หลอกแม่ค้า

บางทีมันก็ไม่ได้ตั้งใจนะคะพ่อแม่พี่น้อง 

หลายสัปดาห์ที่แล้วเดินไปร้านผลไม้ที่ตึก เค้าก็มีผลไม้ขายเต็มเลย ไอ้เราก็มองดูไม่รู้จะซื้ออะไร ส้มก็น่ากินแต่เป็นส้มนำเข้า สนนราคาลูกละยี่สิบบาท องุ่นไร้เมล็ดโลละสองร้อย แอปเปิลก็ดูท่าจะแพงไม่กล้าถามราคา เลยถามพี่แม่ค้าว่ามีลองกองมั้ย พี่แม่ค้าบ่นโอดครวญว่าเมื่อวานเอามาไม่เห็นมีคนซื้อเลยไม่ขายวันนี้ พรุ่งนี้จะกินมั้ยล่ะจะได้เอามาให้ เลยรับปากเค้าซะอย่างดิบดีพร้อมเดินออกจากร้านมามือเปล่า

พอถึงวันดันลื้มมมม

ผ่านมาสามสัปดาห์แล้ว ยังไม่กล้าเจ๋อไปร้านพี่เค้า คุณผู้อ่านคิดว่าพี่แม่่ค้าจะลืมขี้หน้าดิชั้นรึยัง?

****************************************************************

ใกล้ๆบ้านมีร้านขายยาอยู่ร้านนึง ขายพวกเวชสำอางราคาถูกน่าคบหาที่สุด เลยอุดหนุนกันมานานหลายปี ซื้อทั้งตระกูลจนพี่เภสัชกรนึกว่าเราเป็นแฟนคลับ 

เคยไปซื้อเจลล้างหน้าที่ร้านเค้าเมื่อนานมาแล้วครั้งนึง ยี่ห้อ Cetaphil แต่เค้ามีขายแค่สูตรธรรมดา เลยบ่นว่าไม่ดี เราชอบสูตรสำหรับผิวมันมากกว่า ปรากฏว่าผ่านไปไม่นานเค้าก็หามาขายให้ ก็อุดหนุนกันไปหนึ่งขวดในราคาย่อมเยาว์

ผ่านมาอีกหนึ่งช่วง เราก็ไปเจออีกยี่ห้อนึง ใช้ดีเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่าครึ่ง เลยเปลี่ยนใจไปใช้ยี่ห้อใหม่ชื่อ Acne Aid ซึ่งมันมีสองสูตร สูตรแดงกับสูตรฟ้า แต่พี่ที่ร้านนี้มีขายสูตรแดงสูตรเดียว 

ดิชั้นก็เอาอีก วันนี้ไปถามเค้าว่ามีสูตรสีฟ้ามั้ย พี่เภสัชกรมองหน้าสามวิ เหมือนระลึกความทรงจำ "สูตรนี้ใช้ไม่ดีเหรอ"
"ดีพี่ แต่มันแสบตา"
"เหรอ ทำไมไม่ใช้เซตาฟิลแล้วล่ะ"

พี่แกเสือกจำได้ แกคงสั่งมาให้เราใช่มั้ย แล้วคนอื่นไม่มีใครใช้เหมือนเรา มันขายไม่ออกใช่มั้ย

ตอบแบบจ๋อยๆ "เซตาฟิลมันแพงอ่ะพี่ อันนี้เท่าไหร่อ่ะ ..." ยื่นตังค์ให้อย่างไวแล้วก้มหน้างุดๆออกจากร้าน สตาร์ทมอไซค์ แว๊นกลับบ้านอย่างไว

ดิชั้นผิดมากไม่คะพ่อแม่พี่น้อง ดิชั้นควรรอนานมั้ยคะก่อนจะกลับไปอุดหนุนร้านเค้า
***************************************************************

แวะมาเขียนสั้นๆเพราะไม่ได้เขียนนาน คิดถึงนะทุกคน  ^__^




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2555    
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 21:49:04 น.
Counter : 875 Pageviews.  

