Body Talk (BL) บทที่ 8/1
บทที่ 8/1

“อะไรนะ แต่เขาก็ยังไม่ได้แต่งตัวนี่ครับ ผมมากับผมเขาต้องไปที่ห้องอาหารพร้อมผมซิ”
“คุณท่านจะช่วยคุณเมษาเรื่องนั้นเอง ส่วนเรื่องต้องปรากฏตัวที่ห้องอาหารพร้อมกับคุณนั้นผมจะเรียนคุณเมษาให้ทราบนะครับ” อาคาบาเนะที่คุกเข่าเรียบร้อยส่งส่วนเสื้อสีขาวตัวในให้รุจน์สวมก่อน รุจน์หันหลังจะเดินไปถอดยูกาตะที่สวมด้านลับตา

“เราเป็นผู้ชายเหมือนกันไม่มีต้องอายหรอกครับ” อาคาบาเนะยิ้ม รุจน์เลยยอมถอดต่อหน้าเขาก่อนจะสวมเสื้อขาว ขณะสวมก็อดแปลกใจกับคำว่า “จะเรียนคุณเมษาให้ทราบ” น้ำเสียงคล้ายมีความเคารพยำเกรงที่ผู้น้อยมีให้กับผู้เป็นนายตัวเองแฝงอยู่เมื่ออาคาบาเนะพูดถึงเมษา หากแต่คำพูดที่ใช้กับเขาก็แค่แสดงความอ่อนน้อมเท่านั้น ความชำนาญของอาคาบาเนะทำให้การแต่งตัวใช้เวลาไม่นานทว่าชุดนั้นแต่งได้ปรานีตและหรูหราตามแบบฉบับชาวอาทิตอุทัย

“คุณรุจน์ ดูสง่างามมากครับ” อาคาบาเนะ ลุกขึ้นยืนเอนตัวมองสำรวจ
“ขอบคุณมากครับ” รุจน์รู้สึกเขิน
“ผมขอตัวไปเรียนเมษาตามที่คุณรุจน์นะครับ” อาคาบาเนะก้าวไปที่ประตูเลื่อนเปิดแล้วออกไป
“แล้วเขา....อยู่ไหนครับ” รุจน์มองพื้นที่ว่างที่อาคาบาเนะทิ้งไว้โดยไม่ได้สนใจคำถามของเขา

คิดครู่หนึ่งรุจน์ก็ตัดสินใจตามออกไป เขาเห็นอาคาบาเนะเดินตรงไปที่ห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดบนชั้นนี้ก่อนจะอ้อมไปอีกด้านซึ่งมีอีกห้อง ชายหนุ่มก้มลงคุกเข่าเคาะประตูแล้วพูดอะไรบางอย่าง รุจน์ไม่ได้ตั้งใจที่ทำตัวลับล่อทว่าพอให้อาคาบาเนะเหลือบตามาทางเขาก็รีบโดดหลบเข้ามุม หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อมองรอบตัว สถานที่ดูเป็นส่วนตัวมากกว่าจะเปิดให้คนภายนอกเข้ามาเพ่นพล่านโดยไม่จำเป็น

เสียงเลื่อนประตูเรียกให้รุจน์หันกลับที่เดิม เขาปิดปากดวงตาเบิ่งกว้าง เบื้องหน้าประตูที่อาคาบาเนะกำลังค้อมศีรษะให้ ตรงนั้นเมษาในชุดกิโมโนสีเทาออกมาพร้อมกับซุรุงะ แม้จะห็นแล้วว่าทั้งสองคุยกันถูกคอตั้งแต่แรกพบ แต่อะไรตรงหน้านั้นมันเกินคาดหมายมากไป รุจน์รีบตะเกียกตะกายวิ่งกลับห้องอย่างเบาเท้าที่สุด เขารู้สึกแปลกอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดให้ใครหรือแม้แต่ตัวเองเข้าใจ เจ้าความรู้สึกที่ผุดเริ่มต้นและขยายกว้างกินพื้นที่ภายในมากขึ้นเรื่อย รุจน์โจนตัวเข้าห้องมาหอบตัวโยนก่อนจะเดินไปที่ระเบียง วิวจากห้องนี้ สวยงาม ธรรมชาติ สมบูรณ์แบบ หากแต่รุจน์ได้ซึมซับอิ่มเอิบด้วยว่าภายในสมองของเขากำลังแตกซ่านราวจิ๊กซอที่หาส่วนที่เข้ากันไม่ได้สักชิ้น

“ขอโทษนะครับที่ผมหายหัวไปโดยไม่บอกกล่าว” เมษาเลื่อนประตูเข้านั่งจุ้มปุ๊กตรงกลางห้อง รุจน์หันกลับไปมองเมษาพลางเอนตัวพิงขอบระเบียง
"นายหายไปไหนมา"
“คุณอาคาบาเนะบอกผมแล้ว เราไปกันเถอะครับ” เมษาดูไม่สนใจที่จะตอบคำถาม เขาลุกขึ้น รุจน์ก้าวตามเขาไป มีคำถามมากมายแต่เขากลับพูดไม่ออก รุจน์ยื่นมือไปคว้ามือเมษาไว้ เมษาหันมา
“นายเป็นอะไรมั้ย?” รุจน์ชี้ที่แก้มตัวเอง เมษาหัวเราะ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ สบายมาก”
“ขอโทษนะ”
“ขอโทษเหมือนกันครับ”
“ฉันพูดจริงนะ นายจะโต้ให้แรงกว่าฉันก็ได้ ทำมันให้แรงกว่าก็ได้นะ”
“ผมทำคุณไม่ได้หรอก” เมษาเปลี่ยนหัวเราะเป็นแค่รอยยิ้มบางเบา เขาพลิกมือมาจับรุจน์แทนแล้วจูงพาออกมาจากห้อง

อาหารญี่ปุ่นแบบแท้จริงในมื้อเย็นถูกความเป็นทางการทำลายความอร่อยลิ้นในรสอร่อยที่ถือว่าเลิศที่สุดในโลกเสียสิ้น แขกทุกคนและบรรยากาศเป็นงานเป็นการจนน่าอึดอัด บัตรแนะนำตัว บทสนทนาที่ไว้ตัว ความรู้ธุรกิจด้านศิลปะที่ต้องข่มกันได้ในที ช่างดูไร้สาระสำหรับรุจน์แต่เขาก็จำใจต้องอยู่ในบรรยากาศพวกนั้น ซ้ำร้ายซุรุงะยังจัดที่นั่งเขาแยกจากเมษา เขานั่งด้านซ้ายติดกับซุรุงะที่นั่งหัวโต๊ะ ส่วนเมษานั่งติดกับหมอนั่นด้านขวา ซุรุงะแนะนำตัวแทนธุรกิจจากอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ประมาณสี่ห้าคนกับรุจน์ และแนะนำรุจน์กลับทุกคนเช่นกัน รุจน์คุยกับตัวแทนเหล่านั้นด้วยธุรกิจ แต่เมื่อมองซุรุงะกับเมษาสองคนนั้นคุยกันด้วยเรื่องใดซุรุงะจึงมีท่าทางที่ผ่อนคลาย เขาเท้าคางฟังเมษาพูดอย่างสนอกสนใจ โดยมีคนอื่นสลับเข้าไปร่วมฟังประปราย

