|
ครั้งที่ ๓๑ อักโกธะ
ทศบารมี ทศพิธราชธรรม
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร บรรยายแก่พระนวกะภิกษุ ในพรรษากาล ๒๕๓๐
--------------------------------------------------------------
อักโกธะ ความไม่โกรธ
จะแสดง ทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๗ อักโกธะ
กิริยาที่ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ตลอดถึงไม่พยาบาทมุ่งร้ายผู้อื่น แม้จักต้องลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล ไม่ทำด้วยอำนาจของความโกรธ ชื่อว่า อักโกธะ คนผู้รวมกันอยู่เป็นหมู่ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง เมื่อข่มใจไว้ไม่ได้เกิดโกรธขึ้งต่อกันขึ้นและผูกเวรไว้ ก็เป็นสมุฏฐานให้เกิดโทสะ ความประทุษร้ายกันทางใจก่อน แล้วประทุษร้ายกันทางกายทางวาจาสืบไป อันเรียกว่า พยาบาท ทำให้อยู่ด้วยกันไม่เป็นสุข ต่อเมื่อรักษาใจข่มใจไว้ไม่เกิดโกรธขึ้น หรือเมื่อเกิดโกรธขึ้นในใจ ก็ระงับไว้ไม่แสดงออกมาให้ปรากฏ ไม่ปฏิบัติลุอำนาจแห่งความโกรธ จักอยู่ด้วยความสงบเรียบร้อยเป็นสุข ความไม่โกรธจักมีได้ ก็เพราะมี เมตตา หวังความสุขความเจริญแกตนและต่อกันและกัน คนที่เป็นหัวหน้าปกครองก็ตาม เป็นผู้อยู่ในปกครองก็ตาม เมื่อแสดงความโกรธออกมาให้ปรากฏ ก็แสดงว่าตนเองลุอำนาจของความโกรธ กิริยาที่แสดงความโกรธออกมานั้นก็ไม่งดงาม น่าเกลียดน่าชัง
ปฏิฆะ โกธะ โทสะ
นี้เป็นอธิบายทั่วไปของคำว่าอักโกธะ ที่แปลว่าไม่โกรธ เพราะฉะนั้น ควรที่จะเข้าใจถึงเรื่องความโกรธซึ่งเป็นกิเลสข้อหนึ่งในกิเลส ๓ กอง ดังที่พูดกันว่า โลภโกรธหลง หรือโลภะโทสะโมหะ ตามคำที่พูดกันนี้ ถ้านำมาคิดก็อาจจะสงสัยว่า เมื่อพูดว่าโลภโกรธหลงใช้ว่าโกรธ แต่เมื่อพูดว่าโลภะโทสะโมหะ เรียกว่าโทสะแทนคำว่าโกรธ เพราะฉะนั้น จึงควรทำความเข้าใจว่า คำว่า โกธะ ที่แปลว่าโกรธก็ดี คำว่าโทสะก็ดี คำว่าพยาบาทก็ดี ย่อมมีความหมายถึงกิเลสกองนี้ด้วยกัน แต่ว่ามีอธิบายถึงลักษณะที่แตกต่างกัน อันความเริ่มต้นของความโกรธนั้นเรียกว่า ปฏิฆะ แปลว่า ความกระทบกระทั่ง มีอาการเป็นความหงุดหงิด ดังที่เรียกกันอย่างไทยๆ ว่าเริ่มมีอารมณ์เสีย และเมื่อปฏิฆะคือความกระทบกระทั่ง อันมีลักษณะดังกล่าวแล้วกำเริบยิ่งขึ้น ก็เรียกว่า โกธะ ที่แปลว่าโกรธ มีอาการเป็นความขึ้งเคียด ไม่พอใจ เมื่อโกธะซึ่งมีอาการดังกล่าวกำเริบขึ้นมาอีก ก็เรียกว่า โทสะ ที่แปลว่าประทุษร้าย แต่ว่าเป็นการประทุษร้ายใจของตัวเอง ยังไม่ถึงคิดออกไปทำร้ายประทุษร้ายผู้อื่น คือโกธะความขึ้งเคียดนั้นเองมีอาการที่แรงขึ้น จนเผาใจตัวเองให้เดือดร้อน ดังคนที่แสดงอาการโทสะออกมา ไม่ทำร้ายใคร แต่ว่ามีอาการที่ออกทางกาย เช่นว่า ตาแดง หน้าแดง มือสั่น แสดงอาการเต้นเร่าๆ หรือบางทีก็ถึงกับเหวี่ยงเข้าเหวี่ยงของที่อยู่ข้างตัวออกไป แต่ว่ายังไม่คิดออกไปทำร้ายผู้อื่นข้างนอก อาการดั่งนี้เรียกว่าโทสะ ประทุษร้ายใจตัวเอง ทำใจตัวเองให้ร้ายด้วย และประทุษร้ายใจตัวเองให้เดือดร้อนด้วย
