Body Talk (BL) บทที่ 10/1
บทที่ 10/1

ผมไม่ได้เป็นเทพเจ้า ผมไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้เป็นผู้ทรงอิทธิพล ไม่ได้เป็นผู้ชนะทั้งสามโลก ทั้งที่หากเป็นได้ผมก็จะเป็นทุกอย่างที่ผู้จัดการอยากให้เป็น ทว่าในความจริงนั้นตัวผมเองก็แค่เด็กที่ยังไม่รู้จักโลกมากพอ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะซาบซึ้งกับชีวิตทั้งด้านดีและร้ายได้อย่างไร อยากรู้ให้มากเกี่ยวกับความสุขความเศร้า อยากลึกซึ้งให้แก่น ผมจะได้บอกเล่านิทานแห่งอารมณ์และความรู้สึกเหล่านี้ให้ผู้จัดการฟังด้วยความรัก ผู้จัดการจะได้ไม่ได้ต้องใช้ร่างกายเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเองยามที่คุณไม่เข้าใจโลก” เมษายันตัวออกจากที่พิง เขาเดินไปรอบๆบ้านของรุจน์ จนมาถึงห้องนอน เมษาใจเต้นใบหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

เรือนร่างเปล่าเปลือยผอมบางของรุจน์ สีหน้าที่แสดงถึงอารมณ์รักอย่างสุดขีด ยามรับบทรักของเขาบนเตียงนอนนั้น เมษาทอดน่องเดินไปนั่งแล้วทิ้งตัวนอนวางศีรษะบนหมอนของรุจน์ ภาพของโกวิทผู้ช่วยพ่อครัวที่เขาไปเยี่ยมวันก่อน ผุดขึ้นกลางอก โกวิทแม้จะทรุดโทรมอิดโรยจากพิษรัก แต่เขาก็ดีใจที่เห็นเมษาเอาความห่วงใยของเพื่อนร่วมงานและคำยกโทษจากเจ้านายไปเยี่ยม เมษาคุยกับเขาโดยไม่พยายามไปแตะต้องความช้ำใจของผู้ช่วยพ่อครัว ทว่าโกวิทกับโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียเองว่าความรักที่ไม่เผื่อตัวเองนั้นน่ะมันอันตรายสิ้นดี เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นตัวเราเท่านั้นที่ตาย คำพูดที่เน้นหนักดวงตาที่จริงจังของโกวิททำเอาเมษาหวาดหวั่นไม่กล้าสบสานด้วย

เมษาหันใบหน้าซบกับหมอน กลิ่นอายของรุจน์และเขาในคืนค่ำที่ผ่านยังทอดตัวกำจายให้คิดถึง
“เราสองคนจะเป็นอย่างไรต่อไปครับผู้จัดการ ขอให้พวกเราอย่าได้กลับกลายเลยนะครับ” เมษาพริ้มหลับตา หากโลกนี้ไม่มีเรื่องเล่าใดๆนอกจากเรื่องราวของพวกเขาก็คงดี เรื่องเล่าพวกนั้นจะกล่อมรุจน์ให้หลับไหลกับเรื่องราวของพวกเขาสองคนตลอดไป

รุจน์เหม่อมองรถตัวเองเนิ่นนานราวกับไม่รู้เบื่อ ราวกับมันเป็นล้ำค่าที่เขาได้มาอย่างลำบากยากเย็น ต้องชื่นชมเสียให้พอ ในความจริงคือตอนนี้สมองที่ยังปวดตึบของเขากำลังคิดถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น และจบลงเมื่อวันวาน คิดแล้วไม่มีเรื่องไหนดีเลิศให้จดจำสักนิด ย้อนคิดแล้วยังประหลาดใจที่ยังอยู่เป็นตัวตนวันนี้ได้ทั้งที่น่าจะแหลกเหลวเป็นของเน่าเฟะอยู่ก้นหลุมลึกที่ไหนสักแห่ง เป็นอย่างนั้นก็คงดีที่สุด รุจน์กดรีโมทเปิดประตู พอจะก้าวขึ้นรถก็หันไปมองลิฟท์ที่เขาเพิ่งออกมาเมื่อครู่ มองที่ที่รถทศวรรษเคยจอด เมื่อคืนเขาใช้รถของรุจน์ส่วนของเขาฝากที่ผับ มองเสื้อผ้าที่ยับย่น มองเนื้อหนังที่เต็มไปด้วยริ้วรอย อาการเจ็บริ้วที่ยังฝังแน่นภายในกายแบบไม่ยอมเจือจางแล้วต้องเม้มปากแน่นจนซีด ที่นี่คือสิ่งที่เป็นทศวรรษ เท่าที่ควรจำไว้คือเขาทั้งคู่เลิกกันแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องติดต่อกันอีก

ที่ตรงนี้ไม่ควรจะมีแม้แต่เงาของเขา ทว่าเมื่อคืนนี้ ไม่ว่าจะเซ็กส์ราคาถูกในห้องน้ำเหมือนพวกโสเภณีไร้ยางอายเพราะตัวก็ชั้นต่ำ การถูกทศวรรษพามาที่นี่ ให้เขาลากขึ้นเตียงแบบพร้อมใจ โจนตัวเข้าใส่เซ็กส์ที่แทบถล่มโลกได้เพื่อดับไฟพิศวาสที่หลงคิดว่ามันสิ้นเชื้อมานานแล้ว ที่แท้แล้วมันพร้อมลุกโพลงเสมอหากถูกจี้ด้วยราคะจนยับยั้งไว้ไม่ได้ รุจน์ทรุดตัวนั่งในรถสองมือยกขึ้นกุมศีรษะ ทั้งหมดนี้ไม่มีใครเลยที่ฝืนใจเขา ไม่มีเลย เขาพอใจที่เดินลงสู่ทะเลลึกแห่งตัณหาแล้วทอดกายจมลงความมืดมิดแสนน่าชังนั้นด้วยตัวเอง แม้ไม่อยากเข้าใจ แม้อยากจะหลบเลี่ยง แต่เพราะโลกนี้มีกลไกในตัวของมันเองที่จะทำให้มนุษย์สำนึกในสิ่งที่ไม่อยากยอมรับ สิ่งที่ไม่อยากตะหนักมักตกตะกอนในหัวใจ สำหรับรุจน์สิ่งเป็นตะกอนในหัวใจของเสมอคือความอดกลั้นต่อทศวรรษที่เขาต้องทนเก็บกักไว้ถึงสามปีเต็ม
Anna Gavalda เคยเขียนในหนังสือ Je l’aimais (ฉันเคยรัก) ว่า “...ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่หนอ คนเราถึงจะลืมกลิ่นอายของคนที่เรารัก และเมื่อไหร่จะถึงคราวของเราที่จะเลิกรักเขาบ้าง ใครก็ได้ช่วยหยิบนาฬิกาทรายให้ฉันหน่อย” และ เว่ย ฮุ่ย ก็เคยเขียนเกี่ยวกับความทรงจำแห่งเรือนร่าง ใน shanghai baby ว่า “...ต่อให้เวลาผ่านไปกี่เดือนกี่ปี ต่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นส่วนหนึ่งของอดีตไปแล้ว ความทรงจำทางเพศอันงดงามยากจะลืมเลือนนั้นจะไม่มีวันจางหาย ไม่ว่าจะกำลังฝัน จมอยู่ในห้วงคิด เดินอยู่บนถนน อ่านหนังสือ เจอคนแปลกหน้า ร่วมรักกับผู้ชายอีกคน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ความทรงจำนี้จะโผล่หน้าออกมาทักทายเสมอ....”