มื้อค่ำผ่านไปอย่างอืดอาดน่าเบื่อสำหรับรุจน์ เขาอยากกลับโตเกียวให้เร็วที่สุด เช็คเอาท์โรงแรม ตีตั๋วกลับกรุงเทพฯซะบัดนี้ หลังอาหารค่ำเมื่อทุกคนแยกย้ายขอตัวกับซุรุงะ รุจน์ก็รีบดึงเมษากลับห้องด้วยกัน ไม่ทันพ้นประตูห้องอาคาบาเนะก็เดินเชิญรุจน์ไปพบกับนายของเขา รุจน์จึงให้เมษากลับห้องก่อน อาคาบาเนะผายมือเชิญรุจน์เข้าไปพบซุรุงะในห้องหนังสือ

ในห้องนั้นมืดจนแทบมองอะไรไม่เห็นในตอนแรก รุจน์ค่อยก้าวเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง
“เอ่อ... คุณซุรุงะครับ”รุจน์ลองเรียกชื่อเขา
“ครับ ผมอยู่ตรงนี้” เสียงตอบดังมาจากด้านใดสุดของห้อง เมื่อรุจน์เดินลึกเข้าไปอีกนิดก็เห็นแสงไฟสลัวจึงเดินตามแสงสีเหลืองอ่อนนั้นไป ซุรุงะนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่ที่หันหลังให้ผนังห้องซึ่งเป็นภาพวาดที่มองไม่ชัดด้วยไฟที่น้อยแรงเทียน
“ขอโทษที่รบกวนเวลาที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของคุณ ผมมีเรื่องอยากคุยด้วยเป็นการส่วนตัว” ซุรุงะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ

“ครับ?”
“เป็นธุรกิจที่อยากคุยเป็นส่วนตัว”
“ธุรกิจไม่ได้คุยกันตั้งแต่บนโต๊ะอาหารนั่นแล้วหรือครับ”
“เปล่ามันเป็นธุรกิจที่ผมอยากทำกับคุณต่างหาก”
“เรื่องอะไรครับ”
“เมษา” ซุรุงะพ่นควันสีเทาออกมาล่องลอยเอื่อยอ่อย รุจน์ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา

ซุรุงะสานมือ วางศอกบนโต๊ะ เขาโน้มตัวลงมาเกยคางบนนิ้วเรียว
“ที่จริงเราควรจะทำธุรกิจของเราเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน พูดตามตรงคือผมไม่คิดจะเชิญคุณร่วมงานเลี้ยง ความคิดที่จะต่อยอดธุรกิจกับแกลลอลี่ของคุณ ในสมองผมเท่ากับศูนย์ แต่แล้วผมก็เกิดลังเล เสียดายบางสิ่งทันทีที่เห็นเมษา”
“ช่วยเข้าประเด็นเลยได้ไหมครับ” รุจน์หายใจไม่สะดวก ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดก่อนหน้านี้เริ่มขยายวงอีกครั้ง และมากกว่าเดิม...
“ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ ผมอยากพูดในสิ่งที่ผมอยากพูดกับคุณให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เผื่อมันจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น”

“ครับ แต่ผมเกรงว่าการสื่อสารของเราจะไม่ราบรื่น อาจเป็นอุปสรรคของความเข้าใจของเรา ผมอยากให้ผู้ช่วยของผมมาช่วย”
“คุณรุจน์ ดูเหมือนแค่เริ่มต้นเราก็ไม่เข้าใจกันเสียแล้ว”
“ผมกำลังจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นต่างหาก”
“คุณคิดบ้างหรือไม่ครับว่าการต่อรองธุรกิจของเราครั้งนี้ มันเรื่องของผู้ช่วยของคุณ แล้วเขาสมควรอยู่หรือที่จะมานั่งตรงนี้”ใบหน้าเย็นชายิ้มเยาะเยือกเย็น
“ช่วยพยายามด้วยกันเถอะครับเรื่องภาษาอังกฤษ ผมจะพยายามอย่างดีที่สุด คุณก็แค่ทำความเข้าใจมากหน่อย” ซุรุงะขยี้บุหรี่ในถาดเขี่ยคริสตัลรูปดอกกุหลาบ เขาเงยหน้ามองรุจน์เก็บปากสงบด้วยความพอใจ รอยยิ้มแบบนั้น รอยยิ้มแบบที่ทศวรรษชอบทำยามสะใจ รอยยิ้มที่รุจน์เกลียดชังและรู้สึกรักใคร่
“เมื่อก่อนผมเป็นศิลปินที่เป็นศิลปินอย่างแท้จริง เรื่องธุรกิจที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องน่ะผมไม่รู้เรื่องหรอก ผมเจ็บตัวและเจ็บหัวใจมาตลอดเพราะอ่อนเดียงสากับเชิงธุรกิจ ความอ่อนแอทำผมล้มซ้ำซากจนแทบไม่อยากอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ถึงอย่างนั้นผมไม่อยากทิ้งวิญญาณขายฝัน ผมอยากอยู่ให้ได้โดยไม่ทำให้ความฝันแปดเปื้อน แต่โลกนี้เป็นโลกของมนุษย์อันมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง คนพวกนั้นอยู่รอบตัวผม ทำอย่างไรผมก็ไม่มีวันชนะ ผมเหนื่อยจะสู้กับความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ทีท่าสวยงามของคนพวกนั้นจึงคิดสู้ และสัญญาว่าต้องร้ายให้ได้มากกว่า ผมจะเชือดความร้ายกาจของทุกคนด้วยความร้ายกาจที่มากกว่าของผม”

ซุรุงะเดินออกมาจากโต๊ะ เขาสานสอดมือเข้าแขนเสื้อทั้งสอง
“ดังนั้นโปรดให้อภัยผม หากสิ่งที่ผมเป็นดันไปขัดใจคุณรุจน์เข้า โลกนี้หมุนไปทุกวัน มีแต่ชีวิตเล็กๆของเราเท่านั้นแสนสั้น แถมยังถูกโชคชะตาคอยซุ่มกลั่นแกล้งอีกด้วย ใครจะไปรู้พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น จริงไหม? ผมน่ะเลิกคิดแบบศิลปินและหันกลับมาคิดแบบโลกมานานแล้ว ซึ่ง....มันเข้าท่ากว่าเป็นไหน ถ้าผมอยากได้อะไร อยากอยู่ตรงไหน อยากรัก อยากชัง ผมก็ไม่รั้งรอที่จะทำ และทำในแบบที่เรียกว่าให้ถึงที่สุดไปเลย แม้มันจะต้องปล่อยความร้ายกาจน่ารังเกียจออกมาบ้างผมก็จะทำเป็นลืมมันซะ ”

รุจน์กลืนบางสิ่งที่เยือกเย็นลงคอก่อนจะปล่อยเสียงแตกพร่าออกมาแผ่วเบา
“คุณอยากได้เมษาใช่ไหมครับ”
ซุรุงะ หันขวับกลับมา แววตาของเขาเบิกบาน
“คุณนี่เข้าใจอะไรง่ายดีจริงๆ ผมชอบคนแบบคุณนะ” ซุรุงะพรวดพราดเข้ามาเกาะพนักพิงเก้าอี้ที่รุจน์นั่ง

“คุณอยากให้ผมทำอะไรหรือครับ ถึงเมษาเป็นลูกน้องผม แต่เขาก็เป็นคนนะครับ คิดถึงจิตใจของเขาบ้างซิครับ จะให้ผมงุบงิบหยิบยื่นเขาให้คุณโดยที่ไม่ถามเขาสักคำได้อย่างไรครับ?”
ซุรุงะหันกลับผละถอยออกจากรุจน์

