Group Blog
 
All Blogs
 
ครั้งที่ ๓๗ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออายตน ผัสสะ เวทนา

สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ

ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร


--------------------------------------------------------------



ครั้งที่ ๓๗ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออายตนะ ผัสสะ เวทนา

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ได้แสดงพระเถราธิบายในข้อสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ มาโดยลำดับ จับแต่ชาติ ชรา มรณะ ขึ้นไปจนถึงอวิชชาอสาวะ และกำลังอธิบายในข้อที่ทั้งหมดนี้ เป็นปัจจัยของกันอย่างไร คือเป็นเหมือนอย่างลูกโซ่ที่โยงกันไปเป็นสายโซ่อย่างไร จับแต่อวิชชาอาสวะ อาสวะอวิชชาซึ่งเป็นปัจจัยของกันและกัน และเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณก็เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปก็เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ และต่อจากนี้ก็ถึงเงื่อนหรือข้อต่อของลูกโซ่ว่า อายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะหรือสัมผัส ผัสสะหรือสัมผัสเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาตามลำดับในปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้

จึงจะจับอธิบายในเงื่อนหรือข้อต่ออันนี้ว่า เพราะอายตนะทั้ง ๖ เกิดขึ้น จึงเกิดสัมผัสหรือผัสสะ

ผัสสะเกิดจากอายตนะทั้ง ๖

สำหรับอายตนะทั้ง ๖ นั้นก็ได้อธิบายแล้ว ว่าได้แก่ อายตนะภายในทั้ง ๖ คือ

ตา ที่เป็นเครื่องต่อรูป
หู เป็นเครื่องต่อเสียง
จมูก เป็นเครื่องต่อกลิ่น
ลิ้น เป็นเครื่องต่อรส
กาย เป็นเครื่องต่อโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กายถูกต้อง
มโนคือใจ เป็นเครื่องต่อธรรมะคือเรื่องราว

และเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ต่อกันดั่งนี้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดสัมผัสหรือผัสสะ อันแปลว่า ความกระทบ ผัสสะหรือสัมผัสนี้ก็มี ๖ อันได้แก่

จักขุสัมผัส สัมผัสทางตา
โสตสัมผัส สัมผัสทางหู
ฆานสัมผัส สัมผัสทางจมูก
ชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น
กายสัมผัส สัมผัสทางกาย และ
มโนสัมผัส สัมผัสทางใจ

ในพระสูตรทั่วไปได้อธิบายสัมผัสไว้ว่า คือความประชุมกันขององค์ ๓ อันได้แก่ อายตนะภายใน ๑ อายตนะภายนอก ๑ และวิญญาณอีก ๑ โดยที่ได้ตรัสแสดงอธิบายไว้ดังเช่นในพระพุทธาธิบายอริยสัจข้อสมุทัยและข้อนิโรธในสัจจปัพพะ ข้อที่ว่าด้วยสัจจะว่า เมื่ออายตนะภายในกับอายตนะภายนอกประจวบกันหรือต่อกันก็เกิดวิญญาณ

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อตาต่อกับรูปก็เกิดจักขุวิญญาณ ความรู้รูปทางตาที่เรียกว่าเห็นรูป และเมื่อทั้ง ๓ นี้มาประชุมกันก็เรียกว่าสัมผัสที่แปลว่าความกระทบกัน ก็คือความประชุมกันของตาของรูปและของจักขุวิญญาณ ความรู้รูปทางตาคือเห็นรูป และในอายตนะข้อต่อไปแต่ละข้อก็เช่นเดียวกัน

นามคืออาการที่จิตน้อมออกรับอารมณ์

นี้เป็นการแสดงวิถีจิตคือทางดำเนินของจิตอย่างละเอียด และเมื่อเกิดสัมผัสดังกล่าวแล้วจึงเกิดเวทนา เกิดสัญญา เกิดสังขาร และวิถีจิตดังที่กล่าวมานี้ก็พึงเข้าใจว่า ตัวจิตคือตัวธาตุรู้หรือที่เรียกว่าวิญญาณธาตุ โดยปกติย่อมอยู่ในภวังค์อันเรียกว่า ภวังคจิต