รุจน์กระพริบตาไล่น้ำอุ่นที่รื้นเอ่อจากขอบตาเพราะมันทำให้เขามองภาพมือถือ ที่กำลังเรียกเข้าด้วยชื่อของเมษาตรงหน้าไม่ชัด เขาสูดน้ำมูกเช็ดน้ำใสออกจากตาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดปิดเครื่อง

เมษาไขกุญแจของรุจน์ล็อคประตูพลางมองโทรศัพท์ในมืออย่างงงงัน เขาดึงกุญแจออกมามือถือก็ดังงขึ้นอีก มองเบอร์แล้วเมษาก็ถอนใจแล้วกดรับ เขาบอกว่าปลายสายว่ากำลังจะไป ลูกของหล่อนเป็นความรับผิดชอบของเขาและสัญญาที่บอกไว้ไม่ลืมแน่นอน เมษากดปิดสายแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า แย่ชะมัดเมื่อครู่ยังแจ่มใสอยู่เลย เขาเดินไปชิดขอบระเบียงทางเดิน ฟ้าหลัวครึ้มดูไม่สวยอีกแล้ว

ทศวรรษ เปิดฝักบัวแล้วเดินเข้าหาสายน้ำ สองมือดันผนังห้องน้ำ ศีรษะก้มให้น้ำไหลชะโลมใบหน้าก่อนรูปร่างสูงสง่าไร้อาภรณ์ที่ชุ่มโชกด้วยน้ำจะหันกลับขึ้นพิงแนบหลังกับพื้นหินอ่อน ภาพของรุจน์ที่ผุดลุกหนีไปต่อหน้าต่อตาทำให้รู้สับสน นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาเป็น

คำนึงของทั้งสามที่อยู่กันคนละเส้น ทาง ห่างไกลกันสุดคเน ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย หากทว่าคงมีแต่คุณโชคชะตาของรุจน์เท่านั้นที่จะได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังประสานเป็น หนึ่งเดียว ความคิดที่ว่า….ชีวิตนับจากนี้จะเป็นอย่างไร

แพทย์ประจำตัวของรุจน์ปิดแฟ้มพร้อมส่งยิ้มให้ รุจน์ยิ้มกระดาก หน้าชาร้อนอยู่บ้างด้วยความอาย เขาเหลือบสายตาหลบเลี่ยงไปทางอื่น
“รู้สึกจะผิวเนื้อตรงนั้นจะรอยช้ำและมีแผลฉีกขาด แต่เป็นแค่ริ้วเล็กน้อยเท่านั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร จะจ่ายยาแก้อักเสบกับลดปวดเกร็งไปทานสักอาทิตย์นะครับ อ้ออีกอย่าง” คุณหมอทำเหมือนเพิ่งนึกได้ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเสมอยื่นหน้ามาข้างหน้าพร้อมขยิบตา รุจน์ตั้งท่ารับฟังหมอหนุ่ม เขาเป็นหมอที่รุจน์ไว้ใจ ความใจดีและเข้าใจในสิ่งที่เป็นรุจน์ทำให้ประทับใจนับแต่ครั้งแรกที่พบ

“เพศสัมพันธ์ ระหว่างนี้ก็ควรจะลดจนกว่าจะแผลจะหายนะครับ ผมคิดว่าคุณมีมันถี่เกินไปช่วงนี้ การมีแผลซ้ำซากมันเสี่ยงต่อโรคที่น่ากังวลกว่านี้นะครับ บอกกับแฟนของคุณให้เข้าใจนะครับ” พูดจบเขาก็ถอยกลับไปนั่งท่าเดิม รุจน์พยักหน้าขัดเขิน การให้คำแนะนำหากเป็นเรื่องของอาการไข้ทั่วไปก็จะพอสบตามองหน้ากันได้เต็มตา แต่นี่มันเฉพาะจริง หากไม่ต้องการความสบายใจว่าเขาจะไม่เป็นไรหลังมีเพศสัมพันธ์ที่ทั้งถี่และรุนแรงในช่วงนี้ เขาคงไม่บากหน้ามา ถึงจะสนิทสนมคุ้นเคยกันอยู่แต่เรื่องแบบนี้สำหรับคนธรรมดาก็ยังถือว่าเป็นเรื่องน่าขายหน้าอยู่ดี

“งั้นก็เดี๋ยวรับยาแล้วก็กลับบ้านได้เลยนะครับ” คุณหมอส่งยิ้มอบอุ่นอีกครั้ง รุจน์ลุกขึ้นไหว้แล้วก้าวออกจากห้อง พยาบาลที่อยู่หน้าห้องยิ้มให้เขาก่อนจะเรียกคนไข้รายต่อไป รุจน์ถอนใจโล่งอก หลุดจากความหวาดระแวงลงได้ซะที ตอนที่นั่งรอรับยารุจน์สังเกตุว่าผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กระซิบกระซาบ บุ้ยใบ้ชี้ให้กันและดูอะไรสักอย่างที่อยู่อีกด้าน รุจน์สนใจหันมองตาม เขาแทบตกเก้าอี้ ที่หน้าลิฟท์เมษากับผู้หญิงที่เขาเห็นวันนั้น ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายวัยน้อย หน้าตาน่าชัง

ทั้งสามคนดูราวกับป้ายภาพโฆษณาที่สามารถเห็นทุกหนแห่งในเมืองใหญ่แห่งนี้ ครอบครัวในฝันแสนสุขที่ไร้มลทินจากอคติใดๆของสังคมซึ่งหลากสินค้าตั้งอกตั้งใจนำเสนอ รุจน์ไม่อยากมองด้วยรู้ตัวว่าความต้านทานความโกรธขึ้งยังไม่แข็งแรงพอ หากแต่ก็ห้ามดวงตาจับจ้องแทบไม่กระพริบไม่ได้ บิลที่จ่ายแล้วแต่ยังไม่มียาในมือนั้นถูกกำแน่นจนยับเยิน

ทันทีที่ถึงบ้านรุจน์ก็ปากุญแจบ้านทิ้งบนโต๊ะ ปากุญแจรถทิ้งบนพื้น เขาไม่อยากคิดให้รกสมองแต่ความโกรธก็ไม่อาจระงับ เปิดตู้เย็นจะหยิบน้ำมาดื่มเจอข้าวของที่เมษาซื้อ เขาคิดจะดึงเอาออกมาเหวี่ยงทิ้งให้หมดแต่ก็เปลี่ยนใจกระแทกปิดฝาตู้เย็นแรง เปิดขวดกรอกน้ำเย็นใส่ปากอย่างเดือดดาลจากนั้นก็ปาขวดน้ำในมือ