“รู้ไหมว่า รูปภาพที่ผมจะขายให้คุณน่ะ ที่จริงผมไม่ได้อยากขายมันเลย มันเป็นผลงานสุดท้ายที่ผมกับเพื่อนสนิทร่วมกันวาดก่อนที่ผมจะโด่งดัง เขาเป็นเพื่อนคนเดียวที่อยู่กับผมทั้งในยามยากและยามมั่งมี เขาไม่เคยทิ้งผม คำพูดและการกระทำที่จริงใจ ซื่อสัตย์ และแสนอ่อนโยนของเขาทำให้ผมอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ แม้ผมจะกลายกลับจากคนกินอุดมการณ์เป็นคนกินผลประโยชน์ เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง อาจผิดหวังที่ผมกลายเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ยังอยู่เคียงข้างผม เขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของผม คุณรุจน์รู้ไหมว่าหากใครสักคนบอกว่าจะอยู่กับเราตลอดไปน่ะ จงอย่าปล่อยมือเขา”

“..................” รุจน์หันไปสบตากับซุรุงะ
“ผมไม่ได้ปล่อยมือเขาหรอกนะ ในทางตรงกันข้ามผมจับมือเขาไว้แน่นจนเขาอึดอัดเลย ก็อย่างที่บอก โชคชะตามักคอยซุ่มดักเราเสมอ แม้เขาจะตายไปแล้วผมก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเขา ผมไม่ได้ทำงานอยู่หกปีเห็นจะได้ มัวแต่เศร้าโศกหวนไห้กับสิ่งที่ไม่กลับมาอีกแล้ว ผมอยากตายตามเขาไปแต่ร่างกายก็กลับทนทานกับทุกข์ความทรมานที่ได้มาจากจิตใจอย่างเหลือเชื่อ แล้ววันหนึ่งผมก็ได้คิด คงถึงเวลาที่ผมต้องปล่อยเขาไปแล้วล่ะ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมตกลงใจขายภาพให้กับแกลลอรี่ของพวกคุณที่ยื่นข้อเสนอขอซื้อเข้ามาพอดี” ซุรุงะเดินไปหยุดที่มุมหนึ่งด้านหลังรุจน์

“น่าขันจริงๆที่โชคชะตาที่ซุ่มรอผมก็เล่นงานผมอีกครั้งเมื่อได้พบพวกคุณ แม้จะดูเย็นชาไร้เหตุผล แม้ไม่มีความเป็นมนุษย์แต่ผมก็ยอมที่จะทำตามที่สมองซีกชั่วร้ายเห็นแก่ตัวของผมสั่ง ผมต้องได้อะไรบ้างกับภาพที่พวกคุณอยากได้หนักหนา ธุรกิจง่ายที่ผมอยากทำกับคุณจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ ข้อเสนอของผมคือคุณอาจไม่ต้องจ่ายสักเยนสำหรับภาพรวมถึงลิขสิทธิ์ในงานของผมทุกชิ้นนับจากนี้ คุณอาจได้เป็นตัวแทนของผมที่เมืองไทยและภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องดิ้นรนเหมือนรายอื่นๆ เพียงแค่เมษายอม” ซุรุงะสรุปนิทาน1001ราตรีของเขาด้วยการยื่นเสนอที่รุจน์คาดไม่ถึง

รุจน์โกรธจัด มือของเขากำแน่นจนสั่น เจ้าศิลปินหน้าไร้ยางอายคนนี้กำลังบอกให้เขาขายเมษาให้ชัดๆ ไม่เสียอะไรเลยหรือ เมษานั่นล่ะที่จะสูญเสียคุณค่าความเป็นคนเพียงคนเดียว หมอนี่ช่างน่ารังเกียจที่สุด รุจน์ผุดลุกขึ้นอย่างเดือดดาล วินาทีนั้นเองที่ไฟในห้องสว่างขึ้น รุจน์ที่กำลังลุกขึ้นจึงได้เห็นภาพด้านหลังโต๊ะทำงานของซุรุงะชัดเจน ภาพขาดใหญ่เท่ากับผนังห้อง ภาพของผู้ชายในชุดกิโมโน รุจน์ตะลึงเซชนเก้าอี้ล้ม
“เมษา” เขาพึมพัมแผ่วเบา
“ไม่ใช่หรอก นี่คัตสึโนริยูกิ คนที่เป็นเพื่อน เป็นชีวิต เป็นแรงบันดาล เป็นเซ็กส์เป็นทุกอย่างในชีวิตของผม เขาสองคนเหมือนกันมากใช่ไหม เหมือนขนาดที่ผมเองยังตกใจ”

“ผมไม่เสียดายภาพนั้นเลยหากได้เมษาแลกเปลี่ยนมา ถือว่าให้เมษามาดูแลผลประโยชน์ให้ฝ่ายคุณเสียก็ได้ และถ้าเขาอยากกลับเมื่อไหร่ก็ได้แต่ต้องหลังจากที่อยู่กับผมหนึ่งปีแล้ว ว่าอย่างไรล่ะคุณรุจน์ฝ่ายคุณน่ะมีแต่ได้กับได้นะ ผมน่ะยอมขาดทุนถึงขนาดนี้แล้ว ช่วยกลับไปคิดสักหน่อยเถอะ หรือปรึกษากับคุณวุฒิหรือคุณน้ำฟ้าก็ได้นะ” ซุรุงะเดินมาจับไหล่รุจน์ รุจน์ไม่คิดว่าการรักษามารยาทกับคนแบบนี้จะมีประโยชน์อีกแล้ว เขาปัดมือซุรุงะออก ฝ่ายนั้นทำเหมือนเพิ่งเห็นมนุษย์นอกโลก

“คุณซื้อขายคนแบบนี้ผมว่ามันน่ารังเกียจมาก ผมไม่อาจยอมรับได้หรอกครับขอโทษ” รุจน์มองด้วยสายตาอย่างที่เขาพูดอย่างเปิดเผย ใช่เขารังเกียจความคิด รังเกียจธุรกิจที่เอามนุษย์ด้วยกันมาเกี่ยวข้อง
“อย่างนั้นหรือ ผมคนก่อนก็เหมือนคุณในตอนนี้ล่ะ ว่าแต่....อย่างที่บอกกลับไปคุยกับทุกคนที่เกี่ยวข้องก่อนดีไหม คุณไม่ใช่เจ้าแกลลอรี่นี่นา ตัดสินใจแทนเขามันออกจะเป็นการเหมาะสมหรือ?” ซุรุงะคว้าแขนแล้วดึงเข้ามาใกล้
“ไม่มีใครบ้าเหมือนคุณหรอกครับ” รุจน์พยายามสะบัดให้หลุด แต่ไร้ผล

“จำได้ไหมว่า ผมถามว่าคุณสองคนรักกันหรือเปล่า คุณตอบว่าไม่ นั่นก็แสดงว่าคุณเองก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องเนื้อตัวของเมษาเหมือนกัน ลองถามเขาก่อนซิบางทีเขาเองก็อาจมองหาโอกาสให้ชีวิตอยู่ก็ได้”
“เมษาไม่มีวันเห็นด้วยกับความคิดนี้หรอก และผมก็ไม่มีวันพูดเรื่องต่ำช้าแบบนี้กับเขาด้วย” รุจน์เจ็บจี๊ดเมื่อซุรุงะบีบแขนของเขาแรงขึ้น
“งั้นให้ผมพูดเองไหม”
“คุณไม่ได้พูดกับเขาไปแล้วหรือ ก็ในเมื่อพวกคุณ..” รุจน์รีบหุบปากก่อนจะเผลอเผยเรื่องที่เห็นออกไป