คำว่า ภวังค์ นั้นดังที่ได้เคยอธิบายแล้วว่า แปลว่า องค์ของภพคือความเป็น ซึ่งกล่าวง่าย ๆ ว่าเป็นตัวชีวิตหรือเป็นตัวความดำรงอยู่ของชีวิต เพราะว่าทุก ๆ คนนี้ดำรงชีวิตอยู่ก็เพราะกายและจิตประกอบกันอยู่ เมื่อไม่มีจิตหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปราศจากวิญญาณ ร่างกายนี้ก็กลายเป็นศพ กลายเป็นเหมือนอย่างท่อนไม้ก้อนหินก้อนดิน แต่ความดำรงชีวิตอยู่นี้ก็เพราะกายและจิตนี้ประกอบกันอยู่ จิตหรือธาตุรู้นี้เมื่อยังอยู่เป็นปกติเฉย ๆ ยังไม่แสดงอาการอะไรก็เรียกว่าภวังค์ หรือภวังค์คะเป็นองค์ คือเป็นองคคุณ องคสมบัติของภพคือความเป็น คือความที่ยังดำรงความเป็นภพเป็นชาติ ความดำรงชีวิตอยู่ดังกล่าว จึงเรียกว่า ภวังค์

ท่านจึงเปรียบเหมือนอย่างบุรุษที่นอนหลับอยู่ใต้ต้นมะม่วง เพราะฉะนั้น จิตที่ยังอยู่ปกติเฉย ๆ ก็เป็นเหมือนอย่างบุรุษที่นอนหลับอยู่ใต้ต้นมะม่วง คราวนี้เมื่อมีอารมณ์มากระทบก็กระทบทางอายตนะภายในทั้ง ๖ หรือทางทวารทั้ง ๖ มีตาหูเป็นต้นนั่นแหละ เช่นว่ามีรูปมาประจวบกับตา มีเสียงมาประจวบกับหู รูปเสียงที่มาประจวบนั้น ท่านเปรียบเหมือนอย่างว่าผลมะม่วงหล่นจากต้น หล่นตูมลงมาใกล้บุรุษที่นอนหลับก็เป็นเครื่องปลุกบุรุษที่นอนหลับนั้นให้ตื่นขึ้น ฉันใดก็ดี จิตหรือธาตุรู้นี้เมื่อมีอารมณ์มากระทบทางทวารหรืออายตนะภายในดังกล่าวนั้น ก็ออกจากภวังค์คือเหมือนอย่างว่าตื่นขึ้นมาและก็น้อมออกไปรับอารมณ์ ก็เหมือนอย่างบุรุษที่เมื่อมะม่วงหล่นลงมา เสียงมะม่วงกระทบหูก็ตื่นขึ้น ก็เอื้อมมือไปหยิบมะม่วง จิตก็น้อมออกไปจับอารมณ์ กิริยาที่จิตน้อมออกไปนี้แหละเรียกว่า นาม

การรับอารมณ์ครั้งแรกของจิตคือวิญญาณ

คำว่า นาม นั้น ก็มีต้นศัพท์อย่างเดียวกับคำว่า นโม ที่แปลว่า ความนอบน้อม นามก็คือความน้อม หมายถึงอาการที่จิตน้อมออกรับอารมณ์ เช่นเดียวกับกิริยาที่บุรุษนอนหลับตื่นขึ้นเพราะเสียงมะม่วงหล่น ก็เอื้อมมือออกไปยื่นมือออกไปจับผลมะม่วง อาการที่เอื้อมแขนออกไป นั่นก็คืออาการที่จิตน้อมออกไปรับอารมณ์นั่นเอง และการรับอารมณ์ครั้งแรกของจิตนั้นเรียกว่า วิญญาณ ที่เราเรียกกันว่า เห็นได้ยิน ทราบ หรือว่าคิดรู้

