
แม่มดกลับมากหา Grethel และปลุกเธอขึ้นจากเตียง

“ตื่นได้แล้วเจ้าเด็กจอมขี้เกียจ ไปตักน้ำซะ ชั้นจะต้มของดีๆให้พี่ชายของเจ้าที่ตอนนี้ถูกขังอยู่ในกรงกิน และเมื่อพี่ของเจ้าอ้วน ชั้นก็จะเอามันมาทำเป็นอาหาร”

เมื่อ Grethel ได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้ แต่เธอไม่มีทางเลือก จำต้องทำตามคำสั่งของแม่มด
อาหารเช้าสุดวิเศษสำหรับ Hansel ได้ถูกเตรียมขึ้น ในขณะที่ Grethel ได้กินเพียงแค่ดอกขิง

ทุกๆเช้า แม่มดจะไปที่กรงของ Hansel และกล่าวว่า
“ Hansel ยื่นนิ้วของเจ้าออกมาซิ ชั้นจะดูว่าเจ้าอ้วนพอจะกินได้หรือยัง”

แต่ Hansel ผู้เฉลียวฉลาด รู้ว่าแม่มดแก่แล้วสายตาไม่ดี จึงยื่นกระดูกออกไปแทนนิ้ว ซึ่งก็ทำให้แม่มดประหลาดใจมาก ว่าทำไม Hansel ถึงไม่อ้วนซักที

เมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ แม่มดก็หมดความอดทนที่จะรอ
“ไป Grethel เจ้าจงไปตักน้ำ ชั้นไม่สนใจแล้วว่า เจ้า Hansel จะอ้วนหรือผอม ชั้นก็จะกินมันในวันพรุ่งนี้เช้าแล้ว!!!”

Grethel ผู้น่าสงสารร้องไห้ พลางพูดว่า
“มันคงจะดีกว่าถ้าต้องถูกสัตว์ป่ากิน หรืออดตายในป่า เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ตายพร้อมกัน”

“หยุดร้องไห้ซะที ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้หรอก”

ในเมื่อไม่มีทางเลือก เช้าวันรุ่งขึ้น Grethel จึงเตรียมน้ำใส่หม้อ และตั้งไฟเอาไว้จนเดือด
“เราต้องอบขนมปังก่อน ชั้นนวดแป้งและ อุ่นเตาเอาไว้แล้ว” แม่มดออกคำสั่ง
“คลานเข้าไปดูซิว่าเตามันร้อนพอหรือยัง”

ถ้าเราเข้าไปในเตานั่น จะต้องถูกอบเป็นอาการเย็นแทน Hansel แน่ๆเลย เมื่อ Grethel คิดได้ดังนั้น จึงกล่าวกับแม่มดว่า

“หนูไม่รู้ว่าจะเข้าไปในประตูแคบๆนั่นได้ยังไง”
“เจ้าเด็กโง่!!!” แม่มดว่า
“ประตูนี่ใหญ่พอให้ชั้นเข้าไปด้วยซ้ำ ดูสิ” แม่มดพูดพลางยื่นหัวเข้าไปในเตาอบ

ทันใดนั้น Grethel ก็ผลักแม่มดเข้าไปในเตาอบ และปิดประตู



แม่มดผู้น่าสงสารถูกเผา และกรีดร้องอย่างโหยหวน ในขณะที่ Grethel วิ่งหนีไปหา Hansel และปล่อยออกมาจากกรง

“Hansel เราเป็นอิสระแล้ว แม่มดตายแล้ว”

เด็กทั้งสองคนกอดกันด้วยความดีใจ และกลับไปที่บ้านขนมปังขิงอีกครั้ง



เมื่อทั้งสองเข้าไปในห้องของแม่มด ก็พบหีบใบหนึ่ง เมื่อเปิดออกมาดูก็พบว่าเต็มไปด้วยไข่มุกและหินประหลาด

“ดีกว่าก้อนหินอีกเนอะ” Grethel ว่า “เราเอามันกลับบ้านไปด้วย แล้วรีบออกจากป่านี้กันเถอะ” Hansel กล่าวพร้อมกับโกยหินใส่กระเป๋าจนเต็ม
เด็กทั้งสองออกเดินทางกว่า 2 ชม แล้วก็ได้มาพบกับอ่างน้ำขนาดใหญ่

“เราจะข้ามไปยังไงกันดีหล่ะ ที่นี่ไม่มีสะพานหรืออะไรอื่นอีกเลย” Hansel กล่าว
“ดูนั่นสิๆ นั่นเรือนิ” Grethel ร้องอย่างดีใจ แต่ทว่า......

