Body Talk (BL) บทที่ 8
บทที่ 8


รุจน์หยิบเสื้อนอกมาสวมแล้วสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก สูทดีไซน์ของวาเลนติโน่ขึ้นชื่อว่าหรูหราด้วยการตัดเย็บอันเป็นเอกลักษณ์ที่รู้จักกันดีในหมู่สุภาพบุรุษชาวยุโรป สิ่งนี้กระมังที่ทำให้น้ำฟ้าซื้อมันมามอบให้เขาในวันที่... วันที่หล่อนอารมณ์ดีและรู้สึกปลาบปลื้มกับการสวมกอดกับเขา จูบกับเขา ร่วมรักกับเขาเป็นพิเศษ ซึ่งทั้งเขาและหล่อน...จนป่านนี้แล้วคงจำไม่ได้ทั้งคู่ ว่าวันนั้นคือวันอะไรพิเศษอย่างไร สิ่งที่ไม่ซึ้งตรึงใจมันก็เป็นเช่นนี้เอง มันก็แค่ฉากของชีวิตในวันหนึ่งๆที่ดำเนินไปพร้อมเหตุการณ์ต่างๆในโลกนี้

รุจน์จับไทด์ให้เข้าที่กับปกเชิ้ทตัวในอีกครั้งทว่าอาการผะอืดผะอมพุ่งขึ้นกระทันทำให้ต้องรีบยกมือปิดปาก ย่อตัวไหล่งองุ้มพยายามกักเก็บอาการห้หายเข้าคอ ครู่หนึ่งเมื่อรู้สึกดีรุจน์จึงสูดหายใจลึก เขาเหลือบมองตัวเองในกระจกอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้มีงานสำคัญแต่เขากลับปล่อยให้อารมณ์ส่วนตัวทำให้ตัวเองหมดสง่าราศี รุจน์จ้องมองกระจก สีหน้าที่ซีดเซียวจากอาการเมาค้าง แววตาไร้ชีวิต สูทสีกรมท่าติดแบรนด์ตัวนี้ทำให้เขาดูดีขึ้นได้จริงๆหรือ รุจน์ถอนใจผละออกจากกระจกด้วยมิอาจทนเห็นสภาพอันน่าทุเรศของซากอะไรสักอย่างในชุดสูทหรูของวาเลนติโน่

รุจน์เดินผ่านห้องนั่งเล่น เมษากำลังจัดโซฟา เขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน รุจน์หยุดยืนพินิจเขาอย่างลืมตัว ในชุดสูทราคาไม่แพงที่เมื่อวานรุจน์ซื้อให้เมษากลับดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ รูปร่างสูงใหญ่ของเขารับกับสูทดำสนิท แล้วเขาก็ช่างเลือกที่ผูกไทด์สีขาวได้อย่างเหมาะเจาะ รุจน์พิงกรอบประตูสายตายังเพลิดเพลินมิรู้เบื่อ ท่ามกลางแสงอ่อนละมุนของเวลา 05.30 รูปร่างดั่งนักเต้นรำของเมษาเหมือนงานศิลป์ที่ลงตัวทั้งด้านสีและแสงเงา

ความสง่างามทุกการเยื้องย่างของเขาราวคนหนุ่มที่มาจากตระกูลดี ในโลกที่ยังสนใจกันอยู่ที่หน้าตาและรูปร่าง งานสังคมหรูที่ไหนก็ได้ในเขาคงเป็นที่สนใจ เป็นที่สะกดสายตาหลายคู่
“อ้อ อรุณสวัสดิ์ ครับ” เมษาหันมาทางรุจน์พอดี เขายิ้มทักทาย ยิ้มกว้างขวาง จนตาหยี รุจน์พริบตารู้สึกตัว พอมองเมษา มองโซฟาแล้วรู้สึกร้อนใบหน้า จนต้องรีบเดินไปที่ประตู เมษายักไหล่พลางก้าวตามไปที่ประตู

วิวนอกหน้าต่าง นอกจากท้องฟ้าสีคราม เมฆก้อนโต ต้นไม้ ดอกไม้ บ้านเรือน ตึกรามที่อยู่ไกลๆแล้ว โดยความเร็วพิกัดสูงสุดของชินกันเซนสิ่งที่อยู่ใกล้กับรางรถไฟดูจะเลือนเบลอเลอะเทอะจนแยกสัดส่วนของแต่ละสิ่งไม่ออกราวกับภาพสีน้ำที่ผิดพลาดเมื่อสีต่างๆไหลรวมจนกลายภาพไม่น่ามอง เมื่อเทียบกับภาพไกลออกไปนั่น รุจน์ทอดตามองอย่างไม่มีทีท่าจะหลับไหลหรือเปลี่ยนอริยาบทเป็นอย่างอื่น ส่วนเมษาที่อ่านหนังสือที่ค้างจากเมื่อคืนอยู่ข้างกันก็ไม่มีทีท่าจะรบกวนรุจน์แต่ประการใดเช่นกัน เวลา 3 ชั่วโมงจากนครโตเกียวสู่โอซาก้านั้นช่างเป็นเวลาที่นานเนิ่นและช้าเชื่องสำหรับคนที่ไม่มีอะไรจะพูดกัน

เมษาปิดหนังสือเล่มหนาดังพั่บ เขาเงยหน้ายกมือขึ้นนวดสันจมูก การอ่านหนังสือบนพาหนะไม่ว่าจะชนิดใด ชั้นดีเพียงใดก็ทำให้ปวดสายตาเหมือนกันหมด ไม่เว้นแต่ชินกันเซนที่ได้ชื่อว่าไม่เป็นรองเครื่องบิน ก็ไม่วายทำให้ประสาทตาล้าปวดหนึบไปเหมือน เมษาหันมองผู้คนรอบข้างมีทั้งกำลังหลับ กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อย่างไม่ออกอาการ สาวสวยหน้าตาน่ารักบริการขายของบนรถ จะเข้าจะออกประตูก็โค้งแล้วโค้งอีก มองออกไปนอกหน้าของอีกฝั่งที่นั่งก็แทบไม่น่าเชื่อว่า ภายนอกกับภายในตัวรถจะต่างกันเพียงแค่โลหะมาตรฐานเยี่ยมกั้น ข้างนอกคือความรวดเร็วเสียงดังอันชวนหวาดเสียว หากแต่ภายในกลับสงบราวกับห้องรับแขกในบ้านของใครสักคน
เมษาถอนใจเม้มปากาแน่นพยายามคิดเรื่องอื่นบ้างนอกจากเรือนกายเพรียวบางและสะโพกผอบผอมเร่าร้อนที่เชิญชวนให้ลิ้มรสรักภายใต้แสงไฟสลัวนวลกระจ่างเมื่อคืน กระนั้นเขาก็กลับมาที่จดจ่อกับคนที่นั่งข้างกายอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ความเงียบในภายห้องโดยสารคือความสงบแต่ความสงบที่คั่นระหว่างเขากับรุจน์คือความอึดอัด เมษาก้มมองมือตัวเองถูกันอย่างไร้เหตุผลแล้วอยากจะหัวเราะออกมา

“เรื่องเมื่อคืน ผมขอโทษ” เมษากลั้นใจทำลายกำแพงความเงียบงันระหว่างกันและกัน
“ที่ผมพูด ที่ผมทำทั้งหมด ผู้จัดการคงจะโกรธมาก ผมขอโทษที่ล่วงเกินคุณไม่ว่าจะเป็นกาย หรือวาจา” เมษานึกชื้นใจที่ผู้โดยสายที่นั่งถัดจากเขาพอที่จะได้ยินสิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นชาวญี่ปุ่น เมื่อพูดออกไปแล้วต่อจากนี้คือเวลาที่น่าอึดอัดใจ ไม่รู้ว่ารุจน์จะเงียบต่อไปหรือหันมากล่าวอะไรกับเขาบ้าง ทว่านานเกินนาทีที่รุจน์ยังคงไม่ยอมหันกลับมาจากหน้าต่างทั้งที่ไม่ได้หลับ เมษาเป่าปากจนผมที่ปกหน้าปลิว