“ฉันมีท้องไม่ได้ ไม่ดีซินะ นายมายุ่งกับฉันเพราะแค่อยากรู้เท่านั้นซินะเมษา นายยังเด็กก็เลยอยากรู้อยากเห็นอยากลองไปหมด สุดท้ายแล้วชีวิตที่ถูกต้องแบบคนธรรมดาก็เป็นสิ่งที่นายจะลงเอยกับมันอย่างสงบอยู่ดี” รุจน์กรีดร้องอย่างโกธาจนไอโคลกออกมา เขาซวนเซไปที่ห้องจะทิ้งตัวนอนก็เห็นช่อดอกไม้วางอยู่ บนการ์ดลายเมษาเขียนบอกว่า คืนนี้เจอกัน เขาคิดถึงรุจน์มาก รุจน์คว้าดอกไม้มาตั้งใจจะทึ้งขยำให้แหลกคามือ ทว่ามือทั้งสองกลับทำในสิ่งที่อยู่นอกจินตนาการโดยการดึงช่อดอกไม้นั้นมากอดแนบอก ทั้งที่อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก น้ำตาหมดแล้ว ข้างในเหือดแห้งแม้แต่เลือด รุจน์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง

เขาไม่อยากเป็นคนไร้ยางอาย แต่หากมาย้อนคิดดูจะโกรธเมษาไปทำไม ในเมื่อเขาเองก็มีคราบคาวรสรักของทศวรรษซ่อนอยู่ เขาจะบอกเมษาอย่างไร เอาไหมแลกกับสิ่งที่เมษาซ่อนไว้ รุจน์หลับตาพลิกขดตัวกอดดอกไม้แน่น กลิ่นหอมหลากหลายของดอกหลายพันธ์ชวนให้คิดถึงฤดูใบไม้ผลิต เขาอยากเห็นฤดูใบไม้ผลิในความฝันจริงๆ ในความมืดหลังเปลือกตารุจน์ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยแล้วหายไปจากทุกความคิด

กลิ่นหอมของอาหารที่ไม่รู้จักชื่อ และสัมผัสจากริมฝีปากนิ่มอุ่นที่ไล้จูบลงบนริมฝีปากของเขาปลุกรุจน์จากการหลับไหลอันยาวนานนับแต่บ่าย
“เจ้าหญิงนิทราตื่นจริงๆด้วย ทั้งที่จูบนี้ไม่ใช่ของเจ้าชายสักหน่อย” เมษาที่ค้อมตัวข้างเตียงทักทาย
“เมษา”รุจน์มองเขาราวกับเห็นคนแปลกหน้า
“สายตาแบบนั้นน่ะ น้อยใจนะ นึกว่าจะได้เห็นแววตาที่ดีใจซะอีก ไหนบอกกับซุรุงะว่าเริ่มรักผมแล้วไง” เมษาก้มลงนั่งบนเตียงใกล้กับรุจน์ที่ยังนอนอยู่ รุจน์เลื่อนศีรษะไปหนุนตักเมษา

“หอมอะไรน่ะ”
“ผมทำอาหาร เราทานด้วยกันนะ”เมษายิ้มพรายขณะปรายออกนอกหน้าต่าง มือลูบเส้นผมของรุจน์ มองจากเบื้องล่างคางของเขาคมสันและจมูกก็ตรงโด่งสวยงาม

“ฉันไม่รู้สึกอยากอาหารเลย” รุจน์หันไปหาดวงจันทร์ที่กำลังเปล่งแสงนวลกระจ่างกลางฟ้าแห่งริตติกาล
“เหรอฮะ ไม่สบายหรือเปล่า”
“ฉันเหนื่อยเหลือเกินเมษา เหนื่อยเสียจนไม่อยากขยับตัวอีกแล้ว หากการไม่ขยับอีกแล้วหมายถึงตาย ก็อยากตายตอนนี้เลย”รุจน์ถอนใจหลับตา

“มีอะไรหรือครับ บอกผมได้ไหม” เมษาก้มลงจูบเส้นผมของรุจน์
“แล้วนายล่ะวันนี้เป็นไงบ้าง อยากเล่าให้ฉันฟังไหม?” รุจน์จับมือเมษาที่กำลังลูบเส้นผมของเขา
“อืม ก็ไม่มีอะไรพิเศษสักอย่าง ทุกอย่างดำเนินเหมือนเดิมจนกว่าจะได้พบผู้จัดการ”เมษากระชับมือของรุจน์ รุจน์หลับตาลงฟังเสียงลมหายใจที่ช้าเชื่องของตัวเอง
“อยากฟังของฉันไหม”
“ครับ ถ้าผู้จัดการอยากเล่า”

รุจน์ลุกขึ้นนั่งเขาหันมาสบตากับเมษา แสงไฟในห้องทำให้ประกายในดวงตาเมษาวิบแวมราวดวงดาวที่อยู่นอกหน้าต่างนั่น
“นายหิวหรือเปล่า เรากินมื้อเย็นไปเล่าไปดีไหม”
เมษาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยื่นมือให้รุจน์
“ฉันไม่ได้ป่วยนะแค่นี้ลุกไหวน่า”
“เปล่าผมแค่อยากให้ผู้จัดการรู้สึกว่าคุณมีผมเสมอ”

ได้ยินแบบนั้นก็อยากดีใจให้มากๆ แต่ภาพที่เห็นทำให้รุจน์ซาบซึ้งด้วยไม่ลง เขาลุกขึ้นเดินนำหน้าโดยไม่แตะต้องมือของเมษา
“ฉันมีนายเสมอหากนายมีฉันเสมอ” รุจน์ฝืนหันไปยิ้ม

เมษารินไวน์ให้รุจน์และตัวเอง ชนแก้วแล้วดื่มด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มกินมื้อเย็น รุจน์ชมว่าอาหารอร่อย เมษาบอกว่ามันเป็นอาหารแบบฟิวส์ชั่นเป็นลูกผสมระหว่างอาหารอิตาลี่และญี่ปุ่นเป็นตำรับของแม่ของขาเอง รุจน์พยักหน้าแล้วก้มกินต่อจนหมด เมษาเท้าคางมองกริยาตามธรรมชาติของรุจน์โดยลืมอาหารตรงหน้าตัวเอง
“นายไม่กินหรือ” รุจน์ยกแก้วไวน์ดื่มหลังกลืนคำสุดท้าย เมษาจึงรู้ตัวว่าเหม่อนานไปหน่อย เขาหัวเราะเก้อแล้วลงมือกับอาหารตรงหน้า รุจน์มองเมษาขณะกระดกไวน์จนหมดแก้ว เขาตัดสินแล้ว คิดดีแล้ว เวลาไม่ควรเสียเปล่า
“นายคิดว่าการโกหกกับการซ่อนเร้น อย่างไหนแย่กว่ากัน” รุจน์ยกขวดไวน์รินใส่แก้วตัวเอง เมษาคิดนิดหน่อยแล้วจึงตอบ
“ทำให้เจ็บปวดทั้งคู่ครับ”
“อืม เหรอ?”รุจน์พยักหน้า