เห็นนั้น ใช้ในอาการที่เกี่ยวกับรูปเห็นรูป
ได้ยินนั้น ใช้ในอาการที่เกี่ยวกับเสียงได้ยินเสียง
ทราบนั้น ใช้ในอาการที่เกี่ยวกับกลิ่นรสและโผฏฐัพพะ คือทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง
คิดหรือรู้นั้น ใช้ในอาการที่เกี่ยวกับมโนคือใจซึ่งเป็นอายตนะข้อที่ ๖ รู้หรือคิดธรรมะคือเรื่องราว มโนอันเป็นอายตนะข้อที่ ๖ นี้ ก็ได้เคยกล่าวอธิบายไว้แล้วว่าสัมพันธ์กับอายตนะ ๕ ข้อข้างต้นอย่างไร และสัมพันธ์กับจิตอย่างไร จึงจะไม่กล่าวซ้ำอีกในที่นี้

ก็เป็นอันว่า อาการที่จิตออกจากภวังค์ น้อมออกรับอารมณ์ กิริยาอันนี้เองที่เรียกว่า นาม แปลว่า น้อมจิตน้อมออกรับอารมณ์ อาการที่รับอารมณ์แรกก็คือวิญญาณ มีจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณเป็นต้น และถ้าเป็นอารมณ์ที่เบามาก จิตก็อาจจะปล่อยอารมณ์ไว้แค่นั้น แค่วิญญาณเท่านั้น แล้วก็กลับเข้าภวังค์ไปใหม่ ถ้าจะเทียบก็เหมือนอย่างบุรุษที่ตื่นขึ้นมาเอื้อมมือไปหยิบมะม่วง พอหยิบถูกมะม่วงก็ไม่สนใจต่อไป ก็ปล่อยก็หลับไปใหม่ ก็เป็นอันว่า อารมณ์ที่เข้ามาก็ยุติแค่นั้น

สัมผัสหรือผัสสะเกิดจากการรับอารมณ์ที่แรงขึ้น

แต่ถ้าเป็นอารมณ์ที่แรง จิตก็ไม่ปล่อยแค่นั้น คือเมื่อเริ่มน้อมออกรับอารมณ์ เป็นวิญญาณดังกล่าวแล้ว ก็ยึดอารมณ์นั้นแรงเข้าอีก อาการที่ยึดอารมณ์นั้นแรงเข้าอีกนั้นนี้เองที่ท่านแสดงว่า องค์ ๓ มาประชุมกัน คืออายตนะภายใน ๑ อายตนะภายนอก ๑ วิญญาณ ๑ มาประชุมกัน เป็นสัมผัส หรือเป็นผัสสะ

ก็เหมือนอย่างบุรุษที่นอนหลับเอื้อมมือออกไปถูกผลมะม่วง ก็ไม่ปล่อยแค่นั้นจับมะม่วงนั้น นี้คือสัมผัสหรือผัสสะ แปลว่ากระทบมะม่วงนั้น ถูกต้องมะม่วงนั้น ไม่เพียงแต่ถูกต้องในขั้นแรกแต่เพียงเบา ๆ เท่านั้น แต่ว่าจับหรือถูกต้องที่แรงขึ้นจึงเป็นสัมผัส และเมื่อเป็นสัมผัสดังนี้แล้วก็เกิดเวทนา และเมื่อเกิดเวทนาก็เกิดสัญญา เมื่อเกิดสัญญาก็เกิดสังขารคือความคิดปรุงหรือความปรุงคิด เหมือนอย่างบุรุษนั้นเอื้อมมือไปจับมะม่วงแล้วก็นำมาเคี้ยวในปาก แล้วก็กลืนผลมะม่วงลงไป