พยาบาทเกิดจากโทสะ
คราวนี้เมื่อโทสะอันนี้แรงขึ้นอีก จนถึงมีความคิดมุ่งร้ายออกไปยังผู้อื่นต้องการจะด่าเขา ต้องการจะทำร้ายเขา คือบุคคลที่ตนโกรธนั้น อาการดังที่กล่าวมานี้เรียกว่า พยาบาท การทำร้ายกันที่ปรากฏออกด้วยวิธีต่างๆ เป็นอาชญากรรมต่างๆ ที่ปรากฏอยู่นั้น สืบเนื่องมาจากจิตใจที่เป็นพยาบาท มุ่งร้ายหมายทำลายและพยาบาทนี้ก็เป็นสิ่งที่แรงขึ้นจากโทสะ แค่เพียงโทสะก็ยังไม่ทำร้ายใคร เป็นแต่ว่าทำร้ายใจตัวเองให้เดือดร้อน เผาใจตัวเองให้เดือดร้อน แล้วก็ทำใจตัวเองให้ร้ายด้วย ให้หยาบด้วย และโทสะนี้ก็เป็นสิ่งที่แรงขึ้นมาจากโกธะ ที่แปลว่าความโกรธนี่แหละ ที่มีอาการขึ้งเคียดไม่ชอบใจ และโกธะนี้ก็แรงขึ้นมาจากปฏิฆะซึ่งเป็นความกระทบ กระทบกระทั่ง และกิเลสกองนี้อันเริ่มขึ้นจากปฏิฆะคือความกระทบกระทั่งนี้ ก็เปรียบเหมือนอย่างว่าไม้ขีดไฟก้านเดียว ที่ขีดเข้ากับข้างกล่องไม้ขีดเป็นไฟขึ้น และเมื่อไฟแห่งไม้ขีดก้านเดียวนี้ เมื่อไปจี้เข้าที่เชื้อไฟ ก็เป็นไฟลุกกองโตขึ้น โตขึ้น โตขึ้น คือเป็นโกธะ เป็นโทสะ เป็นพยาบาท เป็นอกุศลกรรมทางกายทางวาจาทางใจ ที่ทำร้ายเบียดเบียนกันต่างๆ มาจากไม้ขีดก้านเดียวคือปฏิฆะอันนี้ และปฏิฆะอันนี้นั้นซึ่งมาจากไม้ขีดก้านเดียวนั้น ก็มาจากกล่องไม้ขีดที่มีกล่องมีข้างสำหรับขีด และตัวไม้ขีดอยู่ในกล่อง ถ้าหากว่าไม้ขีดไม่มาขีดเข้ากับกล่องที่ข้างกล่อง ก็ไม่เกิดไฟ ฉันใดก็ดี บุคคลเรานี้ก็มีอายตนะภายนอก อายตนะภายในที่มากระทบกัน ดังเช่นเมื่อตากับรูปมากระทบกัน ที่เรียกว่าเห็นรูป ก็ปรากฏขึ้นเป็นความเห็นรูป เห็นรูปนั่นเห็นรูปนี่เป็นต้น หูกับเสียงมากระทบกัน ก็ปรากฏขึ้นเป็นการได้ยินเสียง และเมื่อมีการเห็นการได้ยินเป็นต้นขึ้นดั่งนี้ ก็ทำให้เกิดเวทนา เป็นสุขเกิดจากการเห็นรูปสัมผัสในรูปนั้นบ้าง เกิดจากได้ยินเสียงสัมผัสในเสียงนั้นบ้าง ถ้าเป็นรูปเป็นเสียงที่ชอบใจก็เกิด สุขเวทนา ถ้าเป็นรูปเป็นเสียงที่ไม่ชอบใจก็เกิด ทุกขเวทนา ถ้าเป็นกลางๆ ก็เป็น อทุกขมสุขเวทนา เวทนาที่เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
เวทนาทำให้เกิดตัณหา
คราวนี้สุขเวทนานี้เอง เมื่อจิตเข้ายึดถือ เข้ารับและยึดถือ ก็ทำให้เกิดราคะคือความติดใจยินดี หรือโลภะ ความโลภอยากได้ ถ้าเป็นทุกขเวทนา จิตรับยึดถือ ก็ทำให้เกิดโทสะ เริ่มจากปฏิฆะคือความกระทบกระทั่งขึ้นก่อน เป็นอันว่าเหมือนอย่างเอาไม้ขีดมาขีดข้างกล่องไม้ขีด ก็เป็นไฟคือเป็นปฏิฆะขึ้นมา แล้วเมื่อไม่ดับเสีย แค่นี้ไปจี้เชื้อเข้า ก็ลุกขึ้นเป็นโกธะ เป็นโทสะ เป็นพยาบาท ก็เป็นไฟกองโต ไหม้บ้านไหม้เรือน ก็ปรากฏเป็นความประทุษร้ายกับเบียดเบียนกัน ดังที่ปรากฏอยู่ในภายนอกต่างๆ เหมือนอย่างที่ปรากฏเป็นไฟไหม้บ้านไหม้เรือนอยู่ต่างๆ อันมาจากต้นไฟเพียงนิดเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น ใช้คำว่า อักโกธะ คือไม่โกรธนี้ ก็เป็นอันว่าหยิบเอาชื่อของกิเลสกองโทสะมาใช้คำหนึ่ง แต่ก็หมายความถึงว่า ระวังใจไม่ให้กระทบกระทั่ง ไม่ให้โกรธ ไม่ให้มีโทสะ ไม่ให้มีพยาบาท เพราะว่าทุกคนนั้นจะต้องรับอารมณ์ คือเรื่องที่เข้ามาทางตาทางหู เป็นต้น ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้นอยู่เสมอ และก็ให้เกิดเวทนา ที่เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง เพราะฉะนั้น จึงได้เกิดความยินดีบ้าง เกิดความยินร้ายบ้าง อันเนื่องมาจากสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง และถ้าเป็นเวทนากลางๆ ไม่ได้จับมาพิจารณา ก็ย่อมจะเกิดโมหะคือความหลง และก็หลงติดอยู่ในเวทนาที่เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขนั้นด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เวทนานี้เองจึงเป็นที่ตั้งของตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากและกิเลสทั้งหลาย ดังเช่นที่ใน ปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยเกิดตัณหา และตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากนี้ก็มีอาการเป็นโลภโกรธหลงนี่แหละ เพราะว่าเมื่อโลภโกรธหลงบังเกิดขึ้นแล้ว จิตใจจะมีความดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย เมื่อจับเอาอาการที่ดิ้นรนกวัดแกว่างกระสับกระส่ายนี้ ก็เรียกว่าตัณหา เมื่อจับเอาอาการที่ชอบก็เป็นโลภหรือราคะ ที่โกรธก็เป็นโทสะ ที่หลงก็เป็นโมหะ แต่เมื่อจับเอาอาการที่ดิ้นรนกวัดแกว่างกระสับกระส่ายก็เป็นตัณหา เพราะฉะนั้น กิเลสเหล่านี้จึงอยู่ด้วยกัน เนื่องกันเป็นไป
ตรัสสอนให้ดับโกรธด้วยเมตตา
เพราะฉะนั้น การที่จะปฏิบัติทำใจให้ไม่โกรธได้ ก็ต้องอาศัยสติที่คอยสำรวมระวังใจอยู่ อาศัยปัญญาที่เป็นตัวความรู้จักว่า กิเลสทุกกองแม้กองโกรธนี้เป็นอกุศลมีโทษ เป็นปัญญา ความรู้จักโทษ เมื่อมีสติระวังใจอยู่และมีปัญญาที่คอยรักษาใจอยู่ดั่งนี้ ก็จะป้องกันระงับได้ อีกอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงธัมมะที่จะเป็นเครื่องป้องกันโกรธได้ด้วย ดับโกรธได้ด้วยก็คือ เมตตา ความรักใคร่ปรารถนาให้เป็นสุขหรือความปรารถนามุ่งดี เหมือนอย่างที่มารดาบิดามีเมตตาต่อบุตรธิดาครูอาจารย์มีเมตตาต่อศิษย์ มิตรสหายมีเมตตาต่อมิตรสหาย คนที่รักมีเมตตาต่อกัน และโดยเฉพาะทุกคนก็มีเมตตาต่อตัวเองอยู่เป็นประจำ เพราะว่าย่อมปรารถนาจะให้ตัวเองนั้นมีความสุขความเจริญ และปกติก็ไม่โกรธตัวเอง แม้ตัวเองจะทำผิดก็ไม่โกรธตัวเอง ตัวเองจะทำให้ทรัพย์เสียหายก็ไม่โกรธตัวเอง แต่ว่าถ้าคนอื่นมาทำก็เกิดโกรธ เพราะฉะนั้น ก็หัดให้จิตนี้มีเมตตา แผ่เมตตาออกไปในบุคคลที่เจาะจงบ้าง ในสัตว์บุคคลทั่วไปไม่เจาะจงบ้าง