“แล้วความรักล่ะผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายเสมอหรือเปล่า การมีลูกคือคำตอบสุดท้ายของความรักไหม?”
“ถ้าสำหรับผมนะ ความรักไม่มีเพศหรอก ผมรักชอบใครคนนั้นคือคำตอบสุดท้าย” เมษาสบตารุจน์ จนรุจน์ต้องเมินไปทางอื่น ความรู้สึกขุ่นมัวก่อตัวเงียบงัน
“เล่าเรื่องของฉันในวันนี้ให้นายฟังดีกว่า” รุจน์ยกขาขึ้นไขว้ชันบนเก้าอี้
“วันนี้ฉันไปโรงพยาบาลมาล่ะ”

เมษาหยุดมือจากการตักอาหารเข้าปาก เขาวางช้อนแล้วถามเร็ว
“ผู้จัดการเป็นอะไรหรือครับ?”
“ก็แค่ไปพบแพทย์เพราะรู้สึกแย่นิดหน่อย ตอนที่รอรับยาฉันเห็นภาพที่อยู่ในฝันของฉันเสมอ ฉันมองมันไว้ให้เนิ่นนานเพื่อจะได้ประทับไว้ในความทรงจำของฉัน เพราะสำหรับฉันมันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วชั่วชีวิตนี้ พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ภาพของสามคนพ่อ แม่ ลูกชาย พวกเขากำลังรอลิฟท์กันอยู่ มีผู้คนมากมายเฝ้ามองโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า พวกเขาช่างอิจฉา ผัวหนุ่มเมียสาว ลูกที่กำลังน่ารัก”

เมษาหยุดมืออีกครั้งเขาค่อยๆหันมาทางรุจน์ คราวนี้แววตาและสีหน้าของเขาไม่ปกติแล้ว
“คุณไปหาหมอที่โรงพยาบาลอะไรครับ”
“โรงพยาบาล P น่ะ ถามทำไมน่ะ” รุจน์ยิ้มแล้วดื่มไวน์อีกอึก เมษาถอนใจวางช้อน
“คุณเห็นผมใช่ไหมครับ” เขาผลักจานไปข้างหน้าแล้วเลื่อนแก้วไวน์มาวางแทน
“การโกหก กับ การซ่อนเร้น ที่ผู้จัดการถามเพราะเหตุนี้ซินะครับ”

“ถ้ามันเป็นสิ่งที่นายไม่สะดวกใจจะพูดกับฉัน ฉันก็โอเคนะ”รุจน์พาดแขนบนเข่า อีกมือจับก้านแก้วไวน์ เขามองน้ำสีมืดในแก้วราวกับมันเป็นของแปลกที่เพิ่งค้นพบ
“ผู้จัดการจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่พวกเขาเป็นอะไรที่ผมไม่ได้ซ่อนเร้น หรือ โกหก พวกเขาก็เป็นผู้คนที่ผมเจอปกติ เป็นอีกสองคนที่รายรอบตัวผม ไม่มีผลเสียหาย ไม่มีผลดีใดๆกับผม”

“นั่นลูกเมียนายนะ พูดเย็นชาจัง” รุจน์พ่นหัวเราะเยาะ
“ผมมีเรื่องเล่าจากเด็กผู้ชายวัย 17 คนหนึ่งจะเล่าให้ฟังนะครับเขาชื่อ เดือนฉาย หรือ เมษา” เมษาจ้องมองรุจน์ด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมาเปิดเผย

“เมษาน่ะเพิ่งแรกรุ่นแม้จะมีครอบครัวที่อบอุ่นแต่เขาก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป ชอบลอง ชอบเสี่ยงกับสิ่งที่เรียกความรัก ทั้งที่ยังไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำว่ารูปแบบความรักของตัวเองเป็นอย่างไร เขาก็คบหากับเด็กสาวที่มีดีกรีเป็นถึงดาวโรงเรียน ความดัง ความเด่น และเสียงเชียร์ ทำให้เมษาติดกับ เขาคิดว่าความร้อนแรงที่มีหล่อนเป็นจุดศูนย์คือความรักจึงเลยเถิดถึงขั้นแอบมีอะไรกัน

เมษาสับสนกับรูปแบบความรักที่เขาต้องการด้วยมันผิดแผกจากเรือนร่างของหล่อน เขาบอกหล่อนตามตรงเพราะไม่อยากให้หล่อนมาเสียเวลา แทนที่จะเข้าใจหล่อนกับหนีหายไปกับไอ้พวกแว้น เขาไม่ได้รับข่าวของหล่อนจนจบมัธยมปลาย พ่อแม่หล่อนเลิกให้ความสนใจลูกสาวที่ทำให้ขายหน้า คนพวกนั้นเอาแต่ปรนเปรอลูกชายสองคนที่กำลังอนาคตดีวันดีคืน

แต่วันหนึ่งหล่อนติดต่อหาเขา เมษางงงวยกับข่าวใหม่ที่หล่อนส่งมา หล่อนท้องและพ่อของเด็กก็ตายระหว่างแข่งกับอีกแก็งค์ สิบล้อที่อาจถูกจ้างมาจากผู้คนที่รำคาญสิ่งมีชีวิตน่าเบื่อหน่ายพวกนี้ขับเข้าประสานกับมอร์เตอร์ที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง เมษาคิดว่าที่หล่อนต้องเจอกับปัญหามากมายในชีวิตขนาดนี้ส่วนหนึ่งอาจมาจากหล่อนเองที่ไม่ดูชีวิตตัวเองอย่างมีสติ แต่อีกส่วนเขาก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ เพราะเขาทำให้เธอเสียใจจนเตลิด” เมษาถอนใจเอนตัวพิงพนักเก้าอี้

“หล่อนชื่อซีซ่า ครับเด็กผู้ชายคนนั้นผมขอหล่อนเป็นพ่อบุญธรรม ตั้งแต่รู้จักกันมาผมคิดว่าซีซ่าน่าสงสาร หล่อนเป็นลูกผู้หญิงในครอบครัวที่อยากได้ลูกผู้ชาย บางครอบครัวก็ทำใจเรื่องนี้ได้พวกเขาสามารถจ่ายความรักให้เท่าเทียมกันได้ แต่ซีซ่าไม่โชคดีแบบนั้น แม้พ่อแม่ของหล่อนจะพยายามหลอกตัวเองว่ารักเท่าเทียมกันหมดล่ะลูกทุกคน แต่ในบางขณะเวลานั้นน่ะพวกเขาก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าได้แสดงออกให้เห็นว่ามีความลำเอียงอยู่ในความรักที่แสดงออกมา

