Body Talk (BL) บทที่ 9
บทที่ 9

เราถึงโตเกียวแล้ว
เราถึงโรงแรมที่พักแล้ว
เราเข้ามาในห้องของเราแล้ว เหนื่อยจัง....
กระนั้นไม่ทันที่ประตูห้องจะปิดสนิทผมกับเมษาก็เข้าหากันราวกับถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็กต่างขั้วที่ฝังอยู่ภายในตัวของเรา ทั้งใบหน้าและซอกคอของเราแทบจะไหม้ด้วยจุมพิตที่ร้อนฉ่ากระหายโหยราวกับมันเป็นสิ่งที่ดื่มกินดับหิวได้ ทั้งที่ร่างกายของเรายังพัวพันแต่สองมือเราต่างปลดและแกะถอดเสื้อผ้าอย่างร้อนรนเสมือนกับไม่อยากได้มันไว้ติดกายสักวินาที เมษาไวกว่าผมเขาเหลือแต่ชั้นในตัวเดียว ขณะที่ผมยังเหลือเสื้อเชิ้ทกับชั้นใน เมษารัดเอวผมไว้ด้วยลำแขนแข็งแรง เขาพรมจูบผมทั่วทั้งผิวหน้าเลยถึงใบหู ลมหายใจของผมสั่นเทิ้มยามผมผ่อนออกมา เมษาพาผมลงนอนบนเตียง เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ทของผมแต่มันไม่ทันใจเลยดึงทึ้งจนกระดุมที่ยังค้างในรังดุมขาดออกหมด ผมหัวเราะกระซิกกับความเอาแต่ใจของเขา เมษาก้มลงจูบผิวกายของผม ไล้โลมซอกคอ ใบหู แผ่นอก หน้าท้อง จนถึงท้องน้อย เขาค่อยๆดึงชั้นในของผมออก รูดมันออกจากขาของผม มือของเขาเลื่อนมาสัมผัสกลางลำตัวของผม ผมหายหลับตาหายใจรัว ภาพฝันหลังเปลือกตาก่อตัวขึ้นพร้อมกับความรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ของมือเมษา น้ำหนักที่เคล้าคลึงช่างละมุนละม่อมและชำนาญ ร่างกายผมเริ่มบิดเร่าตามทำนองที่มือของเขาบรรเลง แล้วผมก็หายใจขัดเมื่อลิ้นชุ่มชื้นของเขาผ่านเข้าเริงรื่นกับผม

“อา เมษา”อกผมเพิบพาบด้วยอาการหายใจแรง ผมลืมตาโพลงเมื่อภาพฝันพังทลายลงสิ้น ที่เคยคิดว่าหากไม่ทศวรรษผมคงไม่สามารถมีเซ็กส์กับใครได้อีกนั้น ความคิดเช่นนั้นน่ะ ได้กลายเป็นความคิดที่ถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี เซ็กส์นี้เป็นของเมษา ลีลาที่เริงร่ายทำให้ผมไม่มีโอกาสวาดฝันถึงทศวรรษได้เลย เขาเป็นความต่างที่แม้ผมจะพยายามมัวเมาแค่ไหนก็ไม่สามารถซ้อนทาบให้กลายเป็นทศวรรษได้ พวกเขาไม่เหมือนกันสักนิด ไม่...แม้แต่จะคล้ายกัน ผมมัวแต่เหม่อลอยจนไม่ทันกับร่างกายที่เกร็งสุดแล้วอ่อนยวบลง ลมหายใจที่กระชั้นถี่ทำให้ผมหลุดจากภวังค์พริบตามองแสงสลัวหลังผ้าม่าน เมษาดึงผมลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับร่างกายล่ำสันเปลือยเปล่าของเขา เมษายื่นหน้ามาจูบที่กลีบปากผมเขางับมันเบาก่อนและค่อยแรงขึ้นจนกลายเป็นบดขยี้ ผมตอบสนองในแบบไม่ยอมออมแรงกับปากอิ่มเอิบของเขาเหมือนกัน

จู่ๆเมษาก็ถอนปากออก ผมขยับตามริมฝีปากนั้นไปอย่างติดพัน ตอนแรกเมษาหลบเพราะเขาอยากพูดบางอย่าง แต่ผมซึ่งตื้อที่จะจูบให้ได้ เขาเลยต้องพูดทั้งที่ริมฝีปากของเรายังนัวเนียชนิดแมลงเล็กตัวใดเข้าแทรกกลางได้เละเทะตายอนาถแน่
“ผู้....อืม... จัดการ..อืมม...ที่ผมเคยถาม...อืออ...ว่าหากเราจะมีเซ็กส์กันนั่นหมาย....อือมม..ถึงผู้จัดการพร้อมที่จะเปลี่ยน...ใช่ไหม...” ลิ้นของเมษาหลุบเลียริมฝีปากตัวเองเมื่อผมเองที่เป็นฝ่ายผละออกมา เขาจ้องผมอย่างหมายถึงที่พูดจริงๆ ผมมองเขาทั้งร่างกาย สิ่งใหญ่โตของเมษากำลังรอคำตอบจากผมเช่นเดียวกับเจ้าของ ผมขยับเข้าใกล้เมษาเปิดเข่าแยกขาตัวเองกว้างขึ้นเรื่อยๆ เข่าของผมยันกับที่นอนนุ่มเมื่อผมอยู่ในกริยาที่เรียกพร้อมสำหรับเขาเช่นกัน มือข้างหนึ่งของผมลูบต้นคอล่ำสันของเขาก่อนจะเกาะไว้ อีกมือประคองความเร่าร้อนที่กำลังลุกโชนของเขาเพื่อนำทางสู่ประตูสวรรค์ที่ผมเปิดรอรับเขาอย่างโหยหา ผมหลับตากัดริมฝีปากก่อนจะกดร่างกายสุดแรงเพื่อให้เมษาได้ล้ำล่วงเข้ามาในร่างกาย ผมไม่ได้ลืมหากแต่ผมไม่ต้องการตัวช่วย ร่างกายของผมต้องการซึมซับความเป็นเมษาให้สุดลิ่มหัวใจ


“โอ๊ย”ผมร้องครางพลางซบหน้ากับไหล่เขาแล้วผ่อนหายใจ เมษาเงยหน้าหายใจกระเส่า
“ฉันอยากเปลี่ยนเพราะฉันชอบนาย” ผมขยับเคลื่อนไหวให้กล้ามเนื้อตัวเองรัดกระชับเลือดเนื้อแข็งแรงอันแสนรุมร้อนที่ฝังแน่นอยู่ในร่างกาย

“ผู้จัดการ”เมษาเสียงสั่น เขาใช้มือทั้งสองประคองศีรษะของผม ผมจับมือของเขาที่แนบใบหน้าของผมพร้อมระบายยิ้มอ่อนแรง ร่างกายที่กำลังต่อกรกันอย่างรุนแรงทำให้ผมใกล้ฉีกขาดไปทั้งตัว เมษากดริมฝีปากกับแก้มของผม
“ผมกำลังเป็นหนึ่งเดียวกับคุณ” เมษากระซิบพลางกอดร่างกายที่สั่นสะท้านจากการกระทบกระทั่งของผม
“อืม...ถนอมฉันหน่อยนะ ฉันเป็นของนายแล้ว” ผมโอบลำคอของเขาไว้ เมษาพาผมนอนลง ที่นอนนุ่มแผ่สัมผัสแผ่นหลังเปล่าว่างของผม เรียวขาผมยกขึ้นแนบเข่ากับลำตัวของเขา เมษาไม่รั้งรอที่จะกระหน่ำจังหวะเข้าใส่ จนผมต้องกรีดร้องออกมา อาใช่แล้ว.....นี่คือเมษา นี่เซ็กส์ของเขา เซ็กส์ที่ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มดั่งเสพสมกับดวงตะวัน ทั้งร้อนแรง ทั้งอบอุ่นอยู่ในที

มันดีที่แผนการเดินทางก่อนหน้านี้ผมเผื่อเวลาไว้ท่องเที่ยวในโตเกียวสองวัน หนึ่งวันของเรา ผมกับเมษา หมดไปกับเซ็กส์และดื่มกินในห้องสวีทกลางกรุงโตเกียวแทนการท่องเที่ยว เรามีเซ็กส์ที่ไม่รู้เบื่อหน่าย ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยนับแต่เช้าจรดกลางวัน บ่าย เย็น และดึกดื่น อาภรณ์คลุมกายของเราไม่มีความหมาย เราไม่ต้องการมัน ผมกับเมษาเราเปลือยเปล่าล่อนจ้อนนอนกอดก่ายกันบนเตียง บางครั้งก็คลานไปร่วมรักกันที่โซฟา บนพื้น ในห้องน้ำ เราพูดคุยกันน้อยลงหัวเราะและยิ้มกันมากขึ้นเพราะร่างกายของเราพูดจากันไม่ยอมหยุด เมื่อเราต้องการขุมพลังานก็สั่งรูมเซอร์วิสคราเดียวมากมายเพื่อกินทั้งวัน ตอนนั้นเสื้อคลุมจึงได้เอาออกมาใช้เมื่อบริกรเข้ามาส่งอาหารและเครื่องดื่มให้
“ผมรักโตเกียว” เมษาก่อนจะทรุดฮวบบนตัวผมเมื่อถึงจุดสุดยอด ซึ่งมันก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เมษายังเป็นเด็กหนุ่มนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงแข็งแรงที่จะถึงจุดสุดยอดหลายครั้งในหนึ่งวันที่แสนวิเศษของเรา

เมษาพลิกตัวลงจากผมไปนอนอยู่ข้างกายผม ผมยิ้มเมื่อมองไปใบหน้าเปี่ยมสุขของเขา สีหน้าราวตะวันจ้าของเขาทำให้ผมใจสั่นได้ตลอดเวลา นิ้วของผมเลื่อนไปเกลี่ยเส้นผมที่รุ่ยรายปรกใบหน้าน่ารักของเมษา ดูเหมือนผมจะตัดสินใจไม่ผิดหรอก ในการกระทำขัดใจซุรุงะครั้งนี้ ผมมองเพดานแล้วนึกย้อนถึงใบหน้านิ่งขรึมของซุรุงะขณะฟังในสิ่งที่ผมพูดหลังเลื่อนซองสีน้ำตาลที่บรรจุไว้ซึ่งผลประโยชน์อันมหาศาลคืนให้กับเขา