อาการเหล่านี้เมื่อเทียบกับจิตที่น้อมออกไปรับอารมณ์ เป็นวิญญาณ เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร ปรุงคิดหรือคิดปรุง ก็คือว่าเคี้ยวมะม่วงกลืนมะม่วงเข้าไป เสร็จแล้วก็หลับไปใหม่ จิตนั้นเมื่อคิดปรุงหรือปรุงคิดแล้ว ก็เป็นอันว่าตกสู่ภวังค์ใหม่เหมือนดังหลับไปใหม่ และเมื่อมีอารมณ์อื่นมากระทบเข้าอีกก็ออกจากภวังค์น้อมออกไปรับอารมณ์ดังกล่าวนั้น แล้วก็กลับตกสู่ภวังค์ใหม่ เป็นดั่งนี้อยู่ทุกอารมณ์ที่มากระทบ ท่านอธิบายหลักดั่งนี้ เป็นการอธิบายอย่างละเอียดถึงวิถีจิตที่เป็นไปของสัตว์บุคคลทั้งปวง แม้วิถีจิตของพระอริยบุคคลทั้งหลาย ท่านก็แสดงว่าก็เป็นไปอย่างนี้

อาการที่จิตน้อมออกรับอารมณ์ดั่งนี้แหละคือ นาม

ทรงแสดงขันธ์ ๕ จากส่วนที่หยาบไปหาละเอียด

และ รูป ก็คือกายส่วนที่เป็นรูป รวมทั้งอายตนะภายในที่เป็นส่วนรูปทั้ง ๕ ข้างต้นหรือประสาททั้ง ๕ ก็รวมเรียกว่าเป็นรูปทั้งหมด ส่วนที่เป็นนามก็คืออาการที่จิตน้อมออกไปรับอารมณ์ดังที่กล่าวมานั้น แต่ว่า ในการที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน มิได้ทรงแสดงโดยละเอียดดั่งนี้ไปทุกแห่ง ทรงแสดงเพื่ออะไร เพื่อให้จับพิจารณาทางปัญญาหรือทางวิปัสสนา ก็ตรัสแสดงโดยเป็นขันธ์ ๕ คือเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร และเป็นวิญญาณ แม้ว่าวิญญาณนั้นจะเกิดขึ้นก่อนตามวิถีจิตดังแสดงมาข้างต้น แต่ก็ตรัสไว้เป็นขันธ์ที่ ๕ และก็ยังมีแสดงไว้ในบางพระสูตรถึงความเกิดขึ้นของวิถีจิต เป็นวิญญาณ เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร แล้วก็เป็นวิญญาณต่อไปอีก โดยที่มิได้แจกแจงถึงวิถีจิตอย่างละเอียด ซึ่งจะต้องออกจากภวังค์แล้วก็ตกภวังค์ไปทุกขณะจิตคือทุกอารมณ์ ที่ประสบ แต่แสดงในทางที่จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาทางปัญญาหรือทางวิปัสสนาได้ เพราะต้องการที่จะให้พิจารณาโดย ไตรลักษณ์ ให้เห็นอนิจจะไม่เที่ยง ทุกขะเป็นทุกข์ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง อนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน จึงแสดงจากหยาบไปหาละเอียด แสดงรูปซึ่งเป็นส่วนหยาบ เวทนาซึ่งเป็นนามธรรมอันนับว่าหยาบ เพราะเวทนานั้นเกิดขึ้นทั้งทางกายทั้งทางใจ คือทั้งทางรูปและทั้งทางใจ แล้วจึงมาสัญญา สังขาร แล้วจึงมาวิญญาณ ซึ่งเป็นนามธรรมที่ละเอียด เมื่อเป็นดั่งนี้ จึงจะเห็นไตรลักษณ์ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ได้โดยง่าย