แม้ภายนอกจะสวย เรียนเก่ง มีเสน่ห์แต่หล่อนก็มีปัญหาสะสม สิ่งนั้นทำให้หล่อนเข้าหาผมโดยที่ผมไม่ต้องพยายามมากในจีบ ตอนนั้นผมคิดว่าดีชะมัดได้แฟนเป็นดาวโรงเรียน แต่มาตอนนี้ผมกลับคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันน่ะดีที่สุด ผมผิดพลาดเอง ก็เลยคิดว่าเรื่องของหล่อนผมควรรับผิดชอบด้วย ผมต้องออกหางานทำ มองหางานมั่นคง ทำงานพิเศษด้วย ส่วนเงินบำนาญของพ่อแม่ผม ผมไม่อยากให้มันต้องมารับผิดชอบในเรื่องที่ผมพลาดพลั้งไปเพราะขาดความยั้งคิด” เมษายกมือขึ้นลูบหน้า รุจน์ยกมือปิดปาก

“ซีซ่าไม่ค่อยมาพบผมบ่อยหรอกครับ จะมาหาก็ต่อเมื่อเดือดร้อนจริงๆ หล่อนทำงานเป็นเสมียนโรงงานแถวสมุทปราการน่ะ น่าเศร้านะครับ ที่จริงอนาคตหล่อนน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ หากผมไม่เอาความร้อนแรงไร้สติเข้าไปวุ่นวายกับหล่อน”
เมษาหันมายิ้มให้รุจน์ลุกขึ้นกระทันหัน เขาชนเก้าอี้ตัวเองล้มลง เมษาพุ่งเข้ามาช่วยพยุงเมื่อรุจน์เซไปกระแทกกับผนังด้านหลัง

“ผู้จัดการเมาแล้วหรือครับ” เมษาประคองรุจน์ไว้ แต่รุจน์กลับดิ้นสะบัดหลุดจากมือเขา
“ถึงตาฉันเล่าบ้างแล้วซินะ สิ่งที่จะเล่าน่ะ ถ้าไม่เมา ฉันก็คงพูดไม่ออก นายก็เห็นแล้วนี่ว่าเวลาเมาฉันน่ะกล้าขนาดไหน เรื่องเล่าของฉันน่ะต้องใช้ความกล้ามากเลยรู้เปล่า” รุจน์ยิ้มที่มุมปากเดินเซไปนั่งที่โซฟา
“เกิดอะไรกับผู้จัดการหรือครับ” เมษาเริ่มใจเต้นไม่เป็นระส่ำ ท่าทางของรุจน์ทำให้เขาไม่กล้าคิดสิ่งใด ไม่อยากวาดภาพ ไม่มีจินตนาการอะไรทั้งนั้น นอกจากรอฟัง

“เรื่องเล่าของฉันคือ พี่ชายของฉันไม่ได้ต้อนรับฉันอย่างที่ฉันกับนายหวัง เราโทรคุยก่อนฉันจะไปพบเขา เขาบอกว่าเขาทำโอทีอยู่ออฟฟิศแต่ฉันกำลังเดินตามเขาที่เพิ่งออกมาจากร้านสะดวกซื้อชั้นล่าง ชั้นไปกดกริ่งที่หน้าประตู พี่ชายบอกฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่าเขาเกลียดฉันและไม่อยากพบฉันอีก อย่ามาเกี่ยวข้องกันบ้านที่เป็นที่เกี่ยวข้องสุดท้ายของพวกเราพี่น้อง เขาบอกขายก็เพราะเหตุนี้ ดังนั้นเรื่องที่บอกนายไปน่ะโกหกทั้งเพ”

เมษาเดินมานั่งข้างรุจน์
“นายเคยเห็นตึกร้างที่โดนระเบิดจนพังทลายลงมาไหม ฉันตอนที่ได้ยินพี่ชายพูดน่ะแบบนั้นเลย ฉันอยากพบนายมากๆฉันอยากให้นายกอดปลอบโยนแล้วพูดว่าไม่เป็นไร ใครไม่ต้องการผู้จัดการแต่ผมต้องการ แต่พอไปถึงก็เห็นนายกำลังกอดกับคนอื่น นายปลอบโยนคนอื่น ในอ้อมแขนของนายตอนนั้นควรจะเป็นฉัน แต่ว่ามัน...” รุจน์ก้มหน้า
“แล้วต่อจากนั้นล่ะครับ” เมษากระซิบด้วยเสียงแหบพร่าเขาไม่กล้าคิดต่อ เขาอยากได้ยินจากรุจน์
“ฉันโกรธโลกนี้ เกลียดทุกคน แม้คนที่เดินบนถนน ฉันกลับไปที่แกลลอรี่มีงานรออยู่คิดเอางานมาระงับจิตใจที่กำลังกระเจิง คุณน้ำฟ้ากับคุณทศเพิ่งออกมาจากห้องนอนส่วนตัวในออฟฟิศคุณน้ำฟ้าด้วยกัน เขาเคยบอกว่าจะไม่นอนกับน้ำฟ้าจนกว่าจะแน่ใจในการคบหากัน ฉัน ฉัน ... เหมือนจะระเบิดที่การกระทำคำพูดของเขาไม่ตรงกันสักนิด ฉันดื่มจัดฉันเกลียดและขยะแขยงตัวเอง ตกลงไม่มีใครต้องการฉันสักคนใช่ไหม ทุกคนถึงโกหกฉันกันหมด” รุจน์ยกมือขึ้นปิดหน้าข้างหนึ่ง

“ฉันไม่รู้นี่นา ว่าคุณทศอยู่ที่นั่น” รุจน์เงยหน้าขึ้นเผชิญกับเมษา เขาเริ่มร้องไห้
“เขาคงตามผู้จัดการไป” เมษาหันไปทางอื่นไหล่ผึ่งผายห่อตกลง
“เขาพาฉันไปที่ห้องน้ำ.....” รุจน์ก้มหน้าสะอื้น เมษาเงยหน้าถอนใจ
“ฉันอยากจะหนีไปจากเขานะ แต่ฉันกลับทำตัวเองเป็นแค่โสเภณีที่ขอให้แค่จ่ายจะที่ไหนก็ได้ ไม่แค่นั้นฉันยังให้เขาพากลับบ้าน และอยู่กับเขาจนเช้า” รุจน์ไม่อาจทนเล่าต่อถึงโทรศัพท์สายนั้นอีก