“ฟังนะผู้จัดการแบบนี้ผมก็ตายเลย ไอ้บรรยากาศเย็นชาไม่พูดจาตั้งแต่เช้า ทำเหมือนเราอยู่กันคนละมิติทั้งที่เดินเคียงข้างชนิดไหล่แทบชนกัน เมื่อผมคิดว่าทำผิดผมก็ขอโทษ แต่ถ้าผู้จัดการมันยากที่จะปล่อยวางพอๆกับเรื่องอื่นของคุณ ผมก็จนใจ เราเจอกันที่ชินโอซาก้าก็แล้วกันนะครับ ก่อนที่จะถูกเหม็นเบื่อไปกว่านี้ผมว่าผมไสหัวตัวเองไป non reserved ดีกว่า สบายใจกันทั้งคู่” น่าแปลกที่น้ำเสียงของเมษาไร้ซึ่งอาการหัวเสียแฝงทั้งที่กำลังพูดประชดประชัน เขาพูดเรียบเรื่อยดั่งบทสนทนาทั่วไปทั้งยังยิ้มไร้การเสแสร้ง

รุจน์ละสายตาจากวิวมาที่กรอบหน้าต่าง เขาคิดจะตามใจเมษาหากว่าเจ้าตัวอยากทำอย่างนั้น หากแต่มือของเขากลับคว้ามืออีกฝ่ายไว้เมื่อเขาทำท่าจะลุกจากที่นั่ง เมษามองมือที่ถูกกำแน่นของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
“อย่าไปนะ” รุจน์เผยอปากปล่อยคำพูดแหบแห้งออกมา
“ก็ผู้จัดการ”
“อย่าไปนะ” รุจน์พูดดังขึ้น จนเริ่มมีคนหันมาทางพวกเขา เมษาจึงยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย
“ฉันทั้งเมาค้าง ทั้งอับอายนายต่างหากล่ะ” รุจน์ลดเสียงลง
“จริงหรือฮะ แล้วจะอยากจะอาเจียนหรือเปล่าครับ” เมษาขยับหารุจน์อย่างเป็นห่วง รุจน์ส่ายหน้าช้าๆ
“อาการดีขึ้นกว่าเมื่อเช้า ขอโทษนะที่ทำให้เสียบรรยากาศ”
“อะไรกันครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษมากๆ ที่พูดอะไรออกไปแบบนั้นทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย ผู้จัดการอายอะไรกันหรือครับ ก็ในเมื่อเราเสมอกัน” เมษาทำท่าคิด รุจน์ทุบเขา เมษารีบกางมือรับกำปั้นไว้

“ไม่ใช่เรื่องนั้น คำพูดของนายต่างหาก มันตบหน้าฉันจนหายเมาเลย”
เมษายิ้ม
“จริงหรือครับ ผมขอโทษนะครับ มันแรงไปหน่อย ผู้จัดการคงโมโหมากซินะครับ”
“อืม น่าโมโหจริงๆด้วย” รุจน์พยักหน้าทำหน้าจริงจัง เมษาเบิ่งตารียาวของเขา
“เอาจริงหรือฮะ”
“จริงน่ะสิ นายวิจารณ์ผู้จัดการเชียวนะ ทำงานวันแรกนะเนี่ยตัดเงินซะดีมั้ง”
“โกหก ไม่จริงมั้งครับผู้จัดการ คุณใจแคบขนาดนั้นเชียว”

“โห สองกระทงเลยนะ ว่าฉันใจแคบด้วย” รุจน์หยิบกระเป๋าเอกสารมาเปิดหยิบไอแพดขึ้นมาเปิด
“เฮ้ย!!!! เว่อร์เข้าเนื้อใหญ่แล้วผุ้จัดการ หยุดๆๆนะ ขอโทษก็ได้ ขอโทษอย่างแรงเลย” เมษายกมือไหว้ รุจน์ถอนใจยิ้มแล้วเก็บของใส่กระเป๋าเอกสาร เมษาพลิกนาฬิกาดู
“อีกประมาณไม่ถึงสองชั่วโมงก็จะถึงแล้ว” เขาชี้ให้รุจน์ดูภูเขาไฟฟูจิ ที่ตระหง่านต้อนรับทุกสายตา

“ศักดิ์สิทธิ์นะครับ ผมเคยอธิฐานไว้ตั้งหลายเรื่อง ได้หมดเลย” เมษาพยักหน้าหงึกหงักให้เห็นจริงจัง รุจน์ทำท่าไม่เชื่อ เขามาญี่ปุ่นแม้ไม่มากครั้งแต่ก็น่าใครที่รู้เรื่องนี้บอกเขาบ้าง แต่พอเห็นเมษาหลับตาพนมมือก็ทำตามแต่ไม่วายหันมองผู้โดยสารคนอื่นด้วย เมื่อเห็นไม่มีใครสนใจเขามากไปกว่าหยิบกล้องมาถ่ายรูปด้านนอกรถจึงหลับตา วูบไหวไม่ทันได้ตั้งจิตกับคำอธิฐานเขาก็รู้สึกถูกดึงเข้าไปกอดกลิ่นโคโลจญ์ของเมษากรุ่นที่ปลายจมูกตามด้วยลมหายใจอุ่น.....และจุมพิตที่ชื้นชุ่มจากริมฝีปากของเขา รุจน์ลืมตาหายใจรัว เขาพยายามดันเมษาออกไปแต่อ้อมแขนนั้นไม่ปล่อย ไม่มีใครสนใจพวกเขามากกว่าภูเขาอยู่ดี เมษาแนบใบหน้าของเขากับศีรษะของรุจน์

“ผู้จัดการอธิฐานว่าอะไรหรือครับ ผมน่ะอธิฐานว่า...” เสียงของเมษาดั่งสายลมในวันฤดูเปลี่ยน ทำให้หัวใจสั่นไหว รุจน์เอนกายพิงกับเมษา เหม่อมองภูเขาไฟฟูจิในอ้อมกอดเมษา ตั้งใจฟังสายลมที่หวีดหวิวนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
......ผมขอโทษหากมันจะผิดแผกจากธรรมชาติอันเป็นนิรันดร์แห่งฟูจิซัน แต่ผมชอบผู้จัดการรุจน์ ผมอยากอยู่กับเขาได้ไหมฮะ ฟูจิซัน...


พิสราผูกผ้าคาดเอวเสื้อคลุมขณะก้าวออกมาจากห้องนอนภายในคอนโดของ S กลิ่นบุหรี่และเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันจากการขยับร่างกายทำให้หล่อนสะดุ้งหันไปมองที่โซฟาติดหน้าต่างในห้องหนังสือที่อยู่ติดกันเพียงผนังกั้น
“คุณทศ” หล่อนอุทาน
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขายิ้มให้หล่อนอย่างอ่อนโยน พิสรายิ้มแห้งพร้อมบอกให้ทำตัวตามสบาย แต่ทศวรรษกลับสวนคำว่าเขาทำตัวตามสบายที่นี่มากว่าสิบปีแล้ว
“ผมบอกคำเดียวกับคุณพิศรากับเหล่าผู้หญิงของ S มานานกว่าคุณเกือบเก้าปีเห็นจะได้” ทศวรรษโน้มตัวขยี้บุหรี่ลงที่เขี่ยบนโต๊ะ
พิสราเดาะลิ้น ที่จริงหล่อนไม่อยากไม่สบอารมณ์แต่เช้ามืดแบบนี้แต่คำพูดของทศวรรษนี่ก็ช่างเหลือร้าย หล่อนพยายามหนักหนาที่จะเป็นมิตรกับเขาหากแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ปฏิเสธมิตรภาพที่หล่อนส่งไปอย่างไร้เยื่อใย เขามันคนสองหน้า ต่อหน้าเป็นใบหน้าที่แย้มยิ้มน่าหลงไหล แต่อีกหนึ่งใบหน้าคือคำพูดที่ร้ายกาจ