ผมบอกกับเขาว่าผมมีทางเลือกให้ตัวเองสองทางเท่านั้น ทางหนึ่งคืนผลประโยชน์ที่น่าเสียดายนั่นไป อีกทางหนึ่งคือภาพเขียนหากเขาไม่ต้องการขายให้ผม ผมก็คงจนใจยอมกลับมือเปล่า สำหรับผมอย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยเมษาในเวลาที่เขาสัญญาว่าเขาจะอยู่กับผมได้ อย่างที่ผมบอกคือ ผมเริ่มรู้สึกกับเขาอย่างจริงจัง ผมทิ้งเขาไว้กับคุณไม่ได้จริงๆขอโทษ พูดทุกอย่างจบผมก็ค้อมกายอย่างนอบน้อมพร้อมกล่าวขอโทษ ผมอยากออกจากห้องนั้นเต็มที ห้องที่มีบรรยากาศทิ่มตำผมราวเข็มหมื่นแสนเล่ม ห้องหนังสือที่เขาเกือบใช้เป็นที่ระบายความใคร่ใส่ผม

ซุรุงะยังคงนิ่งเงียบอยู่หลังโต๊ะทำงานหน้ารูปคนรักของเขา ผมเงยหน้าขึ้นพลางสงสัยว่าเขาทำอย่างนั้นกับผมต่อหน้าภาพของคนรักได้อย่างไร ผมจ้องหน้าศิลปินนั่นอย่างไม่สะทกสะท้านกับสายตา เขาลุกขึ้นแล้วก้าวมาหาผมผมรีบถอยกรูด เขาคว้าแขนผมไว้แล้วเข้าไปใกล้ร่างกายใหญ่โตของเขา ผมหลับตาแน่น กล้ามเนื้อโอราฬที่เขาพยายามยัดเยียดเข้าร่างกายผมปรากฏชัดในมโนคิดทำให้ผมแทบจะอาเจียนออกมาเมื่อถูกเขาแตะต้องแม้เพียงน้อยนิด ซุรุงะจับผมไปนั่งที่โซฟาที่อีกด้านของห้อง แล้วทิ้งตัวนั่งข้างตัวผม เขาถอนใจยาวทิ้งทอดสายตามองกิ่งลูกพลับนอกหน้าต่าง

“ผมน่ะสูญเสียคนรักไปโดยไม่เคยพูดถึงสิ่งที่คาใจกัน เขาประสบอุบัติเหตุเพราะเราทะเลาะกัน ผมเลวส่วนเขาดี แต่ถึงผมจะเปลี่ยนจากคนดีมาเป็นคนเลว เขาก็ยังอยู่กับผมเพียงเพราะเขาพูดว่าจะไม่ทิ้งผมในวันที่เราร่วมรักกันครั้งแรก ขอเพียงอย่างเดียวผมอย่าปล่อยมือเขาแค่นั้น แม้ผมจะเลวลงทุกวันอย่างเห็นได้ชัด ผมมองทุกอย่างเป็นสิ่งบันเทิงใจเป็นผลประโยชน์ ผมเลือดเย็นกับคนอ่อนแอและไม่ทันผม นั่นเพราะผมต้องการชดเชยสิ่งที่ผมเสียไปเมื่อครั้งที่ผมยังเป็นเต่าล้านปีในโลกยุคใหม่ ความล้าช้าเรื่องทันคนทำผมเจ็บใจมาตลอด พอคราวของผมมาถึง ผมจึงไม่รอช้าที่จะเป็นผู้ล่าในเกมที่ผมกำหนด ผมสนุกจนเลยขีดจำกัด คัตสึโนริยูกิเฝ้ามองผมเปลี่ยนไปอย่างเจ็บปวด แต่เขาก็พยายามเข้าใจปมในใจผม เขาไม่เคยเปลี่ยนแม้ผมจะเปลี่ยนไกลลิบขอบโลก” ดวงตาของซุรุงะมีประกายอ่อนไหว ราวกับเห็นคนรักยืนอยู่ตรงหน้า

“ เมื่อเห็นพวกคุณครั้งแรก นอกจากติดใจเมษาแล้วผมยังเห็นบางสิ่งในตัวของพวกคุณ ที่จริงผมเมินเฉยแล้วค้าขายกับพวกคุณซะให้จบเสียก็ได้ แต่สันดานผมมันเรียกร้องให้ผมเล่นสนุกกับพวกคุณดู บางอย่างที่ผมว่าก็คือสายใยที่พวกคุณต่อกันแต่ไม่ยอมแสดงออก ผมก็แค่กระตุ้นให้รีบๆออกมาเสนอหน้าซะ ไม่งั้นพวกคุณจะสูญเสียกันและกันเหมือนผมกับคัตสึโนริยูกิ เมษาน่ะไม่เคยปิดบังหัวใจจากสายตาที่มองคุณหรอก คงมีแต่คุณเท่านั้นที่ทำเป็นเหมือนไม่เข้าใจ” ซุรุงะหันมาทางผม เขาสบตาผมอย่างชนิดไม่ยอมให้หลบตาเลย

“สัญญานี้ก็...”