“พวกผมทำไม?”
“ผมจะกลับห้องแล้ว คุณจะขายภาพให้หรือไม่ผมไม่สนอีกต่อไปแล้ว พรุ่งนี้ผมจะกลับโตเกียว” รุจน์เซไปกระแทกกับโต๊ะ เมื่อซุรุงะปล่อยมือ
“คุณนี่ปฏิบัติต่อคนใหญ่คนโตได้แย่มากเลยนะคุณรุจน์ เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้ ออกจะเป็นคนหัวอ่อนพูดง่ายกว่านี้” ซุรุงะคลี่ยิ้ม

“หรือที่จริงเรามีเซ็กส์กันคืนนี้ดี แล้วลืมเรื่องเมษาไปซะ อ้อ คุณชอบผู้ชายไหม?” ซุรุงะ ผลักรุจน์นอนบนโต๊ะ เขาปัดข้าวของบนโต๊ะลงพื้น
“ผมชอบมาก ผมกับคัตสึโนริยูกิ เราผลัดกันแสดงบทบาทคิงและควีนเสมอ”ซุรุงะ จับขอบกิโมโนของรุจน์คลี่เปิด จับขาเปลือยเปล่าของรุจน์แยกออกแล้วแทรกตัวเข้ากลาง จากนั้นดึงรุจน์เข้ามาชิดกับแนวสะโพกของเขา

“หยุดนะ!!!” รุจน์พยายามปัดป้องเมื่อเห็นซุรุงะกำลังเปิดกิโมโนช่วงล่างของตัวเอง ซุรุงะจับมือทั้งสองของรุจน์กดไว้เหนือศีรษะ ประกบปากรุจน์หนักหน่วง ปล่อยมือของรุจน์แล้วเคลื่อนไปที่อันเดอร์แวร์ของรุจน์ คว้ามีดตัดซองจดหมายที่หล่นบนโต๊ะจากการปัดข้าวของเมื่อครู่ มากรีดเนื้อผ้าจนขาดหลุดจากลำตัวรุจน์ รุจน์ยันตัวผลักเขาอย่างสุดแรงเมื่อรู้สึกความว่างเปล่าที่เบื้องล่าง

“ไม่นะ!!!” รุจน์พยายามผลักดันซุรุงะให้พ้นตัว แต่เขาก็ถูกซุรุงะกดนอนลงกับโต๊ะอีกครั้ง ซุรุงะดึงรุจน์เข้าหาแนวสะโพกของตัวเอง เขายกขาข้างหนึ่งของรุจน์พาดกับไหล่ รุจน์หอบเหนื่อยหมดแรงได้แต่จ้องซุรุงะเปิดกิโมโนตัวเองแล้วประคองหน่วยก้านอันใหญ่โตแข็งแรงออกมาจากอันเดอร์แวร์ตัวเอง
“อย่าได้โปรด” รุจน์ขยับพยายามขยับถอยหนีแต่ซุรุงะก็ดึงเขากลับไปสู่วิกฤตอีก รุจน์ผ่อนลมหายใจหลับตากัดปาก กลั้นใจ เมื่อหน่วยก้านที่แข็งแกร่งราวเหล็กไหลนั้นพยายามดันด้นจะที่เข้ามาในร่างกายเขา ซุรุงะหายใจคำรามราวสัตว์ป่า
“เจ็บ ปล่อยเดี๋ยวนี้” รุจน์ตวาด ซุรุงะไม่ละความพยายามเขาออกแรงดันจะเข้าให้ได้ โดยไม่สนใจความเจ็บของรุจน์ รุจน์อุดปากตัวเองไม่ให้กรีดร้องออกมา ไม่ทันที่ซุรุงะจะทันได้ล้ำล่วงใดๆประตูก็ถูกเคาะพร้อมเสียงของอาคาบาเนะ ซุรุงะชะงัก

“คุณท่านครับท่านรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมมาพบครับ”
“ทำไมต้องมาตอนนี้วะ” ซุรุงะเก็บความองอาจของเขาแล้วจัดกิโมโนใหม่ก่อนถอยจากรุจน์ รุจน์ลงจากโต๊ะรวบกิโมโนปิดท่อนขาแล้วรีบก้าวไปที่ประตูอย่างร้อนรน ซุรุงะคว้าแขนดึงไว้
“ให้อาคาบาเนะไปก่อน”
รุจน์ไม่ฟังเสียงวิ่งไปที่ประตูเปิดออก อาคาบาเนะตกใจกับสภาพรุจน์ที่วิ่งสวนออกไป
“คุณท่านครับ” อาคาบาเนะทำหน้าอ่อนใจ
“ก็มันเกิดอารมณ์นี่นา”ซุรุงะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเดินออกมาจากห้อง

รุจน์พรวดพราดเข้าห้องมาก็พบว่าเมษาปูที่นอนไว้ให้เขาเรียบร้อย ส่วนตัวเองก็ปูนอนข้างกัน บนหมอนของรุจน์เมษาทิ้งโน๊ตไว้ รุจน์หย่อนตัวลงนั่งบนที่นอนหยิบโน๊ตมาอ่าน
ผู้จัดการครับ
ผมนอนก่อนนะครับผมคอยอยู่นานแต่ก็ไม่เห็นผู้จัดการกลับมาซักที ผมคงดื่มสาเกมากไปเลยง่วงไวน่ะครับ
โอยาสุมินะครับ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ
เมษา ^ ^
รุจน์วางกระดาษโน๊ตไว้ที่เดิมแล้วลุกขึ้นเดินไปหยิบชุดอาบน้ำ
“จะอาบน้ำหรือครับ ผมถอดชุดให้นะ” เสียงเมษาที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้รุจน์สะดุ้ง
“อ้าวไม่ได้หลับหรือ” รุจน์ถามโดยไม่ได้หันมามอง อาการเจ็บกับเบื้องล่างที่ว่างเปล่า ทำให้รุจน์ไม่กล้ามองเมษาเต็มตา
“ตื่นตั้งแต่ตอนที่ผู้จัดการเข้ามาแล้วล่ะ” เมษาลุกขึ้นก้าวเข้าไปใกล้รุจน์ เขาช่วยถอดชุดจนเสร็จจากนั้นก็สวมเสื้อคลุมให้

“ขอบใจนะ”รุจน์กล่าวแผ่วเบาก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่เมษาก็ดึงเขาไปโอบกอดจากด้านหลัง
“ผู้จัดการนี่แอบเซ็กซี่นี่นา แบบนี้ผมก็แย่น่ะสิ คุณไม่ใส่อันเดอร์แวร์ตลอดเวลาที่อยู่ท่ามกลางคนหมู่มากนี่มันเซ็กซี่จริงนะครับ” เมษากระซิบพร้อมอมยิ้ม รุจน์หายใจไม่ออก อันเดอร์ที่เสียหายตัวนั้นยังอยู่ในห้องหนังสือ ภาพของซุรุงะกลับมาอีก รุจน์หลับตาแน่น
“ไปอาบน้ำก่อนนะ” เขาบอกเมษาแล้วเข้าห้องน้ำ
พอกลับเข้ามาเมษานอนหลับไปแล้ว รุจน์นึกสบายใจไม่งั้นเขาก็ไม่รู้จะเข้าหน้ากับเมษาอย่างไร เรื่องที่เจอมาเมื่อครู่ทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก รุจน์ล้มตัวลงนอนโดยเลือกที่จะพลิกหันหลังให้เมษา ข่มตาให้หลับพรุ่งนี้เขาจะพาเมษากลับให้เร็วที่สุด ที่นี่มันบ้าบอชัดๆ