การที่เรียงวิญญาณไว้ท้ายขันธ์ ๕ ยังมีทางพิจารณาเห็นได้อีกว่า เพื่อแสดงสันตติคือความสืบต่อ คือจิตที่น้อมออกรับอารมณ์โดยออกจากภวังค์ เป็นวิญญาณ ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขาร ในอารมณ์หนึ่ง ๆ แล้วก็ตกภวังค์ แต่ก็มิได้หยุดอยู่เพียงนั้น ยังน้อมออกรับอารมณ์อื่น ๆ โดยออกจากภวังค์ เป็นวิญญาณเป็นต้น ในอารมณ์อื่น ๆ นั้น แล้วก็ตกภวังค์ ทยอยไปทีละอารมณ์ ๆ ซึ่งเป็นสันตติที่รวดเร็วมาก ได้เคยเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ เมื่อดูที่จอจนเห็นภาพคนเดินเป็นต้น เหมือนเดินจริง ๆ แต่เมื่อดูฟิลม์จะเห็นภาพขาดเป็นช่อง ๆ มีช่องว่างตัดแยกออกจากกันเป็นภาพ ๆ ช่องว่างเทียบกันได้กับภวังค์

อนึ่ง ได้เคยอธิบายไว้ในที่อื่นว่า วิญญาณต่อจากสังขาร คือเมื่อสังขารคิดปรุงหรือปรุงคิด ก็รู้ไปด้วย ความรู้ที่เกิดต่อไปด้วยนั้นคือวิญญาณ แล้วก็เป็นผัสสะเวทนาเป็นต้นต่อไป เหมือนเป็นวงกลม ดังนี้เป็นการอธิบายโดยปริยายคือทางอธิบายโดยรวบรัดอย่างง่าย ๆ จะกล่าวว่าโดยสุตตันตนัยก็ได้ แต่โดยอภิธรรมนัย ซึ่งจะต้องกล่าวถึงภวังค์ ก็มีอธิบายดังกล่าวข้างต้น แต่ก็ไม่ขัดกันเพราะที่ว่าเป็นวงกลมก็เป็นวงกลมที่ ๑ – ๒ – ๓ เป็นต้น เท่ากับเป็นภาพในฟิลม์ภาพหนึ่ง ๆ คืออารมณ์หนึ่ง ๆ

ทรงแสดงการเกิดนามรูปและสัมผัสอย่างรวบรัดเพื่อวิปัสสนาภูมิ

แม้ในการแสดงอริยสัจอย่างละเอียดคือปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นดั่งที่กำลังกล่าวอยู่นี้ ในบางพระสูตรก็ตรัสรวบรัด เช่นทรงแสดงจับแต่ ชรา มรณะ ชาติ ขึ้นมาจนถึงวิญญาณ ไม่ต่อขึ้นไปถึงสังขารถึงอวิชชาอาสวะ แค่วิญญาณ และบางแห่งก็ตัดอายตนะ กล่าวคือตรัสแสดงว่า เพราะวิญญาณเกิดนามรูปก็เกิด เพราะนามรูปเกิดสัมผัสก็เกิด ไปสัมผัสทีเดียว ไม่แสดงอายตนะไว้ตรงนี้ คือไม่แสดงว่าเพราะนามรูปเกิดอายตนะทั้ง ๖ ก็เกิด เพราะอายตนะทั้ง ๖ เกิด สัมผัสก็เกิด แปลว่าตัดอายตนะเสียไม่แสดง ตรัสว่า เพราะนามรูปเกิดสัมผัสก็เกิด

และในการที่ตรัสแสดงนี้ ก็ตรัสแสดงในทางที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ต้องการจะพิจารณาโดยไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นวิปัสสนาธุระทางปัญญา สามารถที่จะพิจารณาจับนามรูปและสัมผัสให้เป็นวิปัสสนาภูมิ ภูมิของวิปัสสนาได้ คือได้ตรัสแสดงไว้มีใจความว่า

