Group Blog
 
All Blogs
 
ครั้งที่ ๑๕ ความรู้จักตัณหา (๒)

สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ

ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร


--------------------------------------------------------------



ครั้งที่ ๑๕ ความรู้จักตัณหา (ต่อ)

บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ทบทวนเรื่องตัณหา

ได้แสดงพระเถราธิบายของพระสารีบุตรในเรื่องสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบถึงตอนที่ความเห็นชอบก็คือ ความรู้จักตัณหา รู้จักเหตุเกิดตัณหา รู้จักความดับตัณหา รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับตัณหา และกำลังอธิบายถึงตัณหาที่มีพระเถราธิบายยกเอาตัณหา ๖ ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง และในธรรมะคือเรื่องราว และก็ได้อธิบายถึงตัณหา ๓ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสอธิบายไว้ ตั้งแต่ในปฐมเทศนา คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา และแสดงลักษณะของตัณหา อันกล่าวถึงผลของตัณหาและสิ่งที่ไปด้วยกันกับตัณหากับความเจริญของตัณหา

ผลของตัณหานั้น ก็คือเพื่อเป็นไปเพื่อภพใหม่
สิ่งที่ไปด้วยกันกับตัณหานั้น ก็ได้แก่ นันทิ ความเพลิน ราคะ ความติดใจยินดี
ความเจริญของตัณหานั้น ก็คือความที่มีความอภินันท์ ยินดียิ่ง ๆ ขึ้นไปในอารมณ์นั้น ๆ

ตัณหาย่อมให้ผลเป็นไปเพื่อภพใหม่ทั้งในปัจจุบันทั้งในภายหน้า และก็มีนันทิความเพลิน มีราคะความติดใจยินดีไปด้วยกัน เหมือนอย่างเป็นสหายกัน กับมีความเจริญงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นด้วยความยินดีเพลิดเพลินไปในอารมณ์นั้น ๆ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ย่อมมีลักษณะดังกล่าวมานี้

โลกกับตัณหา

และก็พึงทราบต่อไปอีกว่า อันตัณหานั้นเป็นข้อที่คู่กับโลกและย่อมมีอยู่ในสัตวโลกทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก ต้องเป็นไปอยู่ในโลก โลกจึงมีตัณหา และสัตวโลกจึงมีตัณหา สิ้นตัณหาเสียเมื่อใดก็เป็น โลกุตตระ คือพ้นโลกเหนือโลก สัตวโลกก็ยุติความเป็นสัตวโลก มาเป็นโลกุตตระเหนือโลก เพราะฉะนั้น โลกกับตัณหาจึงเป็นสิ่งที่ต้องประกอบกันอยู่

ลักษณะการรับอารมณ์ของตัณหา

อันลักษณะที่แท้จริงของตัณหานั้น ก็คือความที่กระเสือกกระสน ไม่หยุดอยู่กับที่เคลื่อนที่ ฉะนั้น จึงได้มีแสดงถึงลักษณะดังกล่าว ของทางร่างกายก็มี ของทางจิตใจก็มี ของทางร่างกายนั้น ก็มีแสดงถึง สัตว์ ๒ จำพวก คือ

สัตว์ที่เรียกว่า ตสา เคลื่อนที่ได้จำพวกหนึ่ง
สัตว์ที่เรียกว่า ถาวรา อยู่กับที่ คือถาวรเคลื่อนที่ไม่ได้ อีกจำพวกหนึ่ง

สัตว์ที่เรียกว่า ตสา จำพวกเคลื่อนที่ได้นั้น ก็เช่นมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายทั้งบนบกและในน้ำที่เคลื่อนที่ได้ เช่นมนุษย์และสัตว์บกทั้งหลายก็เคลื่อนที่ได้ เดินวิ่งไปโน่นไปนี่ได้ ส่วนสัตว์จำพวกที่เคลื่อนที่ไม่ได้อันเรียกว่า ถาวรา หรือถาวรอยู่กับที่นั้น ก็เช่นสัตว์น้ำบางชนิดที่เกิดติดอยู่กับที่ เช่นหอยบางชนิด เช่นหอยนางรมเกิดติดอยู่กับที่ เช่นติดอยู่กับก้อนหินในทะเล ในน้ำ เคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ เรียกว่า ถาวระหรือถาวรา ได้มีแสดงไว้ในเมตตสูตร

