Group Blog
 
All Blogs
 
ครั้งที่ ๒๒ ความรู้จักสังขาร

สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ

ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร


--------------------------------------------------------------



ครั้งที่ ๒๒ ความรู้จักสังขาร

บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ได้แสดงพระเถราธิบายตอบคำถามของภิกษุทั้งหลาย ของท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรมาโดยลำดับจนถึงวันนี้ ท่านได้แสดงอธิบายสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ว่าได้แก่รู้จักสังขาร รู้จักเหตุเกิดสังขาร รู้จักความดับสังขาร รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับสังขาร และท่านได้แสดงชี้แจงไปทีละข้อว่า

รู้จักสังขาร นั้น สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร
รู้จักเหตุเกิดสังขาร นั้น ก็คือรู้จักว่า เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด
รู้จักความดับสังขาร ก็เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับสังขาร ว่าได้แก่มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบเป็นต้น

จะได้แสดงอธิบายในข้อที่ ๑ ที่ท่านแสดงชี้แจง สังขาร ๓ ดังกล่าว

สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง

แต่ก่อนที่จะได้แสดงสังขาร ๓ จะได้แสดงใจความหรือความหมายของคำว่าสังขารก่อน คำว่า สังขาร นั้น ก็ตามที่ได้ทราบกันอยู่โดยมากสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมะหรือศึกษาธรรมะว่าได้แก่ ปรุงแต่ง คือสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นก็เรียกว่าสังขารการปรุงแต่งหรือความปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร โดยอธิบายว่า ทุก ๆ สิ่งในโลกนี้จะเป็นสิ่งที่มีใจครอง เช่น มนุษย์เดรัจฉานทั้งหลาย สิ่งที่ไม่มีใจครอง เช่น ดินน้ำไฟลมที่เป็นภายนอกทั่วไปและที่เป็นต้นไม้ภูเขาเป็นต้น เรียกว่าสังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น แม้ที่รวมกันเป็นพื้นพิภพนี้ หรือว่าดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ดวงดาวทั้งหลายที่เห็นอยู่ในท้องฟ้า ก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น หรือแม้ลมฝนอากาศเย็นร้อน ที่เป็นเรื่องของโลกธาตุอันบังเกิดขึ้นทั้งสิ้น ก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง

สังขาร ๒

เพราะฉะนั้น ท่านจึงย่อสังขารลงเป็น ๒ คือ

อุปาทินนกสังขาร สังขารที่มีใจครอง
อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่ไม่มีใจครอง

แต่ว่าคำนี้ท่านผู้เพ่งธรรมะบางท่านก็อธิบายเป็นอีกอย่างหนึ่งว่า

สังขารที่ยังยึดถือเป็น อุปาทินนกสังขาร
สังขารที่ไม่ยึดถือเป็น อนุปาทินนกสังขาร

แต่แม้จะตีความหรือเข้าใจความเป็นอย่างไร รวมเข้าก็คือว่า บรรดาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง เรียกว่าสังขารทั้งหมด และคำว่า ผสมปรุงแต่งนี้ก็มีความหมายที่แจ่มแจ้งอยู่ในตัวแล้วว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏเป็นนั่นเป็นนี่ต่าง ๆ แต่ว่ามีส่วนประกอบเข้ามาหลายอย่างมาปรุงแต่งกันขึ้น ซึ่งถ้าเทียบอย่างหยาบ ๆ ก็เช่นบ้านเรือนที่เป็นบ้านเป็นเรือน ก็เรียกว่าเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งเพราะประกอบขึ้นด้วยทัพสัมภาระเช่นไม้เป็นต้น หลายสิ่งหลายอย่างมาประกอบกันเข้าเป็นบ้านเป็นเรือน และคำว่าบ้านว่าเรือนนั้นก็เป็นสมมติบัญญัติของสิ่งผสมปรุงแต่งนั้น ๆ ว่า เมื่อผสมปรุงแต่งขึ้นเป็นอย่างนั้นก็เรียกว่าอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าอย่างนี้ แม้คำว่าสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขานี้ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง จึงได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ที่แปลความว่า