เขียนบล็อกฉลองน้ำท่วมภาคหนึ่ง - เลี้ยงลูกเป็นแว๊น


แบบว่าน้ำท่วมบ้านจึงต้องระเห็จหนีน้องน้ำ(น้องน้ำยักษ์ ไม่น่าเรียกน้อง เรียกปู่ทวดหนังเหนียวอาจจะเข้าท่ากว่า แต่กระแสน้องน้ำมาแรงไม่อยากขวางน้ำเชี่ยว) มาอยู่ตึกกบดานชั่วคราว แต่คงเป็น"ชั่วคราว"ที่ยาวนิดนึง เพราะไม่รู้อีน้องน้ำจะไหลลงทะเลเมื่อไหร่ ไม่เป็นไร เรารักน้ำ ไม่เคยทำร้ายน้ำ ก็ขออนุญาตอยู่กับน้องน้ำให้ได้ ขอให้น้องน้ำมีความสุขกับการเที่ยวเล่นเถลไถลให้มาก แล้วรีบไถลลงทะเลไปโดยไวนะจ๊ะ รักนะ

เมื่อมาอยู่ตึกก็ใช่ว่าจะหนีน้องน้ำพ้น น้องน้ำตามมาอย่างไว จากวันแรกน้ำแห้งผาก จนถึงวันนี้น้องน้ำได้ค่อยๆลามมาท่วมทั่วบริเวณแล้ว และยังขึ้นสูงเรื่อยๆทุกวัน ไม่เป็นไร ยังไงน้องน้ำคงไม่ปีนตึกขึ้นมาหาแบบสไปเดอร์แมน

วันนี้เราไม่ได้มาบ่นเรื่องน้องน้ำ(เหรอ?) เรามาบ่นเรื่องอีน้องมนุษย์ห้องถัดไปสองห้อง ซึ่งเป็นน้องหนูวัยกำลังซนเป็นที่น่าเอ็นดูของคนในครอบครัวอีเด็กเปรตนี้มาก แต่ไม่ใช่สำหรับดิชั้น ขออนุญาตเรียกอีน้องคนนี้อย่างสุภาพว่าเด็กเปรต

เด็กเปรตนี้ไม่รู้ย้ายตามมาจากอีเด็กหลังบ้านข้าพเจ้าหรือไม่ เพราะมีพฤติกรรมใกล้เคียงกันราวกับแฝดนรก เป็นเด็กที่ไม่มีสามารถสะกดคำว่าเกรงใจชาวบ้านได้ นึกจะแหกปากในเวลาหกโมงเช้าก็แหกแปดหลอดขึ้นมา ซักพักร้องเพลงหนูมาลีลั่นตึก เด็กเปรต กูเกลียดมึง

มึงหิวมึงปวดอะไรมึงก็บอกพ่อแม่มึงซี่(เสียงสูง) จะแหกปากทำ...อะไร

ย้อนหลังไปเมื่อสิบปีที่แล้วดิชั้นจำความได้ดี ยุคนั้นเป็นยุคของการคิดนอกกรอบ ซึ่งหลักการของการคิดนอกกรอบไม่มีอะไรมาก คือมึงอย่าคิด/ทำสิ่งที่ชาวบ้านเค้าทำกัน นักวิชาการออกมาต่อสู้กับนักรณรงค์วัฒนธรรม นักวิชาการบอกว่าอยากให้เด็กฉลาดคิดเป็นต้องปล่อยให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง อยากทำอะไรต้องให้มันทำ เหมือนพ่อแม่ฝรั่ง นั่งเม้าท์แตกตามร้านกาแฟ ปล่อยลูกวิ่งพล่าน ไม่ต้องสนใจมัน น่าแปลกเด็กฝรั่งวิ่งพล่านหกล้มไม่ร้องซักแอะ แม่มันตบตูดปัดฝุ่นให้มันวิ่งต่อ เด็กไทยโดยเฉพาะพวกลูกคนมีอันจะกิน หกล้มปุ๊บร้องจ้าหาแม่นม แม่นมต้องรีบมาเป่าปู้ดโอมเพี้ยงหาย