“ล้อเล่นน่ะครับ เอ่อแต่ถ้าไม่รบกวนเกินไปล่ะก็ผมทำงานต่อให้เสร็จ ถ้าจะกรุณาช่วยบอกพ่อคู่หมั้นของคุณด้วยว่าลดเสียงลงหน่อยก็ดี สมาธิผมหายหมด” ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากพร้อมผายมือเชิญ พิสราผ่าวใบหน้าทศวรรษคงไม่ได้หมายถึง S คนเดียว หล่อนสะบัดหน้าพรืดกลับเข้าห้อง ทศวรรษเดินไปปิดประตูห้องดังโครม กระแทกหลังกับบานประตู มองพิมพ์เขียวบนโต๊ะกับกองเอกสารอีกพะเนินแล้ว ปรี่เข้าไปปัดกระจายร่วงจากโต๊ะ หยิบปากกาขว้างไปกระทบกับกระจก ยกเท้าถีบขาโต๊ะทำงาน ผมยาวรุ่มร่ามรุ่ยร่ายจากการเสยแรง
“ฉันมาทำอะไรที่นี่วะ ไอ้บ้า ไอ้บ้า พวกนายบ้าทั้งหมด ฉันก็บ้าด้วย” ทศวรรษทรุดตัวนั่งกับพื้นหอบหายใจไม่ออก เจ็บมาก เจ็บเหลือเกิน แต่ร้องไม่ออก ทศวรรษหลับตาไม่อยากให้หยดน้ำร่วงหยด

“เกลียดจริงๆเลย” ทศวรรษกำหมัดแน่น เวลาผ่านเท่าไหร่เขาไม่ทันรู้ตัว ด้านหลังเสียงประตูแง้มเปิดดังแผ่วเบา

“เฮ้ ทอนาโดผ่านมาแถวนี้หรือ” เสียงS กระซิบแบบขลาดกลัว ทศวรรษหันขวับ
“ผู้หญิงคนนั้นกลับไปหรือยัง” เขาตะคอกใส่ S อีกฝ่ายกลืนน้ำลายพยักหน้า ทศวรรษลุกขึ้นยืน S ยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมแพรสีเบจเหมือนยัยนั่น ใช่ซินะซื้อของคู่กันซะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของใช้ไม้สอยอะไร ระหว่างสองคนนี้เขาอยู่ตรงไหน ใครช่วยบอกที ยิ่งคิดก็ยิ่งยอมไม่ได้ ทศวรรษคว้าแขน S กระชากเข้าใกล้

“นายจะทำอะไรน่ะ นายเป็นอะไร โกรธอะไรขึ้นมาน่ะ” S ตัวสั่น
“นายทำอย่างนี้ไม่โหดเหี้ยมกับฉันไปหน่อยหรือ” ทศวรรษบีบแขนแน่น
“ขอโทษ ฉันก็ตั้งใจจะมาช่วยนายแต่ น้องเขามาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าด้วย นายก็รู้ว่าเรากับเขา...” S เริ่มหน้าเบ้เพราะเจ็บแขน
“ก็เลยเพลิดเพลินกันปล่อยฉันไว้กับงานจนตะวันขึ้น นายก็รู้ว่าฉันรักนายแค่ไหน นายนอกจากทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้ว ยังทำให้เจ็บได้อยู่ตลอดเวลา นายมันคนประเภทไหนกันแน่วะ ” ทศวรรษผลัก S หงายล้มบนพื้นพรม
“ก็สมแล้วนี่นายอยากบอกจะทิ้งฉันก่อนทำไมล่ะ” S โต้กลับอย่างลืมตัว

“เหรอ นี่ตกลงนายแค้นฉันใช่ไหม มันไม่ใช่ที่บอกว่าสับสนใช่ไหม ทำจะตายก็ละครตบตาน่ะสิ” ทศวรรษพยายามคว้าปลายผ้าคาดเอว S ปัดป้องอย่างสุดกำลัง
“ถ้าใช่แล้วไง ถ้าไม่ใช่แล้วไง อย่านะทศ ปล่อยนะ นายทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ นายไม่มีสิทธิ์ นายจะทำกับใครก็ช่างหัวนายแต่กับฉันนายทำแบบนี้ไม่ได้ ไอ้บ้านี่ หยุดนะ!!” S ตะโกนอย่างเดือดดาล

“วิเศษมาจากไหน ฉันตามใจนาย ปล่อยนายเกินไปแล้วกระมัง นายถึงได้ตอแหลซ้ำซากกับฉันตลอดเวลา” ทศวรรษดึงผ้าคาดเอวออกจากตัวเสื้อสำเร็จเขาเอามันมาผูกข้อมือทั้งสองของ S
“ไหนๆก็ไหนๆฉันจะไม่รอให้นายพร้อมอีกต่อไปแล้ว ฉันจะใช้นายร่วมกับผู้หญิงคนนั้น” ทศวรรษจับ S พลิกคว่ำหน้า ปลดเข็มขัดตัวเองออก ดึงเอว S เข้ามาในระยะประชิด

“ถ้านายเกลียดเราจริงก็ตามใจเถอะ คนที่เกลียดกันมีวิธีการที่จะทำให้อีกฝ่ายสำนึกเสมอล่ะ” Sฟุบหน้ากับฝ่ามือตัวเองบนพรม แล้วเริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว ร่างกายของเขาสั่นสะท้านจนทศวรรษรู้สึกได้ที่ปลายนิ้ว ทศวรรษหยุดนิ่ง เขาปล่อยมือแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตู ตั้งใจจะเปิดแล้วไปเสียที่นี่ ทว่ากระจกตู้ใส่หนังสือวิบวาบที่ปลายตา เขาเหมือนเห็นรุจน์กำลังยิ้มอ่อนบาง ดวงตาเศร้าโศกพูดพร้อมน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ...คุณทศครับผมรักคุณ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน... โดยไม่ทันตั้งตัวทศวรรษเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ตู้ใส่หนังสืออย่างแรง เสียงกระจกแตก เสียงร้องของS เขาฟังไม่รู้ไหนเป็นไหน ก็แค่อยากไปจากที่นี่เท่านั้น ทศวรรษหันกลับมามอง S ด้วยดวงตาล้าอ่อน

“นายต่างหาก ถ้าเกลียดกันแล้วก็ปล่อยฉันไปเสียที อย่าทำเป็นเหมือนรัก เหมือนไม่รักแบบนี้ นายไม่รู้เหรอว่ามันจะทำให้ฉันแยกไม่ออกระหว่างเป็นกับตาย” ทศวรรษยื่นมือที่เต็มไปด้วยเลือดที่กำลังหยดหลั่งราวฝนรั่ว ผืนพรมสีอ่อนเริ่มกลายเป็นวงกว้างด้วยสีแดง S รีบคลานหนีด้วยความสยดสยอง เขารนรานหาโทรศัพท์โทรเรียกรถโรงพยาบาล แต่เมื่อรถพยาบาลและความช่วยเหลือมาถึงกลับมีเพียงกองเลือดและ S ที่นั่งหน้าซีดนอกนั้นมีเพียงเฟอร์นิเจอร์หรูหราและความว่างเปล่า...
บ้านของศิลปินชาวญี่ปุ่นท่านนี้อยู่ไกลจากตัวเมืองโอซาก้ามาทางตะวันออกเกือบร้อยกิโล ลงจากชินกันเซนแล้วต้องต่อ Localอีกเกือบสี่สิบห้านาทีจาก Localต้องต่อแท็กซี่อีกเกือบครึ่งชั่วโมงจึงถึง
รุจน์หันมองเมษาปรามๆว่าตอนนี้ทั้งคู่อยู่บนรถแท็กซี่พร้อมทั้งปรายตาไปทางโชเฟอร์ เมื่อเมษาดึงไหล่รุจน์ให้เอนมาพิงกับไหล่ของตนเอง เมษายกมือยอมแพ้ กริยาทั้งหมดทำโดยปราศจากเสียง โชเฟอร์ที่ไม่รู้เรื่องราวยังคงทำหน้าที่ได้อย่างไม่สงสัย รุจน์มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ข้างถนนเป็นคูคลองสะอาดสะอ้าน แสงแดดจัดจ้าน ดอกไม้สีสันสดสวยโบกกลีบสีล้อสายลม ผู้คนพากันมาเดินเล่นรับลม เป็นครอบครัวบ้าง เป็นคู่รักบ้าง เป็นกลุ่มเพื่อนผอง หรือแม้แต่สองเพื่อนที่กำลังเดินหยอกล้อคุยกันสนิทสนม แต่ที่ต้องตารุจน์มากกว่าอื่นใดคือคู่พี่น้องชายที่กำลังลงเล่นจับปลาในน้ำตื้นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
“นายเป็นลูกคนเดียวน่ะ รู้สึกเหงาไหม?” รุจน์ยังไม่ละสายตาจากภาพน่ารักภาพนั้นขณะเอ่ยถามเมษา