“เราเลิกกันเถอะเมษา สิ่งที่เกิดขึ้นมันสกปรก ชั่วช้า ฉันมันเหลือเกินแล้ว คำว่าเลวน้อยไปสำหรับฉันแล้วล่ะ” รุจน์เลื่อนมือมาจับมือเมษา
“ฉันโสมม ร่านจัดเหมือนที่คุณทศว่าจริงๆ ฉันเริงกับเซ็กส์ของผู้ชายสองคนในเวลาไล่เลี่ยอย่างไม่สำนึกถึงยางอาย นายไปจากฉันตอนนี้ยังทันนะ นายเสียเวลากับฉันมาเยอะแล้ว ขอบใจสำหรับทุกสิ่งนะ ฉันจะไม่มีวันลืมความน่ารัก ความอ่อนโยนใจดีของนายที่มีต่อฉันเลย”
เมษานิ่งไปนานจนรุจน์ต้องเลื่อนมือกลับด้วยความกระดาก
“ผมกลับก่อนนะ”เมษาลุกขึ้นเงียบๆ รุจน์พยักหน้าน้ำตาหยด

พอเมษาออกจากห้องไปรุจน์ก็เดินไปเก็บโต๊ะ เทของเหลือทิ้งในถังขยะ ล้างชาม แก้ว เก็บทุกอย่างเข้าตู้เก็บ เดินปิดไปทั้งบ้าน ก่อนจะหยิบขวดไวน์ติดมือเข้าห้อง ขวดเกิดหลุดมือตกลงพื้นแตกกระจาย รุจน์ก้มลงหยิบเศษแก้วขึ้นมอง

เมษาจ่ายค่าแท็กซี่แล้วเดินตรงไปที่แกลลอรี่ที่นั่นเขาพบผู้ชายท่าทางดีแต่งตัวสะอาดสะอ้านยืนอยู่หน้าประตู เมษาคิดว่าอาจเป็นลูกค้าจึงเดินไปต้อนรับ
“หวัดดีครับ มาดูภาพหรือครับ” เขาหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู
“เอ้อ เปล่าครับ ผมมาพบคุณรุจน์น่ะครับ เมื่อวานเขาลืมยาไว้น่ะครับ” ผู้ชายหน้าตาสะอาดคนนั้นยื่นถุงใส่ยามาข้างหน้า
“เอ่อ ผู้จัดการยังไม่มาครับ” เมษาพิจราณาบุรุษตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนจะลองถาม

“คุณใช่เป็นคุณหมอที่เขาไปหาเมื่อวานหรือเปล่าครับ”
“ครับ”
“เชิญในร้านก่อนนะครับ อีกสักครู่ผู้จัดการก็มาแล้วครับ” เมษาผายมือเชิญ ชายหนุ่มลังเลครู่หนึ่งแต่ก็ตัดสินใจก้าวตามเมษาเข้าไป
“ดื่มอะไรดีครับ” เมษาเข้ามาถามหลังจากเชิญคุณหมอนั่งที่โซฟารับแขก
“ไม่เป็นไรครับ”

“เมื่อวานเขาเป็นอย่างไรบ้างครับ” เมษาเดินไปรินน้ำเย็นที่วางไว้รับแขกบนโต๊ะอีกมุมหนึ่ง
“เอ๋?”
“ผมหมายถึงผู้จัดการน่ะครับ” แม้จะรู้สึกแสลงใจแต่ความห่วงใยนั้นมันมีมากกว่า เขาอยากรู้ว่าทศวรรษทารุณกรรมกับร่างกายของรุจน์ขนาดไหน
“เอ่อ ขอโทษนะครับมันเป็นความลับระหว่างแพทย์กับคนไข้ครับ”

“ผมเป็นแฟนของเขา” เมษากลั้นใจสมอ้างพูดออกไป คุณหมอหันมาทางเขาด้วยดวงตาที่เบิ่งกว้าง
“คุณซินะเจ้าของผลงาน” คุณหมอพูดยิ้มๆ
“เขาเป็นมากไหมครับ”
“ก็เป็นบาดแผลปกติของการถูกกระทบกระแทกน่ะครับ มีร่องรอยฉีกขาดบ้าง”

เมษามือเย็น หน้าชาดิก เขาพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“ผมขอโทษนะครับต่อไปจะระวัง” ไหนๆก็สมอ้างรับความผิดไปด้วยเลย เมษาแอบเซ็ง
“มีอีกเรื่องที่ผมอยากให้คุณคุยกับคุณรุจน์ เพราะผมเคยบอกเขาไว้นานแล้วแต่ก็ไม่เห็นเขาจะมีทีท่าใดๆ บางทีคุณเป็นคนรักกันอาจจะโน้มน้าวใจได้มากกว่าผม” คุณหมอมองเมษาที่นำน้ำมาเสริ์ฟ
“ครับ เรื่องอะไรครับ” เมษาค้อมตัวจะนั่งแต่สิ่งที่หลุดมาจากปากคุณทำเอาเขา หมดแรงทิ้งตัวนั่งหัวหมุนติ้ว

“เท่าที่เคยรักษากันมา คุยเรื่องพฤกรรมทางเพศกัน ผมได้บอกคุณรุจน์ไปแล้วว่าเขามีแนวโน้มว่าจะเป็น SEX ADDICTผมคิดว่าเขาควรบำบัดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในส่วนที่ผมรักษานี่มันแค่ปลายเหตุแล้ว”

คุณหมอของรุจน์กลับไปนานแล้วเมษากลับไปทำงานของตัวเองพร้อมมีคำว่าติดเซ็กส์ติดอยู่ในหัว
“เมษา เมษา”เสียงสุดท้ายน้ำฟ้าแว่วดังขึ้นในโสตรับรู้ที่เพิ่งตื่นของเมษาพอดี
“คะ ครับ” เมษาวางภาพที่กำจัดเรียง
“เหม่อลอยแต่เช้าเชียว รุจน์ยังไม่มาอีกหรือ”
“ครับ”

“นี่ไปที่รถฉันหน่อยซิ มีภาพของลูกค้าที่ต้องไปส่งวันนี้น่ะ ตอนนี้พี่ทศเขารอคนไปช่วยอยู่”
“คุณทศอยู่ที่ลานจอดรถหรือครับ”เมษาถามย้ำ น้ำฟ้าพยักหน้า
“โอเค ครับผมไปเดี๋ยวนี้เลย” เมษายิ้มสายตานิ่งก่อนจะหันหลังเดินไป น้ำฟ้ามองตามร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำสนิทแล้วอมยิ้ม
“หมอนี่มีแฟนยังนะ แต่อีกไม่นานลูกค้าสาวๆรู้หาโอกาสฉกไปกก เอาตัวให้รอดนะหนุ่มน้อย”

ที่ลานจอดรถเมษามองหารถน้ำฟ้า กวาดสายตาไม่นานก็เห็นทศวรรษที่ยืนพิงรถสูบบุหรี่
“ได้เลยนะไอ้ชั่ว มึงใช้ความอ่อนแอของผู้จัดการบำบัดความใคร่ตัวเองไม่รู้จักเลิก” เมษากัดกรามแน่นขณะย่างเดินเข้าไปหาทศวรรษ ฝ่ายนั้นเห็นเมษาก็ดึงบุหรี่ออกจากปาก พ่นควันยาวออกมา
“สูบบุหรี่รอกันเลยเหรอ” เมษาปรี่เข้าไปหา
“คงคิดอยู่ซินะว่าคนที่คุณน้ำฟ้าจะส่งมาช่วยจะเป็นผู้จัดการ” เมษาปลดกระดุมเสื้อสูท