เป็นการหัดปลูกเมตตาให้บังเกิดขึ้นที่จิตใจ และจิตใจนี้เป็นธรรมชาติที่น้อมไปได้ น้อมไปในทางดีก็ได้ น้อมไปในทางชั่วก็ได้ น้อมไปในข้อก็ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อหักน้อมไปในทางปลูกเมตตาอยู่เสมอแล้ว จะทำให้เมตตามีขึ้นจิตใจ เหมือนอย่างปลูกต้นไม้ ก็ต้องมีการปลูกตั้งแต่เบื้องต้น แล้วก็หมั่นรดน้ำพรวนดินอะไรเป็นต้น ต้นไม้ก็จะอยู่ได้ ก็จะเติบโตขึ้นจนถึงให้ผล การปฏิบัติธัมมะก็เป็นเช่นเดียวกัน ต้องอาศัยการปฏิบัติบ่อยๆ ทำบ่อยๆ หมั่นปลูกให้ตั้งขึ้นในจิตใจอยู่เสมอ และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว ก็จะเป็นเมตตาขึ้นมาได้ เมื่อมีเมตตาอยู่แล้ว เมื่อไปประสบอารมณ์อันทำให้เกิดทุกขเวทนา ก็จะทำให้ไม่เกิดความโกรธ หรือว่าเมื่อเกิดความโกรธขึ้น หวนคิดถึงเมตตาขึ้นมาได้ ทำจิตให้ปรากฏเป็นเมตตาออกไป ก็จะดับโกรธได้
อักโกธะหมายรวมถึงเมตตา
เพราะฉะนั้น ทศพิธราชธรรมข้อนี้ คือ อักโกธะ ความไม่โกรธนั้น จึงหมายรวมถึงเมตตาด้วย ความมีเมตตาก็คือมีความไม่โกรธ ถ้าจิตที่ขาดเมตตาแล้วก็จะต้องมีโกรธ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อย่างนี้ แต่ถ้าหากว่ามีเมตตาอยู่เป็นประจำแล้วจะไม่โกรธ เพราะฉะนั้น อักโกธะกับเมตตาจึงมีความหมายที่รวมอยู่ด้วยกัน และข้อที่พระมหากษัตริยาธิราชเจ้ามีพระราชอัธยาศัยประกอบด้วยเมตตา ไม่ทรงปรารถนาก่อภัยก่อเวรในผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ทรงพระพิโรธด้วยเหตุที่ไม่ควร แม้มีเหตุให้ทรงพระพิโรธแต่ก็ทรงข่มเสียได้ ให้สงบระวังอันตรธาน ทรงปฏิบัติโดย โยนิโสมนสิการ จัดเป็นอักโกธะอันเป็นข้อที่ ๗ และก็พึงสาธกได้ถึงพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ทรงปฏิบัติ ว่าเป็นไปด้วยอำนาจพระเมตตา มุ่งดีปรารถนาดีต่อประชาชน ดังเช่นที่เล่าเรื่องที่ทรงปฏิบัติในสวนจิตรลดามาแล้ว ยังมีเรื่องที่น่าจะเล่าต่ออีกหน่อยหนึ่งคือได้โปรดให้มีการทดลองปลูกข้าวไร่ในสวนจิตรลดา ซึ่งสามารถผลิตข้าวไร่ได้ในอัตรา ๒๐ ถังต่อไร่ เพื่อพระราชทานไปแพร่พันธุ์ในชนบทต่างๆ ในปี ๒๕๒๘ ก็ได้ทดลองนำดินดังกล่าวมาผสมสารต่างๆ เพื่อลดกรด รวมทั้งทำการทดลองผสมดินลูกรังในส่วนผสมต่างๆ แล้ว ก็ทำโครงการปุ๋ยหมักและปุ๋ยอินทรีย์เพื่อไปใช้ในโครงการต่างๆ โครงการที่สำคัญอีกอันหนึ่งที่น่าจะใหม่เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๘ คือโครงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นวิทยาการสมัยใหม่ คือเป็นโครงการทดลองตามพระราชดำริ จะอนุรักษ์พันธุ์ไม้ที่ไม่สามารถใช้วิธีเพาะเม็ด ติดตา หรือต่อกิ่งได้ วิธีการนี้เรียกว่า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช โดยนำเซลล์เนื้อเยื่อพืชมาเพาะเลี้ยงในอาหารและพืช ปรับสูตรจนพืชสามารถงอดรากงอกลำต้นออกมา จนนำไปปลูกได้และไม่กลายพันธุ์ เมื่อทดลองได้ดีแล้ว