“อืม...ก็ไม่นะครับ อยู่กับพ่อแม่ตลอด ไปโรงเรียนก็อยู่กับเพื่อน ผมเป็นไข่แดง เป็นเดือนที่มีดวงดาวล้อมตลอดก็เลยไม่รู้สึกว้าเหว่อะไร คนมันดังน่ะไม่มีเวลาเหงาหรอก” เมษาลอยหน้าภูมิใจ
“เออ รู้แล้วเข้าใจอย่างมากด้วยว่าทำไม” รุจน์กลอกตาหน่าย
“แล้วผู้จัดการล่ะ ดูเหมือนคุณจะมองเด็กพวกนั้นไม่วางตาเลย”
“ฉันมีพี่ชายแต่ก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียว เราไม่ค่อยมีเวลาแบบนั้นด้วยกันหรอก พูดให้ถูกก็คือเราไม่เคยทำแบบนั้นกันเลย” รุจน์หันกลับมาที่เมษาเมื่อรถผ่านมาแล้ว

“แบบนั้นเหงากว่าเป็นลูกคนเดียวอีกนะครับ ผมน่ะพ่อกับแม่ตายไปแล้วถึงได้รู้สึกว่าความเหงามันหน้าตาเป็นแบบไหนแล้วมันก็จู่โจมทรมานผมเลย” เมษามองออกไปนอกหน้าต่าง รุจน์สบตากับเมษา เขาเลื่อนมือมากุมมือรุจน์
“ไม่ว่าที่ผ่านมาพวกเราจะเป็นอย่างไร อย่าหันกลับไปมองมันอีกได้ไหมครับ ต่อจากนี้ไปพวกเรามาอยู่เคียงข้างกันเถอะ” เมษาเอียงหน้ามากระซิบ รุจน์มองเมษาด้วยความรู้สึกหวั่นไหว เขาไม่กล้าจะสบดวงตาซื่อตรงนั้นแม้อีกแค่อึดใจ เพราะมันอาจหลอมบางสิ่งในหัวใจเขาให้สลายหายไป รุจน์เสมองไปนอกหน้าต่าง แสงแดดเจิดจ้า ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศข้างนอกคงเย็นสบาย ช่างสมกับเป็นวันที่ดีของใครต่อใคร รุจน์เหลือบมองโชเฟอร์แล้วค่อยเอนศีรษะซบกับบ่าของเมษา มือที่กุมเปลี่ยนเป็นสานนิ้วแล้วบีบกระชับด้วยกัน

เมื่อไปถึงบ้านของศิลปินดังทั้งคู่ก็พบว่า ที่นั่นกำลังจะจัดงานปาร์ตี้ในสวน พนักงานจากบริษัทรับจัดงานกำลังสาระวนวิ่งวุ่นกันทั่วบริเวณรอบบ้านหลังใหญ่ รุจน์กับเมษาเดินตามคนรับใช้ในบริเวณทางเดินสำหรับแขกเพื่อกันไม่ให้ได้รับความวุ่นวายจากการทำงานของพนักงาน คนรับใช้หรือแม้แต่พวกบริกร เมื่อเข้าตัวบ้านทุกอย่างก็ดูราวกับถูกแยกไว้คนละโลก ภายในบ้านหลังประตูบานใหญ่เงียบเชียบและวังเวง พื้นไม้ขัดเงาทั่วบ้าน รุจน์และเมษาถูกนำเข้าไปนั่งรอที่ห้องแบบญี่ปุ่น มีประตูเลื่อนเปิดรับบรรยากาศในสวนทั้งคู่ได้รับการเสิร์ฟน้ำชาร้อนพร้อมขนมสีสวย จากนั้นคนรับใช้จึงค้อมตัวและถอยไปหลังประตูก่อนจะเลื่อนประตูปิด รุจน์มองรอบห้องจึงพบว่า ภาพที่เขาต้องการซื้อตั้งไว้บนขาตั้งอยู่กลางห้องที่ติดกันเปิดประตูถึงกันได้

รุจน์ลุกขึ้นก้าวเข้าดูใกล้ๆ ไม่ทันจะพิศมองความงามของภาพเสียงประตูเลื่อนก็ดังแผ่วเบา เมษาหันไปก็พบกับชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆในชุดกิโมโนแบบผู้ชายกำลังก้าวเข้ามาอย่างมีสง่าราศี ผมดำสนิทดั่งแพรไหมชั้นดีถูกรวบตึงปล่อยชายหางม้ายาวปานกลางไว้ด้านหลัง
“มิสเตอร์ซุงุระ ฮิโรกิ” รุจน์ก้าวเข้าไปหาเขา เมษาค้อมศีรษะทักทาย
“สวัสดีคุณรุจน์ใช่ไหม?”
“ครับ”
“เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะ”
“ครับ”
“ภาษาอังกฤษของผมยังแย่เหมือนเดิม” หนุ่มใหญ่ชาวญี่ปุ่นลูบท้ายทอยเก้อเขิน
“เอ่อ เพื่อเป็นความสะดวกทางฝ่ายคุณซุงุระผมได้พาผู้ช่วยมาด้วย เขาพูดภาษาญี่ปุ่นได้มันจะเป็นประโยชน์กับเราทั้งคู่นะครับ” ภาษาอังกฤษของรุจน์ดีเหลือเชื่อ เมษาแอบคิดสงสารศิลปินชาวญี่ปุ่นท่านนี้ ที่เขาพูดคงเป็นเรื่องจริง รุจน์แนะนำเมษาให้คุณซุรุงะ เมษาก็แนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่น สำเนียงและคำที่ถูกต้องของเมษาทำให้คุณซุรุงะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจระคนพออกพอใจ


หลังจากนั้นรุจน์จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่เมษาในสื่อสารกับคุณซุงุระ คนทั้งสองดูสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
“ผมเปลี่ยนใจเลื่อนการซื้อขายไปเป็นวันมะรืนดีกว่า ผมอยากให้พวกคุณอยู่ร่วมงานกับพวกเราก่อน” คุณซุรุงะพูดขึ้นในตอนหนึ่งหลังสนทนาไปพอประมาณ เมษากับรุจน์มองหน้ากัน
“ผมจัดงานเลี้ยงขอบคุณเหล่าตัวแทนของผมจากอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในวันพรุ่งนี้ ผมเลยอยากให้พวกคุณอยู่ร่วมงานด้วย ปกติผมจะไม่ให้คนนอกเข้าร่วมงานหรอกนะครับ แต่กรณียกเว้น”

“เอ่อ ผมคงต้องถามเจ้านายก่อน เพราะเราพักกันที่โตเกียวคิดว่าเสร็จสิ้นการซื้อขายก็จะกลับกันทันทีน่ะครับ” รุจน์พูดผ่านเมษา
“โทร บอกเธอ คุณน้ำฟ้าใช่ไหม ผมจำคนสวยๆอย่างเธอได้ บอกเธอว่าผมกำลังสนใจตัวแทนในเมืองไทยอยู่พอดี”
รุจน์นิ่งคิด ลูกค้ากระเป๋าหนักหลายคนที่เป็นแฟนตัวยงของศิลปินผู้นี้ทุกคนยอมจ่ายไม่อั้นหากเปิดประมูล หรือหากต้องซื้อตัดหน้าคนอื่น การได้เป็นตัวแทนเขาในกรุงเทพฯ มีหรือน้ำฟ้าจะพลาดโอกาสนี้

