Body Talk (BL) บทที่ 5
บทที่ 5

โชคชะตาคืออะไรหรือครับ?
จริงหรือครับที่มันแขวนเส้นทางชีวิต ความรัก ของเราไว้กับมัน จะโยกไปทางไหนก็ได้ตามใจ โชคชะตาทำกับเราราวหุ่นเชิดอย่างนั้นจริงๆหรือครับ? ถ้าเช่นนั้นผมก็อยากขอร้องให้โชคชะตา โปรดเมตตาฟังผมสักนิด ฟังในสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้.....


กองผ้าที่เก็บมาจากห้องนอนถูกโยนลงตะกร้ารอซัก ในความเงียบสงัดผมยืนเหม่อมองรอยด่างดวงสีแดงซีดจาง มือก็ยื่นไปหยิบเสื้อคลุมอาบมาห่อหุ้มร่างกายเปลือยเปล่า ผมไม่คิดว่าทั้งเสื้อ กางเกง ผ้าปูเตียง จะใช้ได้อีกแล้วล่ะ พอคิดแบบนั้นผมก็หยิบทั้งหมดในตะกร้าออกมายัดใส่ถุงขยะสีดำ มัดปากถุงแล้วหิ้วมันออกไปทิ้งที่ปล่องทิ้งขยะของอาคาร ผมเปิดฝาปล่อง มองถุงใบนั้นค่อยไหลเลื่อนลงช้าจนลับสายตาจึงกลับห้อง ปิดประตูมองทั่วห้องแล้วเข้าห้องน้ำ ผมต้องอาบน้ำ ถึงเวลาชำระล้างแล้วหลังจากเป็นของสกปรกอยู่นาน ผมเปิดฝักบัวถอดเสื้อคลุม ก้าวเข้าหาสายน้ำอันเย็นเยือก บาดแผลสดยังเจ็บแปลบแต่ไม่มีเลือดแล้ว หยิบขวดโฟมอาบน้ำมาเท แล้วละเลงทั่วตัว ตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดเท้า ขัดถูทุกสัดส่วนอย่างรุนแรงด้วยเรี่ยวแรงตัวเองเท่าที่มีในตอนนี้ เล็บที่ยังไม่ได้ตัดข่วนโดนผิวเนื้อตรงไหนผมไม่สนใจ คว้ายาสีฟันมาบีบบนแปรง แล้วกระทุ้งยัดเข้าปากแล้วสีอย่างไม่ยั้งมือ ผมแค่อยากสะอาด อยากทำให้หมดจด หมดคราบจุมพิตของเขา

หมดคราบสัมผัสของเขา หมดกลิ่นกายของเขา ผมเงยหน้ารับกระแสน้ำให้พร่างพรมลงใบหน้า แล้วก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าสายน้ำจะชะล้างความทรงจำของผมได้ไหมนะ หากทำได้ผมก็อยากเปลี่ยนห้องน้ำด้วย เราร่วมรักกันในนี้หลายต่อครั้ง กระเบื้องที่ผนัง ที่พื้น ล้วนรองรับแผ่นหลังของผม ร่างกายของเราทั้งสองในช่วงเวลาอันความร้อนแรง ผมอุดหูเมื่อแว่วได้ยินเสียงครางสุขสมของตัวเองผสานกับเสียงหอบของเขาอย่างรื่นรมย์ ผมปิดฝักบัว หยิบเสื้อคลุมมาสวมแล้วรีบออกมา กวาดสายตามองทุกมุมของคอนโด ผมคงเปลี่ยนทั้งคอนโดไม่ไหวหรอก ด้วยว่าทุกพื้นที่ที่นี่ล้วนมีแต่กลิ่นอายของทศวรรษ ผมยิ้มกับตัวเอง ใช่แล้วผมเองนี่ล่ะที่ต้องเป็นฝ่ายหนีเสียเอง.....

ผมแต่งตัวเสร็จมือถือก็ดังขึ้น ผมรับโดยไม่ได้มองเบอร์
"พี่คะ รถติดหรือคะ เห็นบอกจะออกมาตั้งนานแล้ว"
"อืม จะรีบเต็มความสามารถนะ ขอโทษด้วยครับ น้องเก๋"
ผมพลิกนาฬิกาข้อมือ ตัวเลขบนหน้าปัดทำให้ต้องรีบ หันไปขว้ากุญแจแล้ววิ่งออกจากห้อง ข้างนอกแสงแดดยามสายทอทอดตามทางเดินจากหน้าต่างของอาคาร ผมที่กำลังวิ่งได้หันออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีสวยเจิดจ้าด้วยแดดอุ่น ผมยกมือบังสายตา ตอนนั้นผมคิดว่ารอยยิ้มของผมกำลังคลี่บานราวดอกไม้ยามต้องตะวันอยู่แน่ๆ

คุณคิดอย่างไรกับโชคชะตาครับ สำหรับผมโชคชะตาของผมผ่านไปแล้ว และคง......ไม่ผ่านกลับมาอีกครั้งแน่นอน
ขณะที่เฝ้ารอให้ไฟจราจรเปลี่ยน ผมเปิดฟังเป็นเพลงที่ผมชอบ ผมเคยบอกคุณทศตอนที่แผ่นเพิ่งวางแผง ผมบอกให้เขารอหน้าร้าน แต่เขากลับดึงผมไว้แล้วเดินเข้าไปซื้อให้ มาถึงก็ยื่นให้แล้วบอกว่า ...เปิดให้ฟังบ่อยๆนะฉันจะได้จำทำนองได้ เปิดตอนที่เราอย่างว่ากันก็ได้... พอนึกถึงตรงผมก็เผลอหัวเราะออกมาเหมือนตอนที่ได้ยินได้ฟังในตอนนั้น ถึงจะรู้สึกกระดากแต่ผมก็พยักหน้ารับปากกับเขา แต่จนถึงบัดนี้มันก็ยังอยู่ในรถ และผมก็ไม่เคยเอาไปเปิดให้เขาฟังตอนเราอย่างว่า ส่วนเขาเองก็ไม่เคยถามไถ่ถึงมัน จริงซินะตอนที่เขาแอบกระซิบน่ะลมหายใจของเขาเจือกลิ่นไวน์ที่ดื่มในมื้อค่ำของเรา เขาอาจพูดไปด้วยความเมาพอสร่างที่พูดไว้ก็แล้วกัน เหมือนกับการกระทำไม่ว่าจะทำอะไรหากมันผ่านไป สำหรับคุณทศคือแล้วกัน เขาจะไม่ถอยหลังกลับอีก แต่ผม...มักจะยืนอยู่ข้างหลังเขาเสมอ ทิศทางที่เขาไม่คิดจะหวนคืน แต่ผมก็ก้าวเดินหน้ารวดเร็วอย่างเขาไม่ไหว ผมเยือกเย็นทอดทิ้งหัวใจสักคนที่ผมรักไม่ลงหากต้องเดินหน้าต่อไป เพราะผมเชื่องช้าน่ารำคาญแบบนี้นี่เล่าถึงไม่มีใครอยากรักผมจริงจังสักคน พี่ชายต่างแม่เพียงคนเดียวของผม ผู้หญิงที่คบด้วยสมัยเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาต่างไม่สามารถหยุดรอที่จะฟัง สิ่งที่หัวใจผมอยากพูดได้สักคน ที่พูดเขาพูดแม้จะต่างวาทะหากมันก็ซ้ำความหมายเดียวกัน

ผมก้มหน้าเม้มปาก ผมลืมมันเสียดีกว่า ไฟเปลี่ยนแล้ว ผมออกรถอย่างเร่งรีบ รถแล่นไปตามถนนที่พอมีที่ว่างให้ผมแซงแทรกร่วมทางไปได้ ผมหักพวงมาลัยปาดซ้าย ขวาเพื่อให้เส้นทาง มีรถบางคันบีบแตรไล่ หรือบางทีมันอาจเป็นคำด่าอยู่ก็ได้ แต่ช่างมันเถอะ ขอโทษผมกำลังรีบ ไม่นานผมก็พารถเข้ามาจอดที่รถทันเวลา น้องเก๋ผู้ช่วยเอาของออกมารออยู่ก่อนแล้ว ผมโดดลงจากรถไปรับเอาของทั้งหมดใส่รถอย่างเบามือ ทั้งหมดนี้เป็นของลูกค้าคนสำคัญของผม ความหวังความรักของหล่อนอยู่ในนี้ทั้งหมด
"พี่รุจน์ เป็นอะไรหรือเปล่าคะหน้าซีดจัง" เก๋ช่วยผมจนเสร็จจึงค่อยถามหล่อนคงสังเกตุเห็นแต่แรกที่ผมลงจากรถแล้ว

"ไม่มีอะไรหรอก พี่ไม่ค่อยสบายน่ะ ถึงมาสายไป"
"แต่ตอนคุยโทรศัพท์พี่ก็ยังดีๆอยู่นี่คะ"
"ไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไรซิจ๊ะ พี่แอ๊บสดใสไปอย่างนั้นล่ะ พอวางหูก็หมดแรงน่ะสิ" ผมไม่อยากพูดถึงเมื่อเช้าอีก มันไม่มีกับผมอีกแล้วนอกจากคำอำลาที่ผมไม่อยากฟัง ไม่อยากรำลึกถึงอีกต่อไป
"พี่ไปล่ะ เดี๋ยวไม่ทัน ฝากร้านด้วยนะ ช่วงสายๆน้องสาวคุณวุฒิอาจจะมาดูงาน" ผมสั่งก่อนขึ้นรถ
"ขับรถดีๆนะคะ เมื่อครู่น่ะ น่ากลัวมากเลย" หล่อนหมายถึงตอนที่ผมขับเข้ามา ผมพยักหน้ายิ้ม แล้วออกรถอย่างระวัง

ขับห่างจากร้านสักระยะ ความเงียบงันก็ครอบครองบรรยากาศในรถสิ้นเชิง ผมรู้สึกต่างแตกอย่างบอกไม่ถูก ที่อยู่ตรงนี้เหมือนไม่ใช่ตัวผม ไม่รู้จักชีวิตประจำวันของผม เป็นใครสักคนที่ไม่รู้จักงานที่ผมทำ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ให้รู้สึกแปลกแตกต่างไปหมด ผมส่ายหน้าแล้วพยายามตั้งใจกับทางข้างหน้า แต่ก็ยังรู้สึกความเบาโหวงเหวงภายใน ผมเริ่มหายใจไม่ออก แต่ก็ยังอดทนที่จะขับรถไปให้ถึงที่หมาย

ผมแสดงนามบัตรพร้อมบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ดูแลอาคาร เขายกหูโทรศัพท์พูดกับปลายสายแล้วหันมาหยิบบัตรเยี่ยมให้ผมแล้วดึงเอาบัตรประชาชนของผมไปคืนนามบัตรให้
"ชั้น 39 ห้องขวาสุดนะครับ" เจ้าหน้าที่พูดกับผมด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
"ขอบคุณครับ" ผมรับนามบัตรกลับมา
"คุณไม่สบายหรือเปล่าครับหน้าซีดจัง จะเป็นลมหรือครับ" เขาก้มมองผมอย่างตั้งใจ
"ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรจริงๆ" ผมยิ้มแล้วรีบผละมาที่ลิฟท์

ขณะรอลิฟท์ยกห่อภาพและช่อดอกไม้สำรวจดูความเรียบร้อยอย่างเอาใจใส่อีกครั้งก่อนจะละสายตาไปมองรอบตัว ที่นี่หรูหรา ผู้คนแต่งตัวดีด้วยแบรนด์เนมตลอดศีรษะจรดปลายเท้า การเข้าออกภายในอาคารเป็นทางการเสียจนผมเกร็ง อาคารธุรกิจแห่งนี้ถือเป็นอาคารที่อยู่อันดับต้นของประเทศเรื่องสถาปัตยกรรม ผมเคยเห็นในหนังสือบ่อยๆ เจ้าของคงรวยระดับชาติเหมือนกันซินะ พวกคนรวยนี่จะมีนิสัยเสียเหมือนกันทุกคนไหมนะ ผมย่นคิ้วเจ็บใจดันคิดถึงคนนิสัยเสียผู้ร่ำรวยใกล้ตัวอีกแล้ว คนแบบนั้นไม่อยู่แล้ว ท่องไว้ผมเตือนตัวเอง วันนี้ผมต้องปลอดโปร่งสดใส และไม่ทำให้คุณพิสราผิดหวัง ต่อให้วันนี้ผมไม่สบายมากกว่านี้ผมก็ต้องเอาความรักของเธอมามอบให้คนรักให้จงได้ ความรักของเธอต้องสดสวยไม่กลับกลายเหมือนผม

ผมเงยหน้ามองตัวเลขที่กำลังกระพริบเปลี่ยนจำนวนมากขึ้นเรื่อยตามจำนวนชั้น สมาธิผมจดจ่ออยู่ที่ชั้น 39 ห้องขวามือสุด...


"ท่านเชิญด้านในค่ะ" ผู้หญิงแต่งตัวเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว ใบหน้าเข้มด้วยเครื่องสำอางเคลือบฉาบไว้หากดูเย็นชาไร้ความรู้สึกราวตัวละครโนห์ หล่อนผายมือเชิญผมให้เดินตามไป ผมเดินตามหล่อนไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมสีแดงสดนุ่มเท้า สองข้างทางประดับด้วยของตกแต่งราคาแพง ขณะที่ผมกำลังจะเดินผ่านห้องเล็กที่อยู่ติดกับห้องที่สาวคนนั้นเดินลับกาย ผมเห็นคุณพิสราอยู่ที่นั่น หล่อนชูนิ้วติดปากเป็นสัญญาณให้เงียบไว้ ผมพยักหน้าอมยิ้มแล้วก้าวตามทิศทางที่สาวสวยคนนั้นหายไป พอพ้นประตูก็เป็นห้องกว้างกระจกล้อมทุกด้าน นอกกระจกคือท้องฟ้า ผมไม่ทันที่จะมองสิ่งใดต่อก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเข้ามาจากด้านหลัง

"ท่านคะ คุณรุจน์จากแกลลอรี่ค่ะ" สาวสวยคนนั้นอยู่ด้านหลังผมตอนไหนกัน ผมสะดุ้งรีบหันกลับไป เห็นหล่อนกำลังยื่นนามบัตรของผมให้คนที่เดินเข้ามาสองคน คนที่เดินนำหน้ามีรูปร่างสูงโปร่งเหมาะกับสูทอาร์มานี่สีดำที่ใส่มาก ใบหน้าก็สะดุดตาด้วยงดงามเทพบุตรในตำนาน เขารับบัตรของผมแล้วมองมา
"ผมเอาของมาส่งครับ" ผมค้อมตัว
"เอ๊ะ เฮ้ย! นี่มันแกลลอลี่ไอ้วุฒินี่ ส่งผิดคนเปล่าวะ" ผู้ชายคนนั้นหัวเราะแล้วหันไปมองด้านหลัง คนที่อยู่ด้านหลัง

"แกต่างหากลูกค้าประจำของมันน่ะ"
ผมเงยหน้าพร้อมกับที่ชายนำหน้าเบี่ยงตัวหลบให้อีกคนเดินเข้ามาในห้อง พอสบตากับเขาผมก็เกือบจะสิ้นสติ ดวงตาของเขาที่ทอดมองมาแม้จะเรียบนิ่งแต่ก็ฉายแววตระหนกเล็กน้อย
"ทศ เราว่าของนายว่ะ" ชายหนุ่มคนแรกยื่นนามบัตรผมให้คุณทศ เขารับมันไว้แล้วเหลือบดวงตานิ่งสงบมาที่ผม

ไม่จริงใช่ไหม คุณโชคชะตา คุณกำลังจะเชิดผมเพื่อความบันเทิงใจของคุณใช่ไหม คุณฟังหรือเปล่าที่ผมบอกกับคุณไปน่ะ ...

ผมก้มอ่านชื่อบนซองจดหมายสีขาวอีกครั้งก็พอจะเดาได้ว่าชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าคือคุณ S เขาเดินเข้ามาหาผมพร้อมรอยยิ้มที่สดใสราวกับจะเปล่งประกาย ดวงตาสีน้ำตาลของเขา หากใครได้สานสบคงเคลิบเคลิ้มหลงไหล แม้จะรู้สึกแบบนั้นก็จริงแต่สายตาของผมกลับเผลอไปที่คุณทศที่เดินเลี่ยงไปยืนกอดอกที่มุมห้อง พอเขาหันมาผมก็รีบหลบตามาที่คุณ S เขาจะทันสังเกตเห็นหรือเปล่านะ ผมเริ่มกังวล

"ตกลงว่าไม่ผิดคนนะ" คุณ S กำลังพลิกห่อภาพวาดอย่างสนใจ นั่นทำให้ผมสบายใจ
"ไม่ผิดหรอกครับ ชื่อซองจดหมายเป็นชื่อคุณครับ" ผมหันกลับมาสนใจคุณ S ยิ่งพิศดูใกล้ๆเขายิ่งงดงามราวกับรูปสลัก คุณพิสราก็งามดั่งเทพธิดา พวกคุณเกิดมาเพื่อกันและกันจริงๆ ความรักของพวกคุณขอให้เลิศล้ำกว่าสิ่งที่สวยงามที่สุดในสามโลก ผมขออวยพรให้จากใจนิรันดรครับ
"อืม ใช่จริงๆ นี่ตกลงวุฒิมันจะให้ภาพเราเป็นของขวัญวันเกิดว่ะ ทศ ให้ฟรีด้วยนะ ภาพของมันราคาหลักแสน หลักล้าน ให้ฟรีจริงหรือวะ ไม่อยากเชื่อ" คุณ S หันไปทางคุณทศ ฝ่ายนั้นแค่ยิ้มชืดๆพร้อมพยักหน้า ล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุด

"หมดธุระก็กลับไปประชุมต่อเถอะ เดี๋ยวมันจะเกินเวลาพัก" คุณทศพ่นควันเขาไม่แม้จะเหลือบหางตามาทางผม ผมหลุบตามองพื้น ที่นี่เป็นที่ของคุณทศที่ที่เขาไม่เคยบอกเล่าให้ผมรู้จัก ไม่เคยพามาเฉียดให้ได้ชมกระทั่งด้านนอกห่างๆด้วยซ้ำ คุณทศรู้จักโลกของผมแทบทุกพื้นที่ แต่ในขณะที่ผมไม่เคยรู้จักโลกของเขาสักกระผีกริ้น ผมเคยถามถึงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับตัวเขาก็มักเปลี่ยนเรื่องหรือไม่ก็ผุดลุกหนีกลับบ้าน ที่แท้เขามันสูงส่งขนาดไม่อาจเสี่ยงกับผมนี่เอง เขาคงกลัวผมจะไปทำให้โลกราคาแพงระดับมหาเศรษฐีของเขาแปดเปื้อนซินะ ผมพยายามกลืนก้อนแข็งไร้มวลสารลงคอยากเย็น กว่าจะทำได้ก็น้ำตาก็ทำท่าจะรื้น ต้องก้มหน้านิ่งหลบไว้อย่างนี้

"อะไรกัน ยังเหลือเวลาตั้งเยอะ เราเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว วันนี้วันเดียวประชุมมาราธอน สองโครงการ ปวดหัวจะแตกอยู่แล้ว นี่ของขวัญวันเกิดของนายหรือไงวะ" เสียงคุณ S ลากยาวแบบเซ็งๆ
"คุณคงเป็นผู้จัดการร้านที่วุฒิพูดให้ผมฟังบ่อยๆ" คำถามของคุณ S ทำให้ผมเงยหน้าขึ้น
"ชื่อ รุจน์ ใช่ไหม" คุณ S ยื่นมือออกมา
"ผม S แล้วโน่นคงรู้จักเขาแล้วไปร้านบ่อยๆ ส่วนผมน่ะตั้งแต่วุฒิเปิดแกลลอรี่ยังหาเวลาไปเยี่ยมร้านของวุฒิไม่ได้สักที เราเลยยังไม่เคยเจอกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ"

"ครับ ผมรุจน์ ครับ" ผมค้อมกายขณะจับมือกับคุณ S ก่อนจะพูดต่อ"เอ่อ แต่นี่ไม่ใช่ของขวัญจากนายของผมหรอกครับ"
"ถ้าที่นี่ไม่มีอะไรให้ฉันทำ ฉันไปรอในห้องประชุมนะ มีเอกสารตั้งหลายแฟ้มยังไม่ดู" คุณทศขยี้บุหรี่ทิ้งกระถางต้นก่อนเดินไปที่ประตู
"ห้ามไปไหนทั้งนั้น" คุณ S กลอกตาทำหน้าเบื่อ คุณทศหยุดเท้าเขาถอนใจ
"ฉันมีแขกไม่เห็นหรือไง ท่าทางกับคำพูดแบบนั้นน่ะเสียมารยาทมากรู้ไหม"
"ก็แค่คนของวุฒิแล้วไงล่ะ สั่งน้ำชา ขนมที่ไว้ให้แขกมาเลี้ยงด้วยซิ" คุณทศมองผมเย็นชา ผมรู้สึกเหมือนโดนเข็มนับพันทิ่มแทงทั่วร่างกาย

"นายเป็นอะไร อารมณ์เสียอะไรกันหนา อย่าเอาความเครียดที่ประชุมมาลงที่นี่นะ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังมีความสุขกับของขวัญของฉัน ให้ฉันได้พักบ้างฉันเหนื่อยตั้งแต่เช้าตรู่ นายจะให้ฉันเครียดจนตายเลยใช่ไหม เอากันให้ตายตอนวันเกิดกันเลยนี่ล่ะ Stay your position OK?" คุณเอสขึ้นเสียง กริยาของเขายังผลให้คุณทศยืนนิ่งก่อนจะถอนใจเฮือกหนักเดินกลับไปที่เดิม คุณเอสพึมพัมบ่น
"ไอ้บ้า ทำตัวเป็นเด็กสามขวบอยู่ได้"
ทั้งสองดูเหมือนจะทำข้อตกลงกันได้ แต่ทว่าผมเหมือนคนที่เพิ่งเกิดเมื่อวาน คุณทศที่อยู่กับผมอยู่ที่ไหน คุณทศคนนี้ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาเหมือนจักรกลที่คุณ S โปรแกรมได้อย่างใจ

"ผมเรียกคุณรุจน์ว่า รุจน์ เฉยๆได้ไหมครับ คุณทำงานกับเพื่อนของผม เราก็ถือว่าเป็นคนกันเองแล้วกัน"
"แล้วแต่ท่านครับ"
"เรียกผมว่า S เหมือนกับที่ทศ วุฒิ เรียกก็ได้" คุณ S ยื่นมือมาจับบ่าผม
"คงไม่เหมาะหรอกครับ อย่างน้อยขอยังใช้คำนำหน้าว่าคุณนะครับ"
"ก็ได้"

"อืม คุณบอกว่านี่ไม่ใช่ของวุฒิแล้วของใครล่ะครับ คงไม่ใช่ไอ้นั่นนะ" คุณ S ยกนิ้วโป้งชี้ไปที่คุณทศ
"ไม่ใช่หรอกครับ คุณมองลายมือดีๆอีกครั้งซิครับ" ผมยิ้มอ่อนๆ คุณ S ทำตามขณะที่เขามองที่ซอง ผมก็แกะห่อภาพออก คุณ S หันหน้ามา ฉับพลันที่ภาพเผยตัว เรียวคิ้วยาวของคุณ S ก็ย่นเข้าหากัน เขายกมือขึ้นจับคางตัวเอง
" Tokyo Sky Tree the love of mine" ผมพูดชื่อของภาพ คุณ S พยักหน้าแรง เขาพูดชื่อของศิลปินชาวญี่ปุ่นตามออกมาด้วยเสียงแหบเครือ ริมฝีปากเขาสั่นเมื่อหันไปมองคุณทศ คุณทศเริ่มเห็นถึงความผิดปกติเขาจ้องเราสองคนอย่างเคลือบแคลง เขาโบกมือไล่พนักงานสาวสวยออกไป แล้วเดินมาหยุดที่ด้านหลังของคุณ S ไม่กี่ก้าว

มือที่ถือจดหมายของคุณ S สั่นเทาเล็กน้อยเขาหลับตาราวกับจะตั้งสติแล้วค่อยๆดึงจดหมายในซองออกมา เวลานั้นเองที่ประตูห้องเปิดออก คุณพิสรายืนอยู่ตรงนั้น ครู่เดียวหล่อนก็ก้าวเดินมายืนต่อหน้าคุณ S หล่อนดึงจดหมายในมือคุณ S มาคลี่ออก ผมลอบอมยิ้มอย่างเป็นสุข ภาพงดงามนี้ซ่อมแซมจิตใจผมได้แม้จะเป็นเพียงขณะจิตสั้นๆ ผมแอบย่องเลี่ยงมายืนที่ประตู ขณะคุณพิสราอ่านจดหมายของตัวเองด้วยเสียงอันเบาค่อยราวกับต้องการให้ได้ยินกันแค่ระหว่างหล่อนกับเขาของหล่อน คุณเอสยิ้มใบหน้าระเรื่อแดงนิดหน่อย เขาก้มหน้า แต่คุณพิสรากลับเงยหน้าขึ้นแตะริมฝีปากรูปกระจับของเขา
"น้องสัญญาว่าจะรักพี่ชายตลอดไปค่ะ" หล่อนกระซิบพร้อมชูแหวนเพชรที่ใส่ไว้ที่นิ้วนาง ผมถอนใจด้วยความปรีดาเผลอมองคุณทศอีกครั้ง ความเฉยชาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เขามีปฏิกริยา ใบหน้าซีดนั้นทั้งงุนงง สับสน สีหน้ามีร่องรอยความเจ็บปวดจนเขาต้องหลับตาลำคอเกร็งจนเส้นเอ็นปูดชัดเจน

"นี่มันอะไรกัน!!" คุณทศพูดรอดไรฟันเบาบางแต่คุณ S สะดุ้งราวกับถูกตวาดใส่ ผมหันไปทางคุณทศแล้วต้องตกใจกับดวงตาแข็งกระด้างและแดงกล่ำของของเขา
"คุณทศ" ผมเรียกชื่อเขาในใจอย่างงุนงง
"นายทำอะไรของนายน่ะ S " คุณทศกัดปากตัวเองแล้วเลี่ยงถอยหนีออกจากห้องไป ผมซึ่งอยู่ที่ข้างประตูก็โดนเขากระแทกไหล่

"หลบไป" เขาหันมาตลาดพร้อมผลักผมให้พ้นทาง ผมเสียหลักล้มลง
"ทศ" คุณเอสเหลียวมาเรียก
"น้องไปรอพี่ชายที่ห้องทำงานนะครับ"
"มีอะไรหรือคะ" คุณพิสราตามเรื่องราวไม่ทัน แต่หล่อนปล่อยมือให้คุณเอสตามคุณทศออกไป

"ว๊าย คุณรุจน์เป็นอะไรหรือเปล่า" หล่อนวิ่งเข้ามาพยุงผมทันทีที่เห็นผมกองกับพื้น
"ไม่เป็นอะไรครับ" ผมรีบลุกขึ้น ตั้งใจจะบอกลาคุณพิสรากลับร้าน ทว่าพอลุกขึ้นขาผมก็วิ่งตามทั้งคู่ออกไป

ผมชะลอฝีเท้าเมื่อก้าวเข้าไปใกล้พวกเขา...

ในห้องนั้นมีเพียงเขา และผมที่อยู่ข้างนอก ที่นั่นเป็นที่ไหนอยุ่ส่วนใดของอาคารผมไม่รู้หรอก อาจทำความเข้าใจได้จากทีท่าอันคุ้นเคยของพวกเขาที่มีภายในห้องนั้น ดูเหมือนว่าคงเป็นที่ส่วนตัวสมบูรณ์แบบ ทุกคนมัวแต่ตกใจเสียงคุณ S ตระหนกท่าทางของคุณทศเลยไม่มีใครสงสัยผมที่ตามพวกเขาออกมา บางคนคิดว่าผมเป็นพนักงานคนหนึ่ง ธุรกิจใหญ่โตออฟฟิศหลายชั้น ทำอย่างไรก็รู้จักกันไม่หมด ผมจึงมายืนอยู่ตรงนี้สถานที่ส่วนตัวของพวกเขา คุณทศกับคุณ s กำลังทุ่มเถียงกันสีหน้าของทั้งคู่ไม่ดีเลย ผมค่อยขยับเข้าไป ห้องนั้นเป็นกระจกใส ผมไม่ได้ยินสิ่งที่พูดกัน คุณ S กับ คุณทศหยุดเถียงกันแต่ยังจ้องหน้ากันและกัน คุณทศดูเหนื่อยล้ากว่าคุณ S อกผึ่งผายของเขากระเพื่อมขึ้นลงด้วยความถี่ aisen..