ในขณะที่พ่อแม่ที่ฮิพและคูลก็พยายามจะเลี้ยงลูกตามแบบนักวิชาการ ปู่ย่าตายายที่มาช่วยเลี้ยงลูกก็พยายามเลี้ยงแบบนักอนุรักษ์คือโอ๋ตลอด เด็กมันน่าเอ็นดู อยากได้อะไรก็หามาให้ (ข้างบ้านดิช้านนนนน เลี้ยงอย่างงี้เลยโอ๋แทบเคี้ยวข้าวให้หลานกลืน) สิบปีให้หลัง เราก็จะพบเห็นเด็กที่โตขึ้นมาแบบอีหลักอีเหลื่อ คิดนอกกรอบมั้ย? ไม่ หกล้มแล้วเงียบมั้ย? ไม่

ไม่ได้อะไรซักอย่าง

อ่อ ได้ของแถมมาอย่างนึง ก้าวร้าว ใครพูดไม่ได้สอนไม่ได้กูแว้นซ์ใส่แม่งแบบไม่ต้องมีเหตุผล

ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะตราหน้าหาว่าดิชั้นเกลียดเด็ก ขออนุญาตแก้ตัวเบาๆนิดนึงว่าปล่าวเลย ไม่ได้เกลียดเด็กนะจ๊ะ เด็กอินโนเซนท์ทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ที่น่ารังเกียจคือพ่อแม่มัน สักแต่ปั่มป๊าม ไม่รู้จักเลี้ยงลูกให้ดี

คนรับกรรมก็คือคนที่ต้องอยู่ร่วมสังคมกับไอ้เด็กแวนซ์สันดานเสียอย่างเราๆ ก็ต้องอยู่ต่อไป ดูแลตัวเองต่อไป อยู่กับมันให้ได้ เหมือนน้ำ




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2554 13:18:55 น.
Counter : 431 Pageviews.  

มนุษย์จนๆกับอาหารโปรโมชั่น


ในช่วงเวลาข้าวยากหมากแพง ร้านอาหารทั้งร้านใหญ่เล็ก อาหารไทยหรือเทศ จะฟาสต์ฟู้ดหรือนานฟู้ดก็เอาใจกลุ่มลูกค้าด้วยการหลอกล่อขึ้นค่าอาหารแบบเนียนๆ ข้าวแกงแถวบ้านขึ้นจากถุงละยี่สิบเป็นสามสิบ เนียนตรงไหน ก็ตรงที่เจ๊แกไม่ได้บอก ยื่นเงินให้ไปไม่ได้นับเงินทอน กลับมาบ้านเลยรู้สึกจนแบบเนียนๆ (และงงๆ)
บางร้านเทคนิคขั้นสูงใช้วิธีไม่ขึ้นราคา บอกลูกค้าว่าสงสารขึ้นไม่ลง แต่ไปเนียนเหมือนกัน เนียนลดปริมาณและคุณภาพแทนซะอย่างงั้น เนื้อตุ๋นเคยใช้น่องลายก็กลับกลายเป็นเศษเนื้อ ไก่ย่างขายไม่หมดเก็บไว้ขายพรุ่งนี้ ผู้บริโภคตาดำๆก็ก้มหน้าเคี้ยวข้าวพลางกัดฟันกรอดๆดื่มน้ำตากันไป (แน่นอน คนอีกชนชั้นที่กำลังบริหารบ้านเมืองไม่ได้รู้สึกอะไรไปกับเราด้วย เพราะกำลังเคี้ยวฟัวกราส์เคล้าไวน์ขวดหลักหมื่น)