แขนของเมษาเคลื่อนเข้าโอบจากด้านหลัง รุจน์หันกลับไปเมษากำลังจ้องมองเขาอยู่ รุจน์ไม่กล้าสบตา
“มีอะไรหรือเปล่าครับที่ไปพบกับคุณซุรุงะ”
“เปล่า นอนเถอะ” รุจน์ยิ้มเนือย เมษาขยับเข้ามากอดรุจน์ไว้กับอก ใบหน้ารุจน์แนบชิดขนาดได้เสียงหัวใจเต้นข้างในนั้น เขาซุกใบหน้าแนบกับอกของเมษา เมษาก้มลงจูบเส้นผมของเขา
“คืนนี้เราจะฝันดีด้วยกันนะครับ”
“อืม พรุ่งนี้เราจะกลับกรุงเทพฯ” รุจน์กอดตอบ

ทศวรรษยกมือที่ได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้วขึ้นดู มันไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ลองกระดิกนิ้วดูก็ยังทำได้ ขยับทดสอบจนพอใจจึงวางมือลงบนตักพลางเหลียวมองรอบตัวผู้คนมากมายกำลังเดินสวนสลับไปมาอย่างเหม่อลอย
“พี่ทศคะยังปวดแผลไหมคะ” น้ำฟ้าเดินมานั่งข้างเขาในมือหล่อนมีถุงยา
“จำได้นะคะว่าคุณหมอบอกว่าแผลน่ะ ห้ามโดนน้ำ เวลาจะอาบน้ำก็ชูมือไว้สูงๆหรือหุ้มด้วยพลาสติกก็ได้ อีกเดี๋ยวยาชาคงหมดฤทธิ์ มันจะปวดแผลที่เย็บแน่นอนเลย นี่ค่ะยาแก้ปวด แก้อักเสบ แล้วก็บลา บลา บลา”
“อืม ขอบใจนะ” ทศวรรษยิ้มเนือย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พูดมาตั้งเยอะ ฟังก็ฟังอยู่แต่ไม่เข้าหัวเลย น้ำฟ้ามาตรงนี้กับเขาได้อย่างไรกันนะ ทศวรรษพยายามทบทวนแต่สมองก็ดันประท้วงด้วยการปวดตึบขึ้นมาดื้อๆ

“เออ อีกอย่างเรื่องโทรศัพท์น่ะฟ้าจัดการให้แล้วนะคะใช้เบอร์เดิมได้เลยค่ะ” น้ำฟ้าหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ออกมาให้ทศวรรษ
“นักธุรกิจไม่มีโทรศัพท์นี่ จบเห่กันเลยนะคะ พี่ทำไงไหนหลุดมือหล่นตกตึกไปได้ล่ะคะ?
“ก็มือมันเจ็บอ่ะ” ทศวรรษแก้ตัวส่ง เขารับมือถือจากน้ำฟ้ากล่าวขอบใจแล้วลุกขึ้น

“พี่มากับฟ้าใช่ไหม”
“ค่ะ ไปค่ะฟ้าพยุงนะคะ พี่ทศเสียเลือดมากไปหน่อย ไม่นอนโรงพยาบาลสักคืนหรือคะ สีหน้าพี่ไม่ดีเลย” น้ำฟ้าเข้ามาประคองทศวรรษ เขาส่ายหน้าช้าเชื่อง บอกอยากกลับไปนอนที่บ้านมากกว่า พูดจบก็วางศีรษะบนบ่าเล็กๆของหล่อนขณะถูกประคอง
น้ำฟ้าส่งทศวรรษขึ้นนั่งที่เบาะข้างคนขับ แล้วเดินอ้อมมานั่งประจำที่นั่งหน้าพวงมาลัยสตาร์ทเครื่องเข้าเกียร์แล้วขับออกจากที่จอด ทศวรรษพิงศีรษะกับเบาะทอดสายตาที่ขอบฟ้าเบื้องหน้า เขานึกออกแล้ว... ตอนที่เขายืนมองพื้นเบื้องล่างอยู่บนขอบระเบียง ตอนนั้นเสียงกริ่งประตูหน้าก็ดังขึ้น น้ำฟ้ามาหาเขาพร้อมแชมเปญขวดโต หล่อนกะมาฉลองข่าวดี ซึ่ง บลา บลา เขาจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร เพราะตอนนั้นเขาไม่อยู่ในภาวะที่จะรับรู้อะไรทั้งนั้น เขาหน้ามืดล้มลงต่อหน้าหล่อน เลือดจำนวนมากที่เขาสูญเสียนับแต่ออกจากเพนเฮาส์ของ S แข็งใจขับรถกลับมาเพนเฮาส์ตัวเอง ทั้งที่มือและแขนมีแผลฉกรรจ์ เลือดที่ไหลนองมากมายแต่ก็ไม่ทำให้เขาตาย เขารอดทั้งที่ไม่อยากรอด การมีชีวิตต่อไปนับจากนี้นับว่าลำบากยากเย็น ด้วยว่าเขาเต็มกลืนกับทุกสิ่งเหลือเกินแล้ว

ทศวรรษหันมองโครงหน้าแสนสวยราวเทพธิดาของน้ำฟ้าแล้วคิดถึงคำพูดของพี่ชายหล่อน หรือที่จริงที่ผ่านมา S คิดถูกทั้งหมด S อาจเป็นคนที่มองชีวิตทะลุปรุโปร่งอย่างที่สุด และพยายามแล้วจะบอกจะอธิบายให้ทศวรรษได้เข้าใจ แต่ตัวเขาเองกลับยึดมั่นกับสิ่งที่คิดว่ามันสวยงามที่สุดแล้ว ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่ามันเป็นความสวยงามที่อยู่ในฝันของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ความรักระหว่างผู้ชายอย่างไรเสียก็ไม่มีวันเจริญงดงามเป็นดอกผล จริงหรือ?ที่ครรลองของธรรมชาติที่มนุษยชาติได้รับการบอกเล่ามาแต่ไหนแต่ไร ชาย หญิง ต่างหากที่ยั่งยืน ออกดอกผลแก่โลกนั้นคือความจริงที่ทุกชีวิตต้องยอมรับ ทศวรรษหลับตาเอนศีรษะไปซบเบาะด้านติดกับประตู ไม่เว้นแม้แต่เขาที่ไม่เคยคิดใดๆกับเพศตรงข้ามก็จำต้องยอมรับด้วยเช่นกัน ด้วยเพราะมันเจ็บมามากพอแล้ว

“น้องฟ้าครับ ขอคุณมากนะครับ” ทศวรรษพูดทั้งยังหลับตา
“ไม่เป็นไรค่ะ ฟ้ายินดีที่ได้ช่วยค่ะ”
“พี่แปลกใจนะ”
“คะ?”
“พี่แปลกใจที่ฟ้าไม่ถามพี่สักคำเกี่ยวกับแผล”
“ถ้าพี่ทศอยากเล่าคงบอกไปนานแล้วล่ะ เราอยู่ด้วยกันตั้งนาน”

ทศวรรษที่หลับตาค่อยๆคลี่กลีบปากอมยิ้ม เขาเงียบเสียง น้ำฟ้าไม่ได้พูดอะไรต่อ ภายในรถจึงเกิดความเงียบในบัดดล หากแต่เป็นความเงียบงันที่ไม่ก่อให้เกิดความอึดอัด ธาตุอากาศที่ไร้คำพูดแทรกนั้นกลับทำให้ทั้งคู่รู้สึกสงบและเริ่มคุ้นเคยกันและกันมากขึ้นอย่างประหลาด