“ไอ้ผมมันแย่ตรงที่ชอบเล่นกับความรู้สึกของคน ก็เลยทำมันขึ้นมาเพื่อลองใจคุณ ผมไม่ได้หลอกลวงนะ คิดอยู่เลยว่าหากคุณกล้าที่ทิ้งเด็กคนนี้จริงผมก็จะทำธุรกิจกับคุณจริงๆ ทุกอย่างจะเป็นไปตามสัญญาทุกประการ เพราะหากคุณเลือดเย็นขนาดนั้นธุรกิจผมรอดแน่ และผมก็ตั้งใจจะขยี้เมษาให้สาสมใจอยากทันทีที่คุณถึงสถานีรถไฟ” ซุรุงะหัวเราะราวกับมันเป็นเรื่องเขามันเป็นเรื่องตลกที่ใครฟังก็ต้องขำ

“แล้วเรื่องเมื่อคืนมันอยู่แผนเล่นกับความรู้สึกของผมหรือ?” ผมกัดปากเค้นเสียงถาม
ซุรุงะขยับเข้ามาใกล้ผมแล้วกระซิบ
“ไม่น่าใช่นะ เป็นอารมณ์อยากทำของผมล้วนๆเลย ไม่รู้เลยหรือว่าหน้าคุณ สะโพกผอม เรียวขาเล็กบางของคุณน่ะมันทำให้ตัณหาเจือด้วยฤทธิ์เหล้าของผมอยู่ในระดับสูงสุด ผมอยากนอนกับคุณทั้งไม่รู้สึกลึกซึ้งอะไรเลยนอกจาก ทำให้คุณกรีดร้องออกมาเท่านั้น”
ผมจำได้ว่าความโกรธทำให้ผมลืมตัวตบหน้าเขาไปฉาดใหญ่ และคิดว่าคนๆนี้คงไม่ทำธุรกิจกับแกลลอรี่เราแล้ว แต่ปรากฏว่าเขารับซองเช็คค่าภาพจากผมด้วยใบหน้าที่แดงปื้นใหญ่ตรงแก้มข้างที่ผมลงมือ

นึกถึงตรงนี้ผมก็อดหัวเราะไม่ได้ แม้จะรู้สึกเกลียดซุรุงะน้อยลงกว่าก่อนแต่ผมก็ทำใจกับคำพูดของเขาไม่ได้ ผมไม่ใช่ที่บำบัดทางเพศของใคร ผมมีตัวตนและผมก็จะเลือกคนที่ผมอยากนอนด้วยจริงๆ แต่นั่นคงเป็นสิ่งที่ผมสามารถบอกใครได้แม้แต่ตัวเอง หลังจากเลิกกับคุณทศแล้วในวันนี้.... ผมหันไปขดกายเบียดซุกกับเมษา
คุณโชคชะตาหากคุณเฝ้ามองผมอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ นับจากนี้อย่าเล่นตลกกับผมอีกเลยนะครับ ผมขอร้อง โปรดรับฟังคำอ้อนวอนของผมด้วย

ความคิดของผมล่องลอยไปพร้อมเวลาที่ล่วงเลย แสงหลัวแรกของอรุณรุ่งฉาบท้องฟ้าที่เคยมืดดำให้กลายเป็นสีเทาตุ่น ผมที่ยังหลับสนิทเท่าไหร่ผละจากอ้อมกอดของเมษาลุกขึ้นไปเปิดม่าน เมืองใหญ่ที่หลับไหลกำลังจะตื่นเต็มที่ ผมแตะผิวกระจกใสที่เย็นฉ่ำ คว้าผ้าม่านมาพันตัวที่เปลือยเปล่าแล้วหันไปมองเมษาที่ยังหลับบนเตียงแล้วอดยิ้มไม่ได้ แม้จะไม่อยากคิดถึงคนๆนั้นอีกแล้วแต่คำพูดหนึ่งของซุรุงะที่กระซิบบอกผมก่อนจะส่งผมและเมษาก็ดังบนใบหน้าราวเด็กน้อยตรงหน้าของผม...ถ้ามีใครสักคนบอกกับเธอว่าจะไม่ปล่อยมือจากเธอก็อย่าทำให้เขาเสียใจ อย่าทำให้เขาเจ็บปวดถึงขนาดคิดว่าการปล่อยมือจากกันเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว... ผมหันไปทิ้งทอดมองขอบฟ้าที่กระจ่างนวลด้วยแดดที่จ้าขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผมคนที่ไม่เคยมีสิ่งใดเป็นของตัวเองอย่างแท้จริง คนที่ถูกทอดทิ้งมาตลอด การที่เมษายื่นมือมาจับผมไว้ถือว่าเป็นความสุขที่ผมคงไม่สามารถปล่อยให้ลอยจากไปง่ายนักหรอก ผมสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าผ้าม่านถูกดึงออกจากกาย แล้วถูกแนบสัมผัสจากผิวกายอุ่นของคนที่อยู่ด้านหลัง

“เมื่อกี้น่ะสวยมากเลย ผมถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย” เมษาจูบซอกคอของผม ผมหันไปจูบปากของเขา แล้วบอกอรุณสวัสดิ์
“จากตรงนี้เรามองเห็น Tokyo Sky Tree Tower ที่กำลังก่อสร้างลิบๆเลยนะเนี่ย” เมษาวางคางบนบ่าของผม ผมมองตรงไปยังจุดเดียวกับเขา อีกหน่อยเจ้านี้จะทำให้คนลืม Tokyo Tower สนิทใจด้วยทั้งความสูงและความสวย ความนำสมัยที่เหนือกว่า ซุรุงะวาดภาพ Tokyo Sky Tree Tower จากแบบร่างโดยใช้จินตนาการแต่งแต้มเข้าไป และนั่นเป็นภาพแรกที่เขาขายให้กับแกลลอรี่ของวุฒิ