“งั้นผมขอออกไปโทรข้างนอกก่อนนะครับ” รุจน์ขอตัวแล้วออกจากห้องไป เมื่ออยู่เพียงลำพังกับคุณซุงุระ เมษาก็เดินไปดูภาพที่รุจน์เดินไปดูก่อนหน้านั้น
“สวยมากนะครับ”
“ภาพหรือตัวเธอ” ซุรุงะเดินอ้อมไปยืนตรงข้ามกับเมษา
“ผมน่ะเหรอ”
“รูปร่างเธอดีมากนะ เมษา” ซุรุงะยื่นมือจับปอยผมที่ปรกหน้าของเมษา ชายหนุ่มเบี่ยงหลบก้าวถอยกรูด

“เมื่อกี้ล้อเล่นกันใช่ไหมครับ คุณนี่อารมณ์ดีจังนะครับ” เมษายิ้มฝืดพยายามหลบตาอีกฝ่ายที่เขม้นมองจนน่ากลัว
“เปล่า ฉันมองทะลุเสื้อผ้าของเธอหมดแล้ว และคิดว่ามันจะดีแค่ไหนหากฉันได้ไว้ในมือ”
“กรุณาอย่าพูดแบบนี้ซิครับ”เมษาถอยเข้าชิดประตู พอดีรุจน์เลื่อนเปิดออก เมษาแทบจะโดดกอดเขาไว้เลยทีเดียว
“มีอะไรเหรอ” รุจน์มองสีหน้าตื่นตกใจของเมษา
“ไม่มีอะไรครับ” เมษายิ้มกลบเกลื่อนเขาไม่อยากให้รุจน์ลำบากใจ ธุรกิจยังไม่ได้ตกลงใดๆ

“คุณน้ำฟ้าว่าอย่างไร” คุณซุรุงะ ถามเป็นภาษาอังกฤษ
“เธอโอเค ครับ” รุจน์ยิ้มยินดี
“ก็ดี เรื่องที่พักไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ บ้านผมมีห้องสำรองให้พวกคุณ ยินดีต้อนรับครับ” ซุรุงะยื่นมือให้รุจน์

“ขอบคุณครับ” รุจน์ยื่นมือไปจับพร้อมทั้งยิ้ม แต่พอปล่อยมือคำถามของศิลปินชื่อดังก็ทำเอาเขาแทบหงายหลัง
“พวกคุณเป็นคู่รักกันหรือเปล่า?”
รุจน์ตาโตหันไปมองเมษา ทางนั้นไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมา
“ล้อเล่นหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ล่ะก็ผมขำนะครับ” รุจน์พ่นหัวเราะออกมา

“ผมขอคำตอบ” ซุรุงะกอดอกมองนิ่ง รุจน์เสยผมถอนใจก่อนตอบ
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แน่นอน”
เมษาขยับพิงกำแพง ซุรุงะยักไหล่แล้วออกจากห้อง ทิ้งความเงียบงันไว้ภายในนั้นราวกับไร้สิ่งมีชีวิต

ทศวรรษนั่งพิงศีรษะกับเสาบนขอบระเบียงที่เขาปีนขึ้นมานั่ง เบื้องหน้าเป็นท้องฟ้าอันไพศาล ยิ่งมองความยิ่งใหญ่ของขอบฟ้าก็อ้างว้าง ยิ่งรู้สึกตนเองนั้นไร้หนทาง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าจอแล้วก็ไร้ความคิดไม่รู้จะโทรหาใคร เขามีเพื่อนมากมาย มีคู่นอนที่เลือกแล้วเพียงไม่กี่คน แต่ทั้งหมดไม่มีใครที่อยากพูดคุยด้วยสักคน ทศวรรษหลับตาแน่นก่อนจะขว้างมือถือออกไปสุดแรง อุปกรณ์ชิ้นเล็กปลิววือออกจากมือ ครู่เดียวก็ทิ้งตัวเป็นวิถีโค้งแล้วหายไปจากสายตา ชื่อสุดท้ายที่ทำให้ทศวรรษตัดสินใจขว้างมือถือออกไปคือ รุจน์ ทศวรรษทอดสายตาสู่ฝั่งฟ้าอีกครั้ง หรือเขาต้องตายจากทุกเรื่องบนโลกนี้เสียก่อนจึงจะดับความเจ็บปวดครั้งนี้ได้ ชายหนุ่มดึงตัวเองลุกขึ้นยืนบนขอบระเบียงก้มมองเบื้องล่าง

คนที่ซุรุงะจัดมาดูแลรุจน์ และเมษา ได้พาพวกเขาเข้ามาพักผ่อนในห้องพักแบบเรียวกังที่ทางซุรุงะจัดเตรียมไว้ให้
“มีอะไรให้รับใช้ ก็กดกริ่งที่อยู่ตรงนั้น” ชี้ไปที่ปุ่มขาวข้างกรอบหน้าต่าง
“ผมจะมาทันทีครับ ไม่ต้องเกรงใจใดๆทั้งสิ้นนะครับ ซุรุงะซัง ให้ผมดูแลพวกคุณอย่างดีที่สุด” อาคาบาเนะผู้ดูแลรุจน์และเมษา บอกทิ้งท้ายก่อนค้อมตัวออกจากห้อง เมษาสอดเสื้อนอก รูดไทลงพลางเดินดูห้องอย่างสนอกสนใจ รุจน์มองตามด้วยความรู้สึกอยากพูดแก้ตัวในสิ่งที่พูดออกไป แต่พอเห็นทางนั้นออกจะไม่ค่อยสนใจเรื่องราวเมื่อครู่ก็ลอบถอนใจ มองรอบห้องแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าโบราณ ในนั้นไม่มีอะไรนอกจากกิโมโนชาย และยูกาตะไว้ใส่นอน

“แล้วเสื้อผ้าแบบธรรมดาไม่มีเหรอนี่” รุจน์พึมพัมปิดตู้
“โห สุดยอดเลยครับ ผู้จัดการมีห้องน้ำแบบออนเซ็นไว้แช่ด้วย” เมษาโผล่หน้ามาจากมุมในสุดของห้อง สีหน้าเขาตื่นเต้นเหมือนคำพูด
“เหรอ” รุจน์ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่หันหน้าออกระเบียง ประตูเลื่อนเปิดรับวิวภายนอก เนื่องด้วยห้องนี้อยู่ชั้นบน นอกจากท้องฟ้ากับยอดไม้แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใด ไม่มีสวนสวยแบบห้องที่อยู่ข้างล่าง อาคาบาเนะกลับมาอีกครั้งพร้อมทั้งเชิญเมษาไปพบซุรุงะ รุจน์ย่นคิ้วคิดว่าทางนั้นเข้าใจผิดจึงให้เมษาถามและอธิบายด้วยว่าเมษาเป็นแค่ผู้ช่วยไม่มีหน้าที่พบกับศิลปินโดยตรง

“ไม่ผิดหรอกครับ คุณท่านต้องการแบบนั้นจริงๆและนี่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานครับ” อาคาบาเนะอธิบายด้วยกริยาสุภาพนอบน้อม เมษาถอนใจมองไปทางอื่น

“อย่างนั้นหรือ สงสัยอยากคุยกับนายต่อมั้งนะ” รุจน์หันไปทางเมษา เขายิ้มพยักหน้าก่อนจะเดินตามอาคาบาเนะออกจากห้อง รุจน์มองประตูที่เลื่อนปิดแล้วถอดเสื้อนอกก่อนล้มตัวบนโซฟา ทั้งเหนื่อยจากการเดินทาง ทั้งเมาค้าง ทั้งเพลียจากนอนดึก อาการทั้งไหลวนอยู่ในภายในจนกล้ามเนื้อทุกส่วนอ่อนตัว นอนมองเพดานครู่เดียวก็หลับไป