ล่าสุดเพิ่งหายหวัด มันเขี้ยวอยากกินสเต๊ก อยากบดฟันกรามลงแรงๆบนเนื้อวัวสุกขนาดมีเดียม ข้างนอกตึงข้างในนุ่ม น้ำเนื้อไหลแซกกระแทกลิ้นช่างสุขี แต่กระเป๋าสตางค์ยามใกล้สิ้นเดือนไม่ค่อยจะอำนวยให้จัดหนักเกินสองร้อย เพราะฉะนั้น จัดเลย สเต๊กราคาย่อมเยาที่เราคุ้นเคย (ณจุดนี้ไม่ขอเอ่ยชื่อร้านดีกว่าเดี๋ยวเค้าจะหาว่าดิสเครดิต) ตั้งอยู่บนห้างไม่ต้องนั่งตากแดด
โอ๊ะโอ มีโปรโมชั่น เมนูเนื้อโคขุนของโปรดลดราคาลงมายี่สิบบาท อ่าฮะจัดมาเรยอย่าช้า จำได้ว่าสลัดข้างเนื้อเค้าราดน้ำสลัดสูตรส้มมาให้ ไอ้เรามันชอบสลัดครีมกากๆธรรมดาๆ ขอเปลี่ยนได้ไหม น้องพนักงานทำหน้างงๆ เดินกลับมาถามว่า "พี่จะไม่ราดซอสเห็ดเหรอคะ" -*- อธิบายอีกทีน้องตอบว่า "แต่มันราดน้ำสลัดครีมอยู่แล้วนะคะ"
แน่นอน เนื้อมาเสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดส้มที่กูเกลียด -*-
นอกเรื่องแว่บออกไปเรื่องสลัดได้อย่างไรไม่มีใครทราบ กลับมาที่โปรโมชั่น ใครจะเชื่อว่าราคายี่สิบบาทที่ลดลงมาจากราคาปกตินั้น ได้พรากอะไรไปจากสเต๊กจานนี้บ้าง?
หนึ่ง ปริมาณสลัดที่น้อยลงครึ่งหนึ่ง
สอง คุณภาพผักที่แอบฟกช้ำ ขอบใบดูคล้ำเหมือนไปเอาสลัดโต๊ะข้างๆที่กินเหลือๆมาล้างให้กินใหม่
สาม เฟร้นช์ฟรายซ์ปริมาณเท่าเดิม แต่เกรียมกว่าเดิมสามร้อยห้าสิบเท่า
สี่ แม่งไม่กรอบอีกตะหาก น่าจะมาพร้อมสลัดที่เหลือจากโต๊ะที่แล้ว
ห้า (สำคัญ) เนื้อไม่ใช่เนื้อโคขุน!!! หรือหากเป็นโคขุนจริงก็คงเป็นโคขุนชั้นกาก ตั้งแต่ตระเวณกินเนื้อมาไม่เคยเจอโคขุนเหนียวขนาดนี้และไร้มันแทรกโดยสิ้นเชิง ยี่สิบบาท นอกจากเครื่องเคียงแล้ว ทางร้านได้พรากความซื่อสัตย์ไปอีกด้วย

ตอนเด็กๆไม่รู้เคยร้องเพลงความซื่อสัตย์กันมั้ย
"ความซื่อสัตย์เป็นสมบัติของผู้ดี หากว่าใครไม่มี ชาตินี้เอาดีไม่ได้ มีความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดถมไป คดโกงแล้วใครจะรับไว้ให้ร่วมการงาน"
ดิชั้นเชื่อว่าเพลงนี้ไม่ว่าจะเก่าแก่แค่ไหนก็ยังใช้ได้กับทุกสถานการณ์ของชาติบ้านเมืองอยู่นะ อาจจะยกเว้นกรณีเดียว กรณีที่มีเส้นใหญ่หรือแบ็คอัพดีจริง อันนี้อาจจะคดโกงและอยู่สบายได้ไม่ยาก แต่คนทำงานหาเงินตาดำๆ ถ้าไม่ซื่อสัตย์กับอาชีพเมื่อไหร่จะเจริญ ทำอาหารแต่สกปรก คนทำยังไม่กล้ากินเองเลย ก็เหมือนเอาขยะมาหลอกขาย เมื่อไหร่จะรุ่ง?