ตสา วา ถาวรา วา สัตว์ที่เคลื่อนที่ได้และสัตว์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้
ที่ให้แผ่เมตตาจิตออกไปในสัตว์ทั้งหมดเหล่านี้ สัตว์จำพวกที่เรียกว่า ตสา เคลื่อนที่ได้นั้นก็เป็นคำเดียวกับคำว่า ตัณหา แต่นั่นหมายถึงทางร่างกาย ส่วนทางจิตใจนั้น จิตใจของปุถุชนสามัญชน ก็เป็นจิตใจที่เรียกว่า ตสา คือเคลื่อนที่เพราะมีตัณหาที่ทำให้เคลื่อนที่ที่มีอาการอันเรียกกันว่าดิ้นรน กวัดแกว่ง กระสับกระส่าย แต่ว่าคำเหล่านี้แสดงอาการที่เคลื่อนที่อย่างรุนแรง แม้ว่าจะเคลื่อนที่อย่างไม่รุนแรง ก็เป็นตัณหาเหมือนกัน คือมีอาการที่เคลื่อนออกไปรับอารมณ์จับอารมณ์นั้น ๆ โดยเฉพาะก็คือออกไปรับอารมณ์จับอารมณ์ ๖ มีรูปารมณ์ อารมณ์ คือรูปเป็นต้น ที่มาประสบทางตาเป็นต้น แต่ว่าก็จำเป็นที่จะต้องใช้ศัพท์ใดศัพท์หนึ่งเพื่อให้เป็นที่เข้าใจในลักษณะของ ตัณหา ดังที่กล่าวมานี้ จึงแปลกันว่า ความอยาก และเมื่อมุ่งถึงลักษณะที่แรง ก็เรียกว่า ทะยานอยาก หรือแปลว่า ดิ้นรน กวัดแกว่ง กระสับกระส่าย แต่อันที่จริงนั้นแปลว่าความอยากเท่านั้นก็เพียงพอ คือเป็นความประสงค์ความต้องการยื่นออกไปจับหรือรับอารมณ์ดังกล่าว

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

และอารมณ์ที่ออกไปรับไปจับนั้น เมื่อกล่าวเป็นกลาง ๆ ก็คืออารมณ์ ๖ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราว ดังที่กล่าวมานั้น และเพื่อให้ชัดขึ้นว่าอารมณ์ที่ตัณหาประสงค์ต้องการหรือที่อยากก็คืออารมณ์ที่เป็นกาม ที่แปลว่าน่ารักใคร่หรือเป็นที่รักใคร่ เพราะฉะนั้น เพื่อให้ชัดจึงได้เรียกว่ากามตัณหาตัณหาในกาม คืออารมณ์ที่เป็นที่รักใคร่ ที่น่ารักใคร่ และยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ก็ยังประสงค์ต้องการเป็นนั่นเป็นนี่ จึงได้มีแสดงภวตัณหา ตัณหาในภพ เป็นนั่นเป็นนี่ และที่เป็นนั่นเป็นนี่นั้น ก่อนที่จะเป็นนั่นเป็นนี่อะไรก็ต้องเป็นเราขึ้นก่อน ตัณหาในภพนั้นจึงตั้งต้นด้วยตัณหาในความเป็นเรา คือตัณหาในความที่เป็นตัวเรา และเมื่อมีตัวเราขึ้น ก็ต้องมีความอยากที่จะให้ตัวเรานี้เป็นนั่นเป็นนี่ต่อไปอีก และก็มิใช่แต่เท่านั้น เมื่อไม่ได้ตามต้องการตามอยาก ไม่เป็นตามต้องการตามอยาก ก็ต้องการที่จะให้สิ่งที่ขัดขวางทั้งหลาย ต้องการที่จะให้สิ่งที่ไม่ชอบทั้งหลายสิ้นไปหมดไป ต้องการที่จะไม่เป็นตามที่ไม่ชอบจะเป็นไม่อยากจะเป็น ก็เป็นวิภวตัณหาขึ้นมา