"ที่นิ้วหล่อนน่ะ นายบอกว่าจะซื้อให้แม่เพื่อขอบคุณที่แม่ทำให้เกิดมา และขอโทษที่ทำให้เจ็บปวดทั้งร่างกายในวันนี้ ฉันคิดว่าน่าจะดีที่เราได้มอบของขวัญให้ท่านร่วมกันในวันเกิดของนาย ทำไมล่ะ ช่วยพูดออกมาให้เข้าใจหน่อยได้ไหม ฉัน ฉัน อยากได้ยินจากปากของนาย" คุณทศยื่นมือทั้งสองออกไปจับบ่าคุณ S ไว้แน่น สายตาของเขาฉายแววร้าวรานและโกรธขึ้ง

"แหวนนั้นไม่ใช่เพื่อแม่ของฉันจริงๆนั่นแหละ ฉันโกหกนาย เพราะนายมีเพื่อนที่ไว้ใจได้ทำงานบริษัทเพชรนั่น หากเป็นนายอย่างไรเขาก็ไม่พูด ในสังคมอย่างพวกเราฉันต้องระวังตัวอย่างมากนายก็รุ้นี่นา เรื่องนี้พ่อแม่ของฉันยังไม่พร้อมสำหรับข่าวจริงจัง แม้ฉันจะมั่นใจ แต่พวกผู้ใหญ่ไม่กล้าเสี่ยงด้วยหรอก พวกเขาต้องการให้ฉันคบหล่อนไปเรื่อยๆก่อน เรื่อยๆคืออะไร ในเมื่อฉันจริงจัง พิสราเป็นอะไรที่ฉันไม่สามารถปล่อยมือได้ หล่อนเป็นทุกอย่างของฉัน..." ไม่ทันคุณ S จะพูดจบ เขาก็เซไปกระแทกกำแพง หลังถูกฝ่ามือของคุณทศฟาดลงใบหน้า เสียงหนักหน่วงนั้นทำเอาผมสะดุ้งไปด้วย

"ไอ้คนโกหก ทำไมนายทำแบบนี้" คุณทศตะโกนใส่หน้าคุณ S
"ฉันจะไม่แก้ตัวอะไรหรอกนะ สิ่งที่ทำไปแล้วก็คือสิ่งทำไปแล้ว นายไม่มีทางเอาสิ่งที่ผ่านไปแล้วกลับมาไม่ได้หรอก นี่คือสิ่งที่ฉันทำ ฉันโกหกนาย ฉันทำไปแล้ว " คุณ S หันมายิ้มพลางคลำใบหน้ากึ่งปากกึ่งแก้ม
"นายช่างทำได้นะ" น้ำเสียงของทศแหบพร่าขาดห้วงจนผมต้องกลั้นใจ
"เออ ใช่ฉันผิด แล้วไง ยกโทษให้กันไม่ได้เลยหรือไง ฉันทำอย่างนั้นก็เพราะต้องการผูกมัดพิสรา ฉันไม่อยากให้หล่อนคิดว่าฉันเรื่อยๆกับหล่อน นายน่าจะเข้าใจนะ"

"......." คุณทศส่ายหน้ายกมือห้ามคุณ S แล้วเดินอย่างหมดแรงไปที่หน้ากระจกกว้าง
"เรา....นอนกันทีกระบี่อาทิตย์" คุณ S ก้มหน้า คุณทศที่หันหลังอยู่ ผมไม่รู้เขารู้สึกอย่างไร ศีรษะเขาพยักหงึกหงักช้าๆ
"ฉันไปรับนายที่สนามบินเอาคำโกหกของนายไปส่งให้"
"ใช่วันนั้นล่ะ ทศ...ฉันชอบร่างกายของพิสรา ชอบที่หล่อนจูบตอบ ชอบที่หล่อนกอดฉันแน่นๆ ชอบที่หล่อนครวญคราง ชอบที่หล่อนตอบสนองลีลารักของฉันอย่างเข้าอกเข้าใจ" คุณ S พิงกำแพงเขาจับตามองคุณทศไม่วางตา ผมไม่เข้าใจที่พวกเขาพูดกันเท่าไหร่นัก เพือนไม่ยินดีที่เพื่อนรักใครสักคนขนาดนี้หรือ ถึงจะโกหกกันไปบ้าง แต่เป็นเพื่อนกันก็น่าจะเข้าใจกันได้ คุณทศคิดอะไรอยู่

"ฉัน...." คุณS เหมือนอยากจะพูดแต่ก็ตัดใจเงียบเสียงไป
"นายอยากจะทำอะไรก็ตามใจเถอะ จะตบฉันต่อ จะต่อยก็ได้" เขาพูดขึ้นเมื่อความเงียบล่วงเลยไปอึดใจ
คุณทศหันมาดวงตาของเขาแห้งแล้ง หากผมมองเห็นไม่ผิดความหมายนับร้อยนับพันที่ฉายออกมาคือเจ็บปวด
"ขอโทษที่ทำนายเจ็บปวดด้วยคำโกหกแบบนั้น แต่ที่ทำให้เราสองคนเจ็บมากกว่าคำหลอกลวงคือความจริงที่ว่านับจากนี้เราสองคนไปต่อไม่ได้อีกแล้ว ฉันพยายามแล้วนะทศ นายก็รู้ใช่ไหม"

คุณทศพยักหน้าแรง
"ฉันควรทำอย่างไรดี" เขาทรุดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้น
คุณ S เดินเข้าหาคุณทศ เขายืนตรงหน้าคุณทศ ศีรษะก้มมองคุณทศด้วยสายตาอ่อนโยน คุณทศเงยหน้าขึ้นมองเขา ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่คุณทศจะอ้าแขนโอบขาทั้งสองของคุณ S ไว้แนบแน่นแล้วซบใบหน้าที่สะโพกของคุณ S คุณ S ใช้มือลูบเส้นผมของทศแผ่วเบา ภาพตรงหน้าทำเอาผมหมดแรงทรุดลงนั่งกับพื้น ใจเต้นจนแทบจะหลุดออกมานอกอก ผมคิดว่าผมควรไปเสียที ผมมีงานต้องทำต่อนี่นา แต่คำพูดของคุณ S ทำให้ความตั้งใจของผมเป็นหมัน

"ฉันอาจจูบ อาจกอดนายอย่างร้อนแรงได้ แต่นั่นมันก็แค่นั้น อารมณ์ความรู้สึกของฉันไม่อาจต่อไปถึงการหลับนอนร่วมรัก ฉันไม่อาจจินตนาการถึงมันร่วมกับนาย ฉันเสียใจ"
คุณทศลุกขึ้นเผชิญหน้ากับคุณ S ริมฝีปากเขาสั่น ดวงตารื้นน้ำใส

"ฉันเสียใจเอาผู้หญิงที่คบกันเพียงแค่สองเดือนมาทิ่มแทงใจเพื่อนด้วยคำโกหก แต่ฉันก็รักเรือนร่างน่ารักนั้น รักยามเช้าที่ตื่นขึ้นมาสบตากันที่กระบี่จนยากจะลืมเลือน สิ่งนั้นทำให้ฉันทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ปั้นคำหลอกลวงเพื่อนที่ดีที่สุด มันไม่น่าอภัยแต่ฉันก็อยากให้นายอวยพรให้เราสองคนนะ" คุณ S ยกสองมือประคองใบหน้าของคุณทศที่กระอักสะอื้นออกมา "ฉันรอนายเสมอมา ฉันทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากรอ รอ แล้วรอจนกว่านายจะยอมรับฉัน แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าเราควรรู้สึกต่อไปอย่างไร" คุณทศก้มหน้าแรงสะอื้นทำให้ไหล่ผึ่งผายของเขา ไหล่ที่ผมอิงไออุ่นตลอดมา สะท้านสะเทือน ผมกัดปากตัวเอง ขอบตาเริ่มปวดและร้อนราวแผลอักเสบ ผมต้องไปจากที่ตรงนี้ผมคิดอย่างนั้นทว่าขากลับไม่ขยับ

"ขอโทษนะ ทั้งที่ฉันคิดว่าสักวันเราสองคนจะต้องไปต่อด้วยกันได้ ร่างกายของเราสองคนจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันในคืนแรกของที่เราเริ่มต้นสัมพันธ์ทางกาย" คุณ S จรดจูบคุณทศที่ใบหูพร้อมกระซิบ คุณทศถอยไปติดกระจกโดยมีคุณS ตามไปด้วย
"เราสองคนจะไม่เปลี่ยนแปลงใช่ไหม ฉันยังเป็นเพื่อนแท้ของนายและนายก็เหมือนกัน" คุณ S กอดคุณทศแนบแน่น

"เลือดเย็นจังนะ ทั้งที่ฉันรักนายเหลือเกิน และฉันคงจะเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกไม่ไหว แต่นายกลับมาขอให้ทำในสิ่งอาจทำให้เราแหลกเหลวมากกว่าที่เป็นอยู่"คุณทศแค่นหัวเราะ สองแขนทั้งห้อยข้างลำตัวอย่างหมดเรี่ยวแรง
"แต่ฉันก็ไม่สามารถเลิกรักนายได้แม้สักวินาที" คุณทศค่อยๆยกแขนขึ้นโอบรัดคุณ S คำพูดรวดร้าวคำนั้นทิ่มแทงผมถึงกระดูก คำพูดที่ว่านี้ทำให้ผมไม่สามารถกลั้นได้อีกแล้วน้ำตาที่พร่างพรูนี้ สองมือยกขึ้นปิดปากเก็บกั้นเสียงสะอื้น ไม่เหลือแล้วความสงสัย ไม่มีอีกต่อไปคำถามที่ว่าทำไมเขาถึงไร้หัวใจ ไม่ต้องการคำพูดใดที่มากไปกว่านี้ ความรักที่มีให้คนอื่น ร่างกายที่เจ็บช้ำเอยจงอย่าคร่ำครวญร่ำไห้ ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ผมซบใบหน้าเปียกชื้นกับฝ่ามือ หรือที่จริงผมไม่เคยมีอะไรมาตั้งแต่แรก
ผมซบหน้าร้องไห้นานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกก็ตอนที่ถูกกระชากอย่างแรงให้ลุกขึ้นตามแรงฉุด คุณทศนั่นเองเขากำข้อมือผมแน่น จนผมรู้สึกเจ็บปลาบ
"นี่นายเข้ามาที่นี่ได้ยังไง!!!ใครอนุญาตน่ะ" เขาพูดห้วนดวงตาวาวด้วยโทสะ คุณ S รีบก้าวตามเขาออกมา
"ผมตามคุณสองคนออกมา" ผมสารภาพตามตรง
"ทศ เขาก็แค่เป็นห่วงที่เราออกมาแบบนี้"

คุณทศหันไปมองคุณ S แล้วหันกลับมามองผมก่อนพยักหน้ายิ้มเยาะ
"นี่ตกลงนายรู้กันทั้งหมดนี่เลยรวมถึงคุณพิสราอะไรนั่นด้วยใช่ไหม" คุณทศบิดข้อมือผมจนผมต้องร้องเตือนให้เขารู้
"อย่ามาสำออยนะ เงียบเดี๋ยวนี้"
"ผมเจ็บจริงนะครับ"
"ทศหยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่มีใครรู้กับใครหรอก รุจน์ก็แค่มาส่งของตามคำสั่งลูกค้าเขาจะรู้ได้ไงว่าพิสราต้องการให้ทำอะไร"

คุณทศหันกลับมาถามผม
"จริงหรือครับ?" เขาพูดเน้นเสียง ผมมองหน้าเขาอย่างน้อยใจ นี่เขาไม่ไว้ใจผมด้วยหรือ
"ครับ"ผมหลบตาพยักหน้า เขาจึงเหวี่ยงข้อมือผมคืน
"ผมขอตัวนะครับ" ผมโค้งกายแล้วรีบถอยออกมา คุณทศมองผมไม่วางตา สายตาเฉยชาของเขาทิ่มแทงผมเหลือเกิน ตลอดทางที่ไปหน้าลิฟท์ สองคนนั่นเดินตามหลังมาตลอด ผมเร่งฝีเท้าจนถึงจึงยื่นมือไปกดลิฟท์ คุณทศกับคุณ S เดินผ่านหลังผมไป ผมลอบถอนใจ หายกลัวทว่าความเจ็บในอกไม่หายไปด้วย เสียงสัญญานบอกถึงการจอดของลิฟท์ตามด้วยประตูที่เลื่อนเปิด ผมสูดหายใจจะยื่นเท้าก้าวเข้าไป แต่ร่างกายก็ถลาพรวดเข้าชิดด้านในสุดของลิฟท์ประตูลิฟท์ปิดพร้อมกับมือทั้งสองข้างของผม ถูกจับกดติดผนังทั้งสองข้าง ผมพริบตามองเต็มตา
"นายร้องไห้ด้วยเหรอ ทำไมล่ะ เราเกลียดกันไม่ใช่เหรอ จริงๆนายน่าจะหัวเราะให้ดังๆไปเลยซิ?" คุณทศยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเขาหมิ่นเหม่จะแตะริมฝีปากของผม ผมพยายามดึงมือออกจากอุ้งมือของเขา
"คุณร้องไห้เพราะคุณ S ไม่ได้รักคุณ ใช่น่าสมเพชสิ้นดี" ผมเชิดหน้าใส่

"ฉันร้องไห้เพราะรักไม่น่าสมเพชหรอก แต่นายร้องไห้ให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายอีกแล้วนี่ซิ น่าทุเรศกว่า"
"นี่คุณตามมาเหน็บผมทำไมกันครับ"
"นิสัยเสียนะเรา แอบดูความลับคนอื่นเขาน่ะ" คุณทศปล่อยข้อมือผมแต่ไล้มือลงมาที่ลำคอ
"ที่ตามมาไม่ได้พิศวาสอะไรนายหรอกนะ แค่อยากทำให้แน่ใจว่านายจะไม่ไปพูดกับคนอื่นต่อแค่นั้น" มือที่ลูบไล้เปลี่ยนเป็นบีบแน่นที่ลำคอผม

"ไม่งั้นฉันไม่รู้นะว่าจะทำอะไรที่อำมหิตกับคนที่ได้ชื่อวัวเคยค้าม้าเคยขี่กันมาก่อนได้ลงคอ"
แรงบีบของเขาทำผมอึดอัดขึ้นเรื่อยๆผมพยักหน้า เขาจึงปล่อยมือผมไอโครกออกมา คุณทศกดลิฟท์เปิดที่ชั้นเท่าไหร่ผมไม่เห็น เขายิ้มเหยียดที่มุมปากก่อนออกไป ผมหอบหายใจแรงเผลอกัดปากตัวเองจนได้กลิ่นเลือดในปาก จากนี้ไปผมเลือกแล้วที่เกลียดเขาเหมือนอย่างที่เขาเกลียดผม

และก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดลงผมรีบกดเปิดประตู เมื่อประตูเปิดออกผมก้าวพรวดออกไปด้วยความรู้สึกไม่ยอมที่รุนแรง ด้านนอกเป็นแลมป์จอดรถของตึก แผ่นหลังกว้างของเขาไม่ห่างจากที่ผมยืน คุณทศกำลังโยนกุญแจในมือขณะเดินตรงไปที่รถของเขา ผมก้าวเท้าเร็วตามเขาไป พอถึงตัวก็จับแขนของเขากระชากให้หันกลับมา
"เพื่อคุณ S คุณถึงกับจะฆ่าผมเชียวหรือ ก็เอาซิฆ่าผมตรงนี้เลย"ผมพูดด้วยเสียงต่ำ ความรุ้สึกว่างเปล่าของผมส่งผ่านทางสายตาที่กำลังจ้องท้าทาย
คุณทศยิ้มพร้อมถอนใจ เขาแกะแขนจากมือผมเชื่องช้า ผมฝืนไม่ยอมปล่อย

"ผมไม่เข้าใจ ผมที่ผ่านมาผมไปทำอะไรให้ถึงทำกับผมต่ำทรามแบบนี้ ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าคุณเกลียดเพราะอะไร ช่วยบอกหน่อยได้ไหม แล้วผมจะเลิกคาใจ จะเลิกสับสน จะเลิกเจ็บปวด แล้วผมจะไป ผมไม่ใช่หมาให้คุณกระดิกนิ้วเรียกเวลาที่อยากเล่น เวลาไม่ชอบใจก็เตะก็กระทืบ อย่าอยู่อย่างนี้กับผม มันทรมานจริงๆ " ริมฝีปากผมสั่นจนระงับไม่ได้ ความกลั่นกล้าที่จะพูดต่อหดหาย ตอนนี้ผมใกล้หมดสภาพ
"จำได้ไหมคุณมาหาผม บังคับทำกับผม สองปีคุณให้ผมอยู่กับสิ่งที่คุณทำ ผมไม่เคยมีทางเลือกเวลาที่คุณต้องการ ผมไม่มีทางไปเวลาที่ถูกทอดทิ้งให้รอ และหากผมไม่ได้ฟั่นเฟือนไปเพราะการกระทำของคุณ เท่าที่จำได้ตลอดเวลาที่ผ่านผมไม่เคยคิดหรือทำชั่วช้ากับคุณ สิ่งเดียวที่ผมพลาดต่อคำพูดของคุณคือ..." ผมหายใจขัด ในอกตื้อตันจนจุก ผมส่ายหน้าแต่มือของผมยังไม่ยอมปล่อยแขนของเขา คุณทศมองผมอย่างเรียบเฉยทั้งสีหน้าและแววตา เขาเลิกความพยายามที่จะเป็นอิสระจากผม

"ผมดันไปรั...." คำพูดของผมลอยคว้างในอากาศเมื่อมือถูกปัดตอนเผลอ คุณทศรวบผมเข้าไปจูบหนัก ทันทีที่ตั้งสติได้ผมรีบปัดป้อง ผลักเขาสุดกำลัง ผมตบต่อยเขาอย่างเหลืออด ส่วนเขาไล่คว้ามือผม แต่ผมไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว ผมยังรัวหมัดใส่อกเขาไม่ยั้งมือ
"คุณมันบ้า เกลียดที่สุดเลย เกลียด เกลียด ได้ยินไหมฮะ คุณรักคนอื่นแล้วคุณให้ผมเป็นอะไร คุณบอกเขาหรือเปล่าว่าเรานอนด้วยกัน ผมเป็นคู่ขา เป็นโสเภณีราคาถูกข้างตัวคุณ ให้เขาเสียใจแทบตายที่โกหกคุณ แล้วคุณล่ะดีกว่าเขาตรงไหน คุณก็ปิดบังเขา เลวสิ้นดีเลย " ผมหอบจนพูดไม่ต่อเนื่องด้วยเริ่มเหนื่อยที่ต้องดิ้นตะกุยตะกายให้หลุดจากอ้อมแขนของเขา คุณทศทำตัวเหมือนหลุมโคลนที่เอาแต่ตั้งหน้าดูดผมให้จมลงในอ้อมกอดของเขา เขาลากผมที่ดิ้นพล่านเหมือนคนบ้าไปที่รถ กดรีโมทเปิดแล้วดึงประตูด้านข้างคนขับโยนผมลงไปนั่ง แล้วปิดประตูแล้วรีบเดินไปที่ด้านคนขับปิดประตูแล้วกดล๊อค

"เปิดประตูนะ" เขย่าประตู
"ก็อยากตายไม่ใช่หรือ จะพาไปฆ่าอยู่นี่ไง บ้าดีเดือดดีนัก"คุณทศยื่นมือมาเปิดคอนโซลตรงหน้าผม เจ้าบาเร็ตต้า อีลิท ด้ามทองอวดตัวเขย่าประสาทผมจนผงะ
"ไปตายในที่ที่ไม่มีใครรู้ไง พูดพล่ามจนไม่น่าไว้ใจเลย"
"....."ผมตัวชาจับจ้องยมฑูตสีทองที่สงบนิ่งอย่างสง่างามตรงหน้าด้วยอกที่วาบเย็นลงเรื่อยๆ
"ไงล่ะ ไม่พูดต่อล่ะ พูดให้พอใจเลย อยากพูดอะไรก็ว่ามา ฉันจะฟังอย่างไม่คิดค้าน แต่ถ้าจบแล้วขอลั่นไกนัดเดียว" คุณทศปิดคอนโซลเสียงดัง ผมสะดุ้งเฮือก เขากลั้นหัวเราะไม่ไหวจนระเบิดก๊ากออกมา

"ท่ากร่างๆเมื่อครู่ล่ะ หายเกลี้ยงเลย มาหุบปากตอนนี้ก็ไม่มีความหมายแล้วนะ ฉันตัดสินใจไปแล้ว" คุณทศหยิบมือถือที่สั่นดังครืด ออกมากดรับ
"มีอะไร แล้วคุณ S เข้าห้องประชุมหรือยัง อืม เหลือฉันคนเดียว ได้จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ" คุณทศหย่อนมือถือลงในกระเป๋าสูท เขาก้มลงไปหยิบบางสิ่งใต้เบาะนั่ง ผมได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งไม่ถึงวินาที ที่ข้อมือก็รู้สึกถึงความเย็นเยียบ และเสียงกริ๊ก ผมชูมือข้างที่รู้สึกขึ้นมอง ที่ข้อมือมีกุญมือสวมอยู่ และมันกำลังโดนดึงเพื่อเอาอีกข้างไปสับไว้กับพวงมาลัย
"ฉันกลับมาจัดการนายแน่ แต่ตอนนี้ขอไปประชุมต่อให้เสร็จก่อน รออยู่ในนี้ล่ะ อ้อชั้นนี้ทั้งชั้นมีรถของฉันเพียงคันเดียว ฉะนั้นร้องให้คอแตกก็คงไม่มีใครได้ยินหรอก ถึงยามจะได้ยินก็โทรขึ้นไปถามฉันอยู่ดี ว่านายมาทำอะไรในรถฉัน" พูดจบคุณทศกดกระจกไฟฟ้าเลื่อนลงเล็กน้อยแล้วปิดประตูกดรีโมท เขาไม่สนใจหันกลับมาตามเสียงเรียกของผม
"ปล่อยนะ คุณทศ อย่าทำอย่างนี้กับผม" ผมตะโกนบอกเขา แต่แผ่นหลังยืดตรงนั้นก็เดินไปอย่างไม่ใยดี ผมถอนใจทิ้งตัวบนเบาะ พยายามใช้มือข้างที่เหลือควานหยิบมือถือในกระเป๋าเสื้อนอกซึ่งมันก็ยากเต็มที ผมทุบประตูรถ พอหันไปมองคอนโซลสมองก็หดเล็กลงอย่างช่วยไม่ได้ ....หรือผมกำลังจะตายแล้วจริงๆด้วยน้ำมือของคนที่ผมรักปานจะขาดใจ นี่ผมทำอะไรลงไป ตอนนี้ผมควรอยู่บนถนน อยู่ในรถฟังเพลง คิดถึงเขา แล้วร้องไห้ออกมา แบบนั้นไม่ใช่หรือ


ผมยกเข่าขึ้นชันกอดด้วยมือข้างที่เป็นอิสระ หากต้องตายจริงๆก็อยากคุยกับพี่ชายของผมก่อน เราไม่ค่อยได้เจอกัน ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ตั้งแต่เป็นเด็ก พวกเราต่างมีโลกเป็นของตัวเอง เขาเป็นคนขรึมและมองยาก แต่ผมก็ชอบอยู่ใกล้ๆเขา โดยที่ไม่ต้องพูดจา แค่นั่งใกล้กันผมก็รู้สึกอบอุ่น อาจเพราะเราคือสายเลือดเดียวกันก็ได้ แม้ไม่เต็มร้อยแต่ก็เรียกได้ว่าคนละครึ่ง ผมจะบอกเขาว่า ขอโทษที่เป็นคนไม่ได้ความเช่นนี้ เสียดายจริงๆที่ยังไม่ได้บอกว่าพี่สำคัญต่อผมแค่ไหน ผมซบศีรษะกับเข่าพลางคิดกับตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย นี่เราทำช่วงเวลาที่น่าจะมีโอกาสแก้ตัวทั้งหมดหายไปเพียงพริบตา ที่พลาดไปก็คือยังพลาดเหมือนเดิมเราถึงนำพาตัวเองมาถึงจุดสิ้นทางตรงนี้


ขณะที่ผมกำลังโหยหาโอกาสแก้ตัวอีกครั้งเพียงเดียวดายในรถหรูของคุณทศ ผมไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าทางเขาเป็นอย่างไร หากสายตาผมติดตามเขาไปคงจะรู้ว่าเขากำลังเดินเข้าห้องประชุม ทุกคนในห้องต่างหันมาทางเขา คุณทศพูดว่าขอโทษที่ทำให้เสียเวลาและเดินตรงไปที่นั่งตัวเอง คุณ S ที่นั่งหัวโต๊ะมองอย่างห่วงใยด้วยว่าความรุ้สึกผิดยังไม่คลายปมไปจากใจ หากแต่คุณทศเลี่ยงหลบไปหยิบเอกสารที่เลขา หล่อนออกอาการงงที่ตรงที่นั่งของเขาหล่อนก็จัดวางไว้ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว คุณทศเดินมาหยุดที่เก้าอี้เลขาของเขาก็วิ่งมาเลื่อนเก้าอี้ให้เขานั่ง คุณ S ถอนสายตาจากคุณทศไปที่เจ้าของโครงการเขาเริ่มนำเสนองานด้วยโอเวอร์เฮด เลขาที่ประชุมดับไฟ คุณทศขยับโน้มตัวมาเท้าศอกกับโต๊ะ เขาหยิบปากกาหมึกซึมขึ้นมาเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมในรายงานตรงหน้า คุณ S ยิ้มบางเบา จะอย่างไรคุณทศก็คือคุณทศเรื่องส่วนตัวไม่มีวันทำให้เขาเสียงาน

การนำเสนอโครงการผ่านไปได้สักระยะ คุณทศก็หันมาทางคุณ S เขาชะโงกหน้าไปกระซิบกับคุณ S ในความมืดรอยยิ้มของคุณทศชืดชา ทั้งดวงตานั้นนิ่งสงบ คุณ S สบตาเขาด้วยความอึ้งงัน แม้จะเห็นอาการของคุณ S คุณทศก็ไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆเขาหันไปสนใจเนื้อหาของโครงการต่อ คำกระซิบของทศที่ทำให้คุณ S รู้สึกแปลกประหลาด คำพูดที่ราวกับลอยวนอยู่ในบรรยากาศของที่ประชุมเพื่อหลอนหลอก
"นับต่อจากนี้ไปฉันก็สามารถปล่อยใจให้รักคนอื่นได้มากกว่านายได้แล้วซินะ"

นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ที่นั่น และผมเองก็ได้รับรู้มาหลังจากนั้น....
"พร้อมจะตายหรือยังล่ะ" คุณทศเปิดประตูรถก้าวเข้ามานั่น เขาไขกุญแจมือปล่อยผมก่อนจะสตาร์ทเครื่อง มือของผมตกข้างตัวเมื่อหลุดจากกุญแจ ผมยังคงนั่งชันเข่าใบหน้าเมินออกไปนอกหน้าต่าง
"ทำไมเราไม่ตายด้วยกันเสียเลยล่ะ เป็นความคิดนี้เข้าท่ากว่าว่าไหม?" คุณทศเหยียบคันเร่งเตรียมปล่อยให้รถพุ่งออกไป ผมหย่อนขาลงพื้นรถ แล้วหยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาดเงียบงัน รถพุ่งออกไปข้างหน้า แม้ทางลงจะวนเวียนราวเขาวงกต แต่คุณทศก็เหยียบเบรคน้อยมาก เขาแทบไม่แตะมันเลย ผมหลับตาไม่กล้ามองทางข้างหน้า เมื่อรู้สึกถึงทางราบแล้วนั่นแหละผมถึงกล้าลืมตามอง แม้จะเป็นบนถนนในเมืองแต่คุณทศก็พารถแล่นชิงทางกับรถคันอื่นได้อย่างน่าหวาดเสียวจนออกถนนหลวงสู่ต่างจังหวัด เขาเพิ่มความเร็วมากขึ้น เขาหันมาสบตากับผมเหมือนจะถามว่าพร้อมหรือยัง ผมกัดปากแน่นขณะสบตากลับไป รถของเราเร็วขึ้นเรื่อยๆ คุณทศเหยียบคันเร่งจนแทบจะติดพื้น ช่องทางรถสวนมีรถพ่วงกำลังจะผ่านมา

"ความแรงขนาดนี้เราพุ่งข้ามเกาะไปหารถพ่วงคันนั้นได้เลยนะ" เขาเอารถเข้าเลียบทางขวา ผมรู้สึกตื่นกลัวและเริ่มสั่นแต่ยังคงเก็บกักมันเอาไว้ ผมคิดถึงพ่อแม่ที่เสียไปเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ผมกำลังจะไปพบกับเขา ก็ดีเหมือนกันจบทุกอย่างซะ ชีวิต หัวใจ ร่างกายที่เจ็บปวดจบสิ้นเสียที
"ไม่กลัวหรือ" คุณทศยิ้มเบาบาง
"มันเป็นสิ่งที่คุณตัดสินใจสำหรับเรื่องของเราแล้วนี่ครับ " ผมมองทางข้างหน้า หัวใจเศร้าส้อยค่อยๆกล่าวลากับร่างกายและโลกนี้ สำหรับคนๆนี้เขาไม่เคยปล่อยให้ผมเป็นตัวของตัวเองแม้สักครั้งในชีวิต กระทั่งความตายเขาก็ยังเลือกให้
"ขอบคุณมากนะฮะ"
"ว่าไงนะ"
"ไม่มีอะไรครับ" ผมจ้องด้านหน้ารถที่เบี่ยงเข้าหาเกาะกลางเรื่อยๆ ก่อนจะหลับตาลงพร้อมถอนใจ พี่ฮะผมจะหาพ่อกับแม่แล้วนะครับ
ผมรู้สึกว่าท้ายรถปัดแรง มันเหวี่ยงร่างกายของผมไปกระแทกประตู เข็มขัดนิรภัยรั้งกลับมากระแทกเบาะด้านหลัง ไม่นานการเคลื่อนของรถก็ช้าลงจนสนิทนิ่ง เสียงรถราที่ผ่านไปมาด้านนอกแว่วเข้ามาให้ได้ยินภายในรถที่เงียบสงัดได้ยินแค่ลมหายใจที่ถี่เร็ว ผมค่อยๆลืมตาก็พบว่าคุณทศเอาเข้าข้างทางแล้ว เขาซบหน้ากับพวงมาลัย
"คุณทศ" ผมเรียกเขาเบาๆ คุณทศเงยหน้ามองผมก่อนจะรนรานแกะเข็มขัดนิรภัยตัวเอง โน้มตัวโผเข้ามาจูบประกบปากผมอย่างแรง เขาพร่ำพูดขณะจูบ
"ไปบ้านตากอากาศด้วยกันเถอะ"