นั่นไม่ใช่เรือ แต่เป็นเพียงเป็ดสีขาวกำลังว่ายน้ำอยู่ และมันกำลังว่ายมาหาเด็กๆ
บางทีคุณเป็ดอาจจะช่วยให้เราข้ามไปได้นะ เด็กๆคิดในใจ

“คุณเป็ดคะ ที่นี่ไม่มีเรือหรือสะพานอะไรเลย ช่วยกรุณาพาเราข้ามไปหน่อยได้ไหมคะ”
“ไม่ไหวหรอก พวกเราสองคนตัวหนักเกินไป ให้คุณเป็ดพาเราไปทีละคนดีกว่า” Hansel กล่าว
และแล้วคุณเป็ดผู้ใจดี ก็ช่วยพาเด็กทั้งสองคนข้ามไปได้ โดยบรรทุก Grethel ไปก่อน จากนั้นจึงว่ายกลับมารับ Hansel


และในที่สุด เด็กทั้งสองก็พบว่าได้มาถึงป่าอันคุ้นเคยแล้ว และพบทางกลับบ้าน

เมื่อเห็นบ้าน ทั้งสองคนรีบวิ่งไปหาพ่อผู้น่าสงสารที่กำลังเศร้าสร้อยอยู่ในห้องเพราะ คิดถึงลูกๆที่ถูกทิ้งในป่า ตั้งแต่เด้กๆจากไป เค้าไม่เคยมีความสุขอีกเลย

ชายตัดไม้ประหลาดใจ และดีใจอย่างมากที่ได้พบเด็กๆอีกครั้ง ตอนนี้ทุกคนปลอดภัยแล้ว เพราะแม่เลี้ยงใจร้ายก็ได้เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน

นอกจากนี้ชายตัดไม้ยังต้องประหลาดใจเมื่อ เปิดกระเป๋าของ Grethel และพบไข่มุกกับหินประหลาดมากมายซึ่งส่องแสงเป้นประกายไปทั่วห้อง ในขณะที่ Hansel ก็ควักออกมาจากประเป๋าของเค้าเช่นกัน
และในที่สุด ทุกคนก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข




Hansel and Gretel ฉบับ Opera โดย Humperdinck คลิ๊กที่นี่




 

Create Date : 11 มีนาคม 2551    
Last Update : 24 มกราคม 2554 19:28:41 น.
Counter : 377 Pageviews.  

1  2  

Vitamin_C
Location :
Pasadena United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ อากาศดี ก็อารมณ์ดีเนอะ .......^-^

คิดถึงบ้านที่เมืองไทยเป็นที่สุด
ถ้าไม่นับห้องสมุดๆเจ๋งๆกับพิพิธภัณฑ์ดีๆ กับอาหารหลากหลายเชื้อชาติให้กินได้ไม่ซ้ำทุกวันแล้วหล่ะก็ เมืองไทยชนะขาดในทุกกรณี ว่าแต่เมื่อไหร่ ห้องสมุดกับพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราจะพัฒนาซักทีน้อ....


ถึงแม้ว่าบล๊อกนี้จะไม่ค่อยมีสาระ แต่เนื้อหาและข้อความทั้งหมด
รวมไปถึงรูปภาพที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ถ่ายเอง ถือเป็นลิขสิทธิ์ ของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์น จำกัด
ห้ามผู้ใดนำไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาติจากเจ้าของบล๊อก หรือ จากกองบรรณาธิการ

หากมีข้อสงสัยใดๆ กรุณาติดต่อหลังไมค์
หรือ
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์บางกอกสาส์น 966/10 ซ.พระราม6 19 ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม 10400
โทร 02-6137140
Email vitavitac@gmail.com
Friends' blogs
[Add Vitamin_C's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.