“เสร็จเมื่อไหร่น่ะ?” ผมเอียงศีรษะพิงกับเมษา
“น่าจะปีหน้าเดือนมีนานะครับ”
“แล้วผมก็มีแผน”เมษาดันไหล่ผมหันไปหาเขา
“ปีหน้าเดือนเมษาเรามีวันหยุดยาว สงกรานต์ เรามาที่โตเกียวสกายทรีกันนะ ฉลองวันเกิดให้ผม”
ผมคงยังทำหน้ามึนอยู่กระมังเมษาเลยอธิบายเพิ่ม

“ผมเกิดเดือนเมษาวันที่ 14 ผมไม่อยากอยู่กับใครในวันนั้นนอกจากผู้จัดการ ผมได้จูบของคุณเป็นของขวัญวันเกิดในที่ที่เรียกได้ว่าสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง” เมษาพยักหน้าราวกับจะถามว่าเข้าใจหรือยังว่าทำไมมันถึงสำคัญนักที่ต้องมาในวันเวลานั้นให้ได้ ผมพยักหน้าหงึกหงักเมษาเลยดึงผมเข้ากอด เขาเปลี่ยนทีท่าเป็นอ่อนไหว เล้าโลมผม
“ผมอยากได้ผู้จัดการอีกน่ะ” เมษาเบียดริมฝีปากไล้กับไหล่ของผม
“ไม่ไหวแล้ว เมื่อวานก็ทั้งวันแล้วนี่นา คนดี เริ่มเจ็บแล้วล่ะ”

“เอ๋ จริงหรือ” เมษาหยุดจูบมองผมหยั่งท่าที ผมพยักหน้าแรงยืนยัน
“ก็ของนายน่ะ....” ผมก้มหน้าตัดสินใจสารภาพด้วยเสียงเบา “มันใหญ่สมตัวนี่นา”
เมษาได้ยินแค่นั้นเขาก็ปล่อยก๊ากออกมาแบบไม่กักเก็บ ผมอายมาก แต่หากตามใจเขาโดยไม่บอกกล่าวผมคงถึงเลือด ซึ่งวันนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯแล้ว ผมคงปล่อยให้ร่างกายไม่พร้อมไม่ได้ ผมมองเมษา หุ่นสูงใหญ่ของเขา กล้ามเนื้อสมส่วนที่น่ามอง มาถึงตอนนี้ผมก็ตระหนัก...ทั้งทศวรรษ ซุรุงะ และเมษา ล้วนใจร้ายกับผมทุกคน แต่ละคนไม่รู้จะแข็งแรงใหญ่โตกันไปถึงไหน ทำให้ผมซึ่งตัวเล็กกว่าลำบากจริงๆ
“เฮ้อ ผู้จัดการทำผมภูมิใจในตัวเองหลายเรื่องแล้วนะเนี่ย” เมษาหัวเราะไม่เลิก ผมงอนปัดวงแขนของเขาออกแล้วรีบเข้าห้องน้ำ เสียงหัวเราะน่ารักของเขายังดังอยู่นั่นพลอยทำให้ผมแอบหัวเราะไปด้วย

ผมสอนถึงวิธีการห่อของนำส่งลูกค้ากับเมษาเสร็จก็ขึ้นไปพบน้ำฟ้าบนห้องทำงานของหล่อน พอจะยื่นมือไปจับประตูก็รู้สึกเหมือนจะวูบจนเซ ต้องผ่อนหายใจยืนนิ่งสักครู่ความรู้ตัวจึงกลับมาเต็มหน่วยสมอง ร่างกายของผมคงล้นขีดจำกัดไปแล้วด้วยเหตุที่พักผ่อนไม่พอ เมื่อเช้าตรู่พอลงจากเครื่องไฟล์ทเช้าก็แยกย้ายกับเมษากลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้วรีบมาที่แกลลอรี่ เหลือบมองเมษาที่กำลังตั้งใจอย่างไม่มีอาการล้าอ่อนแล้วก็เผลอยิ้มออกมา หมอนี่ดูยังสบายทั้งที่...ผมหวิววาบทั้งตัวเมี่อคิดถึงเซ็กส์ที่เราไม่ยอมพักยอมนอน ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายออกแรงอยู่ฝ่ายเดียว ผมตัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปด้วยการเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป

พอเห็นผมน้ำฟ้าโผเข้ามากอด จูบปากผมอย่างไม่ทันให้ผมตั้งตัว
“คิดถึงจังเลยค่ะ” หล่อนเช็ดลิปติกของหล่อนที่กลีบปากของผม
“ไม่กี่วันเองนี่ครับ อีกอย่างผมไม่ได้ไปครั้งแรกนี่ครับ” ผมรู้สึกเหมือนเพิ่งคนเพิ่งตื่นนอน ได้แต่มึนงงกับสรรพสิ่งที่รายรอบตัว
“ก็แหม ฟ้าไม่ชอบนอนคนเดียวนี่คะ” หล่อนทำปากยื่น มือก็ดึงไทด์ผมเล่น
“ผมก็คิดถึงคุณฟ้านะ”