รุจน์เบียดตัวอิงแนบอยู่ในวงแขนของเมษา เขาหอบหายใจลึกถี่ขึ้นเหตุเพราะกายของเขาตอนนี้ราวกับถูกเข็มเล่มเล็กจ้อยนับพันหมื่นทิ่มตำทั่วสพางค์ แม้จะตกใจอย่างมากกับการกระทำของซุรุงะ ยามหลับตาเขาพยายามลบภาพนั้นออกจากสมอง ทว่านอกจากมันจะลบเลือนแล้วยังกลับกลายทำให้อารมณ์ของเขากู่ไม่กลับเมื่อถูกเมษากอดไว้แน่นเช่นนี้ อารมณ์เร่าร้อนที่ผุดขึ้นไม่หยุดราวกับฟองอากาศบนผิวน้ำเดือดนี้ทำให้รุจน์รู้สึกอับอายต่อเมษา แต่เขาก็ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะรู้สึกต่อไป
“มีอารมณ์อยู่ใช่ไหมครับ” จู่ๆเมษาก็กระซิบกระทัน รุจน์หน้าร้อนวูบ

“เปล่าสักหน่อย”
“แต่มันฟ้องอยู่” เข่าของเมษาที่อยู่ใต้ผ้าห่มเลื่อนขึ้นแทรกหว่างขาของรุจน์
รุจน์รีบลุกขึ้น เมษาตามมาคว้าไหล่ดึงรุจน์ลงนอน
“ฉันนี่มันแย่มากเลยใช่ไหม?” รุจน์มองไปอื่นใบหน้าแดงกล่ำ เมษาหัวเราะ
“ปกติจะตาย เรามาคุยเรื่องอื่นดีไหมจะได้ลืมๆ”
“อืม” รุจน์พยักหน้าแรงแล้วพลิกตัวให้เมษากอดเขาจากด้านหลัง เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับหนุ่มน้อยคนนี้อีกแล้ว

“นายชอบญี่ปุ่นมากไหม?” รุจน์จับมือเมษา
“มากซิครับ อยากอยู่ที่นี่เลยก็ว่าได้ เมืองเขาสวย สะอาด การเดินทางสะดวก ผู้คนก็น่ารัก ขนาดตกงานผมยังต้อง หางานพิเศษทำเพื่อที่จะเก็บเงินเดินทาง”
“นายเรียนภาษาเพราะเหตุนี้หรือ” รุจน์ทิ้งสายตาไว้ที่ฟ้ามืดดำด้านนอก
“ไม่เชิงซะทีเดียวหรอกครับ ตอนแรกก็เหมือนเด็กทั่วไปอยากอ่านการ์ตูนออก อ่านเกมส์ได้อะไรแบบนั้น” เมษาเริ่มตาปรือ ศีรษะเริ่มหนัก เขาซบใบหน้ากับเส้นผมของรุจน์
“ถ้าได้อยู่ที่นี่ก็คงดีนะ”

“คงง้านน....” เมษาต้องการพูดต่อแต่เขาไม่ไหวสติที่เบาลอยวูบดับไปก่อนจะพูดจบ
“เหรอ นายว่างั้นจริงๆหรือ” รุจน์ถอนใจหลับตา เขาไม่อยากพูดต่ออีกแล้ว
รุ่งเช้ารุจน์ตื่นขึ้นพร้อมความแปลกใจที่มีเพียงเขาที่นอนเดียวดายบนที่นอน เมษากับที่นอนของเขาหายไปแล้ว รุจน์ผุดลุกขึ้นเดินหารอบห้องในห้องน้ำก็ไร้เงาของเมษา น้ำที่แห้งสนิทแสดงให้เห็นว่ายังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นในนี้ รุจน์ตรงไปหยิบชุดสูทของตัวเองกับเมษาออกมาแขวน เขาต้องการจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแต่เมษากลับหายไป รุจน์มองเวลาที่นาฬิกาบนผนังตอนนี้ 05.45 เขาจะรอเมษากลับมาอีกสิบห้านาที

คิดอย่างนี้แล้วจึงเดินเข้าห้องน้ำ รุจน์ถอดเสื้อออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำแบบฝักบัว เขาไม่มีเวลานอนแช่หาความรื่นรมย์ใดๆทั้งนั้น เขาต้องการไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ก็คงจะพูดกับน้ำฟ้าให้เข้าใจ กับหล่อนเขาไม่ใช่คนอี่นไกลเสียจนพูดกันคนละภาษา อยู่ที่หล่อนจะเปิดห้องทำงานหรือห้องนอนเพื่อจะฟังเขาเท่านั้น รุจน์เปิดน้ำฝักบัวแล้วปล่อยให้สายน้ำไหลรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อะไรก็ตามที่เขารับมาด้วยความเจ็บปวดให้น้ำล้างออกเสียให้หมดจด หากเมื่อคืนยังทิ้งคราบอยู่ รุจน์เริ่มต้นขัดถูเนื้อตัว

ออกมาจากห้องน้ำเมษาก็ยังไม่มา รุจน์รีบแต่งตัวแล้วออกจากห้อง เขาหาทุกส่วนของบ้านไม่เว้นในสวนทว่าไม่พบแม้เงาของเมษา รุจน์หายใจลำบากเมื่อคิดถึงภาพเมื่อวาน เขารีบพุ่งออกจากสวน
“ถ้านายต้องเสียหายฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย” รุจน์ก้าวเดินอย่างรีบร้อนเข้าสู่เขตของซุรุงะ ห้องของศิลปินเฮงซวยนั่นอยู่ตรงหน้า รุจน์เข้าไปทุบประตู
“เมษานายอยู่หรือเปล่า”


ครู่เดียวประตูก็เปิดออก ใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกของซุรุงะโผล่ออกมา รุจน์ผลักอกเขาให้หลีกทาง เมษาที่เพิ่งสวมยูกาตะเสร็จมองเขาอย่างตกตะลึง ใบหน้าซีดเผือด รุจน์เข่าอ่อนแทบล้มทั้งยืน เขายกมือขึ้นแตะคิ้ว แล้ว เปลี่ยนเป็นแตะหน้าผาก คำพูดจู่ๆหายเข้าคอราวกับเป็นใบ้ ตรงนี้เขายืนอยู่ไม่ได้ หากยังคงอยุ่ตรงนี้ต่อไปเขาคงจะสลายกลายเป็นแค่กองเลือด ที่เมษาพูดเมื่อคืนก้องในหู.....อยากอยู่ที่นี่...