บ้านพักตากอากาศของคุณทศ ผมมาไม่ค่อยบ่อยและส่วนใหญ่จะมาตอนค่ำหรือดึกและกลับออกไปตอนใกล้รุ่ง ผมจึงรู้จักแค่ประตูใหญ่หน้าบ้าน ทางเดินขึ้นชั้นบน ทางเดินไปสู่ห้องนอน และห้องนอน....และเตียงนอนที่เราทิ้งตัวลงกอดก่าย ผมรู้จักแค่นี้ รายละเอียดบริเวณอื่นๆของบ้านผมไม่รู้จักหรอก วันนี้เป็นวันแรกที่ผมเข้ามา ณ ที่นี้ในเวลาที่เรียกได้ว่ามีแสงสว่างเต็มที่ ตอนนี้บ่ายแก่จัด แดดร้อนจนเราสองคนต้องถอดสูทตัวนอก ปลดเนคไท มาถือ เสื้อตัวในของเราต่างชื้นด้วยเหงื่อที่ผุดผายไม่หยุด ผมเงยหน้ามองตัวบ้านไม้ 2 ชั้นสไตล์ญี่ปุ่น ตัวบ้านอยู่ท่ามกลางสวนหย่อม ต้นไม้ร่มรื่นได้ถูกปลูกอย่างไม่หนาแน่นและไม่เบาบาง ไม้ใหญ่ถูกจัดวางในตำแหน่งที่สวยงามร่วมกับไม้ประดับอื่นๆและดอกไม้ที่กำลังสะพรั่งบานหลากสีสู้กับแดด ทางเดินมาสู่ตัวบ้านเป็นซุ้มดอกกุหลาบพันธ์เลื้อยสีขาว ดอกที่เบ่งบานหอมกำจายทั่วบริเวณ นี่คือภาพที่ผมไม่เคยได้เห็น สิ่งที่ผมสัมผัสเสมอเมื่อมาที่นี่คือความมืด กลิ่นดอกไม้หอมหวานหากแต่ไม่เห็นตัวตน ทางเดินที่ปูด้วยหินทราย ประตูกระจกบานใหญ่ ภายในบ้านที่ไร้แสงสว่าง มือที่ถูกจูงนำทางไปเรื่อยจนถึงห้องนอน และการร่วมรักที่รีบร้อนให้จบๆไปก่อนจะรุ่งสาง

"เข้ามาซิ" คุณทศเปิดประตูบ้านแล้วเรียกผม ผมเดินเข้าไป ภายในบ้านเย็นสบายกว่าข้างนอกด้วยเครื่องปรับอากาศ รอบตัวผมเป็นวิวใหม่เหมือนกัน บ้านที่ตกแต่งแบบเรียบง่าย เครื่องเรือนทุกชิ้นคงนำเข้าจากประเทศต้นแบบ ผมเดินมองเพลินตาและพลันรู้สึกครู่เล็กๆว่ากำลังเป็นแขกของชาวอาทิตย์อุทัย ผมวางเสื้อนอกกับเนคไทไว้บนโซฟารวมกับของคุณทศ แต่เขาหายไปไหนผมไม่ทันได้สังเกต ผมลองเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบรับ เลื่อนประตูระเบียงก้าวออกมาแล้วปิด ข้างนอกนี้ไม่มีคุณทศหากแต่สวนตรงหน้าผมดาษดื่นไปด้วยต้นกุหลาบหลากสายพันธ์ สีสันของมันมากมาย ช่างงดงามราวกับภาพเขียนผมโดนดึงดูดอย่างจัง เผลอก้าวเท้าเปล่าลงไปที่สวน ดอกกุหลาบทำให้ผมเพลินกับการชม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพเป็นครั้งคราว เท้าเปล่าเหยียบหญ้านุ่มดั่งพรมชั้นดี

"ที่นี่สวยจัง" ผมรำพึงกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม พลางช้อนก้านดอกกุหลาบขึ้นดมกลีบสวยของมัน ไม่มากก็น้อยธรรมชาติปลอบโยนใจคนเสมอ ผมหลงลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปชั่วคราวแล้วหันมาหรรษากับความงามของดอกกุหลาบที่รายล้อมผมไว้ทั้งสวน ผมเดินเรื่อยจนไปสุดที่ปลายสวนตรงนั้นมีศาลาหลบร้อน คุณทศนั่งอยู่และกำลังมองมาที่ผม ผมเดินไปหาเขา เขาหลบที่ให้ผมเข้าไปนั่งใกล้ แต่ผมเลือกที่นั่งฝั่งตรงข้าม
"ตัวนายมีกลิ่นกุหลาบด้วยซิ"
"ไม่จริงสักหน่อย ผมเดินมานิดเดียว" ผมหันไปทางอื่น ข้างหน้าเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ลมพัดเย็นสบาย
"ผมไม่เคยเห็นที่นี่ชัดๆสักครั้ง มันสวยมากเลย" ผมถอนใจพริ้มหลับตา


"นั่นซินะ มาที่นี่ทีไรเราก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาอย่างว่ากันแบบไม่ลืมหูลืมตา"
"ผมต้องกลับแกลลอรี่นะครับ อย่างไรก็กรุณาด้วยเพราะผมต้องไปเอารถที่ทำงานคุณด้วย"ผมเปลี่ยนเรื่อง
"เสียใจด้วย เพราะฉันไม่คิดจะกลับในตอนนี้หรือตอนไหนในวันนี้ ฉันยังไม่อยากไปเห็นหน้าใครทั้งนั้น" คุณทศหยิบบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงมาจุดสูบ นี่เขากลั่นแกล้งธรรมชาติด้วยหรือผมคิดอย่างปลงๆ
"ผมจะหารถกลับเองก็ได้"
"นายนี่มันปัญญาอ่อนของแท้จริงๆว่ะ คิดว่าฉันจะให้กลับจริงๆน่ะหรือ?"
ผมไม่พูดต่อกรกับเขาให้เหนื่อยอีก ลุกขึ้นแล้วรีบเดินกลับทางเดิมเมื่อครู่ ผมปัดป่ายกิ่งกุหลาบที่ขวางทางอย่างร้อนรน ผมคิดว่าผมเห็นกุญแจรถของคุณทศที่ไหนสักแห่งในบ้าน ที่ใดที่หนึ่งที่ผมเดินผ่าน ผมพยายามคิดพลางเร่งเท้า ถ้าคุณทศพูดว่าไม่คือไม่ นั่นหมายถึงคืนนี้ผมไม่มีทางได้กลับกรุงเทพแน่ๆ

"จะไปไหนน่ะ" เสียงคุณทศดังเบื้องหลัง ผมสะดุ้งรีบเร่งฝีเท้า แต่เขาก็มาทันรวบผมไว้ จากด้านหลังท่ามกลางสวนกุหลาบอันกว้างขวาง กลิ่นรวยรินอ่อนหวานของมันกรุ่นกรายอยู่รอบตัวเรา
"ผมจะกลับ ผมมีงานรออยู่ ผมมีชีวิตต้องดำเนินต่อไปนะครับ เราเลิกกันแล้ว คุณอยากจะโศรกเศร้าอาดูรกับคนที่ไม่รักคุณอย่างไร มันก็เรื่องของคุณ ที่ผมมาอยู่ตรงนี้ก็เพราะถูกบังคับพามา แล้วเรื่องของคุณที่ผมไม่เคยรู้ ผมไม่สนหรอกนะครับ ผมมันคนอื่น เราไม่เกี่ยวกันแล้ว จำไม่ได้หรือไง" ผมดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนของคุณทศสุดแรง ไม่รู้เพราะผมตั้งใจหนีที่จะจริงๆเรี่ยวแรงถึงสนับสนุนหรือเพราะคุณทศตั้งใจปล่อยผมเอง ผมจึงเป็นอิสระง่ายดายจากอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น ถอยออกมาจ้องมองเขาเขาก็จ้องตอบกลับมา เราสองคนเงียบไปเนิ่นนานทำตัวราวเป็นก้อนหินปล่อยให้ธรรมชาติเคลื่อนคล้อยไปกับเวลา ลมอ่อนเย็นเยียบลงและค่อยพัดแรงในเวลาต่อมา ท้องฟ้าเรียกคืนแสงแดดจนมืดสลัว เมฆขาวก้อนใหญ่ในตอนแรกคล้ำเทาเข้มข้ม กลีบสีของดอกที่บานจนโรยปลิดปลิวตามสายลม

"คิดว่าพายุกำลังจะมา ถ้านายอยากกลับก็เชิญเลย" คุณทศหยิบกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกง ปามาให้ผม มันลอยมาตกลงตรงเท้าผม
"ไปเลย ไปให้ไกล ถ้านายคิดหนีไปจากฉัน ก็ไปซะตอนนี้เลย" คุณทศกอดอกแน่น ผมยาวของเขาพริ้วตามแรงลม ฝนเม็ดใหญ่เม็ดแรกหยดลงผิวใบหน้าของผม ผมย่อตัวก้มลงเก็บกุญแจก่อนยืดตัวขึ้นหันหลังวิ่ง ตอนนั้นเองที่สายน้ำเย็นเทลงจากฟากฟ้า ผมวิ่งอ้อมตัวบ้านตรงไปที่รถที่จอดหน้าบ้าน เนื้อตัวที่เปียกโทรมด้วยน้ำฝนทำให้เริ่มหนาว อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงรถแต่.... ผมรู้สึกเจ็บอย่างแรงที่เท้า

"โอ๊ย!!!" ผมทรุดตัวลงนั่ง พลิกฝ่าเท้าเปล่าตัวเองดู น้ำฝนไหลปนกับเลือด หินแหลมใต้ฝ่าเท้าคล้ายกับจะจ้องกลับมาพร้อมสะท้อนคำพูดจากตัวมันว่า...แล้วมีอะไรไหมไอ้เซ่อ วิ่งเท้าเปล่ามาเอง" ผมพ่นหายใจแรงเงยมองรถที่จอดอยุ่ตรงหน้าแล้วแข็งใจลุกขึ้นเดินกระโผลกกระเผลกไปให้ถึง ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ ต้องทำให้เป็นคนอื่นที่แท้จริงให้ได้ ผมกัดฟันกับความเจ็บที่มากขึ้นจนปวด ผมกดรีโมทเปิดประตูรถก่อนจะเดินไปเกาะที่กรอบประตูด้านนอก มือสั่นเทาเลื่อนไปเปิดประตู แต่มืออีกมือก็แทรกมากระแทกปิด ผมหันไป

"จะไปให้ได้จริงๆหรือ?" คุณทศจับแขนผมกระชากให้หันกลับไป
"ตอนแรกก็มาตื้อกับฉัน พอตอนนี้จะหนีไปดื้อๆนายจะเอาอย่างไรกับฉัน" เขาตะคอกผม
"อย่ามายุ่งกับผมนะ" ผมหันกลับเปิดประตู คุณทศก็กระแทกปิดอีก
"นายเดินเป๋แบบนี้มันอะไรน่ะ"
"ไม่มีอะไร ผมจะรีบกลับ"
"พายุเข้าแบบนี้จะขืนขับรถฝ่าไปอีก นายจะบ้าหรือไง"
"ช่างผมซิ ไม่ต้องมาเสแสร้งเป็นห่วง ผมจะตายมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณนี่นา เราเกลียดกัน เราเกลียดกัน เข้าใจไหม ผมไม่สามารถอยู่กับคุณได้อีกแล้ว แม้สักขณะครู่ยามก็ทำไม่ได้" ผมรู้สึกปวดมากขึ้น ไม่รุ้ที่ไหนกันแน่ที่มีบาดแผลลึกจนเลือดซึม
คุณทศทรุดตัวลงนั่ง สายฟ้าสว่างและลั่นเปรี้ยงเป็นระยะ ผมต้องหลับตาห่อไหล่ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น เขายื่นมือมาขว้าข้อเท้าผมไปพลิกดูใต้ฝ่าเท้า
"โอ๊ย ทำอะไรน่ะ" ผมเกือบเสียหลัก มือรีบคว้ากระจกหูช้างข้างหน้าต่างรถไว้ คุณทศลุกขึ้นแล้วดึงกุญแจจากมือผม ผมกำแน่นไม่ยอมปล่อย
"เอามา" เขาคำราม
"ไม่ คุณนั่นแหละ พอสักที เลิกมายุ่งกับผม" ผมถอยหนีไปท้ายรถ เท้าที่เจ็บเผลอแตะลงพื้นต้องชักขึ้นโดยทันทีเพราะมันปวดจนวางบนพื้นไม่ได้
"จะลองดีให้ได้ใช่ไหม" คุณทศคว้ามือที่กำกุญแจแล้วดึงผมเข้าไปใช้อีกแขนที่ว่างอยู่โอบไว้ ผมไม่ยอมปล่อยมือ
"อย่างไงก็ไม่ให้ไช่ไหม" เขาเริ่มโมโห
"ไม่ ไม่ ไม่" ผมไม่ทันจะดิ้นรน ร่างกายก็ถูกยกจากพื้น คุณทศเอาผมขึ้นบ่าแล้วแบกเข้าบ้าน

"ไม่ให้ก็เป็นไร" เขาพูดน้ำเสียงปกติ
"ผมไม่ไปกับคุณนะ คุณทศ" ใบหน้าของผมแนบแผ่นหลังเขา พื้นดินนองด้วยน้ำฝนอยู่ตรงหน้า ผมตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าลั่นซ้ำไปซ้ำมา แถมผมยังซบใบหน้ากับแผ่นหลังนั้นอีกเวลาที่ได้ยินเสียงฟ้า

ผมกลับถูกพากลับไปที่ห้องนอนห้องเดิมบนชั้นสอง ถูกคุณทศจับถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกจนเหลือแต่กายเปลือยเปล่า คุณทศเดินผ่านผมเข้าห้องน้ำครู่เดียวก็ออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัว ผมได้ยินเสียงน้ำไหลซู่ในห้องน้ำ ผมหดขานั่งกอดเข่า
"ไม่เห็นต้องอายหรอก ร่างกายนายน่ะฉันทำมากกว่าเห็นไม่ใช่หรือ?"
คุณทศนั่งลงเอาผ้าเช็ดตัวห่อตัวผมแล้วอุ้มผมเข้าห้องน้ำ ปล่อยผมลงอ่างน้ำร้อนจากุซซี่ จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าของเขาทั้งหมดแล้วก้าวลงแช่น้ำด้วย ผมขดตัวไม่ยอมอยู่ใกล้เข้าแต่คุณทศก็ดึงผมเข้าใกล้ มือใต้มือเคลื่อนมาจับเท้าของผม แล้วลูบไล้บาดแผลเบามือ ผมซี๊ดปากด้วยความแปลบเจ็บ ...
เราสองคนนั่งอยู่ในอ่างแช่ตัวในลักษณะเผชิญหน้ากัน ในความเงียบที่แม้หยดน้ำยังได้ยิน เราสบตากัน คุณทศที่ผมมองเต็มตาตอนนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากวันที่พบกันครั้งแรก สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเรื่องราวของเราสองคนนับแต่เป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกัน
"ที่ผ่านมานายคงเกลียดฉันมากซินะ" คุณทศเท้าศอกกับขอบอ่าง เอียงใบหน้าอิงกับฝ่ามือ
"ฉันเองก็ไม่ได้สนใจว่านายจะคิดอย่างไงกับฉัน ใจของฉันมีสิ่งให้จดจ่อรอคอยเสียจนไม่อาจใส่ใจต่อสิ่งอื่นได้อีก ฉันรักเขา รักมานาน นับแต่เราพบกันครั้งแรกตอนเรียนมัธยมต้น S ทำให้ฉันพบสิ่งแปลกใหม่ในตัวเอง ทำให้เข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่เล่นกับเด็กผู้หญิง ไม่รู้สึกหนาวร้อนเมื่อได้รับจดหมายรักของเด็กผู้หญิง ฉันสับสนกับตัวเองจนร้องไห้ทุกวัน ฉันกลัวตัวเอง กลัวกลายเป็นสัตว์ประหลาด กลัวไม่เหลือใคร กลัวที่สุดคือกลัว S จะรังเกียจ ฉันเก็บความรู้สึกลึกซึ้งต่อเขาไว้ในที่ที่มั่นคงปลอดภัย เราเติบโตมาด้วยกัน S มีความสุขกับทุกสิ่งรอบตัวเขา ส่วนฉันก็เหมือนกัน

ฉันไม่รีรอที่จะไปเรียนต่ออเมริกาทันทีที่ S ชวน แม้ชีวิตในอเมริกาจะทำให้ฉันลำบากใจที่ต้องเอาชนะทัศนคติของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยไปเสียทุกเรื่อง ฉันทำได้และเพื่อนก็ยอมรับ ฉันอยากปกป้อง S อยากให้เขาอยู่ในสถานะที่ปลอดภัยที่สุด การเป็นที่ยอมรับทำให้ฉันและ S ใช้ชีวิตกันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นเรียน เล่นกีฬา กิจกรรม สังคม เพื่อน ผู้หญิง และเซ็กส์ ความสุขของ S คือความสุขของฉัน ขอเพียงให้เขาชอบฉันพร้อมจะโดดเข้าไปร่วมหัวจมท้ายกับเขาในทุกเรื่อง" ใต้น้ำมือคุณทศยังลูบไล้บาดแผลของผม ผมรู้สึกสบายขึ้นแม้บาดแผลยังคงปวดตึบๆอยู่


"ฉันสารภาพทุกเหตุผลของการกระทำอันแสนบากบั่นมาเกือบชั่วชีวิตของฉันและบอกรักกับ S เมื่อไม่นานมานี้ เขารับมันไว้แต่ไม่มีทีท่าอะไร นั่นทำให้รุ้สึกเหมือนยืนอยู่บนขอบโลก เพียงถูกผลักเบาๆก็พร้อมจะร่วงหล่นจากปฐีทันที" คุณทศปล่อยมือจากเท้าของผม

"คืนหนึ่งหลังเลี้ยงรับรองลูกค้าจากจีน เราไปนั่งดื่มด้วยกัน S บอกว่าเขาจะพยายามกับฉัน ที่ผ่านมาฉันคงเหนื่อยมากกับเขา นั่นเป็นคืนแรกที่เราจูบกัน และฉันก็ล่วงเกินเขาภายนอก S ขอเวลากับสิ่งที่มากกว่าที่เราทำ ร่างกายของเขายังไม่พร้อมสำหรับอะไรที่เรียกว่าล่วงล้ำภายใน แต่นั้นมาฉันจึงถูกกักขังไว้กับทีท่าแบ่งรับแบ่งสู้ของเขา แม้ฉันจะบอกตัวเองเสมอว่าความสุขแม้จะน้อยจะมากมันก็คือความสุข แต่ยิ่งนับวัน สิ่งที่ฉันคิดกลับกลายเป็นเวิ้งกว้างที่ถมด้วยคำปลอบใจไม่เต็ม ฉันเริ่มดิ้นตะเกียกตะกาย อยู่ในกรงที่ชื่อว่าความสุขที่ฉันจินตนาการไปเอง" คุณทศดึงผมเข้าไปใกล้แล้วจับให้หันหลังให้เขา จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองลูบไล้โฟมอาบน้ำบนผิวกายผมและเริ่มต้นทำความสะอาดให้ผม ผมพริ้มหลับตาเอนกายพิงหลังกับแผ่นอกของเขา

คุณทศใส่เสื้อคลุมให้ผมหลังอาบน้ำเสร็จ หันไปสวมเสื้อคลุมให้ตัวเองด้วยแล้วจึงมาช้อนอุ้มผมออกมาวางบนเตียงนุ่ม
"ผมไม่ใจอ่อนหรอกนะ" ผมพูดพร้อมทำหน้าขึงขัง คุณทศถอนใจยิ้มแล้วยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของผม
"อย่าทำฉันเสียสมาธิซิ" คุณทศพูดพร้อมเดินเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ครู่เดียวเขาก็กลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล
"ฝนคงไม่หยุดตกจนพรุ่งนี้ล่ะ ก็ไม่ได้อยากให้นายค้างหรอกนะ แต่ทำไงได้ฝนฟ้าไม่เป็นใจนี่นา" เขาทรุดตัวนั่งบนพื้นตรงหน้าผม ยื่นมือมาจับเท้าแล้วลงมือทำแผลให้ผม

"หมา แมว คุณก็ทำให้น่ะสิครับแบบนี้น่ะ เวลามันทำให้คุณถูกใจ ผมยอมอยู่ต่อคุณถูกใจก็เรยได้รับการปฏิบัติเหมือนหมา แมว" ผมประชดที่เห็นเขาทำแผลที่ฝ่าเท้าอย่างทะนุถนอม
"ก็คงงั้น"
"ผมไม่ใช่หมา แมว ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้ว" ผมชักเท้ากลับจากมือเขา
"อย่ามาบ้าตอนนี้นะ" ดึงเท้าผมกลับไปทำต่อ

"ถ้ายอมผมก็เป็นน่ะสิ"
"อย่าขยับได้มั้ย?"
"งั้นอย่ามาแตะต้องร่างกายของผมเหมือนหมา แมวซิ"
"หมา แมวมันน่ารังเกียจตรงไหน" คุณทศดึงเท้าผมไว้แน่น จนผมขยับไม่ได้
"ผมเป็นคน ผมอยากให้คุณมองผมเป็นคน"
"ฉันมองนายเป็นนายเสมอล่ะ"
"ที่มีค่าแค่หมา แมว"ผมเถียงเสียงสั่น คุณทศไม่สนใจก้มหน้าทำความสะอาดแผลให้ผมต่อ
"ฉันเห็นนายเป็นนาย" ใบหน้าที่ก้มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

"ฟังนะ ฟังที่ฉันจะพูดต่อไป ฟังให้เข้าใจ" คุณทศเงยหน้าขึ้นสบตาผมนิ่ง
ผมกลั้นใจโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อสานดวงตากับเขา

"แม้จะเขาจะรักคนอื่น แม้พวกเขามีคำสัญญาถึงแต่งงานกันอีกไม่นาน แม้วันนี้ฉันจะบอกว่าฉันจะรักคนอื่นให้มากกว่ารักกเขา แต่ฉัน...แต่ฉันก็ยังคงรัก Sเหลือเกิน ฉันไม่อาจหลงลืมความรุ้สึกนี้ได้ มันไม่จริงหรอกที่ว่าฉันจะสามารถรักใครได้มากกว่า S กี่ครั้งกี่หนที่ฉันบอกให้หัวใจเลิกล้มความตั้งใจแต่ฉันก็ทำไม่ได้ ถึงจะเจ็บปวดแทบเป็นแทบตายแค่ไหนก็ยังรัก" คุณทศเลื่อนมือมาจับมือผมแล้วบีบแน่น

"ตอนที่เห็นนายครั้งแรก นายที่อ่อนต่อโลก นายที่อ่อนแอต่อความเจ็บปวด นายที่ยิ้มเศร้าส้อยเมื่อพูดถึงตัวเอง สำหรับฉันนั่นเป็นความสวยงามที่อยากจับต้อง ความเศร้า ความเหงาที่เราต่างมี ดึงดูดฉัน เราเหงากับอะไรสักอย่างในชีวิตทั้งคู่ ฉันคิดว่าสำหรับเราสองคนเซ็กส์ครั้งเดียวก็น่าจะเพียงพอ แต่การณ์กลับเป็นว่าร่างกายของนาย เซ็กส์ที่มีจังหวะลีลาราวกับจะถ่ายทอดให้รับรู้ถึงที่สุดของความรู้สึกกลับทำให้ฉันเรียกร้อง อยากพบอยากเจอเป็นครั้งที่สอง สามและเรื่อยมา ฉันรุมร้อนและกระหายที่จะสนองตอบรับให้"

คุณทศหยุดพูดยื่นมือมาจับเส้นผมของผม
"ที่ผ่านมาอย่าคิดเอาเองซิว่าฉันเกลียดนาย สองปีมานี้ใช่ว่าฉันจะไม่รู้สึกรู้สมอะไรกับนายหรอกนะ การกระทำป่าเถื่อน คำพูดที่เหมือนไม่ได้มาจากสมองคิดล้วนมาจากที่นายทำให้ฉันมองเห็นตัวเองชัดเจนมากขึ้นทุกวัน ฉันไม่ได้ทำโทษเพราะนายที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นหรอกนะ แต่ฉันห้ามตัวเองไม่ได้ ยิ่งเห็นนายเจ็บฉันก็เจ็บ เงาสะท้อนในกระจกที่ฉันปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือฉันเอง ฉันอยากให้นายเกลียดฉัน เกลียดให้มากๆ เพราะอย่างไรเราก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ใจของฉัน ใจที่เดินสวนทางกับนายดวงนี้ยิ่งนายรักฉันมากเท่าไหร่นายก็จะยิ่งเดียวดาย" คุณทศโน้มผมลงไปจูบที่แก้ม แก้มที่ซึ่งน้ำตาหยดแรกของผมหยดเผาะลง

"สองปีที่ผ่านขอบใจนะที่อยู่กับฉันอย่างอดทน แต่เราสองคนต้องจบกันจริงๆได้แล้วล่ะ ฉันอาจจะโง่กว่านายก็ได้ที่ยังต้องการจะรัก S ต่อไป รุจน์ในเรื่องราวของความรักไม่มีใครที่ไม่เสียหาย ไม่เสียใจ เพราะนี่คือโลกของความรักที่มีมากมายประสบการณ์ให้หัวใจเรียนรู้ หลังได้ทดลองไปแล้ว" คุณทศเลื่อนตัวขึ้นมากอดผมไว้แนบแน่น ผมที่กำลังร้องไห้จนร่างกายไหวสะท้าน คุณทศโคลงตัวกล่อมผมราวกับผู้ใหญ่ที่ปลอบเด็กขวัญเสีย เขาส่งเสียงชู่ว์ตลอดเวลาที่ปลอบโยนผม เขาหยิบบางสิ่งจากกระเป๋าเสื้อคลุม มันเป็นกล่องกำมะหยี่สีแดงสด เขาออก

"ของขวัญครบและลาจากของเรา" หยิบสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ผมปาดน้ำตาแล้วมองสิ่งในมือเขาอย่างตั้งใจ มันเป็นสร้อยข้อเท้าทองคำขาวที่มีจี้เล็กเพชรเป็นรูปลูกกุญแจ คุณทศหย่อนตัวลงนั่งตรงเท้าของผมแล้วสวมให้ เขาก้มลงจูบที่สร้อย
"ฉันภูมิใจมากที่เห็นนายรักจูบของฉันที่เท้าของนาย ฉันอยากบอกแบบนี้ แต่ฉันก็พูดออกไปไม่ได้ มิฉะนั้นนายก็จะรู้สึกดีมาก ความรักของนายยิ่ง มีความหวัง แต่ในวันนี้วันที่เราพูดกันเข้าใจแล้ว รู้ไว้นะ จูบนี้ไม่ใช่หมา แมว แต่เป็นเท้าที่คนที่ทำให้ฉันหวั่นไหว เป็นผู้ชายที่ทำให้ฉันหัวใจเต้นไม่เป็นปกติตลอดเวลาที่อยู่ใกล้"

"คุณพูดเอาใจเพื่อให้เราเลิกกันโดยดี ผมไม่คิดอคติกับคุณน่ะสิฮะ" ผมพูดแล้วก็สะอื้นฮั่กออกมา
"ที่จริงผมน่าจะดีใจนะ ที่มันเป็นแบบนี้ ผมเลิกกับคุณได้อย่างใจแล้ว แต่ทำไม แต่ทำไม.... ผมถึงไม่เจ็บไม่หยุด เจ็บจนต้องร้องไห้ออกมา"
"นายเคยได้ยินคำว่าล้มกระดานเริ่มใหม่ไหม? เราสองคนจะเป็นอย่างนั้น ต่อจากนี้ไปเราเป็นอิสระต่อกัน เราจะอยู่ จะดำรง จะเดินทางไปในทางที่เราโหยหา เราจะซึมซับกับสิ่งที่เราเลือกแล้วเสียให้พอ" คุณทศหยิบบางสิ่งจากกล่องเดิมที่หยิบให้ก่อนหน้านั้น เขาชูสิ่งนั้นตรงหน้าผม สร้อยที่เหมือนกันทุกประการผิดกันที่จี้เพชรของเขาเป็น แม่กุญแจ

"สักวันเมื่อฉันรู้ว่าฉันต้องการนายอย่างแท้จริง สักวันที่ฉันตกผลึกในหัวใจอย่างสงบนิ่ง วันที่ฉันไม่ได้ไหวสั่นต่อเรื่องราวของใครอื่น ฉันจะเอามันไปพบนาย ไม่ว่าวันนั้นนายจะอยู่กับใคร หัวใจรักของนายจะตกเป็นของใครไปแล้วก็ตาม ฉันจะให้นายเป็นผู้ตัดสินใจกับชีวิตของฉัน นี่เป็นสัญญาของฉัน สัญญาที่ฉันจะรักษาไว้ตลอดไปชั่วชีวิต I will" คุณทศประคองใบหน้าผมด้วยมือทั้งสองข้าง คำพูดของเขายิ่งทำให้ผมร้องไห้หนัก ไม่จริงเลยที่ผมอยากเลิกกับคุณ ใครอยากล้มกระดานนี้ ทั้งหัวใจและความรู้สึกของผมบาดลึกเกินคำว่าเยียวยา ผมไม่อาจทนรอได้ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะผมรักคุณด้วยชีวิตของผม ในเมื่อคุณไม่ต้องการผมจะทำอย่างไร ผมอยากระเบิดคำพูดเหล่านี้ออกไปให้เขาได้รู้ แล้วอย่างไรล่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ยินจากผม ไม่ว่าจะอยู่ด้วยกันหรือจากลาผมก็อยากให้เขาสบายใจ ผมกลืนความหมองไหม้ลงคอ แล้วมองใบหน้าที่ผมรัก พร้อมเปล่งเสียงพูดด้วยหัวใจที่ขาดรอน
"ครับ"

นี่คือเรื่องราวของความรัก ความใคร่ ที่มีอายุเพียงสองปีของผม
ทศวรรษ กับ ผมเราเริ่มต้นด้วยความทุรนทุรายของรักที่ยึดมั่นของเขา ร่างกายของผม และจบลงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เป็นของผมเพียงฝ่ายเดียว...



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 27 มกราคม 2555 0:10:15 น.
Counter : 262 Pageviews.

0 comment
Body Talk (BL) บทที่ 4
บทที่ 4

รุจน์เคาะแป้นพิมพ์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปิดโปรแกรม เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
"สวัสดีครับคุณวุฒิ ผมรุจน์ครับ ต้องขอโทษอย่างมากนะครับที่ส่งบัญชีของร้านช้ากว่ากำหนดไป พอดีเมื่อคืนฝนตกไฟก็ดับน่ะก็เลยทำอะไรไม่ได้เลย" รุจน์พูดด้วยความรุ้สึกหน้าม้านกระดากนิดหน่อย ทำอะไรไม่ได้หรือ? เขากับทศวรรษทำกันจนเกือบสว่างเลยมิใช่หรือ?