เมื่อนามรูปเกิดขึ้น สัมผัสจึงเกิดขึ้น ถ้านามรูปไม่มีสัมผัสก็ไม่มี

ทรงสอนให้พิจารณานามรูปโดยอาการ เพศ นิมิต และอุเทศ

และการจับพิจารณา นามรูป ก็ตรัสสอนให้จับพิจารณา โดยอาการ โดยเพศ โดยนิมิต คือเครื่องกำหนด และโดยอุเทศ ก็คือการแสดงหรือการที่จะตั้งชื่อสำหรับเรียกแสดง จับ นาม ขึ้นก่อน

เวทนา ก็ให้จับพิจารณาว่าเวทนาที่บังเกิดขึ้น เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข มี อาการ เป็นอย่างไร ดูเวทนาที่บังเกิดขึ้นที่ตัวเองในปัจจุบัน ถ้าเป็นสุขมีอาการเป็นอย่างไร ทุกข์มีอาการเป็นอย่างไร ไม่ทุกข์ไม่สุข มีอาการเป็นอย่างไร มี เพศ เป็นอย่างไร ก็คือมีลักษณะที่ละเอียดหรือที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างไร ของเวทนาที่ทำให้เวทนาต่างจากข้ออื่นมีสัญญาเป็นต้น เหมือนอย่างสตรีต่างจากบุรุษ บุรุษต่างจากสตรี มี นิมิต คือว่ามีเครื่องกำหนด มีที่ ๆ จะกำหนดอย่างไร มี อุเทศ คือมีการแสดงอันหมายความว่ายกชื่อเรียกขึ้นว่าเวทนาอย่างนี้ ๆ

สัญญา ก็เหมือนกัน ดูอาการของสัญญาคือความจำหมายของจิตในอารมณ์นั้น ๆ ว่ามี อาการ เป็นอย่างไร มี เพศ คือมีลักษณะที่เร้นลับปกปิดอยู่ตรงไหนอย่างไร มี นิมิต คือเครื่องกำหนดอย่างไร มี อุเทศ คือว่ายกชื่อขึ้นเรียกว่า นี่คือสัญญา

สังขาร คือความปรุงคิดหรือคิดปรุงก็เหมือนกัน ดูจิตของตัวเองที่คิดปรุงหรือปรุงคิดว่ามี อาการ เป็นอย่างไร มี เพศ ดังกล่าวเป็นอย่างไร มี นิมิต เครื่องกำหนดเป็นอย่างไร มี อุเทศ คือว่าตั้งชื่อเรียกว่าเป็นสังขารอย่างนี้ ๆ ไม่ให้ปนกันว่านั่นเป็นเวทนา นี่เป็นสัญญา นี่เป็นสังขาร

และ วิญญาณ ก็เหมือนกัน ก็ดูตัวที่เมื่ออายตนะต่อกันก็เกิดความรู้ขึ้น เป็นเห็น เป็นได้ยิน เป็นทราบ เป็นคิดหรือรู้ มี อาการ เป็นอย่างไร มี เพศ เป็นอย่างไร มี นิมิต เครื่องกำหนดเป็นอย่างไร มี อุเทศ คือว่าตั้งชื่อเรียกว่านี่เป็นจักขุวิญญาณ นี่เป็นโสตวิญญาณดังนี้เป็นต้น