“ทุกอย่างเรียบร้อยไหมคะ”
“ครับ ภาพพร้อมส่งให้ลูกค้า เมษากำลังจัดการอยู่ข้างล่าง”
“คงเหนื่อยมากซินะคะ มาถึงนี่เช้าตรู่แล้วต้องมาทำงานอีก ที่จริงทั้งคู่เลยนะ น่าจะหยุดพักอย่างน้อยสักครึ่งวันก็ได้” น้ำฟ้าสอดเรียวนิ้วงามลูบปกสูทของรุจน์

“ถ้าผมคิดแบบนั้น วันนี้ใครจะช่วยคุณฟ้าล่ะครับ ที่ผ่านมานี่อยู่คนเดียวคงเหนื่อยน่าดูซินะครับ แค่นึกก็สงสารสาวน้อยตัวเล็กๆแล้ว” ผมยกมือจับเอวบางจ้อยของหล่อน
“งานน่ะไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ลูกค้ารุจน์ทั้งนั้นแหละ เขาบอกจะคอยคุณมากกว่าจะคุยการค้ากับฟ้า ยัยคุณหญิง คุณนาย ลูกสาวนายพลทั้งหลายน่าเบื่อชะมัด” น้ำฟ้าส่งเสียงจิ๊จ๊ะในคอ ผมหัวเราะเอ็นดูกับกริยาเอาแต่ใจเหมือนเด็กของหล่อน

“อยากจะบอกใส่หน้าไปเลยว่า รุจน์น่ะของฉันนะยะ” คำพูดของน้ำฟ้า ทำให้เสียงหัวเราะผมแปร่ง น้ำฟ้าผละจากผมเดินไปที่กระจกหน้าห้อง หล่อนมองลงไปด้านล่าง ผมเดาเอาว่าหล่อนคงมองในตำแหน่งที่ผมมองก่อนหน้านั้น
“รุจน์นี่ตาถึงนะคะ ฟ้าว่านายเดือนฉายคนนี้น่ะหน่วยก้าน บุคลิกดีสมกับที่เป็นลูกข้าราชการ”
“ฝึกอีกไม่นานก็เก่งครับ”
“ไม่กลัวหรือ” น้ำฟ้าหันกลับมองผมยิ้มๆ

“กลัวเรื่องอะไรครับ” ผมปริบตางง
“สักวันเขาก็จะแย่งลูกค้าสาวๆของรุจน์ไปน้า หรือบางทีแม้แต่ฟ้า….” หล่อนวาดแขนไปด้านหลังขณะเดินกลับมาหาผม
“เอ น่าคิดแฮะ ว่าแต่คุณฟ้าน่ะเอาจริงหรือ” ผมทิ้งตัวพิงขอบโต๊ะ เอียงคอมองหน้างดงามของน้ำฟ้า
“รุจน์ว่าไงล่ะคะ”
“ผมว่าไม่มีทาง” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม และดวงตาก็อาจเป็นประกายอยู่

“ผมว่าผมไปส่งของให้ลูกค้าดีกว่า” ผมดึงตัวเองขึ้นจากขอบโต๊ะ ด้วยความเร็วในการเคลื่อนไหวร่างกายที่แม้ไม่มากแต่ร่างกายที่อ่อนเพลียไม่อาจทานได้อีก และแต่คราวนี้ผมไม่โชคดีเหมือนเมื่อครู่ผมวูบแล้วทรุดลงกองกับพื้นโดยไม่ทันส่งสัญญาณใดๆ
“ว๊าย!!รุจน์” ผมได้ยินเสียงของน้ำฟ้าดังขึ้นแค่นั้น ก่อนที่สติสัมปัญชัญญะของผมถูกดึงหายไปในความมืด

9.1....

ทศวรรษรู้สึกเหมือนจะบ้า
เขากางแขนแบบไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนแรกเขาคิดว่าผ้าพ้าแผลที่มือขวาจะไม่ก่อปัญหาใดกับงานของเขา แต่ตั้งแต่เช้านับแต่กลับมาทำงานอีกครั้งหลังหยุดงานไปสองวัน เขาก็พบว่าไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง ที่แย่ที่สุดคือมันทำให้ลายเซ็นต์เขาเพี้ยนเสียจนต้องเลื่อนไปเซ็นต์วันอื่นสำหรับงานที่รอได้ ส่วนที่รอไม่ได้ต้องส่งให้ S เซ็นต์แทนซึ่งเขาไม่ชอบใจเลย งานของเขาก็คืองานของไม่อยากให้ใครมาข้องเกี่ยว ดีที่ไม่ใช่เอกสารที่สำคัญมากนัก ทศวรรษมองเอกสารตรงหน้าแล้วถอนใจหนัก อาการปวดที่มือก็กลับมาอีกครั้งด้วยเพราะฝืนกับบาดแผลมากเกินไป ทศวรรษกดสายในเรียกเลขาหน้าห้องเข้ามา

เขาสั่งงานหล่อนขณะเก็บเอกสารใส่กระเป๋า เลขารีบเสนอช่วยจนเสร็จ ทศวรรษกล่าวขอบใจแล้วเดินออกมาจากห้องพร้อมกันกับเลขา ที่โต๊ะหล่อนสายในอีกสายก็เรียกเข้ามาหล่อนขอตัวไปรับ พยักหน้าเออออกับปลายแล้ววางสายหันมาทางทศวรรษ
“คุณทศวรรษจะขึ้นไปพักผ่อนที่เพนเฮาส์ข้างบนหรือกลับคอนโดเลยคะ”
“อืม วันนี้คงอยู่ข้างบนนะ”
“คือว่าภาพที่คุณทศวรรษให้ดิฉันสั่งให้น่ะแกลลอรี่ให้คนเอามาส่งแล้วค่ะ”