ถ้าคุณทำร้านอาหาร ตัวเลือกสู้เศรษฐกิจยามยากคงหนีไม่พ้นคุณจะ "ขึ้นราคา"หรือ"ลดคุณภาพ"
ตั้งแต่หาเงินไว้ควักใช้จ่ายด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเองมา จำได้ว่ามีน้อยครั้งมากที่จะบอยค็อตร้านอาหารที่ขึ้นราคา หากแต่บ่อยครั้งที่เลิกเพราะคุณภาพด้อย และนับครั้งไม่ถ้วนที่ร้านอาหารตัดสินใจทำอาหารห่วยแตกในราคาชั้นสูง
หลายครั้งที่เราผูกใจรักใคร่เป็นขาประจำกับร้านอาหารรสเลิศ ยอมจ่ายแพงแค่ไหนก็ยอม (แต่ถ้าแพงมากก็อาจจะยอมนานๆครั้ง) เป็นเหตุผลว่าทำไมอาหารมื้อละหมื่นละแสนถึงขายได้ขายดีทั้งๆที่มันอาจจะแพงว่ารายได้คนทั้งเดือน

เศรษฐกิจแย่ เห็นใจพ่อค้าแม่ขาย ไข่ไก่ฟองละ 5 บาท ร้านข้าวแกงขายไข่ดาวฟองละ 7 บาท ลูกค้าบ่นแพง บ่นซ้ำๆซากๆหลายๆคน ใจมันพาลอยากจะเขวี้ยงทัพพีใส่กบาลคนบ่น
เป็นไปได้ก็อยากให้เอาใจเค้าใส่ใจเรา ทำใจเย็นๆกันนิดนึง แพงก็ไปทำกินเอง ทุกวันนี้ดิชั้นก็หิ้วข้าวกล่องพอเพียงมาบริโภคที่สำนักงาน ไม่ต้องหงุดหงิดมากกับคุณภาพอาหารดร็อป คุณภาพจิตใจเราก็จะได้สุขสบาย

จะจนแค่ไหนก็อยากให้ใจสู้ ตั้งใจทำมาหากินมันก็จะผ่านไป

ขออย่างเดียว ไม่อยากกินอาหารเหลือจากโต๊ะอื่นน่ะ ขอได้มั้ย

ขอบคุณที่แวะเวียนมาอ่านค่ะ




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2554 9:19:25 น.
Counter : 428 Pageviews.  

สารพัดการกระทำที่ทำให้สัมภาษณ์งานไม่ผ่าน!!!

1. แต่งตัวแร๊งซซซซซซซซซซ์
2. แต่งตัวเชย
3. แต่งตัวโป๊
4. ไม่แต่งตัว
5. พูดเร็ว
6. พูดช้า
7. พูดมาก
8. พูดน้อย
9. เสียงเบา
10. เสียงดัง
11. ไม่หาข้อมูล
12. รู้มาก
13. เขียนเรซูเม่ไว้อย่าง เช่น ภาษาอังกฤษเทพ แต่พอสัมภาษณ์....
13.1 แต่พอเขียนเรซูเม่ไว้แบบถ่อมตัวแม่ง เช่น ภาษาอังกฤษหางอึ่ง ไม่เรียกสัมภาษณ์ซะงั้น
14. เส้นไม่มี
15. จบมหาลัยไร้ชื่อ
16. นามสกุลไม่ดัง
17. ไม่มีแก่นสาร อนาคตไม่รู้จะเป็นยังไงต่อไป
18. ไม่รู้จุดแข็งของตัวเอง
19. ไม่รู้จุดอ่อนของตัวเอง
20. รู้จุดอ่อนของตัวเอง แต่ดันบอกความจริงเค้าไป เช่น "หนูขี้เกียจค่ะ"
21. พูดจาสุนัขไม่รับ เช่น "กู มึง เฮี่ย แสด"
22. พูดจาเพ้อเจ้อ เช่น "หนูนาก็สนใจงานมาร์เก็ตติ้งมาตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดาแล้ว คิดว่าชาติที่แล้วหนูนาคงเคยทำมาก่อน จบปุ๊บก็มาสมัครตำแหน่ง Marketing Managerเลย"
23. มาสาย
24. มาไวแล้วเสือกท้องร้อง
25. ตด
26. ใส่น้ำหอมกลิ่นแรง
27. ไม่อาบน้ำ
28. ไม่โกนหนวดเครา
29. ตอบไม่ตรงคำถาม เช่น "คุณคิดว่าวิชาอะไรที่คุณชอบที่สุด" ตอบ "บ้านอยู่สะพานควาย"
30. เรอ
31. สวยเกิน (งานถึกๆจะกลัวคนสวยทำไม่ไหว เดี๋ยวผิวคล้ำเล็บฉีก)
32. ขี้เหร่
33. ทำไรก็ดีไปหมด แต่เคยแย่งแฟนคนสัมภาษณ์
34. ทำไรก็ดีไปหมดแต่คนสัมภาษณ์เหม็นขี้หน้า




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2553    
Last Update : 4 สิงหาคม 2553 12:53:06 น.
Counter : 607 Pageviews.  