กำหนดดูจิตของตนเองที่น้อมออกรับอารมณ์ซึ่งเป็นตัวนามดังกล่าว ให้รู้จักอาการ ให้รู้จักเพศ ให้รู้จักนิมิต ให้รู้จักอุเทศดังที่กล่าวมาแล้ว เป็นอันฝึกให้รู้จักวิปัสสนาภูมิ และเมื่อกำหนดให้รู้จักดังนี้ จึงจะเกิดสัมผัสคือความกระทบดังที่กล่าวโดยชื่อ ในรูปคือในส่วนที่เป็นรูป เพราะว่าก็จะได้กำหนดชื่อหรือรู้ชื่อของตา ของหู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นต้น อันเป็นส่วนรูปนั้นด้วย และก็ให้กำหนดรูปโดยอาการ โดยเพศ โดยนิมิต และโดยอุเทศ คือการที่จะตั้งชื่อเรียกดังที่กล่าวมานั้นด้วย และเมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะมีสัมผัสคือความกระทบในนาม คือกระทบในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณดังที่กล่าวมานั้นด้วย และเมื่อได้พิจารณาทั้งนามทั้งรูปให้รู้จักดังกล่าวมานั้น สัมผัสคือความกระทบทั้งโดยชื่อทั้งโดยการกระทบกันและกันก็ย่อมบังเกิดขึ้น และเมื่อจับพิจารณาดูสัมผัสคือความกระทบทั้งโดยชื่อทั้งโดยความกระทบ ก็จะรู้จักตัวสัมผัสที่บังเกิดขึ้นในจิตใจอันเป็นส่วนมากและทั้งในกายอันเป็นส่วนรูป คือทั้งในนามรูป

ตามที่ตรัสแสดงไว้นี้ เป็นตรัสแสดงมุ่งทางวิปัสสนาภูมิ โดยที่ตัดเอาข้ออายตนะตรงกลางออกเสีย จากนามรูปก็มาสัมผัสทีเดียว แต่เมื่อแสดงโดยปกติก็ตรัสแสดงนามรูป อายตนะ แล้วจึงมาสัมผัส เพราะฉะนั้น ในการฟังความที่ข้อเหล่านี้เป็นปัจจัยของกัน จึงอาจใช้วิธีนี้พิจารณาทางวิปัสสนาภูมิได้ คือพิจารณาจับให้รู้จักนามรูปโดยอาการเป็นต้น นำให้รู้จักสัมผัสซึ่งเกิดสืบเนื่อง ก็จะเห็นนามรูปเห็นสัมผัสเป็นวิปัสสนาภูมิ และก็จะทำให้พิจารณาเห็นอนิจจะทุกขะอนัตตาในข้อเหล่านี้

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

๑๙ พฤษภาคม ๒๕๒๘

-------------------------------------------------------------

หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิมพ์ถวายเป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘

คัดลอกจาก หนังสือสัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พิมพ์ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ ที่ โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ๑๒๙ หมู่ ๓ ถ.ศาลายา – นครชัยศรี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม



Create Date : 23 ตุลาคม 2555
Last Update : 23 ตุลาคม 2555 9:06:03 น. 1 comments
Counter : 890 Pageviews.

 
สวัสดียามเช้าๆ ปลายฝนต้นหนาว เตรียมผ้าห่มกับเสื้อกันหนาว ที่บ้านก็เริ่มหนาวแล้ว






โดย: ต้นกล้า อาราดิน วันที่: 23 ตุลาคม 2555 เวลา:9:44:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sirivajj
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




บทความในกลุ่ม ข้อคิด-ธรรมะ ได้ถูกเรียบเรียงขึ้น โดยบางบทความได้คัดลอกและสำเนาภาพมาถ่ายทอดจากหนังสือธรรมะต่างๆ หรือหนังสืออื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ด้วยเจตนาประสงค์จะให้ธรรมะอันเป็นสัจจะและมงคลของพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแพร่และเข้าถึงพุทธศาสนิกชนหรือผู้ที่สนใจให้ได้มากที่สุด รวมทั้งให้บทความธรรมะได้ถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบที่จะสะดวกแก่การสืบค้นและเข้าถึงในภายหลัง

ผู้ที่ประสงค์จะคัดลอกไปเพื่อประโยชน์ทางพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบกับต้นฉบับหรือเจ้าของลิขสิทธิ์ ด้วยครับ
Friends' blogs
[Add sirivajj's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.