“ให้เขาไปรอที่ห้องประชุมเล็กนะ ผมจัดการเอง คุณทำงานไปเถอะ”
“ค่ะ” เลขากดเบอร์สายในแล้วบอกตามที่ทศวรรษบอก แล้วทรุดตัวนั่งทำงานต่อ
ทศวรรษเดินทอดน่องไปตามาโถงทางเดินสู่ห้องประชุม เพราะบอกว่าจะไม่ไปเหยียบที่แกลลอรี่อีกแล้ว การสั่งภาพใดๆเขาจึงให้เลขาออกหน้าตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้บอกใครแม้แต่วุฒิหรือน้ำฟ้ากระทั่งถูกเข้าใจผิดไปหมดแล้ว แต่ช่างเถอะ เขาไม่สนหรอก ภาพฝีมือไอ้ศิลปินที่พิสรากับ S ปลาบปลื้มกันหนักหนาก็อยากจะเห็นให้เต็มตาว่ามันเลิศวิเศษขนาดไหน พอมีข่าวว่าไอ้บ้านั่นกำลังเอาภาพออกขายจึงให้แกลลอรี่ไปเอามาให้ ไม่ได้อยากได้ใคร่ดีอะไรนักหรอก แต่ตัดหน้าพิสราได้ถือว่าสะใจดี ป่านนี้ยัยนั่นคงกรี๊ดๆร้องไห้อกไหม้ไส้ขมซบอกเจ้า S ไปแล้ว ทศวรรษเบะปาก ทว่า..ยิ่งก้าวเข้าใกล้ห้องประชุมเท่าไหร่ เท้าของทศวรรษก็ยิ่งรีบเร่งอย่างที่เจ้าตัวเองต้องประหลาด ทั้งที่กำลังคิดเรื่องอื่นแต่ใจเขากลับอยากไปให้ถึงที่ห้องประชุมโดยเร็ว

ทศวรรษผลักประตูเข้าไป เขาหายใจรัว หัวใจเริ่มเต้นแรง ที่กลางห้อง บนโต๊ะมีห่อภาพเขียนวางอยู่ ทศวรรษเพิ่งมองเนิ่น ทว่าร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเข้ม มองอย่างไรเขาก็ไม่คุ้นเคยตา เสียงประตูทำให้ร่างนั้นขยับเคลื่อนไหวหันมาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ เรียบนิ่ง คิ้วย่นนิดหน่อยเมื่อมองตรงมาที่เขา แต่ไม่นานโก่งคู่งามก็กลับเข้าที่พร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นกลีบปากอวบอิ่ม เขาเยื้องย่างด้วยท่าที่สง่างามไม่แพ้คนมีตระกูลอย่างทศวรรษหรือ S

พอเข้ามาใกล้เขาก็ค้อมกายน้อยๆด้วยท่วงท่าราวกำลังขอสาวงามเต้นรำในงานบอลรูมพร้อมยื่นนามบัตรให้ทศวรรษ
“ผมมาจากแกลลอรี่ครับ ตรงนั้นของที่สั่งไว้ครับ” เขาหันมองของบนโต๊ะ
ทศวรรษไม่ได้รับบัตร เขายังงงไม่หาย ไม่รู้ที่ตัวเองกำลังทำหน้าไม่ถูกอยู่นี้เป็นเพราะผิดหวังหรือประหลาดใจ
“เอ่อ ผมต้องเซ็นต์รับอะไรหรือเปล่า” ทศวรรษล้วงปากกาหมึกซึมในกระเป๋าด้านในเสื้อสูท
“นึกว่าใคร”
“อะไรนะครับ”
“อ้อไม่มีอะไรครับ คิดว่าคงไม่ต้องหรอกครับ มือคุณเจ็บอยู่ และผู้จัดการของผมก็รู้จักคุณดี”
ทศวรรษคิดว่าหากเขาไม่ได้เห็นผิดไป เด็กหนุ่มตรงหน้าได้เปลี่ยนรอยยิ้มใสเมื่อครู่ให้กลายเป็นยิ้มที่เยือกเย็น รอยยิ้มที่ยิ้มแต่ใบหน้า ดวงตากลับแข็งกระด้าง

“ผู้จัดการ?” ทศวรรษทวนคำคราวนี้เขากลายเป็นฝ่ายย่นหัวคิ้วบ้าง ไอ้คนแปลกหน้านี่มันอะไร
“ครับ คุณรุจน์เป็นหัวหน้าของผม เป็นของผม” เด็กหนุ่มเน้นคำสุดท้ายขณะก้าวเข้าใกล้ทศวรรษแบบเผชิญหน้ากัน ด้วยความสูงที่เท่ากันทำให้ทั้งคู่จ้องตากันอย่างเปิดเผย
“อยากพูดอะไร ตกลงแกเป็นใครกันแน่” ทศวรรษกอดอกมองไม่วางตา เด็กหนุ่มยิ้มแล้วดีดนามบัตรใส่ทศวรรษ