"อืม ไม่เป็นไรหรอก นายทำงานฉันไว้ใจ จะช้าไปบ้างก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน อ้อ! นี่ๆฉันได้รับเมล์จากนายแล้ว โอเค เดี๋ยวจะตรวจล่ะ อ้อ อีกเรื่องนะฝากร้านสักสองอาทิตย์นะ ต้องไปตามภาพที่เชคน่ะ ลืมบอกนายไปตอนที่เราเจอกันอาทิตย์ก่อน"
"ได้ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับเจ้านาย ผมจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเหมือนวันแรก จนกว่าคุณจะกลับมานะครับ"
"อืม ขอบใจดูแลร้านดีๆนะ"
"ครับ"

รุจน์วางสายแล้วเลื่อนมือคลิกขยายหน้าต่างอีกหน้าที่ย่อไว้ก่อนหน้าขึ้นมาเต็มหน้าจอ เขายื่นหน้าเข้าไปเกือบติดหน้าจอด้วยกำลังตั้งใจกับสิ่งปรากฏต่อหน้า ทุกตัวอักษรที่พิมพ์ปรากฏอยู่บนโปรแกรมเวอร์ดในตอนนี้ ต้องถูกขัดเกลาให้สละสลวยเนื่องด้วยมันกำลังจะกลายเป็นจดหมายลาออกเป็นทางการ ทุกจังหวะการเคาะแป้นพิมพ์หมายถึงการตัดสินดัดสินอย่างเด็ดขาด เสียงรัวแป้นพิมพ์ดังต่อเนื่อง ยิ่งการใช้คำถูกต้อง ยิ่งภาษาดีมากเท่าไหร่ ยิ่งความสมบูรณ์มีครบครันเต็มร้อย นั่นหมายถึงสายสัมพันธ์ของเขาและทศวรรษยิ่งใกล้สะบั้น รุจน์เร่งมือพิมพ์ด้วยในสมองของเขามีแต่คำว่า "หนี สภาพ การ เป็น แค่ ความ ต่ำ ต้อย ที่ เขา เก็บ ไว้ ล้อ เล่น" ไม่ว่าทศวรรษจะทำให้รู้สึกดีและอบอุ่นใจกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แต่สุดท้ายเขาก็ทำให้รุจน์ล่มสลายกับความหมายของการกระทำชวนซาบซึ้งเหล่านั้นอย่างที่รุจน์ไม่เคยคาดคิด แม้มีผู้หญิงสวยมากมายเสนอตัว แต่ทศวรรษกลับเลือกที่ไม่แตะต้อง และมานอนรุจน์เสมอ นั่นก็เพราะ..นายมันดีกว่าผู้หญิงตรงไม่ท้อง ไม่มีวันทำให้ฉันวุ่นวาย... การจูบที่หมายถึงแค่ให้รางวัลความพอใจที่แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ให้ได้ การเอื้ออาทรที่มีให้ตลอดมาของทศวรรษก็เพราะเห็นคู่ขาของเขามันสมองน้อย ไม่เคยมาส่งที่บ้านแต่กลับให้เอาเงินค่าคอมจากการขายรูปไปซื้อรถเอง รุจน์รู้สึกถึงน้ำอุ่นที่เอ่อขอบตา เขาไม่รู้แน่ชัดว่าด้วยเพราะแสบตากับแสงจ้าของคอมที่เขาจ้องนานเกินไป หรือ มาจากบึ้งลึกของหัวใจ เขายกมือขึ้นปาดเช็ดออกโดยไม่ยอมให้มันไหลออกมาจากนั้นก็เคาะแป้นพิมพ์ต่อ

"ขอแสดงความนับถือ" รุจน์พึมพัม เขาตรวจทานจดหมายอีกครั้งก่อนจะลดสายตามาที่บรรทัดนี้ อีกบรรทัดก็คือการลงชื่อตัวเอง
"อีกไม่นานก็จบแล้วซินะ" รุจน์กด enter ลงมาอีกบรรทัด เขาเพ่งมองจอมอร์นิเตอร์เนิ่นนาน เคอร์เซอร์กระพริบรอคอยการพิมพ์ รุจน์บังคับมือ แต่นิ้วกลับแข็งเกร็ง เขาสูดหายใจลึกพยายามกดแป้นตัวอักษร แต่ไม่ปฏิกริยาตอบสนองจากปลายนิ้วที่สั่นเทา รุจน์หลับตาแน่น ที่สุดก็หมดความพยายามสองแขนเลื่อนลงจากแป้นพิมพ์

ทศวรรษเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางแดดจ้าเครื่องบินกำลังแล่นเชิดหัวขึ้นท้องฟ้าใสสีฟ้าสดไร้เมฆ ตัวเครื่องสะท้อนแสงแดดวาวประกาย เป็นภาพที่สวยงามราวกับไม่ได้เกิดขึ้นจริง เมื่อเครื่องบินลับหายจากสายตาทศวรรษก็หันกลับมามองถ้วยกาแฟตรงหน้า ยกขึ้นจะจิบแต่มันก็เย็นชืดจนไม่อยากแตะ
"ขอโทษทีที่ทำให้คอยนาน เพิ่งออกของเสร็จนะ" ชายหนุ่มท่าทางดีวิ่งกระหืดกระหอบมาหาทศวรรษ
"ไม่เป็นไร พอดีวันนี้ไม่มีงานด่วน มีตรวจโครงการแถวบางนาตอนบ่าย" ทศวรรษมองคนมาใหม่เลื่อนเก้าอี้นั่ง
"อ่ะ นี่ " หยิบถุงผ้าขนาดฝ่ามือยื่นให้ทศวรรษ
"ให้เลขาเตรียมเช็คไว้ให้แล้วจะไปเอาเมื่อไหร่ก็ได้นะ"
"เจ้านายฝากขอบคุณที่มาใช้บริการนะพ่อลูกค้ารายใหญ่"

"หวังว่าคุณS คงชอบนะ" คุ่สนทนาของทศวรรษพูดทิ้งท้ายเมื่อเห็นทศวรรษกำลังลุกขึ้น
"นายรู้ได้อย่างไร"
"ก็นายมักซื้อของให้นายนั่นเสมอนี่ อิจฉาความเป็นเพื่อนซี้ของพวกนายจริงๆ"
"มันดีจริงๆอย่างว่าล่ะ" ทศวรรษยิ้มแล้วหันหลังเดินไป

S เดินออกมาจากทางออกผู้โดยสารขาเข้า เห็นทศวรรษก็โบกมือแล้วรีบเดินมาหา ทศวรรษยิ้มกว้างก้าวเข้าไปยืนตรงหน้า
"งานเป็นไงบ้าง"
"กระบี่สวยมาก" S ตอบ

"ตอบคนละเรื่องอีกแล้ว" ทศวรรษผลักไหล่ของเขาเบาๆ พลางจ้องใบหน้าสวยของ S เต็มตา ที่จริง S ก็มีชื่อจริงแต่ด้วยสมัยเรียนที่ yaleนักเรียนที่มีชื่อออกเสียงยากต่อภาษาอังกฤษต้องมีชื่อสากลเพื่อง่ายแก่การเรียกทั้งเอเชียด้วยกัน ชาวยุโรป ทุกคนเรียก S จากชื่อต้นของเขา ทศวรรษเลยคุ้นเคยกับการเรียก S นับแต่นั้น พอเห็นสายตาของทศวรรษ S ก็อมยิ้มแล้วเสสายตาไปอื่น กริยาทำเหมือนไม่รู้เรื่องราวของ S ทำให้ทศวรรษแทบอดไม่ไหวที่จะดึงเขาเข้ามากอด ทว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเขาจึงทำได้แต่ทำหน้าดุใส่ S ขยับปากไร้เสียง

"คิดถึงมากนะ"
ทศวรรษยิ้มกว้างจนดวงตาหรี่เป็นประกาย เขาหันหลังเดินนำ S ออกจากสถานที่นั้น พอมาถึงที่จอดรถ ในรถหรูของทศวรรษทั้งสองก็เคลื่อนที่เข้าหากันเพื่อจรดจูบกันดูดดื่ม

"งานทางนี้เป็นบ้าง" Sถามหลังถอนริมฝีปาก
"ไม่มีอะไรน่าห่วง เรียบร้อยดีทุกอย่าง โครงการใหม่ที่บางนาจะไปดูด้วยกันไหม" ทศวรรษยื่นมือไปสตาร์ทรถ
"ไม่เอาหรอก อยากพักแล้ว รีสอร์ทที่กระบี่ก็พอแล้ว" S เอนตัวพิงเบาะพลางหลับตา ทศวรรษเข้าเกียร์ออกรถ

S ลืมตาอีกครั้งนอกหน้าต่างก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ และเสาไฟฟ้าที่กำลังเคลื่อนที่ไหลไปด้านหลังอย่างสม่ำเสมอ แดดทอแสงแทงทะลุยอดไม้มาถึงกระจกดำข้างตัวเขา S พลิกตัวหันมามองทศวรรษ โครงหน้าด้านข้างของเขาคมสัน เขาดูดีตั้งแต่สมัยเรียนไฮสกูลที่บอสตัน ไม่มีสาวไหนไม่ตกหลุมรักหนุ่มเอเชียคนนี้ เขานักกีฬาของโรงเรียนชาวเอเชียคนเดียวที่โด่งดังมากเท่ากับนักเรียนอเมริกันรูปงามคนอื่น ในตู้เก็บของเขามักเต็มไปด้วยดอกไม้ ชอคโกเลท และจดหมายรักจากสาวๆ แต่อนิจาหล่อนไม่มีทางได้รู้เลยว่าหนุ่มเข้มคนนี้กลับไม่มีหัวใจสำหรับหญิงใด นอกจากเพื่อนสนิทของตัวเอง S หลับตาลงอย่างอ่อนใจ เขาอยากทำใจมอบกายและใจให้ทศวรรษได้เร็วๆ ทว่านอกจากมันจะยังไม่ได้ผลในเร็ววันแล้ว เมื่อสองเดือนเขายังทำเรื่องที่ไม่กล้าบอกทศวรรษได้อีก
"เอ้อ ของที่ให้ซื้อล่ะ" S โพล่งออกมา ทศวรรษสะดุ้งด้วยว่ากำลังมองทางเพลิน
"อะไรวะ ตกใจหมด"
"ขอๆๆ ซื้อมาให้ไม่ใช่" S แบมือ ทศวรรษหยิบถุงผ้าที่มีตราในกระเป๋าเสื้อสูทยื่นให้ S รับแล้วเปิดดู เขายิ้มออกมาอย่างถูกใจ
"ขอบคุณ" S ยื่นริมฝีปากไปแตะใบหน้าของทศวรรษ แล้วเอนศีรษะซบไหล่ของเขา

"มีความสุขไหม" S หลับตา
"อื้ม" ทศวรรษพยักหน้าแรง**aisen , k

หลังจากส่ง S ทศวรรษก็เข้าดูงานที่โครงการ ตรวจงาน เข้าประชุมแล้วจึงกลับเข้าออฟฟิศ เลขารายงานว่าวุฒิมารอพบ หล่อนให้รออยู่ที่ห้องรับแขก ทศวรรษเปิดประตูห้องรับแขกเข้าไปพร้อมเลขา วุฒิยืนขึ้นค้อมตัวนิดหน่อย ทศวรรษก้าวเข้าไปที่โซฟาฝั่งตรงข้ามพร้อมทั้งผายมือเชิญให้นั่ง จากนั้นก็สั่งให้เลขาไปจัดการเครื่องดื่มเมื่อเห็นแค่น้ำเปล่าตรงหน้าวุฒิ
"คุณวุฒิดื่มอะไรดีคะ" เลขาหันมาวุฒิอย่างนอบน้อม
"ขอเป็นกาแฟก็แล้วกันครับ"
"ค่ะ"

"อ้อ ขอน้ำสมหนึ่งที่ด้วยครับ"
"ได้ค่ะ" เลขายิ้มสุภาพค้อมตัวรับคำสั่งแล้วถอยออกจากห้อง ทศวรรษที่ได้ยินที่วุฒิสั่งก็ย่นคิ้วมอง
"วันนี้พาน้องสาวมาด้วย" วุฒิไม่ทันพูดจบคำดี ประตูห้องก็เปิดออก สาวน้อยในชุดสีฟ้าสดใสเดินเข้ามานั่งข้างวุฒิ

"ยัยฟ้าชอบใส่สีฟ้าเหมือนเดิม" ทศวรรษทักทายกับหล่อนเป็นกันเอง เขารู้จักน้องวุฒิคนนี้มาตั้งแต่หล่อนยังเด็ก วุฒิยังคิดจะให้หล่อนแต่งงานกับ S หรือไม่ก็เขา เพราะสองพี่น้องไม่มีใครอีกแล้วเหลือกันอยู่แค่สองคน วุฒิคิดว่าหากสักวันที่เขาไม่อาจอยู่ดูแล้วน้องที่รักดั่งดวงใจคนนี้ได้อีก S และ ทศวรรษคือเพื่อนที่เขาไว้ใจมากที่สุด วันเวลาล่วงเลยมาจนบัดนี้ ทั้งเขาและS ต่างยังไม่มีทีท่าแน่ชัดกับวุฒิพี่ชายเด็กหญิงที่ชอบใส่สีฟ้าจนเป็นสาวในชุดสีฟ้าคนนี้เลย

"ไม่เจอกันตั้งหลายปี สวยผิดตาเลยนะ" ทศวรรษสานมือรองคางขณะมองสาวน้อยตรงหน้า หล่อนยิ้มตอบกลับมาก่อนจะหลบตาก้มหน้าทัดผมที่ใบหู ทศวรรษหันมาวุฒิที่พูดต่อ
"เพิ่งกลับจากปารีสเมื่อสองวันก่อน ก็เลยพามาเยี่ยม แล้วก็เลยจะฝากฝังด้วยเพราะเราจะไปเชคน่ะ ไปตามซื้องานให้ลูกค้า"

"ไปเรียนด้านดีไซน์หรือศิลปะการแสดงน่ะ" ทศวรรษไม่ได้แม้แต่ปรายตามองวุฒิที่พูดกับเขา แต่จับตามองน้องสาวแทน
"ดีไซน์ค่ะ แล้วก็ประกาศนียบัตรด้านศิลปะสมัยใหม่"
"อย่างนี้ก็มาช่วยงานพี่ชายได้สบายเลย"
"ค่ะ"
"ว่าแต่"วุฒิเรียกความสนใจของทศวรรษ เขาหันไปตามเสียง
"ที่เชคน่ะ นายมีภาพอะไรที่อยากได้ไหม? เราจะได้เอามาให้นายเลย"
"อือออ ไม่มีนะ หนอยมาฝากน้องแล้วยังจะขายของอีกนายนี่มันพ่อค้าจริงๆ"

"โอเค งั้นเรารบกวนแค่นี้นะ นายจะได้ทำงานซะที" วุฒิยืดตัวลุกขึ้น ฟ้าลุกขึ้นตาม หล่อนมีรูปร่างดีและใบหน้าก็ทันสมัยตามพิมพ์นิยมของสาวที่มีรสนิยม
"หวัดดีค่ะ พี่ทศ" ฟ้าพุ่มมือไหว้ทศวรรษ เขารับไหว้แล้วเดินออกไปส่งที่ประตู ฟ้าเดินนำออกไปส่วนวุฒิหยุดที่หน้าประตูเขาหันมาทศวรรษ หยุดมองครู่หนึ่งก่อนพูด

"นายคิดว่าจะเป็นอย่างไรหากฉันอยากให้ฟ้ากลับมาช่วยงานที่ร้าน อย่างไรมันก็ต้องเป็นของเขาสักวัน ถ้าเราไม่อยู่"
"ก็ดี แต่คุยกันแล้วหรือยัง"
"ก็คิดว่าหลังกลับจากเชคจะคุย แต่เราอยากให้นายกับ S ช่วยกันเกลี้ยกล่อมเขาด้วย เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยชื่นชมพวกนายน้อยลงเลย นายคงจำได้ว่าเขาอยากเจ้าสาวของพวกนาย"
"เด็กๆน่ะ" ทศวรรษยิ้มเจื่อน

"ไม่หรอกยัยคนนั้นน่ะ ยังถือความคิดนั้นอยู่ เขาถึงไปเรียนเมืองนอก ชุบตัวเองเป็นสาวฝรั่งเศส เรียนศิลปะเพื่อจะได้เข้ากับพวกนายได้"
"แต่ฟ้าแต่งงานกับฉันสองคนไม่ได้หรอกนะ มันต้องมีใครที่หล่อนชอบพิเศษเป็นแรงบันดาลใจให้ทำแบบนั้นจริงๆ"
"เรื่องนั้นฉันไม่รู้ใจน้องหรอก แต่สักวันหล่อนคงแสดงออกแน่นอน เราถึงต้องนายทั้งคู่ช่วยพูดโน้มน้าวเขาไง จะบอกให้ใครคนหนึ่งพูดก็ไม่ได้"

"เผื่อว่างั้นเหอะ"
"ช่วงที่ฉันไม่อยู่คงให้ฟ้าไปดูร้านบ้างศึกษางานไว้ รุจน์คงช่วยได้มากเรื่องนี้ พูดถึงรุจน์ ฉันชอบเขานะ ขยันที่จะเรียนรู้งานต่อยอดตลอด ทำงานดี ซื่อสัตย์ ฉันเบาแรงได้เยอะเลย แถมได้ลูกค้าใหม่ๆเข้ามาอีกเพราะลูกค้าเก่าที่ชื่นชมมนุษย์สัมพันธ์ของเขาบอกต่อๆไป ขอบใจนะ"

"เรื่องอะไรวะ"
"อย่าบอกว่าจำไม่ได้นะ ตอนที่เด็กคนนั้นเข้ามาสมัคร ฉันน่ะเกือบจะโยนใบสมัครทิ้งไปแล้วเพราะเพิ่งจบ แถมตกงานมาหลายเดือน เรื่องประสบการณ์ทำงานไม่ต้องพูดถึงเลย แต่นายกลับให้รับไว้ นายบอกว่าเราต้องให้โอกาสคน เขาอาจถูกปฏิเสธจากหลายที่แล้วก็ได้ ยังไม่มีใครให้โอกาสเขาพิสูจน์ศักยภาพของตัวเองเลย นายออกตัวรับประกันให้อีก หากรุจน์ไม่ได้เรื่องทำงานห่วย หนีงาน นายพร้อมจะจ่ายค่าเสียหายให้ฉัน 2 ล้านเชียวนะ ใจป้ำน่าดูขนาดนั้นแสดงว่านายเชื่อมั่นในตัวรุจน์ และถึงตอนนี้นายก็ยังเชื่อมั่นว่าเขาจะไปได้ดีกว่านี้"


"เพ้อเจ้อยาวยืด ไปเหอะน้องรอ" ทศวรรษบุ้ยใบ้ไปทางฟ้าที่ยืนรอที่หน้าลิฟท์
"บางทีถ้านายหรือS ไม่ชอบน้องเรา เราอาจให้เขาแต่งกับรุจน์แล้วช่วยกันบริหารร้านให้ยิ่งใหญ่ มาถึงตอนนี้แล้ว เราคิดว่าเราเชื่อมือรุจน์ว่ะ ว่าเขาทำได้" วุฒิทำท่าคิด

"ไปได้แล้วไว้เจอกัน" ทศวรรษดันหลังวุฒิ วุฒิหัวเราะแล้วเดินไปหาน้องสาว ทั้งคู่เดินเข้าลิฟท์ประตูปิดร่างของทั้งคู่หายวับไปจากสายตา ทศวรรษเดินกลับห้องทำงาน เขาปิดประตูแล้วหันหลังพิงบานประตู นอกหน้าต่างที่เป็นแบบพาโนรามา ท้องฟ้าสีคราม ปุยเมฆขาวกำลังเคลื่อนตัวเหนือตึกรามหลายรูปทรง
"ฟ้ากว้างมากนะ ตลอดมานายมันไม่คิดจะเรียนรู้ อย่าพยายามอยู่ใต้ชายคาที่ไม่อาจให้ความคุ้มครองฝน ลมพายุซิ ออกบินไปซะ เข้าใจไหมรุจน์" ทศวรรษยกมือขึ้นเสยผมแล้วเงยหน้าพิงบานประตูด้านหลัง

รุจน์พับกระดาษสีขาวเป็นสามส่วนซึ่งเป็นลักษณะการพับจดหมายแบบทางการ ชายหนุ่มย่นคิ้วเม้มปากเมื่อพับทบสุดท้าย ความเจ็บปวดที่แทรกเข้ากลางทรวงราวกับรอยทบนั้นเองที่เป็นต้นเหตุ เขาพยายามบังคับตัวเองแต่ร่างกายก็ตอบกลับมาว่าไร้ความหมาย มือที่ยื่นออกไปหยิบซองนั่นสั่นจนปลายนิ้วระริก ซองถูกเปิด จดหมายถูกหล่อนใส่ลงไป รุจน์พับที่ปิดเข้าข้างในซอง จากนั้นก็ตรวจชื่อและนามสกุลของวุฒิว่าพิมพ์ถูกต้อง เท่านี้จดหมายก็สมบูรณ์

หลังบรรจงวางในลิ้นชักโต๊ะทำงานรุจน์ก็ปิดลิ้นชัก ไขกุญแจเบามือ เขาอยากเดินออกไปจากที่นี่ หากแต่ร่างกายไม่ปฏิบัติตามใจนึก ยังคงยืนพิงอยู่ที่หัวโต๊ะ รุจน์มองโทรศัพท์ หลังเขียนจดหมายเขาโทรหาพี่ชายผู้ซึ่งเป็นผู้ร่วมสายเลือดเดียวกับเขาที่ยังเหลืออยู่บนโลกใบนี้ เขาบอกพี่ชายว่ากำลังจะลาออกจากงานเพราะอยากกลับไปหาทำงานทำที่บ้านเกิด ทางนั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า....ถ้านายคิดดีแล้ว พี่ก็โอเค คิดดูอีกทีมันคงดีเหมือนกัน นายจะได้ดูแลบ้านพ่อกับแม่ที่นั่นด้วย.... รุจน์ยิ้มอ่อนเบาพยักหน้า และตอนนั้นเองที่เขารู้สึกถึงเม็ดน้ำอุ่นที่หยาดร่วงเผาะบนใบหน้า


รุจน์ก้มมองอกที่กระเพื่อมขึ้นลงจากการหายใจ นี่เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ คิดว่าตายไปตั้งแต่จดหมายเรียบร้อยเสียอีก ชายหนุ่มแขนยกไขว้กอดตัวเอง นับต่อจากนี้เขาจะเป็นอย่างไรหัวใจไม่กล้าที่จะจินตนาการเลยจริงๆ....ชีวิตที่ไม่มีทศวรรษ ไม่รู้จะทรมานหัวใจและร่างกายกี่พันเท่าทวีคูณแค่ไหน เขาไม่อยากลิ้มลองเลย แต่การกระทำของทศวรรษมันเสมือนมือที่มองไม่เห็นอันทรงพลัง มือนั้นจับปากเขาอ้าแล้วป้อนยาพิษที่ชื่อ อำลา ให้เขาจำต้องกลืนกิน แม้ต้องทุรนทุรายจากพิษนี้

แต่เขาก็ต้องไม่เป็นไร รุจน์หลับตา มือยกขึ้นลูบไล้ซอกคอขณะมองลิ้นชักที่ปิดสนิท ผิวเนื้อแห่งกายนี้เอย ขอทุกอณูจงเข้มแข็งหากถูกความคิดถึงแห่งรสสัมผัส รสรักที่เคยจมลึกของฝ่ายนั้นโจมตีในคืนเหงาหงอย หัวใจดวงนี้ขอจงเป็นของเขาเพียงผู้เดียว สลักไว้ในวินาทีนี้จะไม่ยอมเจ็บรุนแรงเยี่ยงนี้อีกแล้ว สัญญาจะดูแลหัวใจดวงนี้อย่างดี รุจน์ลืมตาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปเปิดประตู


คุณวุฒิที่ยืนอยู่กับฟ้าด้านนอกปริบตามองรุจน์ รุจน์พอเห็นวุฒิก็พริบตาฉงน
"คุณวุฒิไหนว่าไปเชคไงครับ"
"ยังไม่ใช่วันนี้สักหน่อย นี่พาน้องสาวมาดูร้าน"วุฒิหันไปทางฟ้า
"ฟ้านี่ รุจน์ ผู้จัดการ อืม ผู้จัดการทุกอย่างให้พี่" วุฒิขำกับตำแหน่งที่เขาเพิ่งให้รุจน์
"หวัดดีครับ ผมรุจน์ครับ" รุจน์ยื่นมือออกไป
"หวัดดีค่ะ น้ำฟ้า น้องพี่วุฒิ"หล่อนยิ้มพร้อมยื่นมาให้รุจน์ เขาจับเขย่าเบาๆ

"ต่อไปคงต้องฝากฟ้าด้วยนะ"
"อะไรกันครับ" รุจน์หันมาทางวุฒิ
"ฟ้าเรียนจบแล้ว กำลังจะมาช่วยพี่วุฒิน่ะค่ะ เรื่องเรียนรู้งานน่ะ ฝากตัวด้วยนะคะ" ฟ้าอธิบาย
"พี่วุฒิเดินทางบ่อย งานทางนี้พี่เขากินแรงคุณรุจน์มาก อีกหน่อยทางนี้ฟ้าจะมาช่วยคุณรุจน์เองค่ะ แล้วพอเราแกร่ง เราก็จะฮุบร้านซะเลย" หล่อนขยิบตารุจน์

"อะไรนะครับ แบบนั้นผมไม่ไหวด้วยนะครับ" รุจน์พ่นหัวเราะออกมา
"พาฟ้าทัวร์ร้านหน่อยซิคะ ร้านสวยกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ฝีมือคุณรุจน์เปลี่ยนแปลงมันซินะคะ" ฟ้าปรี่เข้ามาคล้องแขนรุจน์ เส้นผมยาวเป็นรอนของหล่อนเคลียที่แขนของเขา น้ำหอมของหล่อนโชยอยุ่ในอากาศที่เขากำลังหายใจ รุจน์ไม่กล้าสบตากับหล่อน เขารู้หล่อนจ้องเขาอยู่ และหล่อนก็กำลังคลี่ยิ้มอ่อนหวาน

"นี่เธออย่ามาฝรั่งเศสแถวนี้" วุฒิทำมือเป็นสัญญาณให้แยกจากรุจน์ ฟ้าหาสนใจไม่ หล่อนลากรุจน์ให้เดินไปด้วยกัน วุฒิถอนใจเฮ้อแล้วกอดอกมองคนทั้งคู่เพลินตา จะว่าไปทั้งคู่ก็เหมาะสมกันอย่างที่เขาคิดจริงๆ แต่การต้องมาดูแลร้านและฟ้านั้นจะเป็นภาระที่หนักไปสำหรับรุจน์ไหม? วุฒิถอนใจอีกครั้ง


คืนนั้นฟ้าออกตัวพาวุฒิ รุจน์ เก๋ ไปเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อสร้างความคุ้นเคย บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครง ฟ้าเป็นคนน่ารักน่าเข้าใกล้ หล่อนพูดคุยได้ทุกอย่าง แถมอารมณ์ดีตลอดเวลา ไม่ถือตัวหากต้องบริการคนร่วมโต๊ะ ไม่ว่าจะตักอาหาร รินน้ำ หรือคีบน้ำแข็งใส่แก้วให้ หลังมื้ออาหารหล่อนยังอาสาไปส่งรุจน์กับเก๋ แม้รุจน์จะออกตัวว่ามีรถแต่หล่อนก็ยืนยันคำเดิม ส่วนวุฒินั้นแยกกลับไปก่อนหน้าแล้ว หล่อนส่งเก๋คนแรกแล้วตามด้วยรุจน์
"ขอบคุณมากเลยครับ"กล่าวหลังลงจากรถ
"ขอบคุณเช่นกันค่ะ วันนี้แนะนำฟ้าหลายอย่างคงเหนื่อยแย่เลย" ฟ้ายื่นหน้าออกมาทางหน้าต่างรถ

"ไม่หรอกครับ " รุจน์โบกมือ
"ฟ้าเป็นนักเรียนหัวช้านะคะเรื่องธุรกิจน่ะ คุณรุจน์อาจเหนื่อยกว่านี้ แต่อย่างไงก็ขอฝากด้วยนะคะ"
"ผมจะทำเท่าที่เวลาจะอำนวยครับ"
"หมายความว่าอย่างไรคะ เท่าที่เวลาอำนวย ยุ่งทั้งวันจนไม่มีเวลาเลยหรือคะ"

"ไม่ใช่แบบนั้นครับ คือผมคงอยู่ช่วยสอนคุณฟ้าถึงแค่สิ้นเดือนนี้เท่านี้ แต่จะสอนให้ได้มากที่สุดนะครับ"รุจน์ยิ้มฝืด
"ทำไมล่ะคะ?"
"ผมตั้งใจจะลาออก กลับไปทำงานที่บ้านน่ะครับ" รุจน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบราบ น้ำฟ้าปริบตามองเขาอย่างมึนงง

S หยิบสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าออกมา เพื่อสิ่งนี้เขาจึงลงทุนโกหกทศวรรษว่ามารดาของเขาต้องการ จริงๆแล้วเขาต้องการมันเพื่อตัวเองต่างหาก
"พรุ่งนี้วันเกิดของพี่ แต่พี่ไม่ต้องของขวัญจากน้องหรอกนะครับ พี่อยากเป็นคนให้มากกว่า" เขาพูดพร้อมเปิดกล่องกำมะหยี่ออก ภายในนั้นคือแหวนเพชรน้ำดี ของคาร์เทียร์ เขาหยิบมันออกมาจากกล่องแล้วสวมมันเข้าเรียวนิ้วนางของมือที่วางบนมืออีกข้างของเขา