เมษาถูกทิ้งไว้ในห้องขนาดสิบเสื่อตาตามิ ทั้งห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์สักชิ้น บนพื้นกลางห้องมีเสื้อผ้าแบบกิโมโนชายวางอยู่ ใบหน้าของเมษาเครียดขึ้นเมื่อได้ยินประตูเลื่อนเปิดและปิด เขาหันไปตามเสียง
“ที่นี่เรามีแต่เสื้อผ้าแบบโบราณ ฉันเองก็มีแขก และพวกนายก็ต้องร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเขา พวกเขาล้วนแต่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ซึ่งมันอาจสร้างปัญหาให้กับเจ้านายของนายได้ ฉันก็เลยคิดว่าจะช่วยสอนนายให้ไปช่วยใส่ให้เจ้านายน่ะ”

“ก็ให้อาคาบาเนะซังสอนพวกเราก็ได้ครับ” เมษาค้อมตัวยิ้มแบบไม่เต็มกลีบปาก
“ฉันอยากสอนนายด้วยตัวเองนี่นา พวกนายเป็นวีไอพีของฉันนะ” ซุรุงะเอียงคอพลางก้มลงหยิบกิโมโน
“รู้สึกเป็นเกียรติจังครับ” เมษากลืนน้ำลายเมื่อซุรุงะเดินเข้ามาใกล้
“ถอดเสื้อผ้าออกซิ ไม่งั้นจะใส่เจ้านี่ได้ไง” ซุรุงะยื่นกิโมโนที่พับเรียบร้อยตรงหน้าเมษา

“อะไรนะครับ”
“ถอดเสื้อผ้า”ซุรุงะพูดเป็นภาษาแบบสั่ง “หรือจะให้เจ้านายของนายมีปัญหากับฉันดี”
“เล่นแบบนี้เลยหรือ” เมษาจ้องกร้าว แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ยี่หระที่จะสบตาจริงจัง เมษาพ่นหายใจแรง ดึงไทด์ออก ปลดกระดุมเสื้อ ถอดคว้างลงกับพื้น จากนั้นปลดเข็มขัด รูปซิป ถอดกางเกงเหลือแค่อันเดอร์แวร์ เขายื่นมือออกไปหมายจะดึงกิโมโน แต่ซุรุงะเบี่ยงหลบ

“เมื่อฉันบอกว่าสอน ฉันจะเป็นคนใส่ให้เอง แบบชิ้นต่อชิ้นไม่ให้ผิดที่ทางให้อายคนอื่น คนพวกนั้นน่ะรู้ขั้นตอนการใส่อย่างดี มีตรงไหนผิดสักน้อยนิดเขาก็มองออก และเจ้านายของนายก็จะขายหน้านะ” ซุรุงะทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเมษา ใบหน้าของเขาตรงกับกลางลำตัวของเมษา
“รูปร่างดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ นายนี่ใส่อะไรก็สวยนะ” ซุรุงะยื่นมือออกมา เมษาไม่ได้ขยับหลบ เขาเพียงเปล่งเสียงต่ำเน้นคำต่อคำ
“อย่า แตะ ต้อง เป็น อัน ขาด ”


ซุรุงะยืดตัวยืนขึ้นความสูงของเขาเป็นต่อเมษาอยู่บ้าง เขาเลิกคิ้วมองเมษา เดาะลิ้น จากนั้นก็พยักหน้ามองกำแพงด้านหลังเมษา
“นายนี่ใช้ได้นะ”
“มาทำธุระของคุณให้เสร็จดีกว่า ผมต้องกลับไปดูแลเจ้านาย” เมษาสบตาอย่างไม่เกรงใจ
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เห็นเขาเป็นแค่หัวหน้า แล้วเขาล่ะ?” ซุรุงะก้าวเข้าประชิดตัวเมษา
“มันเรื่องของผม แล้วก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับคุณ เราแค่ซื้อขายภาพไม่ใช่หรือครับ?”ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดียวกับดวงตาที่จ้องกลับซุรุงะ

“ก็ดี” ซุรุงะคลี่กิโมโนออก เดินไปคลุมให้เมษาด้านหลัง
“นายอยากอยู่กับฉันไหมล่ะ” เขายื่นหน้ากระซิบข้ามไหล่มากระซิบข้างใบหน้าของเมษา
“หึๆ”เมษาหันใบหน้ามาเผชิญกับเขา
“ว่าไงล่ะ ฉันร่ำรวย ฉันมีชื่อเสียง นายอยากได้อะไร นายก็มีได้ทุกอย่าง”
“เหรอฮะ แล้วผมต้องทำอย่างไรหรือ นอนกับคุณ?” เมษาสอดแขนลงแขนเสื้อ ซุรุงะที่เริ่มแต่งตัวให้เมื่อได้ฟังคำก็หัวเราะก๊ากออกมา เขาไม่ได้ต่อความยาวยืดพูดอะไรอีก ไม่นานชุดกิโมโนของเมษาเรียบร้อย ซุรุงะขยับถอยมาพิจารณา ทว่าจู่ๆอารมณ์ของสีหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราวเกิดแผ่นดินไหว ซุรุงะรี่เข้ามาคว้าแขนของเมษาดึงเข้ามากอดแน่น เมษาเมื่อหายตะลึงก็ขยับหนี

“ปล่อยนะ คุณทำอะไรแบบนี้น่ะ” เมษาดิ้นรนในอ้อมแขนของซุรุงะ ยิ่งดิ้นยิ่งถูกรัดแน่น เมษาหอบหายใจรัว ตกลงเจ้าบ้ากามนี่ มันเป็นศิลปินวาดภาพจริงเหรอ เขาคิด ศิลปินที่จับพู่กัน จับแปรงปัดสี ชื่นชมงานศิลป์ เอาแรงราวช้างสารแบบนี้มาจากไหนกันนะ
“อยู่เฉยๆนะ” ซุรุงะตวาด
“คุณหยุดทำบ้าๆซิ” เมษาตะโกนใส่หน้า ซุรุงะดันเมษาไปชิดกำแพงเลื่อนมือไปกอดลำคอของเมษาแน่นหนา แล้วประกบปากจูบปากอิ่มเอบของเมษา เมษาส่งเสียงอู้อี้ในคอ พอซุรุงะปล่อยเมษาก็ทรุดพิงกำแพงหอบหายใจ ดวงตาแข็งมองอย่างโกรธจัด มือเงื้อกำหมัดแน่นจนข้อซีด อยากเหวี่ยงให้เต็มแรงแต่พอคิดถึงรุจน์ ถ้าเขาทำ ถ้าผู้ชายคนนี้หมอบคาหมัด งานของรุจน์จะเป็นอย่างไร น้ำฟ้าต้องโกรธรุจน์แน่ ไอ้ศิลปินน่ารังเกียจนี่คงไม่พูดเรื่องจริงที่ว่าถูกอัดเพราะลวนลามพนักงาน ของคู่ค้าขายแน่นอน แล้วก็ให้กำปั้นของเมษาสั่นเทา

“ไปกับฉัน” ซุรุงะคว้าแขนของเมษาดึงให้เดินออกจากห้องไปกับเขา กิโมโนที่ไม่คุ้นเคยทำให้เมษาล้มลุกคลุกคลาน
“ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ คุณมันน่ารังเกียจ จะพาผมไปไหน” เมษาโววายไปตามโถงทางเดิน
“ไปที่ห้องของฉันน่ะสิ” ซุรุงะลากเมษาที่แม้จะพยายามดึงมือกลับแค่ไหนก็สู้แรงไม่ไหว ถึงห้องเขาเลื่อนประตูแล้วผลักเมษาเข้าไป อาคาบาเนะที่เฝ้ามองจากสุดทางเดินได้แต่ถอนใจ
“คุณท่านครับ”

รุจน์สะดุ้งผุดลุกขึ้น หายใจระรัว
“คุณทศ” เขารีบตะกายไปที่กระเป๋าใส่เอกสาร รีบร้อนเปิดกระเป๋าหยิบมือถือขึ้นมากดมือสั่น ทว่าทำอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้ไม่สัญญาณใดๆตอบกลับมานอกจากโอเปอเรเตอร์บอกว่ายังติดต่อไม่ได้ รุจน์หมดแรงนั่งนิ่งเนิ่นนาน น้ำตาหยดใส่มือที่ถือโทรศัพท์
“อย่าทำให้ความฝันกลายเป็นเรื่องน่ากลัวไปซิครับคุณทศ”
รุจน์พยายามกดมือถือครู่ใหญ่ค่อยรู้สึกตัว หันมองรอบห้องไม่พบเมษาจึงเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ เขาเดินไปดูที่ห้องน้ำแต่ก็นึกได้ว่า เมษาไปพบซุรุงะ เงยมองนาฬิกาบนผนังก็ให้แปลกใจ สองชั่วโมงแล้วมีอะไรคุยกันมากมายขนาดนั้น