ความอิ่มด้วยตัณหาไม่มี

พระพุทธเจ้าทรงจำแนกแจกธรรม ก็ทรงจำแนกให้เห็นชัดว่าอยากอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอยากเหล่านี้ก็เป็นตัณหาทั้งนั้น จนกระทั่งอยากดำรงชีวิตอยู่นานก็เป็นตัณหา อยากตายก็เป็นตัณหา อยากดำรงชีวิตอยู่นานก็เป็นกามตัณหาเป็นภวตัณหา อยากตายก็เป็นวิภวตัณหา เมื่อยังเป็นสัตวโลกอยู่ก็จะต้องมีตัณหาดังที่กล่าวมานี้ แม้ว่าต้องการมรรคผลนิพพาน ความต้องการนั้นบังเกิดขึ้นว่า เมื่อไรจะได้มรรคได้ผลได้นิพพานก็เป็นตัณหาเหมือนกัน และแม้ว่าจะได้อริยมรรคอริยผลเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี ก็ละตัณหาหยาบ ๆ ได้ไปโดยลำดับ แต่ก็ยังมีตัณหาในมรรคผลนิพพานที่ยังไม่ได้ เมื่อมีความอยากว่าเมื่อไรจะได้ ก็เป็นตัณหาเหมือนกัน เป็นอย่างละเอียด ก็แปลว่ายังมีตัณหาอยู่เพราะว่ายังไม่เสร็จกิจ ท่านจึงแสดงว่าให้อาศัยตัณหาละตัณหา เพราะฉะนั้น ตัณหานั้นจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กับโลก คู่กับสัตวโลกดั่งนี้ ใครจะอยากมีหรือไม่อยากมีก็ต้องมี ในเมื่อยังเป็นสัตวโลก หรือว่าเป็นอริยบุคคลแล้วก็ตาม แต่ว่ายังไม่ถึงมรรคผลนิพพานที่เป็นถึงขั้นพระอรหันต์ ก็ยังจะต้องมีกันอยู่ตามชั้น เพราะฉะนั้นในขั้นปฏิบัตินั้น ท่านจึงสอนให้อาศัยตัณหาละตัณหา และก็ได้มีสอนไว้ว่า

สัตวโลกทั่วไปนั้นมีจิตใจที่พร่อง ตัณหาทาสะ เป็นทาสของตัณหา

มีจิตใจที่พร่องนั้น ก็คือมีความอยากมีความต้องการ ไม่เต็มไม่อิ่ม ไม่เพียงพอ เมื่อเป็นดั่งนี้ จิตใจจึงมีความกระหาย มีความอยากใคร่จะได้ใคร่จะเป็นต่าง ๆ ใคร่ที่จะทำลายล้างสิ่งที่ขัดขวางต่าง ๆ เพราะว่าพร่องไม่เต็มไม่อิ่มไม่พอและก็ยังมีตรัสเอาไว้อีกว่าความอิ่มด้วยตัณหาไม่มีเหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ เอาเชื้อมาสุมเข้ามากเท่าใด ไฟก็ลุกโตขึ้นก็กินเชื้อมากขึ้น ไม่มีที่จะอิ่ม ไม่มีที่จะพอ ยิ่งสุมไฟใส่เชื้อมากขึ้นไฟก็กองโตขึ้น ฉะนั้น เมื่อเป็นทาสของตัณหา ตัณหาสั่งให้แสวงหาต่าง ๆ ตามที่อยากตามที่ต้องการ ได้มาเท่าไรก็ไม่พอ ต้องการเพิ่มเติมขึ้นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น โลกทั่วไปจึงเรียกว่าเป็นโลกที่พร่องและเป็นทาสของตัณหา

ตัณหาในทุกข์

สิ่งทั้งปวงที่ตัณหาต้องการจะได้ต้องการจะเป็น ก็รวมเรียกอยู่ในคำเดียวว่า ทุกข์ คือ ทุกขอริยสัจ อริยสัจข้อทุกข์ รวมอยู่ในคำนี้ คือเป็น ตัณหาในทุกข์ แต่ว่าเพราะยังมองไม่เห็นว่าสิ่งที่อยากจะได้อยากจะเป็นนั้นเป็นตัวทุกข์ จึงต้องการ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนชี้ให้รู้จักทุกข์ไว้เป็นข้อสำคัญ ดังที่ตรัสแสดงชี้ให้รู้จักทุกข์ไว้ในอริยสัจจะข้อที่ ๑ คือทุกขสัจจะ ตั้งต้นแต่สภาวทุกข์

ชาติคือความเกิดเป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์ มรณะความตายเป็นทุกข์โสกะความแห้งใจ ปริเทวะความรัญจวนคร่ำครวญใจ ทุกขะความไม่สบายกายโทมนัสสะความไม่สบายใจ อุปายาสะความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักทั้งหลายเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักทั้งหลายเป็นทุกข์ ปรารถนาไม่ได้สมหวังเป็นทุกข์

โดยย่อ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์ ก็ได้แก่ รูปขันธ์ กองรูป เวทนาขันธ์ กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์ กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ

และนอกจากนี้ยังได้ตรัสชี้แจงให้รู้จักทุกข์ ยกเอาอายตนะธาตุเป็นต้นขึ้นมาชี้ ตลอดจนถึงยกเอาโลกขึ้นมาชี้ว่าเป็นทุกข์ เพราะว่าที่ชื่อว่าโลกนั้นก็เป็นทั้งหมดเหล่านี้ และตัวคำว่า โลก เองนั้นก็แปลว่า สิ่งที่ชำรุด สิ่งใดชำรุดสิ่งนั้นชื่อว่าโลก ลุชฺชตีติ โลโก ยกเอาโลกคือขันธ์ อันเรียกว่า ขันธโลก คือ อัตภาพ ร่างกาย นามกาย คือขันธ์ ๕ ของทุก ๆ คนนี้เป็นตัวอย่าง เป็นขันธโลก ต้องเป็นทุกข์โดยสภาพเกิดแก่ตาย และจิตใจเองนั้นก็มีโสกะปริเทวะ เป็นต้น ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ต้องประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ปรารถนาไม่ได้สมหวัง เพราะฉะนั้นจึงต้องประสบสิ่งที่ไม่พอใจไม่ชอบใจ ที่ไม่สบายใจ และสิ่งที่ไม่สบายกายอยู่เสมอ

ปัญหาต่าง ๆ อุปสรรคต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นในทางต่าง ๆ ของชีวิต ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นตัวทุกข์นี้ทั้งสิ้น คือเป็นสิ่งที่ไม่สบายกายไม่สบายใจ ที่ไม่ชอบใจที่เบียดเบียน ทุกคนจึงต้องพบปัญหาต่าง ๆ ต้องแก้กันอยู่ทั้งภายในทั้งภายนอก ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นก็คือตัวทุกข์นี้เอง แก้อย่างนี้ตกแล้วก็ต้องเกิดปัญหาอย่างนั้น แก้อย่างนั้นแล้วก็ต้องเกิดปัญหาอย่างนี้ แก้อย่างนี้อยู่ตลอดทุกวี่ทุกวัน ตั้งต้นแต่ตื่นขึ้นมาก็ต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องของทุก ๆ คน เมื่อแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องมื้อเช้าเสร็จไปแล้ว ก็ต้องมาแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องมื้อกลางวันมื้อเย็นในวันนี้ต่อไปอีกตลอดวัน แล้วก็จะต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องพรุ่งนี้มะรืนนี้ดังกล่าวมานี้ต่อไปอีก ไม่ใช่ว่าแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องมื้อเช้ามื้อหนึ่งได้แล้ว ก็เสร็จกันเท่านั้น ก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีก หิวกระหายขึ้นมาอีก ก็ต้องแก้ให้ดื่มให้บริโภคให้อิ่ม นอกจากนี้ก็ต้องมีพักผ่อนหลับนอน จะต้องมีเครื่องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่หนาวร้อนต่าง ๆ มีเสื้อผ้า ต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่โรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้เมื่อทำการงาน ก็จะต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่การงานต่าง ๆ และต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ตัณหาเองที่ก่อขึ้น เช่นตัณหานั้นเองต้องการอยากให้ทำนั่นทำนี่เพื่อที่จะได้นั่นได้นี่เพื่อที่จะเป็นนั่นเป็นนี่ ครั้นได้นั่นได้นี่มา ได้เป็นนั่นเป็นนี่มา ก็เกิดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ได้สิ่งที่เป็นนั้น ซึ่งจะต้องแก้กันไปอีก ก็เรียกว่า ตัณหาก่อปัญหา แก้แล้วตัณหาก็ก่อปัญหาขึ้นอีก