“แล้วพอเขามาก็คิดจะลากขึ้นรถ ข่มขืนซะในรถนั่น หรือไม่ก็พาไปสำเร็จความใคร่สกปรกของแกที่อื่น” เมษารูดไทด์ ทศวรรษดีดบุหรี่ทิ้งดึงตัวเองขึ้นยืนในท่าเตรียมพร้อม
“เออ ถ้ากูจะฟาดมันแล้วเกี่ยวอะไรกับมึง” ทศวรรษขยับไทด์
“ไม่เกี่ยวกับกูแล้วเกี่ยวกับใคร”เมษาผลักอกทศวรรษ แม้จะเตรียมตัวตั้งรับแต่ทศวรรษก็ไม่วายเสียหลักเซไปกระแทกกับรถของน้ำฟ้า

“อ้อ เป็นหมาบ้าหางด้วนมาแบบนี้คงจะรู้แล้วซินะ” ทศวรรษผวาเข้าผลักอกเมษาคืน พอเมษาจะเข้าใส่บ้างก็ยกเท้ายันเมษาที่กำลังจะเข้ามา เมษากระเด็นเซไปสองสามก้าว
“มึงมันไอ้สารเลวกับคนที่กำลังเมาก็ทำได้ หน้าตัวเมียแบบนั้นเหลือเชื่อนะว่ามึงมันเศรษฐีระดับประเทศ ไอ้คนรวยระยำ” เมษายืดตัวรี่เข้าหาทศวรรษอีก
“ไอ้ปากสวะ กล้าดีอย่างไงมากด่ากู ไอ้ลูกไม่มีพ่อแม่” ทศวรรษถอดเสื้อนอกปาลงกับพื้น
“มึงเป็นเทวดามาจากไหนถึงด่าไม่ได้ จะบอกให้นะมากกว่านี้กูก็ทำได้ แล้วอย่ามาแตะต้องพ่อแม่กู” เมษาขว้างหมัดสุดแรงใส่หน้าทศวรรษ แม้จะหลับได้แต่จังหวะที่ยังช้ากว่ายังผลให้โหนกแก้มโดนถาก แต่ก็ทำให้ทศวรรษหน้าหงายเกือบล้ม เมษาไม่ปล่อยโอกาสเข้าโดดเข้าคว้าไทด์ของทศวรรษแล้วยกหมัดอีกข้างทิ่มใส่หน้า ทศวรรษล้มหลังกระแทกกับรถน้ำฟ้าอย่างแรงก่อนจะทรุดลง

“เก่งแต่ข่มเหงคนอื่น แน่แค่ไหนวะ ไอ้สารเลว”เมษาถอดเสื้อนอก พับแขนเสื้อ ทศวรรษยันตัวลุกขึ้นรู้สึกอุ่นที่ปลายจมูกยกมือแตะดูก็พบว่าเป็นน้ำข้นสีแดง
“ดี!! วันนี้ไม่มึงก็กูล่ะวะ” ทศวรรษพุ่งใส่เมษา หวดแข้งเต็มข้อใส่ลำตัวของเมษา เมษาเบี่ยงตัวหลบ ยกเท้าขึ้นยันสวน ทศวรรษหลบแล้วชกเข้าหน้าเมษา เมษาผงะ ร่างสูงล้มกองกับพื้น ทศวรรษได้ทีเข้าขยุ้มคอเสื้อแล้วสำรากใส่หน้า

“จะอย่างไร รุจน์มันก็เป็นของฉันวันอย่างค่ำ มึงจะน่าจะมาได้ยินเสียงกระเส่า น่าจะเห็นกายที่ระริกสั่น บอกให้กูแรงขึ้น มากขึ้นอีกนะ พวกกูอยู่กันแบบนี้มาเป็นปี ถือดียังไงคิดมาแยก นึกว่าเป็นเทพบุรุษราคะมาจากไหน ฟาดกันไม่กี่ครั้งก็กลายเป็นคู่รักนิรันดรน่ะ โธ่ไอ้หน้าโง่” ทศวรรษผลักเมษาสุดแรงก่อนจะหันหลังจะเดินไปหยิบเสื้อนอก เมษาตามไปสะกิดพอทศวรรษหันมาเขาก็กระซวกหมัดตรงใส่หน้าทศวรรษอีกหมัด ทศวรรษล้มลงกองกับพื้น เมษาตามไปเหยียบที่อก

“มึงซิโครตโง่ โง่บรรลัยด้วย ที่คิดถึงแต่เรื่องเฮงซวยพวกนั้น นี่มึงคิดจริงๆหรือว่าผู้จัดการเขาจะอยู่แบบนี้ตลอดไป คอยดูกูมั่งแล้วกัน กูนี่ล่ะจะเป็นคนทำให้เขาบอกกับปากเองว่าเขาเกลียดมึงขนาดไหน กูเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าแตะต้องผู้จัดการอีก แต่มึงไม่เพียงแต่แตะต้องมึงใช้วิธีหน้าหมาทำแบบนั้นกับเขา มึงมันไอ้ลูกหมา วันนี้กูเลยต้องมาไล่เตะสั่งสอนซะมั่ง”เมษากดเท้าหนักทศวรรษเริ่มดิ้นอึดอัด เมษาปล่อยยกเท้าขึ้น ทศวรรษลุกขึ้นกระชากคอเสื้อเมษา

“มึงจะเล่นกับกูจริงๆใช่ไหม ซึ่งกูขอรับไว้อย่างเต็มใจ แล้วเราจะได้เห็นกัน”
เมษาสบตาทศวรรษด้วยแววกระด้างพลางแกะมือทศวรรษออกจากคอเสื้อ
“กลัวตายห่าล่ะ” เขากระซิบพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก

“เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ” รุจน์ที่เพิ่งวิ่งมาถึงกระหืดกระหอบถาม เห็นสภาพของทั้งคู่จะก้าวเข้ามา เมษาคว้าแขนแล้วเหวี่ยงปลิวห่างออกไป
“คุณจะวิ่งมาช่วยใคร” เขาตะคอก รุจน์ตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เมษากร้าวร้าวใส่เขา
“นายทำเขาแบบนี้ทำไม เขาเป็นลูกค้าเรานะ” รุจน์พยายามอธิบาย

“ช่างหัวมันซิ เขาข่มขืนคุณจำไม่ได้หรือไง ผมไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว” เมษาย่างสามขุมเข้าไปหารุจน์
“คุณทศเลือดออกนี่”รุจน์ตกใจเมื่อเห็นเลือดที่จมูกทศวรรษ เขาจะก้าวไปหา เมษากระชากแขนรุจน์ให้เดินไปกับเขาทศวรรษจะลุกขึ้นตาม เมษาหันมาชี้หน้า
“อย่านะมึง ขืนตามมาอีกกูฆ่าทิ้งจริงๆด้วย”
รุจน์หันมองทศวรรษ ขณะถูกเมษาลากไปด้วยกัน