ไม่ทันจะคิดทำอะไรต่อ ประตูก็เลื่อนเปิดออก เมษาเดินเข้ามาเขายิ้มทักทายเจื่อนๆ
“ขอโทษครับนานไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเผลอหลับไปด้วยน่ะ” รุจน์หลบหน้าปาดน้ำตาทิ้ง เขารู้สึกแปลกที่ปลายตาจึงหันกลับมา
“นายใส่กิโมโนเป็นด้วยหรือ”
“คุณซุรุงะสอนน่ะครับ”เมษาเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบยูกาตะสำหรับสวมอาบน้ำมาวาง แล้วแกะผ้าคาดเอวจากนั้นจึงเปลื้องชิ้นต่อๆไป
“เขาบอกว่า เราต้องใส่อยุ่ที่นี่ตลอดเพราะแขกของเขาใส่ทุกคน ที่เขาเรียกผมไปก็เรื่องนี้ล่ะครับ ผมจำได้แล้วล่ะวิธีการใส่ ผมจะสอนผู้จัดการเอง” เมษาสวมยูกาตะหลังถอดกิโมโนออกแล้ว รุจน์กดโทรศัพท์ในมืออีกไม่ได้สนใจฟัง

“เราแช่น้ำอุ่นด้วยกันไหมครับ” เมษาย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าข้างรุจน์ ส่งยูกาตะสำหรับใส่อาบน้ำให้
“ นายตามสบายเลยนะ” รุจน์รับชุดมาวางบนตัก
“จะว่าไม่กล้าแก้ผ้าต่อหน้าก็ไม่น่าใช่ เราเห็นของกันและกันแล้วนี่นา” เมษาทำปากยื่น รุจน์เลยหยิบชุดตัวเองปาใส่เขา
“โอเคๆ ผมอาบก่อนก็ได้ แต่ผู้จัดการเร็วหน่อยนะ นี่ใกล้เวลาดินเนอร์แล้ว”
รุจน์พยักหน้า พอเมษาลับกาย เขาก็กดมือถืออีกทุกอย่างลงเอยเหมือนเดิม รุจน์กำโทรศัพท์ไว้กับอก
ในห้องน้ำเมษาถอดเสื้อคลุมเดินลงแช่น้ำร้อนได้ก็รับวักน้ำล้างหน้า ถูปากแรง จนริมฝีปากแดงเจ่อ เขาทรุดตัวลงในน้ำ หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาวางปิดหน้าแต่สุดท้ายก็ดึงออกปาทิ้ง ดวงตาที่จับนิ่งที่เพดานครุ่นคิดเหม่อลอย

รุจน์ถอดใจที่จะกดโทรศัพท์ต่อ
ศีรษะเขาค้อมต่ำจ้องเสื่้อตาตามิ ที่จริงแล้วเขาก็น่าจะรู้ดีมาตลอดว่าทศวรรษเป็นคนพูดจริงทำจริง เพราะพูดว่าเลิกกันแล้ว ย่อมหมายถึงอย่ามาให้เห็นหน้า อย่าติดต่อทางใดทางหนึ่ง อย่าแม้กระทั่งคิดถึงแม้เพียงน้อยนิด รุจน์ยิ้มอ่อนล้ากับตัวเองขณะเก็บมือถือใส่กระเป๋า ความฝันก็คือความฝัน ไม่มีอะไรจริงจังมากกว่าบ้าบอไปเอง ทศวรรษยังสบายดีกับการรักใครสักคนอย่างมุ่งมั่น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาสักหน่อย รุจน์ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อคลุมมาสวม เหม่อลอยก้าวเนิบนาบเข้าไปในห้องน้ำโดยลืมว่าจะใช้ต่อเมื่อเมษาเสร็จออกมาแล้ว

เมษาขยับหันมองตาเสียงประตู เห็นรุจน์ก้าวมาแล้วถอดเสื้อคลุมเผยสัดส่วนเปลือยเปล่าก็จับตามองอย่างไม่วางตา แต่พอสายตาสะดุดกับสีหน้าและแววตาหม่นของรุจน์เขาก็ต้องลอบถอนใจแล้วเบนสายตาออกไปที่วิวทิวเขาและหมู่แมกไม้อันตระการตานอกประตูที่เปิดรอบทิศทาง คิดว่าอย่างไรเสียถ้ารุจน์เห็นเขาคงตกใจแล้วออกไปเอง สำหรับเขาแค่ไม่ขยับตัวรุจน์ที่กำลังอยู่ภวังค์คิดถึงคนอื่น ดีที่สุดก็อาจเห็นเป็นแค่ของสักชิ้น ย่ำแย่ทำร้ายจิตใจกันมากกว่านั้นรุจน์อาจมองไม่เห็นอะไรในห้องนี้เลย เขาก็เป็นธาตุอากาศที่อยู่รอบๆตัวไม่ได้มีความหมายมากกว่านั้น เมษาเลื่อนตัวไปเกาะขอบบ่อออนเซ็นอีกด้านที่ติดกับทิวทัศน์ด้านนอก ดีที่สุดในยามนี้คือปล่อยให้รุจน์ได้อยู่กับตัวเอง เขาไม่รู้หรอกว่ารุจน์เจอกับอะไรมา อย่าคิดว่าน้ำตาเมื่อครู่เขาจะไม่เห็นนะ

แต่ก็นั่นล่ะนะรุจน์ก็คงไม่ต้องการคำปลอบโยนจากเขา เมษาวางศอกกับขอบบ่อแล้วสานมือรองคาง ด้านหลังได้ยินเสียงจ๋อมแจ๋ม รุจน์คงลงแช่ตัวแล้ว เมษาลดตามองนิ้วตัวเองเนิ่นนาน ครู่ใหญ่ก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ใต้น้ำ ที่เอวของเขากำลังสัมผัสกับอ้อมกอดจากด้านหลัง ไหล่กว้างและแผ่นหลังสัมผัสแนบแน่นกับผิวเนื้อละเอียดของลำตัวและหน้าอกของผู้ที่อยู่ด้านหลัง ใบหูและลำคอกำลังแนบสนิทกับผิวหน้าสะอาดที่กำลังซบนิ่ง

“ผู้จัดการฮะ” เมษาปล่อยแขนจากขอบอ่าง
“ฉันฝันร้ายและกลัวว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเขา แต่ฉันติดต่อเขาไม่ได้ ฉันลืมไปจริงๆเราเลิกกันแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่อยากให้ฉันไปเกี่ยวข้องกับเขา เขาอยากอยู่กับรักของเขา ฉันเจ็บมากๆเลยนะ ฉันอยากลืมให้ได้ แต่ฉัน....ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วเมษา ฉันเกลียดตัวเองจริงๆที่เป็นแบบนี้ กี่ปีฉันก็ยังยืนที่เดิม ตรงที่มันรกร้าง สกปรก เก่าโทรม ไม่มีใครต้องการจริงๆจังๆหรอก ไม่มีใครต้องการขยะอย่างฉันหรอก ทำไมฉันไม่สำเหนียกสักทีก็ไม่รู้” รุจน์ถอยใบหน้าที่แผ่นของเมษา ผิวกายที่สัมผัสกันอย่างตรงไปตรงมาทำให้เมษาต้องอดกลั้นเป็นอย่างมาก