โปรดเกล้าให้ทำการเพาะเลี้ยงเยื่อของพันธุ์ไม้ที่เคยมีแต่โบราณ ได้แก่ ต้นขนุน ซึ่งได้ทราบว่าปลูกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้นขนุนนี้ปลูกอยู่ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง เป็นขนุนเนื้อหนาถึง ๑ ซม. รสหวานสนิท แม้กระทั่งซังก็ว่ารับประทานได้หมดเลย ต้นขนุนนี้ไม่สามารถจะนำไปเพาะพันธุ์ได้ด้วยวิธีอื่น ก็ใช้วิธีที่เรียกว่าเพาะพันธุ์ด้วยเนื้อเยื่อพืชนี่แหละ นอกจากนั้นก็มีต้นสมอไทย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงปลูกที่พระที่นั่งอัมพรสถาน มีผลใหญ่ไม่ฝาด ต้นไม้ทั้ง ๒ ต้นนี้คือต้นขนุนและต้นสมอ มีอายุเกือบ ๑๐๐ ปี นอกจากนั้น ทางโครงการได้ทำการทดลองเพาะเลี้ยงพืชต่างๆ ในวังหลวง เช่น ต้นมณฑา ต้นพุฒ สำหรับนำดอกมาร้อยมาลัย ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือก้านยาวและทิ้งไว้ ๒ ๓ วันก้านยังสดไม่เปลี่ยนสี นอกจากนั้นในสวนจิตรฯ ยังมีโรงงานอุตสาหกรรมผลิตนมผงและนมที่เป็นเม็ด และนำออกจำหน่ายแก่ประชาชนเป็นที่แพร่หลาย นอกจากนั้นโปรดให้มีการทดลองนำอ้อยมาทดลองเพื่อใช้เป็นวัสดุเชื้อเพลิง โดยเฉพาะที่จะใช้ในการประเภทน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นขั้นทดลอง ทรงพระราชดำริว่า ปัญหาเรื่องอ้อยคงจะเป็นปัญหาที่เกษตรกรจะต้องได้รับความลำบากเพราะปลูกกันมาก ก็น่าจะมีการทดลองที่ใช้อ้อยให้เป็นประโยชน์ในทางอื่นนอกจากการทำน้ำตาล นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังโปรดที่จะทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง การที่ทรงสนพระราชหฤทัยในการเกษตร บางคราวทรงปลูกพืชด้วยพระองค์เอง เช่น ทรงปลูกพืชถั่วด้วยพระองค์เอง ที่ทรงปลูกไว้ที่พระตำหนักไกลกังวลเป็นต้น เพื่อจะได้ทรงทราบว่าการเพาะปลูกพืชนั้นๆ มีปัญหาอย่างไร
การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในชนบทในต่างจังหวัดนั้น ถือว่าเป็นพระราชภาระกิจหลัก ก็จะแบ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเป็นทางการ ไปเยี่ยมงานโครงการต่างๆ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีต่างๆ ตามที่จังหวัดกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ แต่โดยปกติงานพิธีต่างๆ จะรับเชิญต่อเมื่อมีโอกาสอำนวยเท่านั้น ปกติมักจะทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการทอดพระเนตรและไปเยี่ยมโครงการในพระราชดำริเป็นส่วนใหญ่ การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรทำให้มีโอกาสทอดพระเนตรสภาพพื้นที่และสภาพความเป็นอยู่ของราษฎร ลักษณะของการเสด็จส่วนใหญ่เป็นการส่วนพระองค์ บางแห่งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายก็ได้ช่วยกันพิจารณาตามความเหมาะสม โดยกลั่นกรองจากข้อมูลที่รวบรวมจากหนังสือขอพระราชทานอันเชิญเสด็จจากหน่วยราชการต่างๆ ส่วนที่หมายอื่นๆ บางทีก็ทรงกำหนดเอง คือบางทีคล้ายๆ กับว่าเสด็จไปยังจุดต่างๆ เพื่อที่จะไม่ให้เจ้าหน้าที่รู้ล่วงหน้า เป็นการป้องกันสิ่งที่เรียกว่าผักชีโรยหน้าอย่างนี้เป็นต้น การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรทุกครั้ง จะทรงศึกษาสถานการณ์ล่วงหน้า จะทรงพิจารณาเส้นทางภูมิประเทศตลอดจนความยุ่งยาก ปัญหาที่ราษฎรในพื้นที่ประสบอยู่ และจะทรงวางแผนพัฒนาไว้อย่างคร่าวๆ จนกว่าจะทอดพระเนตรสภาพที่แท้จริง แล้วจึงปรับแผนให้เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง จะทรงสังเกตสภาพภูมิประเทศ สภาพความเป็นอยู่ สภาพแหล่งน้ำ สภาพเส้นทางคมนาคม สภาพพื้นที่เพาะปลูก สภาพป่าไม้ตลอดทาง เมื่อเสด็จถึงที่หมายจะมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่รอบรู้เกี่ยวกับสภาพพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายท้องถิ่น ในโอกาสนี้หากทรงพบปัญหาเกี่ยวกับการดำรงชีพของราษฎร หรือในกรณีที่ราษฎรทูลเกล้าถวายฎีกา ก็จะเสด็จไปทอดพระเนตรพื้นที่ที่ประสบปัญหาด้วยพระองค์เอง แล้วจึงมีพระราชดำรัสกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาและฝ่ายรักษาความมั่นคงที่โดยเสด็จ ถึงแนวทางที่จะวางแผนแก้ไขปัญหาต่อไป สำหรับฎีกาที่ทูลเกล้าถวายนั้น จะทรงรับกลับมาแล้วโปรดเกล้าให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาประกอบพระราชดำริก่อนที่จะดำเนินการช่วยเหลือตามความเหมาะสม
สัจจะกับอักโกธะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
ตามเรื่องที่ได้ขอยกมาอ้างนี้ ก็เพื่อเป็นเครื่องสนับสนุนว่า ทรงปฏิบัติอยู่ในทศพิธราชธรรมข้อว่าอักโกธะ คือเมตตา เพราะทรงมีพระเมตตามุ่งดีปรารถนาดีต่อประชาชน จึงได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทุกอย่าง เช่นดังที่ได้ยกมานั้น
อนึ่ง ในข้อ ๗ นี้ สำหรับบารมีนั้นได้แก่สัจจบารมี ส่วนในทศพิธราชธรรมนั้นได้แก่อักโกธะ ความไม่โกรธ อันหมายถึงเมตตาประกอบอยู่ เมื่อพิจารณาดูแล้วแม้ว่าทั้ง ๒ ข้อนี้จะมีพยัญชนะที่ต่างกัน แต่ว่าในด้านการปฏิบัตินั้นก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน กล่าวคือการที่จะปฏิบัติให้มีความไม่โกรธหรือมีเมตตาขึ้นได้นั้น จะต้องมีจิตใจประกอบด้วยสัจจะคือความตั้งใจจริงในการที่จะปลูกเมตตาขึ้นมาในจิตใจคือให้เป็นเมตตาจริง ให้เป็นเมตตาจริงในจิตใจ เมื่อเป็นดั่งนี้ จึงจะทำให้เกิดความไม่โกรธ อันตรงกันข้ามขึ้นได้ และเมื่อเกิดความไม่โกรธและเกิดเมตตาขึ้นแล้ว ก็จะทำให้มุ่งดีปรารถนาดี จึงอดอยู่มิได้ที่จะอยู่เฉยๆ จึงต้องขวนขวายที่จะทำให้ผู้ที่มีเมตตานั้นบังเกิดความสุขความเจริญตามความหมายของเมตตา เพราะถ้ามีเมตตาจริงแล้วก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้ จะต้องไปปฏิบัติทำให้เกิดความสุขความเจริญขึ้นในที่นั้นๆ ในที่ที่มีเมตตานั้น เมื่อมีเมตตาอยู่ในราษฎร จึงต้องขวนขวายที่จะเสด็จไปทำให้เกิดความสุขความเจริญแก่ราษฎร ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยมีสัจจะคือความจริงใจที่จะปฏิบัติให้มีเมตตาขึ้นจริง เพราะฉะนั้น เมตตานั้นจะเป็นเมตตาจริงขึ้นมาได้ต้องมีสัจจะไม่โกรธ จะไม่โกรธจริงขึ้นได้ก็ต้องมีสัจจะคือความจริงใจที่จะไม่โกรธ ความจริงใจที่จะมีเมตตา ถ้าหากว่าขาดความจริงใจ คือขาดสัจจะเสียข้อเดียว เมตตาก็เป็นเมตตาไม่จริง เป็นเมตตาที่แสดงกันออกมาแต่ภายนอก เช่นทางวาจาว่าเมตตา หรือทางกิริยาว่าเมตตา แล้วก็ละทิ้งทอดทิ้งไม่ได้ช่วยอะไรจริงจัง แต่หากว่าถ้าเป็นเมตตาจริง คือมีเมตตาที่ประกอบด้วยสัจจะคือความจริงใจ ทำให้เมตตาเป็นเมตตาจริงขึ้นมา ไม่โกรธก็ไม่โกรธจริงขึ้นมา ดั่งนี้แล้ว จึงจะทำให้ปฏิบัติขวนขวายเพื่อประโยชน์สุขต่างๆ ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติ เพราะฉะนั้นธัมมะทั้ง ๒ ข้อนี้คือสัจจะกับอักโกธะที่หมายถึงเมตตา จึงมีความหมายที่ต้องอาศัยซึ่งกันและกันเป็นไป
๒๐ กันยายน ๒๕๓๐
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ บทความนี้เป็นธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร ได้บรรยายแก่พระนวกะภิกษุ ในพรรษากาล ๒๕๓๐ รวมทั้งสิ้น ๓๘ ครั้ง วัดบวรนิเวศวิหารได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง ทศบารมี ทศพิธราชธรรม นี้ขึ้นขอพระราชทานถวายเฉลิมพระเกียรติ ในมหาอุดมมงคลวโรกาสพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช วันที่ ๒ - ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑
คัดลอกจาก หนังสือทศบารมี ทศพิธราชธรรม ของ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) พิมพ์ที่ โรงพิมพ์ชวนพิมพ์ ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
Create Date : 05 ตุลาคม 2554 |
Last Update : 5 ตุลาคม 2554 8:15:56 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1138 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]
|
บทความในกลุ่ม ข้อคิด-ธรรมะ ได้ถูกเรียบเรียงขึ้น โดยบางบทความได้คัดลอกและสำเนาภาพมาถ่ายทอดจากหนังสือธรรมะต่างๆ หรือหนังสืออื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ด้วยเจตนาประสงค์จะให้ธรรมะอันเป็นสัจจะและมงคลของพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแพร่และเข้าถึงพุทธศาสนิกชนหรือผู้ที่สนใจให้ได้มากที่สุด รวมทั้งให้บทความธรรมะได้ถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบที่จะสะดวกแก่การสืบค้นและเข้าถึงในภายหลัง
ผู้ที่ประสงค์จะคัดลอกไปเพื่อประโยชน์ทางพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบกับต้นฉบับหรือเจ้าของลิขสิทธิ์ ด้วยครับ
|
|
|
|
|
|
|
|