“ผู้จัดการ คือว่าผม...” เมษาผูกผ้าพลางเดินเข้ามาหา รุจน์ยกมือห้าม ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว เขายกมือเป็นเชิงบอกว่าพอแล้ว อย่าพูดอีก แล้วหันหลังวิ่งออกจากห้อง ซุรุงะที่อยู่ข้างประตูกอดอก เขามองตามรุจน์ด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง
“ผมขอตัวนะครับ” เมษารีบตามรุจน์ออกไป ซุรุงะยิ้มที่มุมปล่อยแขนลงข้างตัว เขาเดินไปนั่งที่ข้างหน้าต่างห้องมองผ้าที่ปูบนพื้นห้อง รอยยับยู่ยี่ของมันช่างเย้ายวนเหลือเกิน

เมษาตามมาถึงห้องก็พบว่ารุจน์นั่งรอเขาอยู่แล้ว เขามองชุดวาเลนติโน่ที่รุจน์สวม มองสูทของตัวเองแขวนอยู่
“จะเก็บเข้าตู้ก่อนก็ได้นะ”รุจน์จ้องเมษานิ่งขณะที่เขาเข้ามาทรุดตัวนั่งตรงข้ามกับรุจน์
“ผมแค่แปลกใจ เราไม่ได้กลับพรุ่งนี้หรือครับ ก็ผู้จัดการบอกว่าจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงกับเขาก่อน”
“นายอยากอยู่ที่นี่มากซินะ อยู่ได้นะอยู่ให้ตลอดไปเลยจะได้ไหมล่ะ เพราะฉันกำลังจะทำสัญญากับศิลปินบ้านั่น”รุจน์กัดปากแน่นจนเจ็บ
“ที่จริง ที่จริงฉันไม่ต้องการพูดเรื่องนี้กับนาย ตั้งใจจะรีบพานายกลับกรุงเทพฯ ฉันคิดถึงใจนายว่าอย่างไรเสียเรื่องพรรค์นั้นนายคงรับไม่ได้แน่นอน แต่ที่นายพูดเมื่อคืนกับ...กับ...ที่ฉันเห็น ฉันว่าเราพูดตกลงกันก็ดี”รุจน์ ถอนใจหนักหน่วง

“สัญญาอะไรกันหรือฮะ ผมเกี่ยวอะไรด้วย ผมอยากอยู่หรือไม่อยากอยู่ มันเกี่ยวอะไรกันฮะ” เมษาค้อมตัวมาข้างหน้า
“เจ้าหมอนั่นจะทำสัญญากับแกลลอรี่ของเรา เขาจะมอบภาพเขียนของเขาทุกภาพที่เราต้องการให้ฟรี แถมจะให้เราเป็นตัวแทนของเขาในภาคพื้นอาเซียน” รุจน์ก้มหน้าเขาไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเมื่อคืนเลย
“ที่เขาเรียกคุยเมื่อคืนน่ะสิ โห ยอดเลย”เมษายื่นมือมาจับมือรุจน์

รุจน์กระชากออกอย่างไม่ใยดี มือของเมษาค้างอากาศ
“แต่มันมีข้อแม้นะเมษา ข้อแม้ที่ฉันพยายามแล้วที่จะปกป้องนาย ฉันยอมที่จะไม่ซื้อภาพนั้น ยอมที่จะถูกน้ำฟ้าตำหนิ อาจถึงไล่ออกเพราะมันเป็นภาพที่ลูกค้าคนสำคัญต้องการ ฉันตกลงใจด้วยซ้ำที่จะไม่พูดเรื่องนี้กับนาย ฉันคิดว่าอย่างไรนายต้องคิดเหมือนกับฉันว่าสัญญาแบบนั้นมันเฮงซวย มันขายนายเห็นๆ” รุจน์ยกมือปิดปากหลังพูดจบ เขาหายใจไม่ออกด้วยว่าแต่ละคำพูดจากนี้ มันจะอาจทำให้เขาแตกสลายจากคุณค่าที่เรียกว่าน้ำใจ

“แต่เมื่อเห็นนายกับซุรุงะหลายต่อครั้งรวมถึงคำพูดของนายเมื่อคืน ฉันก็เลยคิดว่าบางทีฉันอาจด่วนสรุปเร็วไป นายอาจกำลังมองหาโอกาสอยู่”
“อะไรกันแน่ครับช่วยพูดให้ชัดเจนหน่อยเถอะครับ” เมษาจ้องรุจน์อย่างเอาจริงเอาจัง
“เมษา นายน่ะเหมือนกับคนรักของศิลปินคนนั้นราวกับคนเดียวกัน เขาเลยต้องการนายอยู่กับเขาที่นี่อย่างน้อยหนึ่งปีเพื่อแลกกับสิ่งที่แกลลอรี่จะได้ทั้งหมดที่ฉันบอกไปแล้ว”

“ครับ” เมษาผ่อนหายใจทรุดนั่งลง
“ถ้านายอยากอยู่ฉันกับน้ำฟ้าก็จะขอบคุณนายมากนะ เราก็วิน วิน นายก็ได้อยู่ในที่ที่นายอยากอยู่ พวกฉันก็ทำธุรกิจต่อไปได้”รุจน์ขยะแขยงริมฝีปาก และเกลียดคำพูดตัวเองอย่างหาไม่ได้ เมษาฟังแล้วก็เหม่อสายตาออกไปนอกหน้าต่าง

“แล้วที่บอกว่าจะปกป้องผมล่ะ”
“อย่างที่บอกฉันอาจจะคิดเร็วไป คิดผิดไป นายเดินเข้าออกห้องของหมอนั่นเป็นว่าเล่นแล้วนี่นา”
“คุณคิดว่าผมนอนกับเขาแล้ว?”เมษาหันมาจ้องรุจน์ด้วยสายตาแข็งกร้าว

“ฉันไม่ได้คิดแต่สภาพนายตอนที่ฉันเข้าไปเห็น นายมีคำอธิบายที่รับได้ไหม?” รุจน์ไม่อยากใช้ประสบการณ์ตัวเองตัดสินแต่คนอย่างซุรุงะ ไม่มีทางปล่อยเมษาลอยนวลในห้องตัวเองโดยไม่แตะต้อง ขนาดเขาที่ไม่ได้เกี่ยวขอ้งกับเรื่องราวรักใคร่ของหมอนั่นยัง.....โชคดีจริงๆที่อาคาบาเนะเข้าขัดจังหวะ
“คุณชอบผลประโยชน์ไหมครับ” เมษายังไม่ละสายตาจากใบหน้ารุจน์

รุจน์ลองยิ้มแบบทศวรรษ เลือดเย็นที่มุมปาก
“ใครบ้างไม่ชอบ” ยิ้มไปแล้ว รุจน์คิด นี่ใบหน้าเขาคงน่าเกลียดเหมือนสัตว์ร้ายซินะ
“เนื้อตัวมันก็ของผม แถมได้ทำตามที่ต้องการ เราวิน วิน ด้วยกันจริงๆล่ะ ทำสัญญากับเขาเถอะครับ อยู่ที่นี่ผมจะดูแลผลประโยชน์ให้ครบทุกเม็ด” เมษาพยายามแค่นยิ้ม รอยยิ้มด้วยชีวิตที่ต้องเข้าแลกของเขา

อาคาบาเนะวางซองเอกสารบนโต๊ะทำงานตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ซุรุงะยังยืนกอดอกมองภาพคนรักบนผนัง
“ภาพนี้ต่างหากที่เป็นภาพของคัตสึโนริยูกิ” ซุรุงะพูดกับอาคาบาเนะที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาเหลือบมองภาพสีน้ำมันอีกภาพที่ตั้งใกล้กับโต๊ะทำงาน ภาพนี้เดิมทีเป็นภาพเปลือยกายของคนรักเขา แต่แค่เพียงร่างโครงสร้างใบหน้าคนรักเขาก็เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุ เป็นอุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะความไม่เข้าใจกันอันเกิดจากผลประโยชน์ละโมภเห็นแก่ตัวของเขา และคนรักของเขาก็ต้องการให้พอ การทุ่มเถียงต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงจึงเกิดขึ้น ขอให้อีกฝ่ายสะเทือนใจ ซุรุงะก็ไม่ยั้งกับคำเจ็บแสบ ดังนั้นคนรักจึงเขาผลุนผลันออกจากบ้านและไม่กลับมาอีก ถึงเสียใจเจียนตายก็ไม่มีความหมายต่อสิ่งที่จบสิ้นไปแล้วพร้อมกับร่างกายและความตายของคัตสึโนริยูกิ ที่ยังเหลือก็เพียงความปรารถนาเลื่อนลอยของเขาที่จะวาดภาพของคนรักให้เสร็จ