"ไม่ว่าน้องจะต้องการพิธีอีกครั้งหรือไม่ ดั่งคำที่เราได้ให้กันไว้ครั้งก่อน ตอนนี้นี่คือหลักฐานคำของเรา น้องเป็นคู่หมั้นของพี่ชายคนนี้แล้วนะ"พูดจบ S ก็บรรจงจุมพิตบนหลังมือนวลของคู่หมั้น
"พี่คะ" พิสราไม่สามารถห้ามตัวเองได้อีกต่อไป หล่อนโผเข้าอ้อมแขนของ S เขารัดวงแขนกอดหล่อนแนบแน่น
"ขอบคุณที่รักพี่ชายคนนี้ขนาดนี้"

ทศวรรษล้มตัวลงนอนบนเตียงทันทีที่ถึงห้องนอน เขาพลิกตัวหันไปทางหน้าต่าง ต้นหางนกยูงออกดอกเต็มต้นเมื่อได้รับสัญญาณแห่งวสันตฤดู ทศวรรษยิ้มเมื่อก้านที่เต็มไปด้วยดอกสีส้มแซมแดงไหวเอนตามลม ช่างสวยงามอิ่มเอมเต็มสายตาจริงๆ ทศวรรษล้วงหยิบสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทขึ้นมาชูระดับเดียวกับสายตา เขาให้เพื่อนสั่งของกับคาร์เทียร์ อเมริกา ถึง 2 รายการ ไม่ใช่แค่รายการแหวนเพชรของมารดา S ทศวรรษเหลือบตามองเพดาน เขาไม่สนจะหาเหตุผลของออร์เดอร์พิเศษนี้ เพราะมันเกะกะสมองของเขาเกินไป ของในกล่องที่อยู่ในมือเขา อาจไม่มีค่าไม่มีความหมายใดๆสำหรับผู้รับ แต่เขาก็อยากมอบให้ อาจเป็นการปลอบใจ อาจแทนคำขอบใจ
"ที่อยู่ด้วยกันมาถึงสองปี ฉันรู้นายต้องอดกลั้นที่ฉันเลวขนาดนั้นแค่ไหน แต่ฉันทำได้แค่นั้นจริงๆ"

ทศวรรษงัวเงียลุกขึ้นรับโทรศัพท์สายแรกของเช้านี้ กดรับพลางนึกสาปส่งคนโทรหาไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนสมควรโดนทั้งนั้นด้วยเหตุทำให้เวลาหลับลึกยาวนานของเขามีอันต้องหดหายไปอย่างไม่น่าอภัย
"ว่ามา ใครน่ะ ง่วงอยู่นะครับ " ทศวรรษหลับตาขณะพูด ถ้าเป็นผู้ใหญ่ หรือแม้พ่อแม่เขาที่ออสเตรียที่อาจโทรมาทักทายจะมีความคิดเห็นว่าไงดี คนรุ่นลูกพูดกักขฬะได้ใจจนาดนี้
"เออ ฉันเอง วุฒิ นายเซ็นเช็คจ่ายมาสองล้านตอนนี้เลย สายๆจะให้คนไปรับ" วุฒิกรอกเสียงเข้มเครียดมาตามสาย
"ฉันยังไม่ได้สั่งภาพนายเลยนะ เท่าที่จำได้ "

"นี่มันวันห่าเหวอะไรของฉันวะ" เสียงวุฒิสบถอย่างเหลืออด
"แล้วมันเกี่ยวกับกูไหมนี่ โทรมาแชร์ให้กูทำไม ไอ้ห่าเหวอะไรของมึงน่ะ ไอ้บ้าวุฒิ" ทศวรรษตะคอกกลับไปอย่างหัวเสีย
"จะไม่เกี่ยวได้ไงล่ะโว๊ยไอ้เบื้อก ทำไมกูต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ตอนกำลังจะเดินทางวะนี่"
"เจอ อะไรก็เรื่องของมึงซิ กูจะนอนต่อ แม่งบ้าฉิบ" ทศวรรษกำลังจะกดปิดสายแต่ปากวุฒิไวกว่ามือเขา คำพูดของวุฒิทำเอาทศวรรษถึงกับต้องรวบสติที่กำลังซ่านด้วยอารมณ์โมโห แล้วตั้งใจฟัง

รุจน์สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก เขาจัดเนคไทอีกนิดหน่อยแล้วมองใหม่อีกครั้ง ชายหนุ่มก้มศีรษะมองปลายรองเท้าที่มันวาว วันนี้วันศุกร์ แต่ทศวรรษไม่มาเหมือนที่เคยมาหาประจำ ทั้งที่คิดว่าต้องตัดใจแล้ว แต่ทว่าพอคิดขึ้นมาหัวใจก็ยังคงหายห้วง รุจน์ยกมือแตะอกตัวเองพร้อมาปลอบให้หัวใจหายเศร้า ...เอาน่าเพิ่งเริ่มต้นก็อาจมีบ้าง ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะหัวใจ หักดิบลงแดงต่อตัวเองมากไปคงไม่ดี... เขายิ้มให้ตัวเองในกระจกแล้วหันหลังเดินออกจากห้อง กดมือถือแล้วหยิบกุญแจรถ

"อรุณสวัสดิ์ครับ เก๋ครับ ตอนนี้ดอกไม้มาส่งหรือยัง ห่อภาพที่ลูกค้าสั่งให้พี่แล้วนะ ดีมากเลยจ๊ะ ขอบใจมาก อืมเดี๋ยวจะเข้าไปรับไปส่งให้ลูกค้าน่ะ" รุจน์กดลิฟท์ พอประตูลิฟท์ รุจน์ก็ตั้งใจก้าวเข้าไปแต่ต้องชะงักเท้าไว้ เลือดในกายหดเข้าเกาะกุมหัวใจ แววตาที่ซ่อนอยู่ใต้เงาเส้นผมปรกดวงตานั่นทำให้ตัวเย็นจนสั่น

"คุณทศ ไหนบอกว่าวันนี้ยกเลิกแถมตอนนี้ก็ยังเช้าอยู่เลย ผมมีงานด่วน" รุจน์ยิ้ม แต่สีหน้าไม่รับกับรอยยิ้ม เขาไม่พร้อมจะเจอทศวรรษตอนนี้ ทศวรรษไม่ตอบใดๆก้าวพรวดออกมาจากลิฟท์พร้อมคว้าแขนลากรุจน์ให้ตามไป นิ้วมือทั้งหมดของทศวรรษแข็งแกร่งราวคีมเหล็กที่รวมตัวกันบีบลงท่อนแขนของรุจน์
"ผมเจ็บนะคุณทศ ปล่อยก่อนฮะ คุณเป็นอะไรน่ะ" รุจน์พยายามดึงแขนกลับ แต่ก็ไร้ผล ทศวรรษหยิบกุญแจสำรองห้องรุจน์ ขึ้นมาไขเปิดประตู

"ผมต้องไปทำงานนะ"รุจน์ประท้วงโดยการจับขอบประตูห้องไว้
"หุบปากเดี๋ยวนะ!" ทศวรรษหันมาตวาดลั่น รุจน์สะดุ้งมือหลุดจากกรอบประตู
วุฒิมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ที่รันเวย์เครื่องบินมีทั้งล่อนทะยานขึ้นสลับกับแล่นลงแตะพื้น เขายิ้มก่อนจะพูดขึ้น
"นี่รู้อะไรไหมฟ้า"

"คะ?" ฟ้าที่ทำหน้าที่ขับรถเหลือบตามอง
"พี่น่ะแม้จะช๊อคกับข่าวที่เรามาบอกว่ารุจน์จะลาออก แต่พี่ก็พบว่าในข่าวร้ายนั้นมันข่าวดีซ่อนอยู่" วุฒิยกศอกยันกับกรอบหน้าต่าง

"ข่าวดีคงซ่อนอยู่ลึกลับมากซินะคะ ฟ้าถึงไม่เห็นว่ามันจะมี เท่าที่ได้คุยกับคุณรุจน์ฟ้าคิดว่าร้านเราขาดคุณรุจน์ไม่ได้หรอกค่ะ อย่างน้อยก็จนกว่าฟ้าจะรู้งาน แต่ฟ้าอยากให้เขาอยู่ต่อมาก ไม่รู้ซิคะรู้สึกถูกชะตากับเขาเป็นพิเศษ" ฟ้ายิ้มกับทางข้างหน้า

"เขาเลิศกว่าหนุ่มฝรั่งเศสว่างั้น" วุฒิหันมาทำเสียงล้อ
"อย่ามาหลอกถามกันหน่อยเลยค่ะ" ฟ้ายังจับตากับทาง สีหน้าหล่อนไร้ปฏิกริยาใดๆให้วุฒิได้จับผิด
"เฉลยมาเถอะว่าข่าวดีในข่าวของพี่คืออะไร" น้ำเสียงของหล่อนดูตั้งใจมากขึ้น วุฒิเลื่อนมือไปจับศีรษะของน้องสาว

"รู้ไหม ตอนที่เรากลับมาใหม่ๆน่ะ พี่คิดว่าเราจะกลับมาเปิดบูติคแทนมาทำแกลลอรี่ เพราะเราเอาแต่พูดถึงเสื้อ พูดถึงแฟชั่นที่อยากทำ พี่ถึงแอบไปกระซิบพี่ทศให้ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมเรามาช่วยพี่ แต่เรากลับทำพี่คิดคาดตอนที่พี่แนะนำให้รู้จักรุจน์ ที่เราพูดกับรุจน์พี่ดีใจจนน้ำตาเกือบไหลเลย" วุฒิน้ำตารื้นตอนนี้แทน

"ฟ้าน่ะไม่ใช่คนเอาแต่ความชอบของตัวเองเป็นใหญ่หรอกนะคะ แกลลอรี่นี้ทำให้ฟ้าได้เรียนต่อที่ฝรั่งเศสจนจบ จะให้ฟ้าทิ้งขว้างไปได้อย่างไงคะ บูติคเสื้อผ้าแบรนด์ของฟ้าอย่างไงก็ต้องมี แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ ฟ้าอยากช่วยพี่วุฒิบริหารแกลลอรี่ของเราให้อยู่ตัวก่อน และที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ เราจะดึงคุณรุจน์ไว้อย่างไร"

"การเจรจาต้องใช้เวลานาน อีกอย่างรุจน์เขาจะไปสิ้นเดือนนี้ ถ้าฟ้าไหวก็ลองคุยกับเขาดู ส่วนพี่กลับมาเมื่อไหร่จะคุยอีกที"
"ว่าแต่ที่เขาจะออกนี่เป็นเพราะไม่พอใจอะไรพี่หรือเปล่าคะ พี่ใช้งานเขาหนักเกินแน่เลย"
"จะบ้าหรือ ถึงจะงานมากหน่อยแต่พี่จ่ายเงินเดือนสมราคา ค่าคอมก็มี น้ำมันรถเบิกได้ อย่างนี้เอาเปรียบตรงไหนเนี่ย"
"เอ..แล้วคับข้องใจเรื่องอะไรกันล่ะ?"

รุจน์ถูกเหวี่ยงลงบนเตียง
"ไหน พูดมาซิ จะลาออกทำไม ขอเหตุผลดีๆด้วยนะ" ทศวรรษชี้หน้า น้ำเสียงเกรี้ยวกราด รุจน์ยันตัวลุกขึ้นนั่ง
"มันเกี่ยวอะไรกับคุณทศล่ะ ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องผมไม่ใช่หรือ คุณทศเดือดร้อนอะไรด้วย" รุจน์ตะโกนออกไป

"อ้อ ขึ้นเสียงกับฉันหรือ เอาใหญ่นะ"ทศปราดเข้ามาจับแขนรุจน์กระชากเข้ามาใกล้
"โอ๊ย" รุจน์ถูกดึงเข้าไปใกล้ทศวรรษจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ เขารู้สึกตัวตนอันแข็งแรงของตัวเองกำลังหาย แต่จำต้องฝืนไว้
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ คุณทศเข้ามาถึงก็ทำกับผมแบบนี้ ในบ้านผม ในห้องผม" รุจน์กลั้นใจทำแข็งกร้าวไม่ลดลาวาศอก เขาไม่อยากใกล้ทศวรรษสักคืบสักศอกเพราะทศวรรษจะทำให้เขาโบกมือลาความตั้งใจของตัวเอง

"ผมไม่อยากทำงานที่ร้านนั่นอีกแล้วมันก็เท่านั้น มันน่าเบื่อ ผมเบื่อแล้วทั้งหมด รวมถึงคุณด้วย ผมไม่ได้เป็นรองเท้า ไม่ได้เป็นหมา แมว ผมไม่ได้อยากมีคุณค่าเทียบเท่าพวกมันเหมือนที่คุณอยากให้ผมเป็นหรอกนะ แต่คุณมันจะรู้อะไร นอกจากเอาแต่ดูถูกผม ตอนนี้จะมาสนใจทำไมว่าผมจะทำอะไร แค่ผมไม่อยู่ตรงนี้เกะกะคุณก็น่าจะพอใจแล้วไม่ใช่หรือ ผมไม่อยากเป็นเศษขยะในสายตาของคุณอีกต่อไปแล้วนะ รู้ไว้ด้วย" รุจน์ตะโกนใส่หน้าทศวรรษ เขารู้สึกตัวเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งพูดเขายิ่งหายใจไม่ออก

"ผมน่ะ ผมน่ะ"รุจน์หอบไปพูดไปราวคนที่เพิ่งหยุดวิ่ง เขาอยากหยุดแล้วเพราะรู้สึกเหนื่อยเต็มทนแต่ดูเหมือนไม่สามารถยับยั้งสิ่งที่กำลังหลุดออกมาได้อีกแล้ว

"ผมคือผม คือทุกสิ่งที่พูด คือทุกอย่างที่ทำ แต่เพียงเพราะมันไม่ตรงใจคุณใช่ไหม มันไม่ใช่สไตล์ของคุณซินะ คุณถึงรู้สึกว่าสิ่งที่ผมแสดงออกมันน่าสมเพช เลยตัดสินอย่างลำเอียงว่าผมสมองน้อย ดัดจริต ร่าน ก็แค่ทำไปเพราะต้องให้การให้คุณชอบจะได้มีเซ็กส์ครั้งต่อๆไปด้วยกัน มันถูกว่าผมชอบเซ็กส์ของคุณ ผมรักอ้อมกอดของคุณ รู้สึกขาดมันไม่ได้หากต้องห่างหายนานเกินไป ผมคิดถึงคุณทั้งวันเมื่อเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน" รุจน์รู้สึกเหมือนจะอาเจียนเพราะกลั้นสะอื้นที่กำลังผุดขึ้นในอกสุดกำลัง แต่เขาก็ปล่อยให้ทศวรรษเป็นต่อเขาไม่ได้อีกแล้ว

"ร่างกายนี้มันคืออะไรสำหรับคุณ" รุจน์สบตาทศวรรษนิ่ง
"ที่ผ่านมาคุณเกลียดผมมากนักหรือ? " เสียงของเขาแหบเครือขาดห้วง ทศวรรษจ้องกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาถอนใจแล้วยิ้ม เป็นยิ้มมุมปากเหมือนเคยซึ่งรุจน์เกลียดเหลือเกิน
"พูดมาซะเยอะ ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรียกร้องความสนใจ ใช่ไหม? นึกว่าจะทำอะไรได้สาระขึ้นมาบ้างซะอีก อุตส่าห์รีบมาดูแต่เช้า เสียเที่ยวชะมัด" ทศวรรษพยักหน้า รุจน์สะอึกเมื่อเห็นฝ่ามือตัวเองที่พรวดออกไป ใบหน้าของทศสั่นหลังเสียงสนั่น ทศวรรษชะงักเขาหันมามองรุจน์ราวกับจะกินเลือดเนื้อ

"ถ้าคุณเกลียดผม ผมก็จะเกลียดคุณ" รุจน์ตกใจกับคำพูดตัวเอง นี่ไม่ใช่เขาแล้ว
"กล้าดีอย่างไง แต่เล็กจนโต พ่อแม่ ญาติพี่น้องฉันยังไม่กล้าทำแบบนี้กับฉันเลยนะ" ทศวรรษพุ่งเข้ามาจับคางรุจน์บีบ
"กล้าดีอย่างไง ห๊า! กล้าดีอย่างไง" ทศวรรษโกรธจนตัวสั่นเขาเขย่าคางรุจน์แล้วผลักจนรุจน์ล้มลง รุจน์ยันตัวถอยกรูดเข้ามุมเขาทศวรรษกริ้วหนักพอที่จะฆ่าเขาได้กระมัง ทศวรรษคว้าข้อเท้าของรุจน์ รุจน์ดิ้นพล่าน

"คุณทศผมขอโทษ ผมลืมตัว" รุจน์พยายามต้านแรงดึงของทศวรรษ
"ขอโทษเหรอ แก้ตัวเหรอ ไม่คิดว่ามันสายไปหรือ ก่อนทำกับฉันคิดบ้างไหม ฉันจะฆ่าแก"ทศวรรษลากรุจน์เข้าไปหา
"อย่าฮะคุณทศ ผมขอโทษจริงๆ" รุจน์พุ่มมือไหว้
"เหรอ ขอโทษ เหรอ เออก็ได้" ทศวรรษชกเข้าหน้าท้องของรุจน์ รุจน์ร้องไม่ออกจุกตัวงอเป็นกุ้ง ทศวรรษดึงเข็มขัดออกจากกางเกงของรุจน์

"ถ้าต้องการไปจากชีวิตของฉันเพียงเพราะเรียกร้องในสิ่งที่อยากนักหนาไม่ได้ล่ะ เชิญไสหัวไปเลยแต่ก่อนไปนายต้องรู้ว่าใครกันที่แน่กว่ากัน" ทศวรรษแกะเนคไทแล้วดึงมันออกจากคอเสื้อ เขาไม่ปลดกระดุมเสื้อแต่ใช้กำลังกระชากออกจนด้ายขาดเนื้อผ้าบางส่วนขาดออกไปด้วย

"อย่านะคุณทศ ผมต้องไปทำ..." รุจน์พูดเสียงแหบแห้ง พยายามขัดขวางแต่มือเท้าก็อ่อนด้วยพิษหมัดของทศวรรษ
"งานนั่นช่างมันประไรซิ"
"ไม่นะครับ ผมไม่พร้อม" รุจน์ใจหายเมื่อได้ยินเสียงซิบกางเกงตัวเอง รู้สึกว่ามันเคลื่อนหลุดออกจากกาย ตามด้วยอันเดอร์แวร์

"ฉันไม่ได้ต้องการความพร้อมนี่ นี่คือบทสั่งสอน ไม่ใช่บทรัก เผื่อสมองระดับต่ำนี่จะแยกไม่ออก โดนซะบ้างจะได้หลาบจำว่าอย่ากำแหงกับฉัน"ทศวรรษจิ้มที่ศีรษะของรุจน์แรงขณะทาบทับ มือที่จิ้มศีรษะเลื่อนลงไปที่ขาของรุจน์แล้วดันมันขึ้น รุจน์หายใจขัด เขารู้ว่าเมื่อร่างกายไม่ได้ถูกเล้าโลมก่อนมีเซ็กส์จะเกิดอะไรขึ้น

"ผมขอโทษ ผมขอโทษ ให้กราบก็ได้" รุจน์ไหว้อีกครั้ง เขากลัวจับใจ ทศวรรษยักไหล่แล้วยกอีกมือปิดปากรุจน์ เขาโถมตัวมาข้างหน้าอย่างแรง รุจน์กระตุกร่างกายเกร็ง ภาพเพดานพร่าราวทีวีจอเสีย เสียงอู้อี้ภายใต้ฝ่ามือทศวรรษฟังไม่ได้ศัพท์ เท้าของเขาจิกที่นอนจนขาวซีด ทศวรรษปล่อยมือจากปากของรุจน์ แล้วเริ่มจังหวะของเขาอีก รุจน์กรีดร้อง

"เจ็บ คุณทศผมเจ็บฮะ พอได้แล้ว " รุจน์น้ำตาไหล แม้ร่างกายของเขาจะคุ้นเคยกับการรุกของทศวรรษ แต่มันต้องผ่านการเล้าโลมและตัวช่วยที่ทำให้ลื่นไหล การรุกเข้าภายในด้วยปราศจากการตั้งรับ มันนรกชัดๆ รุจน์กระอักสะอื้นทุกครั้งที่ทศวรรษเคลื่อนไหว มันรุนแรงจนแทบจะฉีกร่างกายเขาให้เป็นชิ้นๆ บทรัก บทลงโทษ มันต่างกันสิ้นเชิงจริง

"ชู่ววววส์...." ทศวรรษส่งเสียงปราม เขาก้มลงกระซิบของหูรุจน์
"อย่าส่งเสียงหนวกหูซิ นายก็ทำฉันเจ็บเหมือนกันนี่นา เจ๊ากันแล้วนี่ เนอะ"

ด้วยอาการไหวสะเทือนสม่ำเสมอจากการถูกถั่งโถมเข้าใส่ รุจน์หลับตา กัดปากอดทน นึกภาวนาให้มันจบลงก่อนที่ร่างกายนี้จะทนไม่ไหว

ทศวรรษนั่งห่อไหล่ หน้าซีด ดวงตาเบิกโพลงบ่งบอกว่าตระหนกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
"จะ เจ็บ คุณทศพอเถอะฮะ" รุจน์ยังคงนอนหลับตา ริมฝีปากแห้งผากพึมพัมราวเครื่องเสียงแทรคชำรุด ร่างกายของเขาขดงออีกครั้งหลังทศวรรษผละออกมาแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ทศวรรษตาค้างอยู่ขณะนี้ สิ่งที่ทำให้เขาตาค้างคือ บริเวณช่วงหว่างขาขารุจน์ที่บัดนี้ปรากฏร่องรอยคราบโลหิต มันซึมเป็นดวงบนผ้าปูทีนอนเช่นกัน

"รุจน์ มันจบลงแล้ว" ทศวรรษจับใบหน้าซีดเซียวของรุจน์ขึ้นประคอง
"คุณพอใจแล้วใช่ไหม" รุจน์ผลักเขาออกห่าง แล้วค่อยพยุงตัวลุกขึ้น มองเห็นสภาพตัวเองก็ร้องไห้จนไหล่สะท้าน
"ทำไมผมไม่ตายไปซะเลยนะ"
"นายจะไปโรงพยาบาลไหม" ทศวรรษถามเสียงเรียบเขาตั้งสติได้แล้ว
รุจน์ถอนใจ ความเจ็บปวดนี้กัดกินเขาไปทั้งตัวและหัวใจ

"ตลอดเวลาสองปีเต็มที่ผมอยากจะเข้าใจคุณ หวังเหลือล้นสักวันเราใช้ใจคุยกันนอกจากร่างกาย แต่นั่นมันก็แค่ความฝันที่แหลกลลายของผมเท่านั้น ต่อไปอย่ากลับมาที่นี่อีก ผมไม่เหลืออะไรให้คุณอีกแล้ว เรา เรา..." รุจน์ร้องไห้ ใจของเขาเจียนจะขาด พยายามเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น
"เราจบกันเถอะครับ"

"แต่นายไม่จำเป็นต้องลาออกจากงาน ใช้หัวคิดหน่อยซิต้องเสียผลประโยชน์ทำไม ก็แค่ฉันจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีก"
"ไม่ต้องมายุ่ง!!! ผมไม่ต้องการความเห็นเลิศเลอของคุณ นี่มันชีวิตของผม ผมจะทำอย่างไร คุณไม่มีสิทธิ์ ผมกับคุณทศสิ้นสุดกันเสียทีนะครับ" รุจน์กัดปากตัวเอง ความเจ็บทางกายยังไม่เท่าที่ต้องพูดแบบนี้กับทศวรรษ......นี่ต่อไปเราจะไม่เจอเขาอีกแล้วจริงหรือ.... รุจน์ใช้มือปาดน้ำตา

ทศวรรษใส่เสื้อผ้าไปพูดไป


"อือ งั้นฉันจะไม่พูดอะไรอีก สองปีที่ไม่มีอะไรดีนอกจากเซ็กส์ นายเบื่อ ฉันเบื่อ เราก็แยกย้ายเถอะนะ แต่จำใส่หัวไว้ก็แล้วกัน ว่า นายเกลียดฉัน และ ฉันก็เหมือนกัน และฉันไม่คิดขอโทษกับทุกอย่างที่ผ่านมาหรอกนะ ฉันเป็นของฉันแบบนี้ นายจะว่าฉันเลวชาติก็ตามใจ เพราะเราจะไม่มีวันจอกันอีกแล้ว" คำพูดเย็นชา ฟังแล้วรุจน์รู้สึกราวกับถูกมีดปลายแหลมเล่มยาวแทงหลังจนทะลุหน้า ส่วนทศวรรษก็สะเทือนใจ หดหู่สายตากับเลือดที่ขาและบนที่นอน แต่สุดท้ายก็ตัดใจเดินไปที่ประตู

"สองปีกับสัมพันธ์ทางกาย ลืมง่ายจะตาย" ทศวรรษพูดทิ้งท้ายก่อนเปิดประตูเดินออกจากห้อง
รุจน์ปล่อยโฮออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตู
"ผมไม่คิดว่าคุณผิดเลยสักนิด แม้คุณจะร้ายกาจขนาดนี้ ผมเองต่างหากที่ผิดไปหลงรักคุณจนลืมตัวเอง แม้จะเป็นแบบนั้นแต่ทุกเช้าเมื่อลืมตื่น ใจผมก็รักคุณ ผมไม่มีวันเกลียดคุณหรอก คุณรู้ไหม" รุจน์กำหมัดทุบที่นอน
ผ่านไปไม่นานรุจน์ก็ยันตัวลุกขึ้น ร่างกายเขาร้าวทั่วสพางค์จนแทบไม่อยากขยับ รุจน์แข็งใจก้าวลงจากเตียง หยิบผ้าห่มมาคลุมตัว เขาเหลียวกลับไปมองที่คราบเลือดอีกครั้ง จู่ๆคำของผู้หญิงคนแรกที่นอนกับเขาตอนงานฉลองจบการศึกษา เธอเป็นสาวจบจากคณะอะไรไม่รู้เธอมากับเพื่อน รุจน์กับหล่อนชอบลอบมองกันแล้วหล่อนก็ชวนรุจน์ หลังมีสัมพันธ์กันแล้วหล่อนกับรุจน์ ยังกอดก่ายกันอยู่ หล่อนได้บอกกล่าวเรื่องหนึ่งกับเขา หล่อนพูดว่า....กายสัมพันธ์ที่ไม่เกี่ยวกับหัวใจน่ะ มันสนุก และลืมง่าย แต่เมื่อใดก็ตามที่เราใส่ใจ เซ็กส์จะทำให้หัวใจของเรายืนบนทางสองแพร่ง เจ็บปวด หรือ นิรันดร ฉะนั้นเวลามีเซ็กส์กับคนที่ไม่มีใจอย่าให้ใจเขาไปเด็ดขาด.... รุจน์หลับตานิ่งเขาจำได้แต่เขาห้ามร่างกายที่โหยหาทศวรรษไม่ได้แล้ว ที่สุดนั้นใจ...ก็ตามกายไป




Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 12 ตุลาคม 2554 21:28:15 น.
Counter : 269 Pageviews.