ฝ่าวิกฤตด้วยหลักพุทธ

สวัสดีค่ะ

สิ่งที่ทุกคนชาวไทยรู้กันก็คือ ชาวไทยกว่า 90% นับถือศาสนาพุทธ
สิ่งที่ทุกคนชาวไทยรู้กันก็คือ พุทธศาสนิกชน นับถือศีล 5
สิ่งที่ทุกคนชาวไทยรู้กันก็คือ ศีล 5 ได้แก่ ปา อะ กา มุ สุ (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ละเมิดทางกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุรา -- โดยคร่าวๆ)
แต่สิ่งที่ทุกคนชาวไทยรู้ๆกันนั้น หาได้ปฏิบัติกันไม่

วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองถึงขั้นวิกฤตแล้ว ตั้งแต่เกิดจนโต ไม่คิดว่าในยุคสมัยของเราจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว It's no use crying over a spilled milk. (แปลตรงๆ - ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้เมื่อทำนมหก)

ของที่เสียไปแล้ว การกร่นด่าร่ำไห้ ด่าทอกันไปมา รังแต่จะทำให้บ้านเมืองร้อน ยิ่งคิดถึงสื่งที่เสียไป ผู้สูญเสียเองก็ยิ่งหดหู่ วันนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องคิดช่วยกันเพื่อแก้ปัญหาและเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ต่อไป เพื่อกู้ชาติของเรา

ชาติไทย ไม่ได้เกิดจากรัฐบาลหรือกลุ่มคนกลุ่มใด การสร้างชาติต้องอาศัยประชาชนในชาติทุกคน คำถามคือ แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อสร้างชาติขึ้นมาใหม่

ในความคิดเห็นของดิชั้นล้วนๆ การสร้างอะไรนั้น เริ่มจากการนับหนึ่งสองสาม ปูนดีมีคุณภาพ อิฐแข็งแรง ช่างฝีมือเนี๊ยบ บ้านก็ออกมาสวย เช่นเดียวกัน ถ้าเรารู้หน้าที่ของตัวเองและตั้งใจทำให้ดีที่สุด หน้าที่ลูกก็ดูแลพ่อแม่ นักเรียนก็ตั้งใจเรียน ไม่เกเรออกนอกลู่นอกทาง หน้าที่ตำรวจก็ตรวจตราบ้านเมือง ใครทำผิดก็จับมาลงโทษตามกฎหมาย คุณครูก็สอนหนังสือให้ความรู้ ผู้ให้บริการก็ทำหน้าที่ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ชาติเราก็จะมุ่งหน้าต่อไปได้

หลายวันมาแล้วที่ดิชั้นเข้า facebook แล้วรู้สึกไม่สบายใจ ถึงขั้นจุกอกจุกคอ เพราะเพื่อนๆในนั้นต่างมีความคิดเห็นที่น่าใจหาย บ้างเชียร์ให้ยิงกัน บ้างด่าคนว่าโง่(บางครั้งด่าเป็นสัตว์หลายชนิด) บ้างด่าว่าเลวจัญไร ฯลฯ เมื่อถามว่าทำไมจึงมั่นใจว่าคนเหล่านั้นเลว/โง่/สัตว์นานาชนิด ได้รับคำตอบว่าเพราะได้ติดตามข่าวและรู้ดีว่าพวกมันเลว/โง่/สัตว์นานาชนิด จริง ฟันธง ที่น่าท้อใจที่สุด เพราะคนเหล่านั้นที่รุมด่าคนอีกกล่มว่าโง่ บางคนมีอาชีพเป็นอาจารย์ เป็นผู้ให้ความรู้แต่กลับด่าคนที่(ตนคิดว่า)ไม่รู้ว่า"โง่"เสียเองนั้นใครเล่าจะเป็นผู้ให้ความรู้ได้อีก