เพราะประกอบองคสัมภาระ คือ องค์ประกอบต่าง ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ เข้า เสียงว่ารถจึงมีฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ เสียงว่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาจึงมีอยู่ ดั่งนี้

เพราะฉะนั้นทุก ๆ อย่างดังกล่าวจึงเรียกว่าสังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น

สังขตลักษณะ

ได้มีพระพุทธภาษิตแสดง สังขตลักษณะ คือลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่งเอาไว้ว่ามี ๓ อย่าง คือ

หนึ่ง ความเกิดขึ้นปรากฏ
สอง ความเสื่อมไปสิ้นปรากฏ
สาม เมื่อยังตั้งอยู่ความเป็นไปอย่างอื่น คือความแปรปรวนไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ
ฉะนั้น จึงได้มีภาษิตแสดงภาวะของสังขารทั้งหลาย ซึ่งพระใช้เป็นคำสำหรับสวดว่า

อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
อุปฺปาทวยธมฺมิโน มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
เตสํ วูปสโม สุโข ความดับแห่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้นจึงเป็นสุข ดั่งนี้

พิจารณาโดยลักษณะว่าเป็นทุกข์

เพราะฉะนั้น ในการพิจารณาทางวิปัสสนา ยกเอาทุกขลักษณะ คือลักษณะเครื่องกำหนดหมายว่าเป็นทุกข์ขึ้นมาพิจารณา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้พิจารณาโดยลักษณะที่เรียกว่า ทุกขทุกขะ คือทุกข์โดยเป็นทุกข์ ก็ได้แก่ทุกข์ที่ปรากฏเป็นทุกข์ เช่น ทุกขเวทนาต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นแก่ร่างกายและจิตใจ ดั่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสชี้เอาไว้ในการที่ทรงอธิบาย ทุกขสัจจะ สภาพที่จริงคือทุกข์ ว่า

เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ความโศกความรัญจวนคร่ำครวญ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์

พิจารณาทุกข์โดยที่เป็นทุกข์ต่าง ๆ ซึ่งทุกคนต้องประสบทางกายบ้างทางใจบ้าง

พิจารณาทุกข์โดยเป็นสังขาร

อนึ่ง ได้ตรัสสอนให้พิจารณาว่าเป็นทุกข์โดยเป็นสังขาร อันเรียกว่า สังขารทุกข์ ทุกข์โดยเป็นสังขาร คือล้วนเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น ทุก ๆ อย่างที่สมมติบัญญัติขึ้นว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ตั้งต้นแต่รูปกายของตนเอง นามกายของตนเอง รูปกายนามกายของผู้อื่นและสัตว์บุคคลต่าง ๆ ทรัพย์สินสิ่งต่าง ๆ ทุกอย่างที่สมมติบัญญัติกันว่าเป็นนั่นเป็นนี่ทั้งที่ยึดถือกันว่าเป็นของเรา ว่าเราเป็น ว่าเป็นอัตตาตัวตนของเรา ล้วนเป็นสังขารคือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น ส่วนที่มีชื่อเรียกกันต่าง ๆ นั้นก็เป็นสมมติบัญญัติทั้งสิ้น และส่วนที่ว่าเป็นเราเป็นของเราก็เป็นความยึดถือเอาเองทั้งสิ้น เพราะว่าทุก ๆ อย่างนั้น เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น