2 comment
Body Talk (BL) บทที่ 3
บทที่ 3

ในความเงียบที่มีแค่ลมหายใจของเราสองคนซึ่งสอดประสานกันเรื่อยริน ร่างกายของเราสองคนเคลื่อนไหวรุ่มร้อนตะกรุมตะกรามกันและกันคล้ายจะดูดกลืนกันและกันให้หายสาปสูญไปในร่างกายที่เร่าร้อนของอีกฝ่าย ผมควบคุมตัวไม่ได้มันขยับสนองตอบสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ราวคนที่กระหายน้ำในทะเลทราย ราวกับดินแล้งที่แตกย่อยยับแล้วได้รับฝน ราวกับดอกไม้เมื่อต้องแสงอรุณ กายของผมเบิกบานจนปกปิดไม่อยู่แบบนั้นจริงๆ สองปีมานี้ผมเคยมองผู้ชายคนอื่นแม้แต่คุณวุฒิแล้วถามตัวเอง ลองจินตนาถึงการหลับนอนกับคนเหล่านั้น แต่มันทำเอาอารมณ์ผมป่วยไปเลย
สิ่งนี้หากไม่ใช่เขา ทำอย่างไรผมก็คงไม่สามารถยอมรับได้ ความรื่นเริงกับการได้จูบกับเขา ได้สัมผัสเขาทุกสัดส่วน ได้บรรเลงเพลงรักกับเขาคนนี้มันช่างพริ้วพรายในความรู้สึกจริงๆ ผมเริงรมย์และสงสัยอยู่ในทีเหมือนกันเพราะเหตุใด ระหว่างเรากลายทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ในเมื่อครั้งที่ถูกบังคับขืนใจผมกลัวและชิงชังผมจนไม่อยากเห็นเขาอีก ร่างกายที่ไม่อาจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเจ็บป่วย ผมอาบน้ำนานไปด้วยเพราะอยากล้างสัมผัสและกลิ่นของเขาออกให้หมด เพราะต้องการกลับมาหมดจดอีกครั้ง
สุดท้ายไข้ก็ขึ้นสูง ผมไม่ได้ไปทำงาน คุณวุฒิโทรตามผมตลอดสามวันที่ผมไม่เข้าร้าน ผมบ่ายเบี่ยงที่จะพูดกับเขา พวกเขาเป็นเพื่อนกัน ผมก็สามารถมองหน้าคุณวุฒิได้อีก ผมไม่ได้เกลียดคุณวุฒิแต่ผมเห็นตัวเขาในตัววุฒิ แม้จะเสียดายงานแต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก คำพูดที่เขาปรามาสผมไว้จะได้กลายเป็นคำพูดที่สร้างความน่าอายให้กับเขาเองที่มองผม ตัดสินผมผิดไป

แต่แทนที่จะเป็นคุณวุฒิจะเดือดร้อน กลับเป็นเขาที่มาหาผมถึงบ้าน เขาโกหกคุณวุฒิว่าที่ผมลาออกจากงานเพราะผมโกงเงินเขา ผมใช้ความสนิทสนมส่วนตัวทำการนั้นโดยไม่บอกคุณวุฒิแล้วก็ไม่คืน ขอที่อยู่เพื่อจะเอาตำรวจไปจับผม พอเห็นคุณวุฒิลังเลเขาก็ขู่ว่าหากคุณวุฒิไม่ให้จะถือว่าสมรู้ร่วมคิดกัน จะไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนเอาเข้าตะรางทั้งคู่เลย คุณวุฒิเลยยอมบอกที่อยู่ของผม เขาให้คุณวุฒิโทรมาบอกว่าจะมาพบ พอกริ่งหน้าประตูดังผมก็เปิดด้วยคิดว่าเป็นคุณวุฒิมาตื้อให้กลับไปทำงาน

ทันทีที่เปิดประตู โดยไม่ตั้งตัวเขากระแทกประตูจนผมกระเด็น เขาเข้ามาบีบคอและดันผมติดผนัง จากนั้นก็หยิบมีดออกมาจ่อที่คางของผมพร้อมทั้งพูดด้วยเสียงอันทุ้มต่ำ ดวงตาประกายกร้าว ...หากนายไม่กลับไป ฉันเอาตายแน่ หมาตายสักตัวไม่มีวันเป็นคดีหรอก ฉันทำได้เชื่อซิ.... เขากดปลายมีดจมลงเนื้อปลายคางผมทีละน้อยที่สุดเนื้อก็ปริจนเลือดซึม บอกตามตรงตอนผมกลัวสุดชีวิตไม่เคยกลัวมากเท่านี้มาก่อนเลย ผมกลืนน้ำลาย เขารวย บ้านเขาเป็นตระกูลนักธุรกิจดังคับฟ้า เขาทำได้ทุกอย่างในประเทศที่มีพระเจ้าเป็นเงินประเทศนี้
แต่ผมจะต่อต้านพระเจ้า แม้เลือดหยดแรกจะหยดบนเสื้อวงแดงซึมเข้าเนื้อขยายจางลง ผมยังนิ่งจ้องหน้าที่ไร้ยางอายของเขา แต่วินาทีเล็กๆวินาทีนั้น ในดวงตาของเขา แววประกายที่เกิดขึ้นเพียงแวบเดียวและรีบหายไปในวินาทีเดียวกัน ผมกลับไปทำงาน ขอโทษคุณวุฒิที่คิดหางานเลยหายไปเฉยๆ ส่วนเขาก็บอกกับคุณวุฒิว่าที่เขาบอกในตอนแรกเป็นการล้อเล่น ผมไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เขาอำ เขาแค่อยากให้ผมกลับมาดูแลเรื่องการซื้อขายภาพให้เขาเหมือนเดิม แล้วก็ตบบ่าคุณวุฒิหัวเราะลั่น น่าสงสารคุณวุฒิเหมือนกันยืนฟังเราสองคนสลับกันพูดจนมึน แต่เขาก็เลิกใส่ใจในเวลาไม่นาน เพราะลูกค้ากับลูกจ้างกลับมาเหมือนเดิมแล้ว และในคืนเดียวกันนั้น เขาก็เล้าโลมให้ผมนอนเขาอีกครั้ง และคราวนี้ผมก็นอนกับเขาอย่างยินยอม แม้ร่องรอยเดิมทั้งกายและใจจะยังเจ็บปวด แต่หากใจของผมกลับยืนยันที่จะตามเขาขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็แล้วแต่เขาจะพาไป ที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ เพียงขอเพียงให้เขาพอใจ ด้วยว่าหัวใจของผมอ่อนแอและไหวหวั่นกับแววตานั้น แววตาที่เปิดเผยอย่างลืมตัว แววตาที่บ่งบอกถึงบางสิ่ง ไม่มากไม่น้อยที่คนสมองอยู่ที่หัวใจอย่างผมพอจะอ่านและเข้าใจได้
....ได้โปรดอย่าหนีไปไหน...
อาจเพราะผมอยากรู้ อยากเข้าไปสู่ความความรู้สึกอันนั้น อยากให้ได้ยินได้ฟังที่เขาจะพูดสักวัน

ผมเอียงใบหน้าซบกับศีรษะของเขา จังหวะเร่งเร้าหนักหน่วงพาผมกลับมาหาเขา ณ ขณะปัจจุบันของเรา
"คุณทศ ดีเหลือเกินฮะ" ผมครางออกมาพร้อมกับโอบรัดวงแขนรอบบ่าของเขา มันรู้สึกดีน่ะครับที่ผมทำให้ร่างกายเย็นชืดของเขาอุ่นขึ้นแล้วซินะ เขาถึงเร่าร้อนจนผมแทบลืมหายใจแบบนี้ หากการโอบกอดคือการบอกซึ่งแสดงความใส่ใจในแบบที่เรียกว่าอยากซึมซาบรู้สึกของผู้ที่ในอ้อมแขนอย่างหมดใจ การโอบกอดของผมก็หมายถึงเช่นนั้น ด้วยความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมอาจเป็นมนุษย์คนที่เขาบอกว่างี่เง่า

แต่ผมก็ไม่รู้วิธีอื่นที่จะแสดงซึ่งความหมายของเขาที่มีต่อผมอย่างไร ผมอยากเป็นคนลึกลับ ซับซ้อน มองยาก ต้องคิดลึกซึ้งอย่างคนอื่นเหมือนกันหากการเป็นแบบนั้นมันจะให้เขามองผมมากขึ้น ผมเริ่มเคลื่อนไหวกายตอบสนอง แต่คุณทศครับ ผมทำได้แค่นี้ นี่คือตัวผม คนที่ตกหลุมรักคุณอย่างชนิดที่ว่าหมดแล้วซึ่งหัวใจที่สามารถรักผู้ชายคนไหนได้อีก

ฝนข้างนอกเริ่มอ่อนแรงพร้อมๆกับเพลงพิศวาสของเรา เขาจรดจูบริมฝีปากของผมอย่างตั้งใจก่อนจะถอนริมฝีปากออก รอยยิ้มของเขาคลี่บานราวดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แม้จะเหนื่อยล้าผมก็ยิ้มตอบด้วยใบหน้าและสายตาที่สดใส เขาหยุดรอยยิ้มแล้วล้มตัวนอนข้างผม ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอข้างใบหู ผมพยุงตัวลุกขึ้นเอื้อมมือไปหยิบผ้าที่ใช้คลุมภาพข้างตัวเขามาห่มให้ด้วยว่าอากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นแล้ว เขาขยับซุกตัวภายใต้ผ้า
ส่วนผมแหงนมองนาฬิกาบนผนังซึ่งตัวเลขบนหน้าปัดบอกเวลา 22.00 แล้วขยับคลานไปหยิบเสื้อเชิ้ทของตัวเองที่กองอยู่ปลายเท้าของเขาเข้ามาสวมลวกๆเพียงตัวเองแล้วกลับมานั่งข้างๆเขา เฝ้ามองเขายามหลับไหล ปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าให้เขาเบามือ

ฝนขาดเม็ดลงเรื่อยๆเสียงซู่ซ่าเปลี่ยนเป็นเปาะแปะ ผมลุกเดินมาที่หน้าต่างเปิดผ้าม่านออก ข้างนอกราวกับเมืองร้าง ผู้คนที่มากมายในชั่วโมงรีบเร่งตอนเช้ากลายเป็นแค่จินตนา รถราขาดช่วงหายไปไม่ใช่ติดเป็นพรืด แสงสว่างกลายเป็นมืดมน แสงไฟเข้ามาแทนแสงแดด เสียงเพลงจากสถานบันเทิงจากแหล่งที่อยู่ถัดไปสองช่วงตึกแว่วลอดผ่านกระจกเข้ามาเบาบาง ผมพิงศีรษะกับกรอบหน้าต่างมองภาพบรรยากาศชวนเหงาครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาที่เขา หลายครั้งที่เราออกไปเที่ยวกลางคืนด้วยกัน ทศวรรษเป็นคนดึงดูดผู้คนรอบกายเขาเสมอ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ทั้งรู้จักไม่รู้จักก็อยากเข้ามาทำความรู้จัก

ดูเหมือนเขาจะเป็นศูนย์กลางของโลกที่ส่งแรงดึงดูดให้ผู้คนเคลื่อนเข้ามาหา แต่เขากลับเลือกที่จะนั่งดื่มหรือออกไปต่อกับคนไม่กี่คน หลายครั้งที่เขาเลือกผู้หญิงให้ผมและตัวเองเพื่อเอาไว้อิงแอบยามดื่ม เราสนุกกันตามประสาผู้ชายกับผู้หญิงของเรา ทว่าเราก็ไม่เคยพาพวกหล่อนไปไหน ทศวรรษกับผมมักพาพวกผู้หญิงที่อยู่กับเราค่อนคืนกลับบ้าน ส่วนเซ็กส์เป็นเรื่องของเราสองคน ผมอาจจะจูบและโอบกอดผู้หญิงที่อยู่กับผมตลอดเวลาที่ในผับหรือบาร์ แต่อารมณ์ของผมอยู่ที่เขาเท่านั้น ผู้หญิงที่อยู่กับเขาไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดใจหรือมั่นใจน้อยลง มีเหมือนกันที่ผมลองขอให้เราแยกกันนอนกับผู้หญิงที่อยู่กับเรา ผมยังต้องการผู้หญิงในเวลาที่เหล้าและกลิ่นอายของหล่อนรัญจวญเร้าอารมณ์ของผมไม่น้อย

บทสรุปของคืนที่ผมลองของน่ะหรือ คือผู้หญิงทั้งสองปลอดภัยดี แต่ผมกลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวยแทน เพราะอย่างนั้นเองผมถึงรู้สึกพึงพอใจที่เขาไม่เลือกใครนอกจากผมทั้งที่ผู้คนสวยงามทั้งหญิงชายจะรายล้อมเขามากมายก็ตาม แม้เขาไม่ค่อยจะดีกับผม แต่เขาก็มองเห็นผมท่ามกลางคนพวกนั้นเสมอ ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วยื่นเท้าไปเตะขาของเขาเบา

"นี่ เล่นแบบนี้เลยเหรอ" เสียงเขาดุ ผมตกใจรีบหดเท้ากลับ แต่เขากลับคว้าข้อเท้าของผมไว้แล้วดึงเข้าไปหา
"เล่นเท้ากับผู้ใหญ่ไม่ดี ไม่มีใครเคยสั่งสอนหรือไง" เขาเลื่อนมือมาที่ต้นขาเปลือยของผม
"ผู้ใหญ่อะไรกันแก่กว่าผมแค่สองปีเอง สมัยเรียนผมก็มีเพื่อนอายุเท่าคุณ" ผมหายใจแรง มือของเขาลูบไล้ผิวเนื้อของผมเบามือ

"ฉันไม่อยากเป็นรุ่นเดียวกับนายนี่ อยากขี่บนหัวนายตลอดไป" เขายันตัวลุกขึ้นนั่งผ้าที่คลุมหลุดกองที่ตัก ร่างกายสะอาดขาวของเขาดูดีด้วยกล้ามอกและแขนอันสมส่วน ส่วนนี้ทำให้เขาสง่างามยามเยื้องย่างหรือแม้แต่แค่ยืนนิ่งๆ ต่างกับผมที่ผอมก้างไร้บุคลิกอย่างลิบลับ

"แล้วไอ้แบบที่พี่ไม่ต้องน้องจัดให้ เมื่อกี้มันอะไร"เขาทำหน้าเข้มใส่ผม หน้าผมร้อนฉ่า เขาต้องดูถูกด้วยถ้อยคำหรือการกระทำเลวร้ายแน่ๆ ผมก็แค่ร้อนแรงกับอารมณ์มากไปหน่อยเท่านั้นทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ
"คุณไม่ชอบหรือครับ" ผมเสียงอ่อย พยายามจะดึงเท้ากลับ แต่เรียวนิ้วของเขาแข็งแรงเหลือเชื่อ
"คิดว่าฉันคิดอย่างไรล่ะ" มือของเขายุกยิกลุกไล้ขึ้นมาอีก รีบจับมือเขาไว้

"ขอโทษครับ" ผมถดถอยออกมาเมื่อการเคลื่อนไหวของมือของเขาหยุดแล้ว แต่เขาไม่ยอมปล่อยข้อเท้าผม
"อืม....ทำเอาฉันเพี่ยงพล้ำเผลอหลับอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย แถมตื่นขึ้นมาก็ดันกังวลอีกว่านายอยากทำกับใครอีกหรือเปล่า" เขายกเท้าผมขึ้นจุบ ผมตกใจ และพอเขาเผลอผ่อนแรง ผมก็รีบกระชากเท้ากลับ
"ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ ครับ อย่าทำอีกนะครับ ผม ผม " ผมใจสั่นจนแทบจะกระเด็นออกมาข้างนอก

"ชู่ๆๆๆ" เขาส่งเสียงห้ามผมพูดต่อ แล้วจุบไล่ขึ้นมาที่ขา ต้นขา ไล่สูงขึ้นเรื่อย เขาจูบเก่งมากจนผมยอมแพ้ยอมล้มตัวนอนอีกครั้ง
"คำตอบคือ ฉันชอบมาก ที่นายเร่าร้อนดิบเถื่อน ได้ใจขนาดนี้ แล้วนี่ก็รางวัลของนายไงล่ะ" คำพูดของเขาแม้จะชัดเจนหากแต่ในสมองอันพร่าเลือนของผมแทบจับใจไม่ได้

ตอนนี้ 01.00 น.

ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว ส่วนเขากำลังหยิบเนคไทขึ้นมาคล้องคอ เสื้อเชิ้ทก็ไม่ได้ทับชายในกางเกง ผมนั่งชันเข่าบนโซฟา เฝ้ามองรูปร่างของเขานับแต่ไร้อาภรณ์จนมีอาภรณ์สวมทับ ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะไหนสำหรับผม ก็ไม่อาจถอนสายตาไปไหนได้ ลองได้เริ่มต้นจับจ้องก็ต้องอยู่ตรงนั้นจนกว่าเขาจะลับกายหายไปจากสายตา ผมซบใบหน้ากับเข่า มืออยู่ที่เท้าลูบคลำมันเพลิดเพลิน

"กลับล่ะ" เขาหันมาพูดแค่นั้น กำลังจะก้าวออกจากห้องก็เหมือนนึกอะไรได้จึงเดินกลับมา พอถึงตรงหน้าผมก็ทรุดตัวลงนั่งบนข้อเท้า อมยิ้มขันๆ
"นี่นายยังอาวรณ์กับรอยจูบนั่นอีกหรือ ลูบคลำอยู่ได้ นายนี่มันชอบทำอะไรฉันขำกึ่งสมเพชอยู่เรื่อย ไม่ต้องไปเอาใจใส่มันนักหรอก กับผู้หญิงที่ฉันนอนด้วยทุกคน หากร้อนแรงดุดันถูกใจฉันก็ให้กำลังใจทั้งนั้นล่ะ ไม่มีความหมายพิเศษอะไรหรอก ที่บอกเนี่ยะเพราะไม่อยากให้นายสำคัญอะไรผิดไป ตาหวานเชียว ฉันไม่ได้บอกใครเลยนะนอกจากนาย" คุณทศวรรษยื่นมือมาขยี้ศีรษะผม เขาถอนใจยาวแล้วลุกขึ้นยืน

"อ้อ ไอ้พวกหมา แมว ของฉันที่เลี้ยงไว้ ถ้ามาคลอเคลียฉันตอนอารมณ์ดี ฉันก็จูบฝ่าเท้าพวกมันเหมือนกันกับนาย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติพร้อมทั้งรอยยิ้มทั้งดวงตาและใบหน้า แต่ฟังแล้วผมต้องเม้มปากแน่น พยักหน้ารับทราบ
"วันศุกร์ฉันไม่มาแล้วนะ ตารางร่นมาคืนนี้แล้ว"
"แต่นี่มันกระทันหันไม่ใช่หรือครับ" ผมผุดลุกขึ้นยืน

"อย่าทำเหมือนคนขาดเซ็กส์ไม่ได้ไปหน่อยเลย ฉันว่านายมีความต้องการอันบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจะพูดให้ตรงคือ นายดูร่านเกินไป มันก็ดีสำหรับเวลาเรามีอะไรกัน ฉันชอบ แต่หากทำจนเคยตัวนายเองที่จะลำบาก ฉันจะไม่พบกับนายถี่เกินไป ฉันต้องทำงาน เวลาทุกนาทีของฉันมีค่า เครียดจัด เบื่อจัด เท่านั้นที่ฉันอยากเจอนาย หากถ้านายทนไม่ไหวกับเวลาของฉัน หาคนอื่นก็ได้ ฉันไม่ถือ"

"ร่านหรือ!! หาคนอื่นก็ได้หรือ ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะครับ ที่ผมทำให้คุณเพราะผมคิดถึง อยากอยู่กับคุณ อยากให้คุณรู้สึกสบาย พอใจที่สุด ขณะที่เราอยู่ด้วยกัน อยู่บนเตียงหากคุณต้องการผมสามารถทำได้ยิ่งกว่าโสเภณี แต่นั่นมันหมายถึงเพียงคุณเท่านั้น ไม่ใช่คุณผม ผม ผมน่ะ.." ผมรู้สึกเหมือนถูกเข็มแทงที่สมองจนแทบจะกรีดเสียงอันโหยหวนออกมา

คุณทศวรรษกอดอกมองผมนิ่ง เขาส่ายหน้ากลอกตาแล้วหันหน้าหนี ผมอึ้งจนคำพูดนอกจากทรุดตัวลงนั่งที่เดิมมองเขาเดินกลับไปเปิดประตูก้าวออกไป ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า หรือ ชินชา หรือ ตายด้าน ไม่รู้สิ ผมแค่สงสัยว่าเขาเกลียดบรรกาศดีๆหลังร่วมรักหรือเปล่า มือที่ลูบไล้เท้าของผมยังคงหยุดนิ่งอยู่บนหลังเท้า ผมทิ้งสายตามองมันเงียบๆ
"เท้าผู้หญิงทุกคน" ผมหัวเราะเบาๆแล้วเลื่อนมือไปจับตรงที่เขาจูบ
"เท้าหมา เท้าแมว...." ผมพึมพัมในคอ

ผมกลับถึงบ้านเวลา03.30
โยนของที่ถือกลับมาทุกอย่างโครมบนโซฟาในห้องนั่งเล่น มองห้องมืดแล้วรู้สึกปวดหัวตึบหนัก คุณทศวรรษไม่เคยมาส่งผมสักครั้ง เขาเรียกผมไปหาที่ที่เขาต้องการ โรงแรม คอนโด ที่ร้าน หรือบ้านพักตากอากาศของเขา พอเห็นหน้ากันก็ดึงดูดเข้าหากัน ร่วมรักปลดเปลื้องความต้องการกันอย่างสุดโต่ง จนเพลิงรักมอดดับ แล้วต่างคนต่างแยกย้าย ผมทนอยู่แบบนี้ได้อย่างไร อยากให้คนอื่นหรือ ผมเดินเข้ามาในห้องนอนถอดเสื้อผ้าอีกครั้งเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำในอ่างแช่ตัว แล้วนั่งบนขอบอ่างมองสายน้ำไหลจากก๊อกลงสู่ก้นอ่าง พอน้ำปริ่มผมก็ก้าวลงนอนแช่ ผมไม่ควรใส่ใจคำพูดของเขาให้เจ็บช้ำน้ำใจใช่ไหม? ดั่งเพลงที่ใครคนหนึ่งเคยร้องไว้ แทนที่จะกำหินไว้ให้เจ็บมือ โยนออกไปเสียดีกว่า คำพูดแย่ๆพวกนั้นโยนมันออกไปให้หมด ผมรักเขานี่นา ผมจะลืม ลืมให้หมด มันจบลงแล้ว สิ่งที่เขาก็พูดออกมาแล้วเอากลับไม่ได้ มีแต่เราคนฟังต้องทำใจ

ผมมองเพดานห้องน้ำลายปลาโลมาตัวกลมสีน้ำเงิน รักหรือ แล้วผมรักเขาตอนไหน แววตาเหงาเป็นแค่จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากเริ่มต้นมองเขาใหม่ การเสพสมครั้งที่สองก็เพียงอยากค้นหาความจริงที่ดวงตานั้นพยายามแสดงตัวออกมา แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านเป็นปีต่อปีแววตานั้นกลับหายสาปสูญไร้ร่องรอย แต่กลับเป็นความรู้สึกของผมต่างหากที่เริ่มผิดเพี้ยนไป

ผมเฝ้าแต่รอคอยที่พบกับเขา อยากกอดเขา อยากมีเขาอยู่ใกล้ๆ อยากจูบกับเขา อยากอิงแอบกับเขาอย่างนั้นให้นานแสนนานเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ ผมรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้ว่าคือ รัก แต่เขากลับมองสิ่งที่ผมทำทุกอย่าง แค่ผม...ร่าน

ภาพปลาโลมาเริ่มโย้เย้ไม่คมชัด ผมกระพริบมองซ้ำก็ยังเหมือนเดิม ใบหน้าของผมจมอยู่ในน้ำ หัวใจผมจมกับคำพูดที่ว่า ร่าน.....หาคนอื่นก็ได้.....

ผมยิ้มอย่างอ่อนโรยใต้น้ำ
"สุขสันต์ครบรอบสองปีของเรา"

ผมมาทำงานโดยมีอาการปวดหัวติดหนึบตลอดเวลา หลังอาหารเช้าแม้จะกินยาแก้ปวดแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น น้องเก๋ผู้ช่วยของผมกลับมาทำงานปกติแล้ว หล่อนจัดดอกไม้เสร็จและกำลังจะนำแจกันไปวางตามจุดต่างๆในร้าน จากนั้นหล่อนก็กลับมากอบดอกไม้เก่าของเมื่อวานลงถังขยะทั้งหมด ผมเดินไปหยิบดอกกุหลาบขึ้นมามอง จู่ๆขอบตาก็ร้อนผ่าว มือกำดอกไม้แน่นไว้กับอก มันพอเสียทีดีไหมกับสองปีที่ไม่มีความหมาย ต่อให้รักหมดใจ ต่อให้มอบเลือดในกายทั้งหมด ต่อให้ยินยอมทำทุกอย่างเพื่อเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และต่อให้ตายตรงหน้า ทศวรรษก็คงแค่แสยะยิ้มแล้วพูดว่า "นายมันโง่เง่าสิ้นดี" ผมพิงศีรษะกับผนัง ควรไปจากตรงนี้เสียก่อนคุณค่าตัวเองจะตกต่ำยิ่งกว่าหมา แมวของเขาจะดีกว่าไหมนะ? หายไปจากชีวิตของเขาก่อนที่ถูกตราหน้าว่าน่ารำคาญเหมือนพวกสวะ แล้วก็ถูกเอ่ยปากไล่

ผมหันหน้าไปแนบผนัง น้ำอุ่นหยดแรกเอ่อล้นไหลลงผิวแก้ม มันดีตรงไหนที่คุณเป็นแบบนี้? มันดีตรงไหนที่ผมก็รักคุณเหลือล้นแบบนี้? ผมไม่อาจห้ามน้ำตาหยดสองและสามได้อีกต่อไป

"พี่รุจน์คะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?" เสียงผู้ช่วยดังเบื้องหลังผม ผมรีบโบกมือไล่หล่อนให้ออกไปจากห้องก่อนที่หล่อนจะเห็นความเป็นไปของผม
"พี่ไม่ค่อยสบาย ปวดหัวจนแย่น่ะ เก๋ไปดูหน้าร้านสักครู่นะ เดี๋ยวพี่จะตามไป" ผมเงยหน้าไล่น้ำตา
"ค่ะ อย่านานนะคะ มีลูกค้ามาขอพบน่ะค่ะ" หล่อนรายงานก่อนออกจากห้อง

ผมโยนดอกไม้ทิ้ง เดินไปล้างหน้าในห้องน้ำจัดสูทจัดเนคไทเข้าที่ แล้วเดินตรงไปที่หน้าร้าน
ภายใต้แสงแดดอ่อนในยามเช้า ร่างเพรียวบางในชุดทำงานสีขาวยืนสงบนิ่ง ผมยาวถูกขมวดเป็นมวยเหน็บไว้ด้านหลัง ใบหน้าแต่งแต้มบาง ริมฝีปากหุบสนิทราวกลีบกุหลาบสีชมพู ลำคอละคงตั้งตรงไม่ไหวติง ผมสูดหายใจลึกหล่อนคงเป็นนางฟ้าที่สวรรค์ส่งมาปลอบโยนผมในยามที่จิตใจยับเยินเช่นนี้
"สวัสดีค่ะ คุณรุจน์" พิสราหันมาแย้มยิ้ม ดั่งกุหลาบคลี่บาน
"อรุณสวัสดิ์ครับ" ผมโค้งกายเล็กน้อย หากเป็นไปได้ก็อยากย่อเข่าแล้วจุมพิตที่ปลายเรียวนิ้วของหล่อน

"ฉันมาเป็นลูกค้าคนแรกของร้านเหมือนเคยใช่ไหมคะ"
"ขาประจำยามเช้าทีผมรอคอยครับ" ผมพยักหน้าน้อยๆ ผมอยากดึงหล่อนมากอดจริงๆ อยากร้องไห้กับหล่อน อยากให้กอดปลอบประโลมพร้อมกับสัญญาว่าจะเสกหัวใจที่เป็นหินผาให้ทดแทนหัวใจแหลกสลายไม่อาจซ่อมไม่ได้ดวงนี้

"ภาพที่ซื้อไปวันก่อนน่ะคนรับเขาถูกใจมากเลยค่ะ วันนี้ฉันขับรถผ่านมา เห็นภาพนั้นน่ะค่ะ ยังไม่เคยเห็นเลยแวะเข้ามาดู" หล่อนชี้ที่ภาพสีน้ำมันที่แขวนไว้แถวที่สองจากด้านบน
"ผมจะนำลงมาให้ชมใกล้ๆนะครับ" ผมปรี่เข้าไปหยิบบันไดที่ด้านข้าง เลื่อนมันเข้าใกล้ภาพก่อนจะขึ้นไปหยิบลงจากที่แขวนส่งให้ผู้ช่วย หล่อนนำมันไปให้พิสรา ดวงตากลมโตเบิ่งกว้างอย่างตื่นเต้น
"สวยจัง"

ผมลงจากบันไดแล้วเดินกลับที่หล่อน
"แต่คนวาดน่ะยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลกเท่าไหร่ แต่ในเอเชียน่ะเขาดังมาก"
"เขาเป็นญี่ปุ่นค่ะ"
ผมเอียงคอมองหล่อนอย่างสนเท่ห์
"คุณพิสราก็รู้จักหรือฮะ"

"ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะ ไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกค่ะ ไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่พอได้คู่หมั้นที่เป็นพวกหลงไหลในภาพเขียน ฉันก็เลยเริ่มต้นศึกษาตั้งแต่นั้น"
"...."ผมยิ้ม หล่อนมองผมแล้วออกอาการเก้กัง
"คุณรุจน์มีแฟนยังคะ" หล่อนเปลี่ยนเรื่องซะอย่างนั้น คำถามหล่อนทำเอาผมจุกเหมือนเจอฮุกใต้ลิ้นปี่จนแทบจะหุบยิ้ม

"เอ่อ...อย่างไรดีล่ะ "
"คงมีแต่ กิ๊กล่ะซิคะ คนรูปงามและแสนสุภาพอย่างคุณผู้หญิงคงมากมายให้เลือกไม่ไหว"
"ไม่มีเลยต่างหาก" ผมหัวเราะแห้งๆ
"ที่คุณหันมาสนใจภาพเขียนนี่เพราะคู่หมั้นหรือฮะ"

"ค่ะ ฉันรักเขา ก็รักทุกอย่างที่เขารักด้วย การศึกษาเรื่องพวกนี้ไม่ง่ายเลย แต่ฉันก็พยายาม จากดูไม่รู้ว่าภาพแต่ภาพสวยอย่างไรก็เริ่มจะเข้าใจความงามของมันและรู้จักตัวตนและอารมณ์ศิลปินมากขึ้น เพราะอยากแชร์กับเขาน่ะค่ะ ยากแค่ไหนก็เลยต้องทำมันให้ได้ ความชอบที่เขาหลงไหลมีค่าสำหรับฉันค่ะ" พิสราเบนสายตาไปนอกร้าน ใบหน้าอมยิ้มน้อยๆน่ารักน่ามอง แสนงดงามกว่าทุกความงามในโลกนี้
"เขาโชคดีจังเลยนะครับ ผมยินดีด้วย"
"ขอบคุณค่ะ นี่อยากซื้อเป็นของขวัญวันเกิดเขาน่ะค่ะ แบบอยากจะเซอร์ไพส์เขาด้วยค่ะ วันพรุ่งนี้คุณรุจน์ส่งตามที่อยู่ที่ดิฉันให้นี้นะคะ"หล่อนยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆให้ผม ผมรับมาอ่านคร่าวๆแล้วพยักหน้ายิ้ม
"ได้ครับ จะแนบโน๊ตอะไรไปด้วยไหมครับ หรือจะมีดอกไม้ด้วยไหมครับ"
"อืม..ขอเป็นดอกไม้ดีกว่าค่ะ ส่งพร้อมภาพสักช่อ ขอเป็นดอกกุหลาบสีแดงนะคะ"

"จะจัดให้เป็นพิเศษเลยครับ" ผมหลิ่วตาให้ พิสราพ่นหัวเราะออกมา
"ขอบคุณมากค่ะ" หล่อนหยุดหัวเราะแต่ยังยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่งดงามราวมาดอนน่าของหล่อนตรึงใจผม ด้วยเพราะเราทำเพื่อรักเหมือนกัน ผมจึงภาวนาขอให้หล่อนอย่าได้ร้องไห้ อย่าได้เจ็บช้ำ ขอให้มีรอยยิ้มที่สดสวยเช่นนี้ตลอดไป .....



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 12 ตุลาคม 2554 21:24:08 น.
Counter : 406 Pageviews.