ต่อเมื่อพบกับเมษา ความหวังนั้นก็กลับมาเป็นรูปร่างอีกครั้ง เขาถึงกับอดใจไม่อยู่กอดปล้ำเมษาในห้องนั้น ทว่าจุมพิตของเด็กคนนั้นต่างจากคัตสึโนริยูกิ มันชืดชาและไร้สีสัน นั่นทำให้เขารู้สึกตัวตื่นมาพบว่ากำลังให้กลิ่นอายของคัตสึโนริในห้องที่เขาใช้ร่วมรักกันแปดเปื้อน จึงต้องลากเมษาไปที่ห้องของเขา เด็กคนนั้นต้องได้เห็นสิ่งที่เขาอยากจะทำจึงจะเข้าใจในสิ่งที่เขาอยากขอร้อง เมษาเป็นคนจิตใจดีและอ่อนโยนเมื่อได้รู้เรื่องเขาก็ให้ความร่วมมืออย่างยินดี เขาจึงยื่นข้อเสนอที่จะให้รูปที่รุจน์จะซื้อโดยไม่คิดมูลค่าตอบแทนที่เด็กนั่นมีน้ำใจ ซุรุงะรู้ดีว่าเบื้องหลังความยินดีของเด็กเมษาคือความรัก เขาชอบนายตัวเองทำไมซุรุงะจึงมองไม่ออก คงมีแต่เจ้านายซื่อบื้อคนนั้นเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย ถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา “เราไม่ได้เป็นคนรักกัน” ซุรุงะยิ้มเหยียดที่มุมปาก

“ไปเชิญคุณรุจน์มาพบฉันด้วย”
“ครับ”
รุจน์เอนศีรษะพิงเบาะหลัง ซองเอกสารอยู่บนตัก ภาพที่ไม่มีมูลค่าให้ซื้ออยู่กระโปรงหลังรถ นี่คือความพอของทั้งสองฝ่าย นี่คือผลประโยชน์อันยินดีทั้งสองฝ่ายซินะ รุจน์หันมองที่นั่งว่างเปล่าด้านข้างแล้วเลยมองออกไปนอกหน้าต่างอีกฝั่ง ข้างทางเป็นทุ่งดอกไม้สีเหลืองที่กำลังบานเต็มทุ่งดูราวกับพรมที่ปูสุดลูกหูลูกตา พอเลยจากทุ่งดอกไม้ก็เป็นริมน้ำที่เขาเคยผ่านมากับเมษา เด็กหนุ่มคนนั้นกระซิบบอกว่าจะไม่มีวันทิ้งเขา มาอยู่เคียงข้างตลอดไปกันเถอะนะ รุจน์ปริบตาถี่เขาดึงตัวเองจากกริยากึ่งนั่งกึ่งนอนมาเป็นนั่งตัวตรง นี่เขาทำอะไรลงไป ความรู้สึกที่ย้อนตีขึ้นหัวอก ทำให้รุจน์ต้องค้อมตัวกดท้องแรงด้วยรู้สึกอาจจะอาเจียนออกมา
“คุณอาคาบาเนะ ผมขอโทษนะครับ” รุจน์พุ่งตัวไปเกาะเบาะคนขับ ซุรุงะจัดทั้งรถและคนขับสัมนาคุณที่เขายอมทำสัญญามอบเมษาให้ นี่เป็นราคาค่าตัวที่เขาได้จากเมษา รุจน์ละล่ำละลักพูดไม่เป็นคำ
“ชะ ช่วย กลับ ไป ที่ บ้าน นาย ของคุณเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ผมขอร้อง”
“ลืมของหรือครับ”
“มะ...” รุจน์จะตอบว่าไม่ แต่ก็เปลี่ยนใจ

“ครับ ของสำคัญมาก ของชิ้นนี้ถ้าผมทิ้งไว้บ้านนายคุณ ชีวิตผมคงไม่มีโอกาสหาได้อีก” รุจน์ใช้หลังมือปิดปาก แล้วกลับไปนั่งที่เดิมแล้วเริ่มร้องไห้คนเดียว อาคาบาเนะมองเขาจากกระจกส่องหลังก่อนจะเปิดไฟขอทางเพื่อกลับรถ

ซุรุงะกับเมษาอยู่ในงานเลี้ยง ซุรุงะดื่มกับแขกทุกคนอย่างมีความสุข เมษาที่นั่งอยู่ข้างๆรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะดับ ตอนนี้เขาน่าจะยังคงเสิร์ฟอาหารอยุ่ที่เมืองไทย แม้จะรักชอบญี่ปุ่นแค่ไหน แต่หากเลือกได้เขาก็อยากอยู่กับคนที่รัก เมื่อคืนเพราะเขาหลับไปเสียก่อนจะได้พูดคำนี้กับรุจน์ ฝ่ายนั้นที่ถนัดคิดไปเองจึงเข้าใจว่าเขาอยากอยู่ที่นี่เสียจนยอมเสียตัวกับศิลปินยิ่งใหญ่คนนี้ เมษามองซุรุงะแล้วถอนใจ เขาแค่โดนจูบไปครั้งเดียว และไม่เคยคิดให้หมอนี่ลากขึ้นเตียงด้วยซักหน่อย ถึงจะอยากซุรุงะก็ไม่ทำเพราะเขาซื่อสัตย์กับคนรักของเขา

“แม้เธอจะเหมือนเขาแค่ไหน แต่เธอก็เป็นคนอื่น กลิ่นอายร่างกายของเธอต่างกับเขาสิ้นเชิง” ซุรุงะเคยพูดกับเมษาตอนที่เป็นแบบให้เขาวาดภาพ เสียงเอะอะเรียกให้ความสนใจจากแขกทุกคน ทั้งเมษาและซุรุงะด้วย รุจน์เดินเข้ามาในงานพร้อมอาคาบาเนะที่ถือภาพตามมาห่างๆ เมษาออกวิ่งไปยืนตรงหน้าทุกคน
“มีอะไรหรือคุณรุจน์ อาคาบาเนะคุณรุจน์ลืมของหรือ”
“ครับคุณท่าน” อาคาบาเนะ ก้าวไปยืนข้างรุจน์

“ผมลืมจริงๆล่ะครับ” รุจน์ก้าวเข้าไปหาเมษาต่อหน้าทุกคน
“ผมลืมคำพูดของเขาที่ว่าจะเคียงข้างผม ลืมไปว่าเขาแสนดีกับผมออกอย่างนั้น ลืมที่จะละทิ้งความเขลาตัวเอง ผมจึงโง่มาตลอด”รุจน์จ้องเข้าไปในดวงตาเมษาที่สบสานกลับมาหาเขาอย่างชนิดที่เรียกว่าลืมหายใจ
“และที่สำคัญ ผมลืมไปว่า...ผมเองก็เริ่มรักเขาเข้าแล้ว” รุจน์ยิ้มพร้อมอ้าอ้อมแขนกอดคอของเมษาดึงเขาเข้ามาจูบ
แนบแน่น ทุกคนฮือฮา ใบหน้าชาเย็นของซุรุงะผุดรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าเย็นชาเคร่งขรึมนั้นอ่อนโยนลง...



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 20:29:52 น.
Counter : 227 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]