พิจารณาทุกข์โดยเป็นวิปริณามะ

อนึ่ง ได้ตรัสสอนให้พิจารณาว่าเป็นทุกข์ โดยเป็น วิปริณามะ คือความที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เพราะทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างที่เป็นสังขารนั้น ล้วนมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เป็นไปตามสังขตลักษณะ ลักษณะเครื่องกำหนดหมายแห่งสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหลายดังกล่าวมาแล้ว คือมีเกิดมีดับเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป และในระหว่างแห่งเกิดและดับนั้นก็มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นอยู่เรื่อย ๆ ดังเช่นร่างกายของทุก ๆ คนเรานี้ เมื่อเกิดมาก็เป็นเด็กคือร่างกายเป็นเด็กแล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงมาเป็นเด็กใหญ่ ใหญ่ขึ้นโดยลำดับ เป็นหนุ่มสาว เป็นกลางคน เป็นคนแก่ เป็นคนแก่เฒ่าไปโดยลำดับ ในที่สุดก็แตกดับ คือสิ่งที่ผสมปรุงแต่งนั้นก็แตกสลายจากการปรุงแต่ง หยุดปรุงแต่ง

สังขาร ๓

ฉะนั้น เรื่องสังขารนี้จึงเป็นข้อที่ควรทำความเข้าใจและพิจารณาในทางวิปัสสนากรรมฐานได้เป็นอย่างดียิ่ง ตามที่ประพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน แต่ในที่นี้ก็ต้องการที่จะให้มีความเข้าใจในความหมายของคำว่าสังขารเพียงว่า ได้แก่สิ่งที่ผสมปรุงแต่งขึ้น หรืออาการที่ผสมปรุงแต่งขึ้น เรียกว่าสังขาร และที่ท่านจำแนกสังขารไว้เป็น ๓ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร

กายสังขาร

กายสังขาร นั้นก็ได้แก่การปรุงแต่งกาย อธิบายว่า ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ได้ชื่อว่ากายสังขารปรุงแต่งกาย เพราะว่าเป็นเครื่องบำรุงปรนปรือกายอยู่ตลอดเวลา กายดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีลมอัสสาสะปัสสาสะบำรุงปรนปรืออยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุด ดังจะพึงเห็นได้ว่าทุก ๆ คนนั้นไม่มีหยุดหายใจ กายจึงดำรงอยู่ได้ที่เรียกว่าชีวิต หากหยุดหายใจเมื่อใดกายก็ดำรงอยู่ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ จึงเรียกว่า กายสังขาร เป็นเครื่องปรุงกาย

วจีสังขาร

วจีสังขาร แปลว่าปรุงแต่งวาจา ได้แก่วิตกวิจาร ที่แปลว่า ความตรึกความตรอง วิตกวิจารนี้เองเป็นต้นของวาจาที่ทุก ๆ คนพูด ก็คือว่าพูดจากใจที่วิตกวิจารคือที่ตรึกตรอง อาจจะกล่าวได้ว่า จิตใจนี้พูดก่อนคือตรึกตรองขึ้นมาก่อน จึงพูดออกทางวาจา หรือว่าวาจาจึงพูดออกมา ถ้าหากว่าไม่มีวิตกวิจารขึ้นในจิตใจก่อนการพูดอะไรออกไปทางวาจาก็เป็นวาจาของคนที่เพ้อคลั่ง หรืออาการที่เพ้อหรือที่กล่าวในเวลาหลับและจะไม่เป็นภาษา ฉะนั้น วาจาที่ทุกคนพูดนี้จึงออกมาจากจิตใจที่มีวิตกมีวิจารคือที่ตรึกตรอง