“ผมขอโทษแทนเขาด้วยนะครับ คุณทศอย่าเอาเรื่องเขานะครับ ผมขอร้องล่ะ” รุจน์ปลิวติดมือเมษาไป ทศวรรษถ่มน้ำลายปนเลือดทิ้งมองตามอย่างโกรธสุดขีด
รุจน์ถูกพาที่ซอยตันรกร้างข้างแกลลอรี่ เมษาผลักเขาเข้ากำแพง
“ที่ฉันพูดเมื่อคืนไม่เคลียร์หรือ เราเลิกกันเถอะ” รุจน์ตะโกนใส่
“ผมรับคำคุณหรือ? ตอนไหน ? เท่าที่จำได้ผมไม่ได้พูดอะไร ใครจะเลิกกับคุณห๊า!” เมษารู้สึกคล้ายกำลังมองอีกคนที่อยู่กับรุจน์ตอนนี้ ตัวเขาเองนั้นไม่มีเจตนาจะเป็นบ้าแบบนี้เลย
“เขาเลือดออก แล้วผมล่ะคุณเห็นหรือเปล่า” เมษาจิ้มมุมปากแรงจนตัวเองยังรู้สึกเจ็บ
รุจน์ค่อยปริบตามองอย่างตั้งใจ
“นายเป็นอะไรไหม เจ็บมากเปล่า” รุจน์ยกมือลูบมุมปากเมษา
“ผมไม่เลิกกับผู้จัดการ ไม่เลิก ไม่เลิก อย่างไรก็ไม่เลิกได้ยินไหม ผมรักคุณที่สุดเข้าใจผมบ้างไหม คนแบบนั้นน่ะปล่อยเขาไปเถอะ ผมไม่สนหรอกที่เขาทำกับคุณ ช่างมันเถอะ โอเคไหม?” เมษาตะโกนใส่รุจน์บ้าง

“ทั้งที่ฉันไม่เคยลืมเขานี่นะ อยู่ใกล้ฉันเสียความเป็นตัวเอง นายเองจะเจ็บนะ ฉันเองไม่รู้จะทำร้ายนายวันไหน”รุจน์เถียงกลับเสียงดัง เมษาดึงรุจน์มาจูบ รุจน์ดิ้นไม่ยอม เมษาดุนลิ้นตัวเองเปิดปากรุจน์ แล้วดูดกลีบปากของรุจน์รุนแรง
“นี่เป็นเลือดของผม เลือดที่ผมยอมเสียเพื่อปกป้องผู้จัดการ คุณจะไม่ทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างหรือ” เมษาผละออกมาพูด รุจน์ผลักเมษาออกห่าง
“คุณไม่รู้ตัวหรือไงว่าตัวเองเป็นอะไร เขาก็แค่ตอบสนองตรงกับสิ่งที่คุณเป็น แต่สักวันเขาจะเดินไปจากคุณ อย่าเอาแต่ทำตัวเป็นเครื่องบำบัดทางเพศให้เขาซิ ผู้จัดการคุณเป็นผู้ชายคนหนึ่งนะ ไม่ใช่แค่สัตว์โลกหายใจ กิน นอน ถ่าย แล้วก็ร่วมเพศโดยไม่ต้องคิดอะไรกับมัน”เมษาหอบกระซิบด้วยน้ำเสียงอันเจ็บปวดข้างใบหน้าของรุจน์

รุจน์ปล่อยโฮออกมา เขาทุบตีเมษาที่ยืนนิ่งราวเสาไฟต้นหนึ่งที่มีอยุ่มากมายในซอยนั้น....

เหตุตะลุมบอนระหว่างทศวรรษกับเมษาในวันนั้นจบลงที่ทศวรรษไม่เข้าแกลลอรี่เขาโทรบอกน้ำฟ้าว่าเขามีงานด่วนขอกลับก่อน ส่วนรุจน์ให้เมษากลับบ้านไปก่อน โดยเขาบอกกับน้ำฟ้าว่าได้ให้เมษาไปทำงานอื่น ส่วนตัวเองก็ขนภาพเข้าแกลลอรี่เอง น้ำฟ้าไม่ติดใจอะไรหล่อนกลับไปทำงานบนห้อง

บนรถแท๊กซี่ที่แล่นบนถนนออกนอกเมือง
เมษาเอนศีรษะพิงกรอบประตูมองวิวด้านนอก เรื่องที่เกิดกับร่างกายไม่ทำให้เขาเหนื่อยแรง หากต้องอัดทศวรรษอีกเขาก็ไม่พรั่นพรึง แต่สิ่งที่ทำให้หายใจลำบากนี้อยู่ในตอนนี้คือ...รุจน์ เมษาหลุบละสายตาจากภาพต้นไม้ ใบหน้า ตึกรามที่วิ่งสวนไปด้านหลัง นัยตาปวดร้อนจนต้องยกนิ้วขึ้นบีบระงับ แต่น้ำอุ่นก็ดื้อดึงทะลักออกมาจนได้....นี่เขาต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากแค่ไหนในการรักรุจน์ ในเกมรักนี้เขาคงไม่ต้องชนะใครนอกจากตัวของรุจน์เอง เมษาสูดหายใจ มือกำแน่น แม้วันนี้จะจบลงแล้วแต่สำหรับทศวรรษ เมษารู้ว่านี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นการเผชิญหน้าจริงๆของเขาและหมอนั่น

บนรถส่วนตัวที่แล่นเข้าใจกลางเมือง
ทศวรรษใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดที่ปลายจมูก เขาบอกให้คนขับรถที่ขับมารับเขาที่ลานจอดรถเปลี่ยนเส้นทางกลับไปที่เพนเฮาส์ก่อน ทศวรรษปาผ้าเช็ดหน้าทิ้งบนพื้นแล้วเหยียบบดขยี้ซ้ำเมื่อนึกถึง รุจน์ที่พยายามขอโทษแทนเมษา ยอมไปกับเมษาโดยไม่คิดขัดขืน ไหนจะคำด่าแสบสันต์ของเมษาในทำนองที่ว่าเขาสิ้นทางต้องข่มขืนคนที่เคยค้าม้าที่เคยขี่ ทศวรรษพ่นหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาถีบถังขยะที่วางแถวนั้นล้มกลิ้ง คนขับรถหัวหดไม่กล้าแม้จะปรายตามอง ต้องสะดุ้งอีกเมื่อทศวรรษตบเบาะเสียงดัง ชายหนุ่มยกหลังมือขึ้นแตะปลายจมูกอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงของเหลวที่ซึมไหลออกมาอีก นัยตาเยือกเย็นเหลือบมองไปหน้ารถ...แล้วมึงจะได้เห็นดีแบบที่มึงอยากจะเห็นไอ้เด็กเมื่อวานซืน กูจะเอาให้กระอักเลือดเลย



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 20:30:27 น.
Counter : 249 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]