ทางพุทธก็เปรียบปัญญาออกเป็นดอกบัวสี่เหล่า เหล่าที่หนึ่งคือผู้ที่สติปัญญาดีมาก เหล่าที่สองคือผู้ที่มีปัญญาดี หากได้รับความรู้ก็จะจเริญ เหล่าที่สามคืออาจขาดโอกาส แต่หากได้รับความรู้ก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้ ส่วนเหล่าที่สี่คือผู้ที่ไม่สามารถเรียนรู้ ยากที่จะประสบความสำเร็จเท่าเหล่าอื่น เหล่านี้เห็นจะเปรียบกับผู้ที่พิการทางสมอง ยากที่จะหายได้ แต่ผู้ที่สมองสมบูรณ์ล้วนเรียนรู้ได้ อยู่ที่มีโอกาสหรือเปล่า เปรียบเป็นบัวเหล่าที่สาม สอง หรือโชคดีมีบุญมากก็หนึ่ง

ในสายตาดิชั้น คนโง่นั้นไม่มีอยู่จริง ที่มีจริงคือ"คนไม่รู้" การที่ไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าโง่ อยากวอนคนไทยใช้ความเมตตาและบอกคนไม่รู้ที ว่าสิ่งที่ท่านรู้นั้นคืออะไร เผื่อว่าคนที่ไม่รู้จะได้มีความรู้

ทุกวันนี้เราแบ่งแยกกันมากพอแล้ว เรามีเหลือง มีแดง มีรัฐบาล มีคนรวย คนจน มีไพร่ ทั้งๆที่นอกสถานการณ์เราก็แบ่งแยกกันมากเหลือเกินแล้ว แบ่งด้วยเชื้อชาติ ศาสนา ฐานะ อาชีพ สีผิว อายุ น้ำหนัก หากยังต้องแบ่งแยกเช่นนี้ จะหาความสามัคคีมาจากไหน อย่างน้อยอย่าเอาเรื่องโง/ไม่โง่มาตัดสินคนไทยด้วยกันอีกเลย

ตั้งแต่มีเหตุการณ์ร้อนในบ้านเมืองเรานั้น ดิชั้นเฝ้าดูเงียบๆมาตลอด พยายามที่จะวางตัวเป็นกลาง ใครจะทำอะไรก็ให้ทำไปตามครรลอง การประท้วงปฏิวัติมีขึ้นมาหลายยุคหลายสมัย มันเป็นกระบวนการทางการเมือง การมานั่งด่าทอ ปรักปรำกันไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์ ช่างน่าเวทนาเมื่อเห็นผู้มีการศึกษาดี เป็นถึงครูบาอาจารย์ กลับมานั่งด่าผู้อื่นว่าโง่ว่าเลว สิ่งที่น่าคิดคือ คนหลายคนพูดว่าตัวเองรู้ ว่าแท้จริงเป็นอย่างไร ทั้งๆที่ไม่ได้มีญาติเป็นคนใน ไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้ยินกับหู มีแต่ฟังตามๆเค้ามา อ่านสิ่งที่เค้าเขียนให้อ่าน เห็นสิ่งที่คนเอามาโชว์ โดยไม่รู้ว่า คนที่เขียนให้อ่านจัดให้ดูเป็นฝ่ายไหน มีเจตนาอย่างไร