“อย่าดูถูกตัวเองซิครับ ผู้จัดการน่ะ สำหรับผมแล้ว คุณสุดยอดมากเลย ผมไม่ได้เห็นคุณเป็นขยะ ผมชอบคุณมากนะ” เมษาจับมือรุจน์ที่กอดเขา
“ทั้งที่เขาไล่อย่างกับหมา ทั้งที่เขาขอเลิกไปแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากติดต่อกับเขา อยากได้ยินเสียงของเขา อยากให้เขาพูดว่าสบายดี”
เมษาถอนใจ ดูเหมือนรุจน์จะไม่ได้ฟังที่เขาพูดสักนิด หากคุณเอาแต่ปิดป้องบาดแผลใครจะทายาสมานให้ได้ล่ะครับ คุณรุจน์ เมษาคิดเพียงลำพังขณะมองออกไปภายนอก

“อยากให้เขาพูดใส่หน้าแรงๆว่า ฉันเกลียดนายที่สุด อย่าให้เห็นหน้าอีก เผื่อฉันจะได้สติบ้าง แต่เขาก็ไม่ยอมพูด ”
เมษาหันขวับกลับมาจ้องใบหน้าสวยเศร้าของรุจน์ รุจน์พริบตางงงวยราวเด็กไร้เดียงสาที่ไม่ทราบว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไป เมษาหายใจขัด เขาพูดกุกกัก
“อย่าไปยุ่งกับเขาสิครับ เขาไม่อยากได้คุณแล้ว จะตื้อเขาไปทำไม คุณค่าของตัวเองคนเรามีกันทุกคนล่ะครับ ผมก็เพิ่งเห็นคุณนี่ล่ะที่มัวเอาแต่ทำลายคุณค่าตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ไม่เข้าใจคุณจริงๆ ที่จริงคุณจะกลับมาเป็นคนเสียก็ได้หากคุณเลือกที่จะทำ แต่นี่คุณกลับเลือกที่จะเป็นขยะในสายตาของเขา คุณยินดีจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปหรือครับ” เมษาจะพูดต่อแต่ใบหน้าก็สั่นวูบ รู้สึกชาเมื่อใบหน้าถูกฝ่ามือของรุจน์ฟาดเต็มที่

“นายเป็นคนที่ฉันคิดว่าจะไม่ดูถูกฉัน” รุจน์กัดปากแน่นหลังพูดจบแล้วหันหลังเดินขึ้นจากน้ำ เมษาลูบหน้าตัวเอง แล้วต้องยกมือยอมแพ้
“ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้รุนแรงเหลือเกิน ทั้งที่เราเพิ่งพบกันไม่นาน ผมชอบคุณมาก ผมอยากกอดคุณ แต่ผม... ไม่รู้สิ กลัวความว่างเปล่าในดวงตาของคุณเวลาที่คุณทำเหมือนว่าคุณเองก็มีใจ”

รุจน์สวมเสื้อคลุมลวกๆก้าวออกมาจากห้องน้ำ คำพูดของเมษาก้องในหู เหลือบกระเป๋าตัวเองแล้วทรุดนั่งกับพื้น หัวใจรู้สึกดิ้นพล่านเร่าๆราวถูกกรีดด้วยมีด เมษาที่เขาคิดว่าจะอ่อนโยน คำปลอบโยนที่น่ารักของเขา คำพูดอันน่าฟังที่เขาอยากได้ยินซ้ำๆไม่ว่าเขาจะพบเจออะไรมา เมษาคนที่เขาคิดว่าไม่มีวันพูดจาหักหาญทำร้ายเขาเหมือนคนอื่น เป็นดั่งตะวันอบอุ่นที่อยู่เคียงข้างยามเขาหนาวเหน็บ ที่แท้ก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มช่างฝัน คารมดี ความอดทนอดกลั้นน้อยคนหนึ่ง หรือที่จริงไม่เกี่ยวใดๆเมษา สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดแท้จริงคือเสียงสะท้อนจากก้นบึ้งของ... รุจน์สะอื้นฮั่กออกมา ...ของบ่อลึกในใจของตนเอง..

“ผมไม่ได้ดูถูกผู้จัดการนะครับ” เมษาตามมาคุกเข่านั่งข้างๆ
“เลิกเสแสร้งเสียที” รุจน์ปาดน้ำตาพูดด้วยน้ำเสียงชาเย็น
“ที่ทำให้ฉันหวั่นไหว มาตลอดนี่ก็เพียงเพื่อได้นอนกับฉันใช่ไหม” รุจน์ถอดเสื้อคลุมออกแล้วขยับเข้าหาเมษา ถอดเสื้อคลุมของเมษาออกแล้วเริ่มจูบเมษาที่ปาก แล้วดึงเมษาลงนอนด้วยกัน รุจน์แยกเข่าออกแล้วดึงเมษาตัวแทรกเข้าระหว่างกลาง เมษาได้สติแล้วยันตัวลุกขึ้น คว้าเสื้อคลุมมาใส่หยิบผ้าคาดมาผูก

“นี่คือสิ่งที่คุณเข้าใจเกี่ยวกับผมหรือ” เมษาพูดเรียบนิ่ง ใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มอบอุ่นกลับชืดชา ดวงตาไร้ความเร่าร้อนอันใดนอกจากเวิ้งว้าง
“คุณอยู่กับสิ่งที่คุณอยากทำไปเถอะผมขอตัวก่อน” เมษาเดินออกจากห้องไป รุจน์ลุกขึ้นชันเข่านั่ง ก้มหน้าซบกับเข่ามือปัดกระเป๋าออกห่างจากตัว ข้างนอกเมษาพิงตัวกับประตูก่อนจะรูดตัวลงนั่ง เงยหน้ามองเพดาน เขาละทิ้งรุจน์ในตอนนี้ไปได้จริงๆหรือ ความรู้ชอบรุนแรงนี้จะทำอย่างไรดี เมษากอดเข่าตัวเองแน่น ที่มุมทางเดินซุรุงะกำลังมองเมษาอย่างเงียบเชียบและใช้ความคิด

รุจน์รีบวิ่งไปเปิดประตูด้วยกำลังรู้สึกผิด เขาคิดว่าหากเมษากลับมาจะรีบขอโทษที่จู่ๆเขาก็เกิดบ้าจนเสียเรื่อง เด็กคนนั้นไม่ได้รู้เรื่องอันใดด้วยทั้งนั้น เขาน่ารัก ใจดี อ่อนโยน กับรุจน์มาแต่พบหน้ากันครั้งแรกจนวินาทีที่รุจน์ต้องการความช่วยเหลือแบบเห็นแก่ได้ของตนเอง เขาก็ไม่รีรอที่หิ้วกระเป๋าใบเล็ก แถมด้วยต้องนั่งคุดคู้ในเครื่องบินเที่ยวฉุกเฉินเพื่อติดตามรุจน์มาถึงที่นี่ ไม่ว่ารุจน์จะอยู่ที่ไหนเขาจะอยู่เคียงข้างคอยกระซิบคำแสนดีให้รุจน์ได้ฟัง ได้ชื่นใจ แต่ผลตอบแทนที่รุจน์ให้เขาคือ คำปรามาสต่ำทรามอย่างที่ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนกล้าพูดกับเด็กดีแบบนั้น รุจน์รู้สึกคลื่นไส้เมื่อคิดว่าเพราะตนเองเริ่มต้นผูกพันธ์กับคนบางคนด้วยเซ็กส์ใช่ไหม ถึงได้มองสัมพันธ์ของคนอื่นเปรอะเปื้อน บิดเบี้ยวไปหมด

“สวัสดียามเย็นครับ คุณรุจน์ ผมมาช่วยแต่งตัวให้ครับ ใกล้มื้อค่ำแล้ว” อาคาบาเนะโค้งตัวในมือชุดกิโมโนสีน้ำเงินเข้มพร้อมสายคาดสีขาว
“เอ่อ ผู้ช่วยผมจะช่วยผม...” รุจน์ผิดหวังที่ไม่ใช่เมษา
“คุณเมษาคงจะรอคุณที่ห้องอาหารเลยน่ะครับ” อาคาบาเนะค้อมตัวเมื่อเดินผ่านรุจน์เข้ามาให้ห้อง รุจน์มองออกไปด้านนอกห้องอย่างแปลกใจ





Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2555 19:20:18 น.
Counter : 220 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]