ฉะนั้น วิตกวิจารจึงเรียกว่า วจีสังขาร เป็นเครื่องปรุงวาจา

จิตตสังขาร

จิตตสังขาร ปรุงแต่งจิต ก็ได้แก่สัญญาเวทนา เวทนานั้นก็ได้แก่ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข สัญญานั้นก็ได้แก่ความจำได้หมายรู้ เช่น จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ จำธรรมะคือเรื่องราว เวทนาสัญญานี้เรียกกลับกันว่า สัญญาเวทนา เป็นเครื่องปรุงจิต คือปรุงจิตใจให้คิดไปต่าง ๆ ความคิดไปต่าง ๆ นั้นอาศัยสัญญาเวทนา ถ้าหากว่าไม่มีสัญญาคือความจำได้หมายรู้ ไม่มีเวทนาคือรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็คิดอะไรไม่ได้ เพราะทุก ๆ คนนั้นจะไปคิดในเรื่องที่ตนเองจำไม่ได้ หรือว่าที่ลืมไปแล้วนั้นหาได้ไม่ จะคิดอะไรได้ก็ต้องคิดได้ตามที่จำได้เท่านั้น อันที่จริงยกเอาสัญญาขึ้นมาอย่างเดียว อธิบายอย่างนี้ก็เข้าใจ แต่ท่านยกเอาเวทนาขึ้นมาคู่ด้วยก็โดยที่สัญญานี้ตามวิถีจิตในขันธ์ ๕ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยเวทนา คือต้องมีเวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข จึงจะมีสัญญาคือจำได้ ถ้าไม่มีเวทนาแล้วก็จำอะไรไม่ได้

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เหมือนอย่างคนที่ดับความรู้ทางกายประสาท เช่นว่าฉีดยาชาที่ร่างกาย เมื่อร่างกายส่วนนั้นชาไปแล้ว หมอก็ทำการผ่าตัดหรือทำอะไรก็ไม่มีความรู้เจ็บ เมื่อไม่มีความรู้เจ็บ ก็แปลว่าสัญญาคือความจำในการที่หมอได้กระทำอะไรตรงร่างกายส่วนนั้นก็ไม่มี ถ้าหากว่าไม่ได้ฉีดยาชา เมื่อเอามีดไปปาดเข้าก็เจ็บ เมื่อเจ็บก็จำได้ในอาการที่เจ็บนั้น นี้ยกตัวอย่างเพียงการทำให้กายประสาทไม่รู้สึกเพียงข้อเดียว ถ้าหากว่าไม่มีความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ที่เป็นเวทนา ทางจักขุประสาท โสตประสาท ฆานประสาท ชิวหาประสาท หรือทางกายประสาทดังกล่าวนั้นด้วย ใครจะทำอะไรที่ร่างกายทุกส่วน ก็ย่อมจะไม่มีความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ไม่มีสัญญาคือความจำในส่วนนั้น ๆ หรือคนที่ถูกฉีดยาสลบหมดความรู้ไปในขณะที่สลบนั้น ก็เป็นอันว่าจำอะไรในขณะนั้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น สัญญาจึงมาจากเวทนา ต้องมีเวทนาจึงจะเกิดสัญญาคือความจำได้หมายรู้ขึ้นมา

เพราะฉะนั้น จิตที่คิดไปต่าง ๆ ที่ปรุงไปต่าง ๆ จึงปรุงไปตามสัญญาเวทนา ถ้าไม่มีสัญญาเวทนาแล้วจิตก็ปรุงไม่ถูก แม้จิตที่คิดปรุงไปต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ก็รวมวิตกวิจารดังกล่าวมาข้างต้นในข้อวจีสังขารเข้าด้วย เพราะวิตกวิจารคือความตรึกความตรองก็เป็นความคิดไปของจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งก็อาศัยสัญญาเวทนาดังกล่าวนี้นั่นแหละ

เพราะฉะนั้น สัญญาเวทนาจึงเป็น จิตตสังขาร เครื่องปรุงจิต

สรุปสังขาร ๓

กายสังขาร ปรุงแต่งกาย มีลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นเครื่องปรุงแต่งกาย
วจีสังขาร ก็มีวิตกวิจารเป็นเครื่องปรุงแต่งวาจา
จิตตสังขาร ก็มีสัญญาเวทนาเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต

นี้แสดงอธิบายถึงเครื่องปรุงแต่งกายปรุงแต่งวาจาปรุงแต่งจิต แต่ว่ายังมีการปรุงแต่ง ของกายเองของวาจาเองของจิตเอง คือกายที่มีการปรุงแต่งอยู่ คือ กายที่ยังประกอบกันเป็นกาย มีอาการปรุงแต่งของกาย ซึ่งเป็นไปเองต่าง ๆ เช่นว่าอาการ ๓๑ หรือ ๓๒ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน เป็นต้น ผมเองก็มียาวขึ้นไปได้ ขนเองก็มีการที่ตั้งอยู่ หรือที่หลุดก็งอกขึ้นมาใหม่ได้ เหล่านี้เป็นต้น เป็นความปรุงแต่งของกายตลอดจนถึงที่เป็นอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น ตับ ปอด ก็ปฏิบัติหน้าที่ เช่นปอดก็ปฏิบัติหน้าที่ในการที่ทำการหายใจเข้าหายใจออกเป็นต้น ไปอยู่ตลอดเวลา เหล่านี้เป็นอาการปรุงแต่งของกายเอง ซึ่งเป็นไปอยู่ไม่มีหยุด วจีสังขาร วาจาเองที่พูดออกไป ก็พูดกันอยู่ทุกวันตามที่ควรพูด หรือแม้ว่าที่ไม่ควรพูด จิตที่คิดนึกไป ก็คิดนึกกันไปต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาไม่หยุด แปลว่าอาการปรุงแต่งของกายของวาจาของจิตเองก็ปรุงแต่งอยู่ไม่หยุดเหมือนกัน นี่ก็เป็นสังขาร

เพราะฉะนั้น ชีวิตนี้อันประกอบด้วยกายด้วยวาจาด้วยจิตดั่งที่กล่าวมา ยกเป็นตัวอย่างเพียง ๓ ข้อนี้ เป็นสังขารที่ปรุงแต่งอยู่ไม่หยุดตั้งแต่เกิดมา หยุดเมื่อไรก็คือตาย เมื่อยังไม่ตายก็ต้องเป็นสังขารคือปรุงแต่ง ปรุงแต่งตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดก่อขึ้นในครรภ์ของมารดา คลอดออกมาก็ปรุงแต่งเรื่อยไปจนถึงตายในที่สุด เพราะฉะนั้น อาการที่เรียกว่าสังขารคือปรุงแต่งนี้เป็นอาการของชีวิต ซึ่งต้องมีการปรุงแต่งกันอยู่ดั่งนี้ตลอดเวลาไม่หยุด หยุดปรุงแต่งเมื่อใดก็ตาย

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘

--------------------------------------------------------------

หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิมพ์ถวายเป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘

คัดลอกจาก หนังสือสัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พิมพ์ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ ที่ โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ๑๒๙ หมู่ ๓ ถ.ศาลายา – นครชัยศรี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม



Create Date : 03 กรกฎาคม 2555
Last Update : 3 กรกฎาคม 2555 23:04:13 น. 0 comments
Counter : 1411 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sirivajj
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




บทความในกลุ่ม ข้อคิด-ธรรมะ ได้ถูกเรียบเรียงขึ้น โดยบางบทความได้คัดลอกและสำเนาภาพมาถ่ายทอดจากหนังสือธรรมะต่างๆ หรือหนังสืออื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ด้วยเจตนาประสงค์จะให้ธรรมะอันเป็นสัจจะและมงคลของพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแพร่และเข้าถึงพุทธศาสนิกชนหรือผู้ที่สนใจให้ได้มากที่สุด รวมทั้งให้บทความธรรมะได้ถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบที่จะสะดวกแก่การสืบค้นและเข้าถึงในภายหลัง

ผู้ที่ประสงค์จะคัดลอกไปเพื่อประโยชน์ทางพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบกับต้นฉบับหรือเจ้าของลิขสิทธิ์ ด้วยครับ
Friends' blogs
[Add sirivajj's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.