ทุกวันนี้เป็นยุคที่ข่าวสารรอบด้าน ทุกอย่างมาไว เรื่องเกิดเช้านี้ สิบนาทีได้อ่านออนไลน์แล้ว Internet มีส่วนในการส่งข่าวสารถึงมือเราอย่างว่องไว แต่อย่าลืมว่าเหรียญมีสองด้าน สิ่งที่มีประโยชน์ก็มักมีโทษเสมอ แสงยิ่งสว่างเงาก็ยิ่งมืด การที่อินเตอร์เน็ตมันกว้าง ผู้ใช้เยอะ ผู้ใช้ที่ดีก็มี แต่ที่เจตนาร้ายก็มี เมื่อจะเลือกรับสาร ต้องใช้วิจารณญาณให้ถี่ถ้วนด้วย ไม่ใช่เฉพาะอินเตอร์เน็ต แต่สารทุกประเภทนั้น ทุกวันนี้เจือสีกันไปหมด หากรับสารที่เจือสีใดสีหนึ่งบ่อยๆ จิตใจก็สามารถโอนเอนไปไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสารแต่ละชิ้นที่ส่งมา เจือสีหรือไม่ บางสารแอบเนียนสีหนึ่ง แต่ถึงตอนจบกลายเป็นอีกสีหนึ่ง เป็นต้น

พุทธศาสนาของเราเองก็มีคำสอนเกี่ยวกับการรับสารที่น่านำไปใช้ ขออนุญาตลอกมาจากลิงก์ข้างล่างดังนี้

วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัยหรือหลักความเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร)


หลักธรรมในพระพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ ที่อาศัยอยู่ในเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล เนื่องจากในสมัยนั้นมีผู้อวดอ้างตนในคุณวิเศษกันมาก เชิดชูแต่ลัทธิของตัว พูดจากระทบกระเทียบดูหมิ่นลัทธิอื่น พร้อมทั้งชักจูงมิให้เชื่อลัทธิอื่น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเกสปุตตนิคมดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้อวดอ้างชาวกาลามะได้ทูลถามด้วยความสงสัยว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ?

พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัยหรือหลักความเชื่อ 10 ประการ เป็นหลักตัดสิน คือ

1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ

ดังนั้น พระสูตรนี้ท่านมิได้ห้ามมิให้เชื่อ แต่ให้เชื่อด้วยมีปัญญาประกอบด้วย มิฉะนั้นความเชื่อต่างๆ จะไม่พ้น "ความงมงาย" และไม่พึงแปลความเลยเถิดไปว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ และให้เชื่อสิ่งอื่นนอกจากนี้ แต่พึงเข้าใจว่า แม้แต่สิ่งเหล่านี้ซึ่งบางอย่างก็เลือกเอามาแล้วว่า.. เป็นสิ่งที่น่าเชื่อที่สุด ท่านก็ยังเตือนไม่ให้ปลงใจเชื่อ ไม่ให้ด่วนเชื่อ ไม่ให้ถือเป็นเครื่องตัดสินเด็ดขาด ยังอาจผิดพลาดได้ ต้องใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้ดีก่อน

.. แล้วสิ่งอื่น คนอื่นเราจะต้องคิดต้องพิจารณา ระมัดระวังให้มากสักเพียงไหน??

ที่มา: //www.lib.ru.ac.th/miscell/kalamasute10.html

สรุปให้ง่ายเข้าก็คือ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรที่ไม่ได้เห็นกับตาได้ยินกับหู แถมบางครั้งเห็นกับตาแล้วแต่ไม่ค่อยชัดก็ยังเชื่อไม่ได้ เก็บๆข้อมูลไว้ก่อนจึงค่อยประมวล แล้วถึงประมวลแล้ว ก็อย่าปักใจเชื่อ ตนอาจจะผิดได้

การรับสารอย่างชาญฉลาดอาจดูเหมือนจะลำบาก แต่อย่างน้อยหากมีสติบอกตัวเองไว้ว่าอย่าเพิ่งเชื่อเสียก่อน เราก็จะสามารถหยุดตัวเองจากการปักใจเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ และสามารถมองเหตุการณ์อย่างเป็นธรรม วินาทีนี้อยากวอนคนไทยให้มีเมตตาจิตให้มาก ช่วยกันคิดและทำสิ่งที่สร้างสรรค์ดีกว่าทำลาย ชาติเราจะได้ดำเนินต่อไป

ขอบคุณค่ะ




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2553 11:13:16 น.
Counter : 395 Pageviews.  

1  2  3  

EmilyWeird
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add EmilyWeird's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.