ทรงชี้ให้รู้จักทุกข์

เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงต้องพบกับตัวทุกข์ อย่างละเอียดบ้างอย่างหยาบบ้าง แล้วก็ต้องแก้ทุกข์กันไปคราวหนึ่ง ๆ แล้วก็ต้องแก้กันใหม่อีก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงชี้ให้รู้จักทุกข์อันนี้แหละเป็นข้อสำคัญ ว่าเป็นสิ่งที่มีครอบคลุมกันอยู่ทั่วไปทั้งหมด และก็เนื่องมาจากตัณหานี้ เพราะฉะนั้น ตัณหานี้แม้ว่าจะจำแนกออกไปเป็นตัณหาในอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น หรือเป็นตัณหา ๓ อันมีลักษณะที่ให้เกิดผลเป็นภพใหม่ เป็นใหม่ ที่มีเพื่อนมิตรสหายไปด้วยกันอยู่ตลอดเวลาก็คือ นันทิ ความเพลิน ราคะ ความติดใจยินดี แล้วก็เติบโตยิ่งขึ้น ๆ ทั้งมีลักษณะที่ทำให้พร่องไม่เต็ม ทำให้บุคคลหรือจิตใจนี้เป็นทาส คอยรับใช้ตัณหาอยู่ตลอดเวลา และสิ่งทั้งปวงที่ตัณหาต้องการจะได้ต้องการจะเป็นทั้งปวงนั้น ก็คือทุกข์ทั้งนั้น ก็เรียกว่าเป็นตัณหาในทุกข์ และที่เกิดใหม่ ที่เป็นไปเพื่อความเกิดใหม่ คือภพใหม่ เป็นใหม่นั้นก็เป็นทุกข์ใหม่ เป็นทุกข์ใหม่สืบ ๆ กันขึ้นไปนั้นเอง แต่เพราะเหตุที่ยังมีตัวสหายที่ไปด้วยกัน คือ นันทิ ความเพลิน ราคะ ความติดใจยินดี จึงยังทิ้งตัวทุกข์ที่อยากที่ต้องการนั้นไม่ได้ ก็เรียกว่ายังเพลินยังติดใจยินดีอยู่ในตัวทุกข์ โลกก็เป็นไปกันอยู่ดั่งนี้และก็เป็นไปเพื่อภพใหม่ ภพก็คือ ความเป็น เป็นใหม่ ก็คือเป็นทุกข์ใหม่เป็นทุกข์ใหม่กันอยู่เรื่อย ๆ ไปไม่สิ้นสุด

ปฏิบัติโพชฌงค์เพื่อละตัณหาละทุกข์

เพราะฉะนั้น ความที่มามีสติระลึกได้ เอาว่าระลึกได้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนดังที่นำมาแสดงนี้ส่วนหนึ่ง และก็หัดวิจัยธรรมเลือกเฟ้นธรรม ก็ย่อมจะได้ปัญญารู้จักทุกข์ รู้จักตัณหายิ่งขึ้น ทำให้ได้ความเพียรในอันที่จะปฏิบัติละตัณหาละทุกข์ยิ่งขึ้น จะทำให้ได้ปีติความดูดดื่มในธรรม ความอิ่มกายอิ่มใจ ได้ความสงบกายสงบใจ ได้สมาธิและได้ตัวอุเบกขา ความที่มีจิตใจสงบอยู่ในภายในได้มากขึ้นวางได้มากขึ้น เฉยได้มากขึ้น แปลว่าลดความวุ่นวาย ลดความที่ยึดถือต่าง ๆ ลงไปได้ นี่แหละเป็นตัว อุเบกขา ก็เป็น โพชฌงค์ แล้วก็ส่งให้เป็น สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบยิ่ง ๆ ขึ้น ตั้งต้นแต่ความเห็นชอบในบาปบุญคุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์ จนถึงในอริยสัจทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ตลอดจนถึงในพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรได้ชัดเจนขึ้น

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๗

--------------------------------------------------------------

หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิมพ์ถวายเป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘

คัดลอกจาก
หนังสือสัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พิมพ์ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ ที่ โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ๑๒๙ หมู่ ๓ ถ.ศาลายา – นครชัยศรี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม



Create Date : 13 พฤษภาคม 2555
Last Update : 13 พฤษภาคม 2555 8:01:04 น. 2 comments
Counter : 581 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยมในวันหยุด...สวัสดีครับ

ขอบคุณสำหรับธรรมบรรยายดีๆที่นำมาฝาก นะครับ


โดย: **mp5** วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:13:41:39 น.  

 
Goog thankyou


โดย: Hog IP: 110.169.132.206 วันที่: 13 พฤษภาคม 2555 เวลา:17:08:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sirivajj
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




บทความในกลุ่ม ข้อคิด-ธรรมะ ได้ถูกเรียบเรียงขึ้น โดยบางบทความได้คัดลอกและสำเนาภาพมาถ่ายทอดจากหนังสือธรรมะต่างๆ หรือหนังสืออื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ด้วยเจตนาประสงค์จะให้ธรรมะอันเป็นสัจจะและมงคลของพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแพร่และเข้าถึงพุทธศาสนิกชนหรือผู้ที่สนใจให้ได้มากที่สุด รวมทั้งให้บทความธรรมะได้ถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบที่จะสะดวกแก่การสืบค้นและเข้าถึงในภายหลัง

ผู้ที่ประสงค์จะคัดลอกไปเพื่อประโยชน์ทางพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบกับต้นฉบับหรือเจ้าของลิขสิทธิ์ ด้วยครับ
Friends' blogs
[Add sirivajj's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.