3 comment
Body Talk (BL) บทที่ 2
บทที่ 2

รุจน์ส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร จากนั้นก็บอกให้คนที่อีกปลายสายพักผ่อนมากๆก่อนจะวางหูโทรศัพท์ลง เขาหันกลับมามองภายในร้านแล้วเลื่อนเนคไท ปลดกระดุมแขนเสื้อพับขึ้นแล้วเดินไปหอบ ดอกไม้ ใบไม้ประดับ มากมายที่ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์วางกองอยู่ด้านข้างห้องทำงาน มือที่ประคองห่อขนาดใหญ่ค่อยๆเลื่อนไปจับลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้าห้องอย่างทุลุกทุเล รุจน์วางของที่หอบมาเข้ามาวางบนโต๊ะใหญ่ข้างโต๊ะทำงานเขาพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผู้ช่วยที่ทำให้หน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของร้านเพิ่งโทรมาขอลาป่วย วันนี้หน้าที่ของหล่อนคงต้องตกเป็นของเขา ช่วยไม่ได้ที่วันนี้จะต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าตัว รุจน์คิดขณะหันมองแจกันใหญ่หลายใบที่เขาเอามาวางเตรียมไว้ให้ผู้ช่วยตั้งแต่เช้าหลังเปิดร้าน

ปกติหล่อนจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆอันไม่เกี่ยวกับการค้าและการเงิน รุจน์แกะห่อดอกไม้ ใบไม้ประดับ แล้วหยิบทั้งหมดออกมาพลางคิดว่าวันนี้เขาเหมือนคนขาดแขนขา ปกติมีผู้ช่วยคอยดูแลรายละเอียดพวกนี้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้เขาทำงานในหน้าที่อย่างไร้กังวล หล่อนเก่งทั้งที่เป็นแค่นักศึกษาที่มาทำงานรายวัน หล่อนไม่ค่อยหยุดงาน ความรับผิดชอบที่ดีของหล่อนทำให้เขาทำงานได้อย่างราบรื่น แต่เมื่อหล่อนมีความจำเป็นจากโรคภัยเขาก็ไม่สามารถคิดอย่างอื่นได้นอกจากเห็นใจและไม่รู้สึกทางลบแม้แต่น้อยหากต้องเหนื่อยอีกเท่าตัวก็ตาม รุจน์พลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงสำหรับเวลาทำการประจำวัน เขาหันไปหยิบดอกลิลลี่ขาวขึ้นมาปักใส่แจกันที่บรรจุด้วยโอเอซิสชุ่มน้ำด้านในแล้วเอียงซ้าย ขวา


ไม่นานก็เกาหัว รุจน์ว่าเขาไม่ค่อยรู้จักดอกไม้นักหรอก ไม่รู้ว่า ดอกลิลลี่ขาว ดอกกุหลาบขาว ยิปโซขาว ใบไม้ประดับลายแต้มสลับขาว ที่ร้านดอกไม้ส่งให้ในวันนี้จะสามารถออกมาสวยงามราวสวนหย่อมเล็กๆอย่างที่ผู้ช่วยเขาทำได้อย่างไร พวกรายการดอกไม้ผู้ช่วยของเขาจะเป็นคนทำรายให้ร้านดอกไม้มาส่งในแต่ละวันในหนึ่งอาทิตย์ สีและชนิดของดอกไม้ในแต่ละล้วนมีความหมายในตัวเอง ผู้ช่วยของเขาเคยบอกครั้งหนึ่ง ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงเป็นสีขาวทั้งหมดนะ รุจน์หยิบกุหลาบขึ้นมาปักขึ้นโด่เด่อีกดอก เขาหรี่ตามองครู่หนึ่งแล้วต้องถอนใจไขว้มือกอดอก

"เอาไงดีวะ" รุจน์เสยปอยผมยาวเสมอกับดวงตาที่ตกลงมา
"จัดห่วย ลูกค้าขำตายเลย ไม่มีก็ไม่ได้ รูปภาพพวกนั้นต้องการมันเสียด้วย" รุจน์กัดริมฝีปากขณะใช้ความคิด หยิบหูโทรศัพท์หมุนเบอร์ของร้านดอกไม้ขณะรอสาย มือถือก็สั่นรุจน์หยิบขึ้นมากดรับ

"วันนี้เบื่อๆ ตอนนี้กำลังจะเข้าประชุม นายอยู่ที่ทำงานแล้วยังน่ะ" เสียงของทศวรรษเนือยๆ
"ครับ แต่มีปัญหานิดหน่อย ผู้ช่วยผมน่ะ"
"ยัยเด็กมหาวิทยาลัยคนนั้นน่ะเหรอ ทำไมหล่อนทำนายใจสั่นแต่เช้าด้วยเสื้อคอเปิดเห็นลอดไปถึงพุงหรือไง"
"อย่าพูดถึงคนอื่นแบบนั้นซิครับ น้องเขาทำงานหนักแต่งตัวเรียบร้อยจนผมไม่เห็นแม้ต้นแขนเลย" รุจน์อมยิ้ม

เหม่อมองวิวนอกกระจกร้าน ผู้คนกำลังเร่งรีบไปเร่งรีบเดินไปทำงาน แถวนี้ตึกธุรกิจมากมายผู้คนรีบร้อนพวกนั้นจึงกลายเป็นภาพชินตา แต่พอมีอารมณ์รื่นเริงขึ้นมานิดหน่อย ภาพชินตาก็กลับเป็นน่ามอง
"ปัญหาที่ว่า คือผมจัดดอกไม้ไม่เป็น ตอนนี้มันกองพะเนินอยู่ข้างหน้าผมเต็มไปหมด ผมไม่รู้จะทำไงกับมันดี" รุจน์หยิบยิปโซก้อนผอมบางขึ้นหมุนเล่น

"คงเป็นอะไรที่ดูไม่จืดมากเลยซินะ"
"ถ้าผมจัดดอกไม้เองวันนี้ลูกค้าสงสัยคงไม่เข้าร้านแน่ เฮ้ย!.." รุจน์หันไปคว้าหูโทรศัพท์มาพูด
"ฮัลโลๆๆ" สายไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมานอกจากสัญญาถี่
"ว๊า วางสายไปเสียแล้ว" รุจน์กดรีไดอัล ปรากฏว่าสายไม่ว่าง หมุนอีกสองครั้งก็เหมือนเดิม รุจน์วางหูแล้วหันมาหยิบมือถือมาแนบหู

"มีอะไรหรือ?" ทศวรรษ ยังอยู่ในสาย รุจน์แอบแปลกใจที่เขายังอยู่เผลอยิ้มออกมา
"ผมคิดว่าคุณจะวางสายไปแล้ว"
"ก็บอกอยู่นี่ไงว่าวันนี้เบื่อๆ ไม่รู้จะฆ่าเวลาด้วยอะไรดี คิดว่ามาฟังนายพูดไร้สาระให้ฟังอาจจะดีกว่า แต่ทำไปทำมาน่าเบื่อหนักกว่าเดิม"

"งั้นก็วางสายซิครับ ผมจะได้ทำงานของผมด้วย สงสัยที่ร้านดอกไม้จะงอนไปแล้วปล่อยให้รอสายนานเพราะมัวแต่คุยแต่คุณ ไม่ง้อลูกค้าเลย หยิ่งทะนงเหลือเชื่อ"
"ดูเหมือนจะตกที่นั่งลำบากแล้ว แล้วจะทำอย่างไรต่อไป"
"เป็นเพราะคุณนั่นล่ะ ทำไมคุณถึงชอบทำให้สถานการณ์ของผมแย่เสมอเลยนะ ผมก็คงจัดเองมั้งวันนี้" รุจน์หยิบยิปโซก้านเดิมขึ้นมาปักแจกัน ดอกไม้สามอย่างโด่เด่ไร้รสนิยมแล้วอยากหัวเราะ

"นายนี่มันน่าสังเวชจริงๆ" น้ำเสียงของทศวรรษเรียบเฉย พูดจบเขาก็เลิกสายไปดื้อๆ
รุจน์ส่งเสียงเชอะออกมาดังๆ "ใครมันทำให้ผมน่าสังเวชล่ะ" พูดใส่โทรศัพท์ที่ไม่มีสัญญาณแล้ว
"เอาไงดีวะ ลองโทรอีก อะไรสั่งดอกไม้แต่ละเดือนไม่ใช่น้อยๆ" รุจน์กดโทรศัพท์อีก คราวนี้สายว่าง รอไม่นานก็มีคนรับสาย เขาไม่ทันพูดเสียงผู้หญิงทางนั้นก็ออกปากขอโทษที่วางสายไปก่อนเนื่องจากที่ร้านยุ่งมาก
"ไม่เป็นไรครับ ผมก็คิดว่าทางร้านโกรธเสียอีกที่ปล่อยให้รอสายนาน คือว่าตอนนี้ผมอยากให้คุณส่งคนมาช่วยจัดดอกไม้ให้กับทางเราหน่อยน่ะครับพอดี ผู้ช่วยของผมที่เป็นคนจัดการเรื่องนี้อยู่เขาลาน่ะครับ"

"อย่างนั้นหรือคะ? เราก็อยากไปให้นะคะ แต่ต้องขอโทษจริงๆค่ะ ตอนนี้คนจัดดอกไม้เราออกนอกสถานที่ไปหมดแล้วค่ะ"
"ไม่มีเหลือสักคนเลยหรือครับ หรือคุณเจ้าของร้านก็มาเองได้ไหมครับ" รุจน์เริ่มกังวล เหลือเวลาไม่มากแล้ว
"ดิฉันต้องดูร้านค่ะตอนนี้ยุ่งมากค่ะ" ทางนั้นน้ำเสียงเกรงใจเต็มที่
"เหรอครับ งั้นไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับ" รุจน์วางหูโทรศัพท์แล้วทิ้งตัวนั่งบนโต๊ะ เสียงกริ่งหลังร้านหลังรุจน์ย่นคิ้วมองไปตามทิศทางของเสียงก่อนจะลุกไปเปิดประตูหลังร้าน

"คุณทศ" รุจน์เบ่งตากว้าง
"ฉันมาประชุมที่บริษัทของลูกค้าตึกนั่นน่ะ" ทศวรรษชี้ไปที่ตึกหรูสูงเสียดฟ้าที่อยู่ถัดไปสองช่วงตึก
"แล้วมาทำอะไรที่นี่ฮะ ไหนคุณบอกว่าจะประชุม"
"เกะกะจริง หลีกไป ฉันจะทำอะไรมันเกี่ยวอะไรกับนาย" ทศวรรษแทรกตัวเบียดรุจน์เข้าไปในแกลลอลี่ เขาเดินเข้าไปในห้องทำงานของรุจน์
"นี่ปัญญาสร้างสรรของนายจริงๆนะ" ทศวรรษมองดอกไม้ทั้งหมดที่รุจน์ปักในแจกัน
"ผมก็แค่.."

"นี่ล่ะน๊า ที่เขาบอกผลงานมันจะแสดงถึงสมองของคน ฉันล่ะสงสารกระโหลกนายจริงๆที่ต้องบรรจุอะไรที่แค่คล้ายสมองไว้" ทศวรรษพูดสวน พร้อมดึงดอกไม้ออกจากแจกันจากนั้นก็ถอดสูทเหวี่ยงไปที่โซฟา รูดเนคไท ปลดกระดุมพับแขนเสื้อขึ้น
"คุณจะทำอะไรฮะ" รุจน์ที่ตามมาถามอย่างประหลาดใจ

"เรื่องของฉันนายหุบปากไปเลย" ทศวรรษพูดพลางหยิบแจกันทั้งหมดมาวางด้วยกันกลางโต๊ะ จากนั้นก็หยิบดอกไม้แต่ละชนิดปักลงไปอย่างรวดเร็วเขาเอนกายไปด้านหลังเป็นบางครั้งคราว แล้วยืดตัวตรงกลับมาจัดการต่อ รุจน์ลืมหายใจเมื่อเห็นดอกไม้ในแจกันค่อยๆเป็นรูปร่าง ในเวลาไม่นานดอกไม้ ใบไม้ ที่กองพะเนินกลายศิลปะงดงามพรรณรายราวหยิบสวนสวรรค์มาย่อให้เล็กลง รุจน์ถลามาที่โต๊ะ

"สวยจัง ครับ"รุจน์เกาะโต๊ะตื่นเต้น แววตาของเขาเป็นประกาย
"บอกให้หุบปากไง" ทศวรรษจับก้านดอกไม้ขยับนิดหน่อยก่อนจะปล่อยมือจากแจกันใบสุดท้าย เขาเดินออกไปกอดอกมองทั้งหมดแล้วปัดปอยผมที่ร่วงมาปกใบหน้า รุจน์ยิ้มพร้อมทั้งเบาเสียงพูดที่สุด..สวย สวย สวยมากๆเลย.
"ค่อยหายเบื่อหน่อย" ทศวรรษทัดผมยาวหลังใบหู ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลาย คิ้วเข้มหลังเส้นผม ดวงตากลมโต จมูกสันตรง ริมฝีปากกระจับ ของเขาช่างชวนจับใจจนถอนสายตาไม่ได้ รุจน์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของเขา**kaireaw**

"นายต้องการฉันหรือไง" ทศวรรษพยักหน้าที่เรียบเฉย สายตากลายเป็นเย็นชา
"ผมพูดได้แล้วหรือยังฮะ?" รุจน์ถามขณะเลี่ยงหลบสายตาของทศวรรษไปที่ดอกไม้
"ก็นายมองฉันอยู่ ถามก็ตอบมาซิ"
"ผมรู้สึกทึ่งที่คุณจัดดอกไม้ได้ และทำออกมาสวยขนาดนี้ สวยกว่าผู้ช่วยของผมเสียอีก" รุจน์ยื่นมือไปจับกลีบลิลลี่ขาว
ทศวรรษยิ้มที่มุมปากเขาลูบแขนเสื้อลงและกลัดกระดุมแต่ก็เปลี่ยนใจยื่นให้รุจน์เป็นคนกลัดให้ รุจน์ทำอย่างเบามือ เมือเสร็จแล้วก็หันไปช่วยจัดเนคไทให้ทศวรรษเช่นกัน

"นายนี่ชักเหมือนผู้หญิงเข้าไปทุกที รู้หน้าที่ว่าต้องทำอะไรให้ผู้ชายบ้าง"ทศวรรษพูดขณะรุจน์เดินไปหยิบสูทมาส่งให้
"เหลืออย่างเดียวคือมีลูก ถ้าทำได้นายคงทำด้วยซินะ ใช่เปล่า?" ทศวรรษดึงสูทไปจากมือรุจน์
"นายนี่มันสวะของจริงเลยนะ ไม่มีผู้ช่วยก็ทำอะไรไม่ได้กะอีแค่ดอกไม้ ปัญญาตื้นเขินกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ซะอีก ไม่มีคนคอยช่วยนายจะเป็นอย่างไงนะ"

รุจน์ไม่ตอบเดินดึงสูทจากมือทศวรรษกลับมาแล้วเดินไปด้านหลังคลี่สวมให้ ทศวรรษยื่นมือสอดเข้าแขนเสื้อ
"ผมขอบคุณมากนะครับสำหรับดอกไม้ มันสวยมาก สวยมากจริงๆ ผมชื่นชมประทับใจครับ" รุจน์เดินมาหยุดเบื้องหน้าทศวรรษ
"ก็แค่จัดดอกไม้ ก็แค่อะไรสักอย่างที่นายไม่รู้ว่าฉันทำได้ แน่นอนว่านายย่อมชื่นชมเป็นธรรมดาเพราะไอ้ขี้เลื่อยอย่างนายทำไม่ได้ไง"
"เรื่องนั้นก็คงจะใช่ครับ แต่มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว ที่จริงผมชื่นชมประทับใจที่คุณมาช่วยผมไว้ทันเวลาต่างหากครับ เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดเลย จะพูดให้ถูกก็คือผมไม่กล้าคิดมากกว่าครับ" รุจน์พูดด้วยอาการเก้กังด้วยว่ารู้สึกตระหนักว่าผลีผลามคิดดีกับเรื่องนี้เร็วเกินไป
"อ้อ เหรอ" ทศวรรษพ่นหัวเราะเบาเขายื่นหน้าเข้ามาจูบใบหน้าของรุจน์ รุจน์ช้อนตามอง
"รู้สึกเราคิดกันคนละเรื่องเลยนะ ฉันก็แค่อยากหนีความน่าเบื่อ คิดว่าอาจจะมาหาเศษหาเลยกับนายสักหน่อย กะเอาใจด้วยการช่วยจัดดอกไม้ แล้วนายก็จะยอมให้ลากไปในที่ของเรา ที่ที่นายชอบ ที่ที่เป็นครั้งแรก" ทศวรรษก้าวเดินไปที่ประตูห้อง

"แต่การจัดดอกไม้ดันใช้เวลามากไปหน่อย ฉันต้องกลับไปประชุมต่อแล้ว"
"อ้อ.." ทศวรรษหยุดเท้าแต่เขาไม่ได้หันกลับมา
"ไม่แปลกหรอกที่นายไม่รู้ว่าฉันจัดดอกไม้ได้ นั่นก็เพราะนายไม่รู้จักฉัน ไม่เคยและจะไม่มีวันได้รู้ด้วย นายไม่มีค่าพอเข้าใจใช่ไหม?" แผ่นหลัง และไหล่กว้างของทศวรรษยืดตรงเมื่อพูดจบ เขาเปิดประตูเดินออกไปด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย

ภายในห้องเงียบลงราวไร้สิ่งมีชีวิต รุจน์มองแจกันดอกไม้ ยื่นนิ้วไปแตะกลีบดอกไม้ แล้วยิ้ม แล้วหัวเราะออกมาแบบหยุดไม่ได้ ด้วยรู้สึกคล้ายดอกไม้พวกนั้นกำลังพูดใส่หน้าเขา....นายไม่มีค่าพอเข้าใจ ใช่ไหม?.... รุจน์หัวเราะจนน้ำตาไหล

อีกด้านของประตู ทศวรรษยืนพิงบานประตูสอดมือล้วงในกระเป๋าสูท หยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบจุดไฟ สูดควันเข้าลึกจนปลายมวนขาวแดงวาบจึงปล่อยควันหนาสีเทาออกมา ใบหน้าคมเข้มไม่ได้หันกลับไป สายตานิ่งเฉยเพียงเหลือบมองด้านหลัง
"ความพยายามที่ไร้ค่านี่มันน่าสงสารเสียจริง" ทศวรรษพ่นหายใจพร้อมรอยยิ้มเบาบางที่มุมปากก่อนจะทอดน่องไปตามเดินแคบๆ พอถึงลานจอดรถ ก็เห็นรถหรูราคาแพงกำลังเลียบเข้ามาจอด ครู่เดียวก็นิ่งสนิทประตูรถเปิดออก คนที่ก้าวลงมาเป็นผู้หญิงท่าทางดี หล่อนคงเป็นลูกค้ารายแรกในวันนี้

"ยินดีต้อนรับ" ดูเหมือนทศวรรษจะแค่ขยับริมฝีปากเท่านั้น พอหล่อนเดินเข้ามาใกล้เขาก็หลบทางให้ สาวสวยผมยาวในชุดติดกันสีครีมเหลือบมองและอมยิ้มน่ารักให้เขา ทศวรรษยิ้มตอบพลางซ่อนบุหรี่ที่นิ้วคีบไว้ด้านหลัง หญิงสาวเดินอ้อมไปหน้าร้านซึ่งเป็นคนละทิศทางกับทางที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา ทศวรรษเหลียวมองตามเพียงนิดหน่อยก่อนจะหันกลับมา เขาอัดบุหรี่อีกครั้งแล้วเดินตัดลานจาดรถสู่ทางเดินหลักที่จะนำเขาไปสู่สถานที่ต้องการ

"นี่ครับ" รุจน์ยื่นภาพสีน้ำมันที่ห่ออย่างประนีตด้วยกระดาษที่ทางร้านนำเข้าจากต่างประเทศ ผูกให้แน่นหนาด้วยริบบิ้นสีเงินพิมพ์ด้วยตราของร้าน
"อืมวันนี้ร้านเงียบจัง เหมือนขาดอะไรไปและดูเหมือนจะมีอะไรแปลกใหม่เข้ามา" คุณพิสรา ลุกค้าประจำอีกคนของร้าน กวาดตาใสกลมโตไปทั่วร้าน ริมฝีปากบางที่แต้มแต่งด้วยลิปสีชมพูธรรมชาติของหล่อนแย้มยิ้มน้อยๆ ความมันวาวของลิปทำให้ริมฝีปากนั้นเย้ายวนน่าจุมพิต

"อือ วันนี้ผู้ช่วยไม่อยู่ครับ ลาป่วย" รุจน์ตอบ
"แต่ว่า ที่แปลกใหม่?"รุจน์เหลียวมองไปรอบๆร้าน
"เรียกว่าแปลกตาดีกว่าค่ะ" พิสราเดินเลี่ยงจากเขาไป เรียวขาของหล่อนทอดเอื่อยอย่างสบายๆ รุจน์มองหล่อนอย่างลืมตัว จะกี่ครั้งที่พบกันหล่อนก็สวยทั้งตัว รูปร่าง ท่วงท่า อากัปกริยาของหล่อนจะรู้ไหมนะว่าความสวยแบบนี้ท่าทางแบบนี้หล่อนทำให้ผู้ชายที่ได้พบอยากดึงหล่อนเข้ามากอดอย่างถนุถนอมทุกคน
"นี่ไงคะ" เสียงของพิสรา เรียกให้รุจน์หันตาม หล่อนกำลังยืนอยู่ใกล้กับแจกันดอกไม้ใบหนึ่งข้างเสา รุจน์ยิ้มไม่ถูกใบหน้าเจื่อนเล็กน้อย

"มันสวยกว่าทุกวัน แล้วมันทำให้รูปพวกนี้มีชีวิตชีวา" พิสราก้มหน้าดมดอกไม้ รุจน์เก้กังทำตัวไม่ถูก
"ฝากชมทางร้านด้วยนะคะ จัดสวยแบบนี้จะไปเป็นลูกค้า"หล่อนเดินกลับมาที่รุจน์
"คือว่า ไม่ใช่ทางร้านหรอกครับ มีคนรู้จักทำให้น่ะครับ ปกติผู้ช่วยผมจะเป็นคนจัดการน่ะครับ แต่เธอป่วยวันนี้ ส่วนผมอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้จักกับเขาเสียด้วย พอดีคนรู้จัก...." รุจน์หยุดครู่หนึ่งกับคำนี้ คนรู้จัก พอใจซินะ ทศวรรษ คำๆนี้ แค่คนรู้จัก สำหรับเรา คำๆนี้เหมาะสมแล้วนะ

"คะ?" พิสรา เอียงคอเมื่อเห็นรุจน์เงียบไป
"พอดีคนรู้จัก เขามาทำธุระแถวนี้ก็เลยช่วยจัดการให้น่ะครับ คิดว่าคงเรียนมาครับ" รุจน์เล่าด้วยรอยยิ้มเศร้า โดยพิสราไม่ทันสังเกตุ
"ฝีมือแบบนี้เปิดร้านได้สบายเลย เขาต้องมีร้านแน่ๆเลยค่ะ"
"ผมก็ไม่ทราบ เราแค่เป็นคนรู้จัก ไม่สนิทกัน เขามีน้ำใจมากเลยที่ช่วยผมทั้งที่เราไม่ใช่แม้แต่เพื่อน" รุจน์ยิ้มเนือย เมื่อคิดว่าทศวรรษคงจะดีใจ ชอบใจ จนหัวเราะร่า กระทั่งแม้จูบให้รางวัลเขา หากมาได้ยินเขาพูดแบบนี้

"อืม ถ้าคุณรุจน์เจอเขาอีก พิสรา ฝากขอนามบัตรไว้ด้วยนะคะ" พิสราดูมั่นอกมั่นใจกับข้อสันนิฐานของหล่อนอย่างเหลือเชื่อ
"อ่า ครับ ถ้าผมได้เจอเขาอีกนะครับ" รุจน์รู้สึกร้อนใบหน้ากับคำพูดตัวเอง ...ถ้าได้เจออีก... คำพูดแบบนั้นมันสำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกเมื่อไหร่ แต่ ทศวรรษน่ะ ถ้าได้เจออีก ในความหมายนี้น่ะเหรอ จู่ๆรู้ก็คิดถึงริมฝีปากของทศวรรษที่แนบกับลำคอของเขาจากด้านหลัง รุจน์พริบตาถี่ไล่ความคำนึงนั้นออกไป นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องแบบนั้นซักหน่อยเขาเตือนตัวเอง

"ผมจะไปส่งที่รถนะครับ" รุจน์อาสาเมื่อเห็นพิสราทำท่าจะกลับ
"ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ" พิสรามองที่ห่อภาพขนาดใหญ่ หล่อนมักพูดอย่างนี้เสมอเมื่อรุจน์นำภาพไปให้ส่งที่รถของเธอ
"ยินดีครับ"รุจน์มักตอบกลับไปเช่นนี้ด้วยเสมอเช่นกัน บางครั้งความน่ารัก ความสวยของพิสรา ก็ทำให้รุจน์มีแอบคิดอยากให้บทสนทนาที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอย่างอื่น ทว่ามันก็เป็นแค่ความคิดเลื่อนลอยชั่วขณะของเขาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจริงๆหรอก....

พิสรารับห่อภาพจากรุจน์แล้วค้อมแทรกตัวเข้าด้านหลังรถ วางมันบนเบาะแล้วหดกายถอยกับมายืนข้างนอก แต่เป็นเพราะการถอยที่ผิดจังหวะจึงทำให้หล่อนซวนเซจะล้ม รุจน์ไหวตัวรีบเข้าประคอง แขนของเขาสัมผัสได้ความอ่อนนุ่มของเนื้อนวลในอ้อมแขน ปลายจมูกได้จรุงกลิ่นน้ำหอมที่รังสรรค์อย่างดีจากธรรมชาติกรุ่นมาจากผิวพรรณหล่อน เพียงแค่นั้นก็ให้รู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังเต้นถี่
"ขอโทษครับ" รุจน์รีบปล่อยมือเมื่อพิสราตั้งหลักได้แล้ว หล่อนเอ่ยขอบคุณพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน รุจน์เก้อเขินจนทำอะไรไม่ถูกเลยขยับไปเปิดประตูรถด้านคนขับให้หล่อน พิสราจับผมทัดใบหูแล้วค้อมตัวลงนั่งประจำที่นั่งหลังพวงมาลัย
"ถ้ามีภาพของศิลปินคนนี้เข้ามาอีก ผมจะโทรบอกคุณพิสรานะครับ" รุจน์คำนับนอบน้อม

"ค่ะ" พิสราพยักหน้า รุจน์เอ่ยขออนุญาตปิดประตูให้หล่อน แล้วถอยออกมายืนห่างจากตัวรถ ครู่เดียวรถหรูคันงามก็ขยับเคลื่อนห่างออกสู่ถนนใหญ่ รุจน์หันหลังกลับเข้าร้าน เขาเดินมาหยุดอยู่กลางร้านมองดอกไม้ที่ประดับตามมุมต่างๆ แม้จะรู้สึกบ้าบอแต่นี่เป็นสิ่งที่เขารู้สึก เขากำลังทำตัวไม่ถูกราวกับดอกไม้พวกนี้กำลังมองเขาอยู่ รุจทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะใช้วางอุปกรณ์สำหรับใช้ในร้าน เขาเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วปล่อยความคิดให้เป็นอิสระตามใจ
ทศวรรษผละสายตาจากวิวนอกหน้าต่างหันเก้าอี้กลับมาที่โต๊ะทำงานเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู

"ขอโทษที่ไม่ได้เคาะประตูก่อน" ผู้มาใหม่เดินตรงเข้าหาเขา
"ขอโทษเหมือนกันที่เมื่อเช้าเข้าประชุมไม่ทันช่วงแรก"
"ไม่มีสำคัญนักหรอก แค่มาฟังผลประกอบการของบริษัทลูก" ผู้มาใหม่ยักไหล่ขณะนั่งบนโต๊ะเขา
"ไม่ถามสักหน่อยหรือว่าฉันไปไหนมา" ทศวรรษเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

"ฉันไม่ใช่คนสอดรู้ นายและฉันหรือใครๆล้วนอาจมีเรื่องส่วนตัว เรื่องจำเป็นที่ไม่อยากบอกทั้งนั้น"
ทศวรรษถอนใจลุกขึ้นยืน เขายื่นมือไปเท้าแขนทั้งสองข้างลำตัวคนที่นั่งตรงหน้า
"แต่ทำไมฉันถึงอยากรู้เสมอเวลาที่นายไม่อยู่ใกล้ตัว เวลาไม่ได้เห็นว่านายทำอะไรล่ะ" ทศวรรษจ้องหน้าของเขา ชายหนุ่มก้มหน้าหัวเราะแล้วเสมองไปทางอื่น
"ก็เพราะนายเป็นห่วงฉันน่ะสิ นี่ล่ะที่ทำให้เราคบกันเป็นเพื่อนได้นานขนาดนี้" เบนสายตากลับมาจ้องกลับ

ทศวรรษกลืนบางสิ่งลงคอ หากแต่ก็รู้สึกว่ามันยากเย็นเหลือเกิน เขามองใบหน้างดงามตรงหน้าแล้วเลยไปถึงลำคอผอม แล้วยกมือทั้งสองขึ้นประคองใบหน้านั้น
"S นายก็รู้ว่า ฉันเตลิดไกลถึงไหนต่อไหนตั้งแต่ปีสองที่ yale แล้ว" ทศวรรษยื่นหน้าเข้าไปใกล้ S ยิ้มแล้วยื่นริมฝีปากมาสัมผัส เขาตอบสนองจุมพิตอ่อนโอนของทศวรรษ สวมกอดตอบเมื่อทศวรรษรัดแขนที่ลำตัวของเขา ทศวรรษอยากไปต่อ อยากปลดปล่อยหัวใจโบยบินไปพร้อมกับร่างกายที่อยากพาอีกร่างกายร่วมเคลื่อนไหวไป
ด้วยในวินาทีต่อไป กันแต่ในบัดดลทศวรรษกลับหยุดจูบ

"ฉันรักนายนะ" S กระซิบที่ข้างใบหูของเขา"เพราะอย่างนั้น ฉันจึงจูบกับนาย โอบกอดกับนายอย่างแนบแน่น และฉันจะร่วมรักกับนายหากมันทำให้ความต้องการอันทรมานที่ยาวนานของนายน้อยลง ฉันจะยอมทำทุกอย่าง นายเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีนะเพราะฉะนั้น...."
ทศวรรษก้มหน้าซบลำคอของ S อีกฝ่ายจรดริมฝีปากจูบหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน

"เพระฉะนั้นนายจึงจูบกับฉัน แม้จะนอนกับฉันก็ยังได้ เพียงเพื่อตอบแทนที่ฉันภักดีและซื่อสัตย์ต่อตลอดมา นายจะมอบทั้งจุมพิตและร่างกายให้ฉันทั้งที่ข้างในของนายกลวงโบ๋ ว่างเปล่า แบบนั้นน่ะคือทำร้ายฉันนะ ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วยล่ะ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าอย่างไงว่าฉันรอได้ นานแค่ไหนฉันก็จะรอ " ทศวรรษเงยหน้าพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
"ฉันไม่อยากเห็นนายเจ็บปวดนี่นา ถ้านายจะรอฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะอีกนานแค่ไหน หรือบางทีมันอาจไม่มีวันมาถึงก็ได้" S หันหน้าหนี
"นายอย่ามารู้สึกแทนฉันซิ ฉันเป็นเจ้าของความรู้สึกนี้นะ ให้ฉันตัดสินใจเองซิ นายไม่มีวันเข้าใจความรักของฉันหรอก" ทศวรรษเถียง

"ใช่ฉันไม่เข้าใจหรอก และไม่มีวันเข้าใจด้วย ใครจะสามารถรอได้โดยไม่มีหวัง เพราะอย่างนั้น..."
"ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ส่งไปแล้วอย่างไรก็เรียกคืนไม่ได้หรอก ที่นายพูดน่ะร้ายมากเลยนะ นายดูถูกกันเกินไป เข้าใจไหมว่าฉันอยากจะรอ หวังได้หรือไม่อีกเรื่อง ตอนนี้นายไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ฉันหวังสักวันนายจะเข้าใจความรู้สึกอันนี้ โดยที่คำอธิบายอันใดก็หมดความหมาย ฉันถึงอยากรอความสุขอันนั้น รออย่างไม่วาดฝัน ถึงตอนนั้นฉันจะนอนกับนาย ฉันจะดื่มกินนายอย่างหัวใจของฉันเรียกร้อง

ตอนนี้ฉันแค่เจ็บช้ำที่นายเพียงอยากตอบแทน อยากรู้สึกผิดน้อยลง ทำอย่างนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกแย่ แต่ถ้ามันจะทำให้นายรู้สึกดี งั้นก็นอนกับฉันเดี๋ยวนี้เลย ดีไหม?" ทศวรรษดึงแขน S ตรงรี่ไปที่โซฟารับแขก เขาผลัก S ไปที่โซฟา แล้วโถมตัวตามลงไปทับSไว้ เขาไม่ดิ้นรนขัดขืน เมื่อทศวรรษจูบเขาก็ตอบสนอง ทุกสัดส่วนของร่างกายตอบรับการสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่า หนำซ้ำยังช่วยทศวรรษถอดเสื้อผ้า ผิวหนังที่เย็นชืดจากความเย็นของเครื่องปรับอากาศไม่สู้อารมณ์ที่ชืดชาที่ S ซ่อนไว้ภายใต้ความร้อนแรงอันเสแสร้ง

ทศวรรษถอนใจแรง ตัดใจหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วลุกขึ้นนั่ง
"ช่างมันเถอะ ฉันเหนื่อยมากแล้ว นายกลับไปเถอะ"
"ถ้าฉันพูดอะไรผิดใจนายไป ขอโทษ อย่าเกลียดกันนะ" S ดึงเสื้อขึ้นใส่ กลัดกระดุม
"โธ่เว๊ย ไม่มีอะไรหรอก ฉันรักนายขนาดนี้จะมีอะไรที่ทำให้รู้สึกเกลียดนายได้อีกล่ะ" ทศวรรษใส่เสื้อกลัดกระดุม แล้วหยิบเสื้อสูทมือถือจากนั้นก็ลุกเดินหนีออกจากห้องไป S ถอนใจสีหน้าสับสน เขาทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ

ข้างนอกร้านฝนใกล้จะตก ผืนฟ้าครึ้มเทาราวมีแปรงสีขนาดใหญ่ลงสีพื้นไว้ ลมพัดแรงจนต้นไม้เอนโอน กิ่งอ่อนลู่ลมฉุดใบไว้สุดสามารถแต่สุดท้ายบางใบก็ปลิดปลิวหายตามแรงลม รุจน์เก็บของในร้านเสร็จก็เดินกลับเข้าห้องทำงานเพื่อทำบัญชีสำหรับวันนี้ส่งให้คุณวุฒิเจ้าของร้าน พอปิดไฟร้านด้านนอกฝนใหญ่ก็ร่วงกราวลงมา เขาจึงหันไปหยิบร่มกับเสื้อกันฝนออกมาวางเตรียมไว้ที่โซฟา จากนั้นก็เปิดคอมไม่ทันเข้าโปรแกรมใดๆเสียงฟ้าฝ่าเปรี้ยงใหญ่ก็สนั่นขึ้น

จอคอมและไฟในห้องดับพรึ่บ รุจน์ถอนใจเฮือกยาว ลุกเดินค่อยๆคลำทางไปเปิดประตูแล้วออกไปหยิบเทียนและไม้ขีดที่ตู้ใส่ของข้างห้องทำงาน เมื่อเปลวเทียนให้แสงสว่างแล้วเขาก็นำจานรองถ้วยกาแฟพลาสติกมารองจากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องทรุดตัวนั่งหลังโต๊ะทำงาน นั่งมองจอมอร์มิเตอร์ดำมืดอย่างหมดหวัง พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลา ตอนนี้กำลังจะ18.30น. ฟังเสียงฝนที่ยังคงตกหนัก ลมที่พัดเสียงวีดหวิวด้านนอกแล้วไม่คิดว่าไฟฟ้าจะกลับมาไวอย่างใจคิด เขาเองต้องใช้เวลาสำหรับเดินทางกลับบ้าน

ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบสมุดบัญชีมาใส่ซองพาสติกที่มีผนึกปิดแน่นหนา จัดการเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่ลิ้นชักไขกุญแจปิด หันไปหยิบเสื้อกันฝนและร่มจากนั้นก้าวออกมาจากห้องทำงาน ล๊อคประตูแล้วมองออกไปหน้าร้าน ดอกไม้ในแจกันทุกใบยังอวดโฉมความสดสวยกันอย่างกลั่นกล้า รุจน์เดินเข้าไปใกล้ยื่นมือออกไปแตะแล้วลูบไล้กลีบบางเบามือ

"กว่าจะได้เจอกันอีกก็วันศุกร์ ระหว่างนี้ผมจะทำไรฆ่าเวลาดีล่ะ ผมเบื่อแล้วก็กับการขับรถ การรอคอยไฟแดง กลับเข้าบ้าน กินข้าว ดูทีวี และเข้านอนโดยมีแต่ความรู้สึกเต็มหน่วยหัวใจว่ากำลังจะได้เจอคุณ อยากคิดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องอื่น คนอื่น หรือแม้แต่คิดถึงตัวเองบ้าง เพราะความหวังแบบนั้นทำให้ผมเหนื่อยเวลาที่คุณพูดเอาแต่ใจ แต่ผมก็ไม่เคยทำได้ แย่หน่อยนะที่สมองชั้นต่ำอย่างผมคิดเรื่องอื่นไม่เป็น ทำได้แค่คุณตลอดเวลาโดยไม่สนว่าคุณคิดถึงใคร" รุจน์มองดอกไม้ทั้งหมดอีกครั้ง แล้วกำลังหันหลังกลับเดินไปที่ออกหลังร้าน

ขณะนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงแรงดึงจนต้องก้าวตามไป เทียนในมือร่วงกระแทกบนพื้นกระเบื้องจนดับแสงลง ความมืดเข้าครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบไว้ทั้งหมด รุจน์ย่นคิ้วเมื่อใบหน้าและลำตัวของเขาสัมผัสกับร่างกายที่เปียกชื้นของอีกฝ่าย รุจน์ผละออกมองเต็มตา
"คุณทศทำไมเปียกอย่างนี้ล่ะครับ ผมหาผ้าให้เช็ดตัวนะ" รุจน์ก้มลงเก็บเทียนและจานรองถ้วยที่เท้า แต่ก็ถูกจับให้ยืนขึ้น
"ฉันอยากได้ไออุ่นจากนาย" ทศวรรษพูดจบก็งับริมฝีปากของรุจน์อย่างรุนแรง และดันรุจน์ไปติดประตูหลังร้าน มือเย็นเฉียบของเขาลุกไล่เข้าไปในเสื้อของรุจน์ ผิวกายของรุจน์สะดุ้งจากสัมผัส

"คุณทศ ทำไม เป็นอะไร หรือครับ" รุจน์มีโอกาสพูดเมื่อทศวรรษเลื่อนริมฝีปากเร่าร้อนของเขาไปที่ต้นคอ
"กอดฉันซิ กอดให้แน่น กอดให้ฉันรู้สึกถึงอุ่นไอของร่างกายนี้" ทศวรรษถอดเสื้อของรุจน์ออก แล้วผลักให้ล้มนอนลง
"เราจะทำกันตรงนี้หรือครับ" รุจน์จับแขนของทศวรรษ พื้นกระเบื้องหยาบแข็งและเย็นทำให้รู้สึกเจ็บหลัง
"นายมีปัญหาอะไร"ทศวรรษถอดเสื้อตัวเอง รุจน์ยันตัวเองลุกขึ้นโอบกอดทศวรรษแนบแน่น
"อุ่นหรือยังฮะ" รุจน์ซบใบหน้ากับบ่าของทศวรรษ



Create Date : 11 ตุลาคม 2554
Last Update : 11 ตุลาคม 2554 23:04:38 น.
Counter : 479 Pageviews.

0 comment
Body Talk (BL) บทที่ 1

บทที่ 1

เขามักชอบพูดว่า ผมดีกว่าผู้หญิง ตรงที่ไม่มีวันทำให้เขาต้องเดือดร้อนเรื่องตั้งท้อง... คำพูดแบบนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้าก็เย็นชา จะให้ผมรู้สึกอย่างไรดี ผมอยากไม่รู้สึกอะไรเลยทั้งสิ้น อยากหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า.... เหมือนกัน ฉันก็แค่สนุกกับมัน.... แต่ไม่รู้ซินะ นับแต่วันที่เราเริ่มต้นจนบัดนี้ สองปีแล้วซินะ เป็นสองปีที่สัมพันธ์ของเราว่างเปล่า สัมผัสของเราว่างเปล่า

มันเหมือนกับการจุดไฟ เร่าร้อน มอดไหม้ แล้วก็จบลง ไม่เหลืออะไรให้จดจำ เรามีสิ่งที่ต้องแยกย้ายไปดำรงตนอยู่ในวังวน จนกว่าความต้องการจะเรียกร้อง เราก็จะมาพบกัน เพื่อจุดและดับไฟที่ครุกรุ่นของเรา เราทำมันเงียบงันไร้คำพูด ปล่อยให้ร่างกายของเราพูดตอบโต้กันด้วยลีลารักที่บ้าคลั่ง ตอบสนองแรงปรารถนาที่มีต่อกันและกัน มันก็เป็นเพียงแรงดึงดูด ใช่แค่แรงดึงดูดเท่านั้น สำหรับเขาเพราะผู้หญิงอาจทำให้วุ่นวาย สำหรับผมเพราะร่างกายคุ้นเคย เมื่อเขาพูดว่าอยากพบ ร่างกายก็เป็นไป ปรารถนาจะพบเขาโดยเร็วเท่าที่จะสามารถทำได้

ผิวกายของผมเรียกร้องสัมผัสจากเขาหากแต่ไม่ใช่จิตใจ การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ร่างกายของผมตื่นเต้น ลืมตัวและร้อนแรงมากเท่าที่เขาอยากให้เป็น แต่บทรักของเราทำให้ผมตกใจทุกครั้งที่รู้สึกตัวเมื่อมันจบลง เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าที่เขาหยิบขึ้นใส่ เสียงเข็มขัดที่เขาหยิบหัวของโลหะของมันดังกรุ๋งกริ๋ง พอพลิกตัวหันไปเห็นเขาแต่งตัวเรียบร้อยพร้อมจากไปทุกเมื่อแล้ว โดยไม่รู้ตัวผมคิดว่าความว่างเปล่าระหว่างเราทำให้ผมเริ่มแปลบปลาบ จนต้องหันหน้ากลับและถามตัวเอง ผมมาทำอะไรกับใครที่นี่ ผมเป็นคนแบบไหนกัน คิดแบบนี้แล้วก็พาลอยากจะร้องระบายความอัดอั้นออกมาดัง แต่เท่าที่ทำได้คือผ่านมันไป ทำเหมือนมันไร้ค่า เซ็กส์ไม่น่าจดจำ เสแสร้งว่าก็แค่นั้น สำหรับเวลาอ้อยอิ่งที่ผ่านไป

"แล้วเจอกัน" เสียงต่ำเบาแผ่วดังด้านหลัง ผมพยักหน้าแรงจนศีรษะสั่นไหว เขาถอนใจเฮือกยาวก่อนเปิดประตูออกไป สิ้นเสียงประตูปิดตัว ผมก็หงายหน้าเปลี่ยนท่ามานอนมองเพดาน ร่างกายเปลือยเปล่าที่ซุกซ่อนใต้ผ้าห่ม ซบเซาราวซากเน่าเปื่อย อยากกลับไปวันแรกที่เราพบกัน อยากเปลี่ยนอดีตใหม่ทั้งหมด ชีวิตที่ดำเนินต่อมาจนวินาทีนี้จะได้ไม่ว่างเปล่าหดหู่แบบนี้

สองปีก่อน...
เราพบกันที่แกลลอรี่ของเพื่อนเขา ผมเป็นผู้จัดการ ส่วนเขาเป็นผู้ซื้อกระเป๋าหนัก เพื่อนของเขาแนะนำให้รู้จักกันในวันแรกของการทำงานของผม เขาเป็นนักธุรกิจแต่ก็มีผมที่ยาวเคลียต้นคอ บางครั้งก็รวบเป็นหางม้าเล็ก ผมชอบมองเวลามันแกว่งไกวยามที่เขาเดินออกจากร้าน เขามักจะมาในวันพุธกลางเดือน เพื่อดูภาพวาดใหม่ๆ และให้ผมแนะนำภาพให้ เราคุยกันตามธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างลูกค้าและผู้ขาย ไม่มีความสนิทสนมใดๆพิเศษ ผมก็คิดว่าเขาเป็นลูกค้าที่จ่ายงามตามราคาที่ตั้ง

ไม่แปลกที่จะตั้งตาคอยให้ถึงวันพุธกลางเดือน วันพุธหนึ่งในเดือนไหนไม่รู้เมื่อสองปีก่อน ผมรอเขาจนตัดสินใจที่จะปิดร้าน เขาก็โผล่มาแล้วก็ขอโทษเป็นการใหญ่ วันนั้นมีภาพใหม่เข้ามาถึงสามภาพ ผมอยากขายทั้งหมด แต่มันเป็นเวลาปิดของร้านแล้ว ผมจึงให้เขาเข้ามาในร้าน และปิดประตูใหญ่ โดยเมื่อทำธุรกิจเสร็จผมและเขาจะออกหลังร้านกัน เขายินดีปรีดากับภาพใหม่ทั้งสามภาพ เขาเพ่งพิศมันอย่างละเอียด โดยมีผมแนะนำศิลปินผู้วาดด้วยโปรไฟล์ในมือ

เขาบอกว่ารู้จักภาพที่สามเพราะเป็นภาพที่ชนะเลิศรางวัลที่ฝรั่งเศส เขาตามหามานานมากคิดว่าคงไม่มีหวังแล้ว แต่ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้า แล้วก็หันมาถามผมว่ารู้ไหมว่าภาพบรรจุด้วยความหมายและสัญลักษณ์อะไรบ้าง ผมมองภาพสีน้ำมันที่มีลวดลายแปลกและสีสันจัดจ้านตรงหน้าแล้วบรรยายตามความเข้าใจ เป็นการสื่อถึงความเร่าร้อน และแรงปรารถนา เขาพยักหน้าพอใจ แต่ยังไม่หมดหรอกนะเขาแย้ง จากนั้นก็เริ่มบรรยายให้ผมฟังอย่างตั้งใจ ภาพและคำบรรยายทำให้ผมดื่มด่ำราวกับกำลังเสพสมกับจินตนาการของตัวเอง

แล้วเขาก็เริ่มยิ้ม รอยยิ้มแปลกตาที่ผมไม่เคยมาก่อนทำให้ผมรู้สึกตัว และอับอาย เขาพยักหน้าแล้วหยุดพูด ความเงียบทำผมอึกอัก เริ่มมองหาอย่างอื่นทำระหว่างที่เขาดูภาพ แต่เขากลับเดินมาใกล้จากด้านหลัง และจรดริมฝีปากกระซิบคำบรรยายความเร่าร้อนการเสพสมของภาพและสีสันที่ข้างใบหูของผม ผมหายใจแรง ตกใจหวาดหวั่นสับสนปนเปวุ่นวายจนต้องขยับหนีเมื่อมือของเขาเคลื่อนคลืบสัมผัสลำตัวก่อนจะดึงผมที่ขัดขืนไปกอด ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่สุดสำหรับผม

ไม่ว่าจะเป็นจูบ การสัมผัสที่ไม่เคยรู้จัก มันทั้งรวดเร็ว รุนแรง ผมงงงันและจำไม่ได้สักอย่างในวินาทีที่เกิดขึ้น ทั้งที่กลัวลนลานแต่ก็ข้างในก็เย้ายวน ถูกปลุกเร้า สติที่เหลือน้อยลงบอกให้ผมตั้งหลักให้ได้โดยเร็ว ริมฝีปากผมจึงค่อยๆขยับเรียกร้องขออิสระภาพทันทีที่หลุดพ้นจากการประกบหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายก็เริ่มต้นต่อสู้ดิ้นรน ผลักไส เขาไม่ได้บังคับฝืนทำต่อ เพียงพูดว่า...ผมจะกลับไปโดยไม่มีอะไรติดมือไปเลย หรือ จะซื้อไว้ทั้งสามภาพมันขึ้นอยู่กับคุณ สองภาพหกหลัก

อีกภาพเจ็ดหลัก คอมมิสชั่นที่จะได้สมเหตุสมผลซะด้วย คุณรอทุกพุธกลางเดือนด้วยเหตุผลนี้ไม่ใช่หรือ ถ้าหากผมไม่มาที่นี่อีกต่อไปล่ะ.... เขาสูดหายใจยาวแล้วก้าวเดินไปที่ประตูทางออกด้านหลัง ผมหยุดมือจัดเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย ผมตกงานมาหลายเดือนก่อนจะได้งานที่นี่ ความลำบากใจและกายช่วงเวลาแบบนั้นสัญญากับตัวเองไม่เอาอีกแล้ว และงานนี้นอกจากเงินเดือนแล้วค่าคอมจากการขายภาพ ผมถอนใจแล้วเดินไปหาเขาอย่างว่าง่าย
"ช่ายล่ะมันต้องอย่างนั้น" คำพูดของเขาที่ผมฟังไม่ไพเราะสุภาพเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

ผมกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ท ก่อนจะจัดเสื้อผ้าเข้าที่เข้าทาง ตัวผมยังสั่นไม่จางหาย อับอายสิ่งที่รอบล้อมตัว ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดที่รอการขึ้นแขวนหน้าแกลลอลี่ ผนัง เพดาน โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ พื้นพรมที่รองรับร่างกายของเรา ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่เฝ้ามองการร่วมรักอันผิดแผกระหว่างผมกับเขา พอคิดว่าผมทำเรื่องที่แตกต่างออกไปจากครรลองปกติแม้อากาศผมยังละอายจะหายใจเข้าไป ผมจับใบหน้าและลำคอตัวเองด้วยหวาดกลัวว่านี่จะไม่ใช่ตัวของผม ผมบีบแขนตัวเองแรงเมื่อถามตัวเอง จริงหรือที่ร่างกายนี้เผลอรื่นรมย์ไปชั่วยาม ขณะแนบชิดคลืบเคลื่อนไหวไปกับคนๆนั้น

เราทำมันทั้งที่มิได้ไร้ซึ่งอาภรณ์ ผมกำขอบกางเกงที่กำลังจะดึงขึ้นใส่แน่น ตัณหาอันร้อนรนไม่สามารถรอได้แม้มีสิ่งปกคลุมร่างกายเกือบสมบูรณ์ เราใช้ห้องทำงานของผมที่ค่อนข้างแคบหลังแกลลอลี่ ไม่มีพื้นที่ตรงไหนของห้องให้ความสะดวกกับเราด้วยว่าภาพเขียนมากมายส่วนใหญ่จับจองที่ว่างไปหมดแล้ว และเวลาก็ไม่อำนวยให้มากนัก ครั้งแรกของเรา ไม่ซินะของผมคนเดียวจึงเป็นไปอย่างอดสู แม้จะไม่ราบรื่นกระนั้นรสรักที่ร่างกายของเขาป้อนให้ผมก็เต็มเปี่ยม

"เป็นอย่างไงบ้าง รู้สึกดีไหม?" เขาขยับเข้ามานั่งตรงหน้า ผมเหลือบตามองเขา เครื่องแต่งตัวเขาเรียบร้อยเหมือนเดิม ทำได้เร็วกว่าเพราะประสบการณ์ซินะ
"ทั้งที่ผมคิดว่าคุณเป็นคนดีแท้ๆ"ผมไม่มองเขา ไม่อยากให้เขาเห็นหรอกนะ แต่น้ำตาก็คลอหน่วยขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ แค่พอคิดว่าได้สูญเสียความรู้สึกนับถือเขาไปแล้วเท่านั้นมันก็รื้นเอ่ออย่างช่วยไม่ได้

"ร้องไห้ ด้วยเหรอ? โธ่ น่าๆๆ คุณไม่เด็กสาว ที่เพิ่งถูกชำเรานะ" เขาฉวยโอกาสจูบปากผมอีก ผมถอยหนีเงื้อหมัดจะชกเขาแต่ก็จับข้อมือไว้ แล้วกระชากดึงเข้าไปหาเขา
"คุณมันชั่ว เอาจุดอ่อนคนอื่นมาหาประโยชน์ นักธุรกิจชั่วช้าทำทุกอย่างเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนได้ทั้งนั้น" ผมตะโกนใส่หน้าเขา เขายิ้มแต่ดวงตานิ่งเฉย

"ถ้าผมชั่วคุณเหมือนกัน อย่าลืมว่านี่เราทำธุรกิจกัน เรา วิน วิน กันทั้งคู่ แล้วมาตีโพยตีพายทำไมหรือจะเพิ่มค่าตัว? ถ้าคิดว่าตัวเองมีค่าตัวล่ะ นั่นมันโสเภณีแล้วล่ะ นอนกันครั้งเดียวจะเปลี่ยนสถานภาพจากคนมีระดับ เป็นสวะซะแล้ว"

"ปล่อยนะ คนเลว เลวหมดเลยทั้งคำพูด ทั้งการกระทำ" ผมพยายามดึงมือกลับ ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เขาเอาแรงมาจากไหนกันนะ เขาไม่แค่ปล่อยมือแต่กลับผลักผมจนหลังของผมกระแทกขาโต๊ะ
"ไม่เอาน่า ผมชอบคุณมากนะ คุณบริสุทธิ์ และ ผมเป็นคนแรก ผมชอบการเป็นคนแรกจริงๆนะ"
"หยุดพูดนะ ขอร้องนะ ช่วยลืมมันไปซะ แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก" ผมก้มหน้า มือที่วางบนขากำแน่นจนซีด

"ผมเป็นลูกค้าอันดับหนึ่งของที่นี่ ผู้จัดการร้านกระจอกอย่างคุณมีสิทธิ์อะไรมาไล่ นอนกันครั้งเดียวไม่ได้หมายถึงคุณจะมาถือดีกับผมได้หรอกนะ สถานะเรายังคงเหมือนเดิม ผมไม่ได้ติดค้างคุณ เหมือนกับคุณก็ไม่ได้ติดค้างอะไรผม ผมทำธุรกิจกัน เข้าใจไหม หัดคิดอะไรไวๆหน่อยซิ สมองขี้เลื่อยแบบนี้ไงล่ะถึงคิดถึงกำไรงามๆไม่เป็น"

"นี่.." เขายื่นมือมาจับคางของผม
"เข้าใจน่า ว่าครั้งแรก แล้วก็ออกจะกระทันหันไปหน่อย อะไรๆมันเลยไม่ค่อยพร้อมคงจะเจ็บมากซินะ ถ้าเรื่องนั้นทำให้มู๊ดดี้ล่ะก็ โทษทีก็ได้" เขากระซิบข้างใบหน้า ด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน

"หยุด..." ผมไม่ทันจะพูดต่อริมฝีปากก็ถูกประกบแน่น ผมดิ้นผลักไสเขาอย่างเหลืออด เขาส่งเสียงจิ๊จ๊ะในคอแล้วผละออก
"กลับล่ะนะ บอกวุฒิด้วยว่า อีกสองวันจะส่งที่อยู่ของภาพที่อยากได้มาให้" เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินออกจากห้อง ผมมองตามเขาด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ก้มมองสภาพโทรมของตัวเองแล้วถอนใจจนไหล่ทรุด เสื้อผ้ายับยู่ยี่และไม่เรียบร้อย ผมยันตัวเองลุกขึ้น ยืดตัวแล้วต้องกลับลงมานั่งใหม่ คำพูดของเขากลับมาลอยในหัว...คงจะเจ็บมากซินะ... ผมยกมือปิดหน้าน้ำตาเริ่มไหล

ความรู้สึกที่ซึ่งยากแก่การปฏิเสธว่าบทพิศวาทบทใหม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ เขาจมดิ่งสู่ร่างกายนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ...
"เจ็บ" ผมครางเบาๆ

ผมสูดหายใจลึกแล้วกลับมาสู่ปัจจุบันด้วยการลุกขึ้นแต่งตัว หยิบเสื้อขึ้นใส่ ตามด้วยกางเกงทับชายเสื้อ คาดเข็มขัด ดึงเนคไทจากที่แขวนมาคล้องคอ ผมมองตัวเองในกระจก ผมยังเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งซินะ เป็นผู้ชายที่น่าจะสุขสันต์กับผู้หญิงสักคนในคืนค่ำที่สามารถพูดได้ว่าของเรา แต่สำหรับผู้ชายที่สูญเสียความธรรมดาไปแล้วอย่างผม เรื่องแบบนั้นเป็นได้แค่เพียงจินตนาการที่ไม่มีวันมาถึง

การตื่นขึ้นมาด้วยร่างกายเปลือยเปล่าพร้อมผู้ชายอีกคน มันน่ากระดากอายและรู้สึกใจหายกับความจริงที่ไม่เลือนเหมือนความฝัน ทำผมลืมตัวเม้มปากพลันรู้สึกแสบ เขาเป็นคนรุนแรง และระห่ำในลีลา บอกตามตรงผมตามเขาไม่ทัน แต่เขาบอกว่าดี ความงงงัน อาการงกเงิ่นของผมยื่งทำให้อารมณ์รักของเขาบรรเจิดมากๆ แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกัน ที่เขาครุ่นคิดและเครียดขึ้งกับการร่วมรัก

เขาบ้าคลั่งกับร่างกายของเราทั้งสอง และไม่กลัวสพางค์กายของผมจะย่อยยับ ในเมื่อมันบ้าบอแบบนี้ทำไมผมยังอยู่ตรงนึ้ถึงสองปี ผมคงคิดถึงเรื่องของการแลกเปลี่ยนที่ทำกำไรเป็นแล้วซินะ เงินตราและความสะดวกสบายกระมังที่ทำผมเคยตัวจนถอนตัวไม่ขึ้น นี่ผมคงกลายเป็นโสเภณีไปแล้วจริงๆ ผมมองตัวเองในกระจก ตัวผมกำลังสำลัก ไอจนหน้าแดง เสียงของตัวเองทำให้ตื่นจากภวังค์ ผมเลื่อนเนคไทขึ้นถึงคอเสื้อ แต่กลับไม่หยุดมือนั่นเอง ผมไอจนน้ำตาไหล พยายามเช็ดแต่มันก็ไม่หมดเสียทีน่ารำคาญจริง จนป่านนี้ยังฟูมฟายไม่เลิก

ผมสูดนน้ำมูกซื้ดยาว แล้วจัดไทให้อยู่ในที่เหมาะสม แล้วหยิบเสื้อนอกมาถือ มองความเรียบร้อยในกระจกแล้ว หันมาหยิบมือถือ มองสัญญาณข้อความแล้ว กดเปิด ผมส่ายหน้าอ่อนใจ คำพูดหนึ่งที่ผมมิอาจโต้เถียงหรือฝืดฝืนให้มันกลับกลายเป็นอื่นได้ คำพูดที่เป็นสัจธรรมในทุกเรื่อง อดีตคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และมันก็ได้ผ่านไปแล้ว เราดีใจ เสียใจ ทุกข์ สุข ดีใจ ทรมาน แค่ไหน มันก็จากเราไปเสมอ

ผมเดินออกจากห้องนอนขณะพิมพ์ตัวอักษรบนโทรศัพท์ มองห้องนั่งเล่นที่เรานั่งดื่มด้วยกันเมื่อคืนแล้วบอกกับตัวเองจะกลับมาทำความสะอาดในตอนเย็น วันนี้เขาคงไม่มาหาผมอีกแล้ว คิดแค่นั้นความรู้สึกอิสระก็เบิกบานจนคับพองในอก ผมมองข้อความที่เพิ่งพิมพ์อีกครั้งก่อนส่งออกไป ข้อที่ความตอบ ข้อความที่ว่า....วันศุกร์ทำตัวว่าง และเร่าร้อนเข้าเข้าใจไหม?..ที่ส่งมาก่อนหน้า และคำตอบคือ .... ครับ ผมจะคิดถึงคุณจนกว่าเราจะพบกัน....



Create Date : 27 กันยายน 2554
Last Update : 27 กันยายน 2554 20:11:34 น.
Counter : 388 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]