“ก็คุณไม่รับนามบัตรผมไว้นี่จะรู้ได้ไงว่าผมเป็นใคร”
ทศวรรษเอียงศีรษะหลบบัตรที่ปลิวใส่หน้า เขาขยุ้มปกเสื้อสูทอีกฝ่ายอย่างเหลืออด
“กล้าดีอย่างไงวะ แล้วไอ้ท่าทางแบบนี้หมายความว่าไงวะ” เค้นเสียงพูดใส่หน้าเด็กหนุ่มแปลกหน้า
“ถ้าไม่พอใจพฤติกรรมของผมก็รายงานกับผู้จัดการของผมได้ แล้วหลังจากนั้นเราก็เปิดห้องคุยกันส่วนตัวเอง” เด็กหนุ่มยักไหล่ยิ้มกวนประสาทตอบกลับมา

“อะไรนะ” ทศวรรษจะเข้าใส่อีก เด็กหนุ่มชิงผลักอกเขาก่อน
“จำไว้นะ อย่าเข้าใกล้ผู้จัดการอีก ไม่งั้นเจอกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มข้นก่อนจะเดินผ่านทศวรรษออกไปนอกห้อง ทศวรรษก้มเก็บนามบัตรขึ้นดู
“เดือนฉาย”
ร่างสูงที่ก้าวอย่างมั่นคง หลังและศีรษะที่ตั้งตรง ดวงตาแข็งกร้าว เมษามองไปข้างหน้า ไม่คิดว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้ไอ้ผู้ชายที่มีอ้อมกอดดั่งเหล็กแหลมทิ่มแทงทรมานรุจน์แทบตายในคืนนั้น ชั่วขณะของความทุกข์ทรมานเช่นนั้น หัวใจที่หายห้วงของเมษาซึมซับไว้จนหมด ไม่มีวันลืม เขาสัญญากับตัวเองในคืนค่ำที่รุจน์เป็นของเขา จะไม่มีวันลดลาวาศอกให้ผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด

9.2
ภาพเพดานในห้องค่อยชัดขึ้นพร้อมแสงสว่างภายในห้อง ผมปริบตามองครู่หนึ่งสมองจึงค่อยๆลำดับความจำว่านี่เป็นพักผ่อนส่วนตัวของน้ำฟ้าที่อยู่ด้านหลังห้องทำงานของหล่อน ผมกับหล่อนใช้ที่นี่หลับนอนด้วยกันประจำ ไม่ลืมหรอกแค่เบลอไปหน่อย พอผมขยับก็ได้ยินเสียงน้ำฟ้าพร้อมๆกันกับการปรากฏตัวของหล่อนข้างเตียง
“เป็นไงบ้างคะ คุณเป็นลมน่ะค่ะ” น้ำฟ้าปรี่เข้ามาจับมือผมไว้
“ครับ ผมคงอดนอนมากไปหน่อย ร่างกายเลยไม่ไหว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ผมไปทำงานต่อนะ” ผมยันตัวลุกขึ้นโดยมีน้ำฟ้าช่วยพยุง
“ไม่ต้องแล้วค่ะ ฟ้าให้เมษาไปแทนแล้วค่ะ”

“อ้อ หรือครับ” ผมลุกนั่งแบบสบายบนเตียง ได้หลับเต็มที่ร่างกายก็กลับเป็นปกติ
“คุณผู้หญิงคนนั้นคงไม่ผิดหวังมั้งคะที่ไม่ใช่รุจน์น่ะ” น้ำฟ้าวาดดวงตาค้อนผมวงเล็กๆน่ารักน่าชัง
“โธ่ ไปส่งทีไรก็ได้แต่ฝากไว้ที่ประชาสัมพันธ์ เขาไม่เคยให้ผมเห็นหน้าหรอก” ผมส่ายหน้าหัวเราะ
“ขอบคุณนะครับ” ผมบอกน้ำฟ้าที่กำลังลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะหล่อนเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหันเดินกลับมาคุกเข่านั่งตรงหน้าผม ดึงมือผมไปกุมแน่น

“รุจน์ฟังฟ้านะคะ ฟ้ารู้ว่าที่จะพูดต่อไปนี้มันอาจทำให้คุณเสียความรู้สึกแต่ว่า...” หล่อนเอามือผมไปแนบใบหน้า
“ฟ้ากำลังทดลองคบใครบางคนอยู่ และสิ่งที่ฟ้าอยากพูดคือ....”น้ำฟ้าช้อนตามองผมอย่างลังเลอึดอัด
“ฮะ ผมรอฟังอยู่”
“ฟ้าคิดว่าความสัมพันธ์ของเรานั้น” น้ำฟ้าปรายตาไปที่เตียง

“ต้องหยุดใช่ไหมครับ” ผมต่อให้ พูดจบริมฝีปากก็เม้มเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว น้ำฟ้าหลุบตามองพื้น
“เขาเป็นคนที่ฟ้าอยากแต่งงานด้วยมาตลอด ฟ้าคงไม่สามารถนอนกับผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกัน มันไม่ซื่อสัตย์” ยิ่งพูดคำพูดหล่อนยิ่งกดทับใจของผม ที่ผ่านมาหล่อนแค่สนุกจริงๆ ผมเป็นของเล่นที่หล่อนจำต้องทิ้งเมื่ออยากจริงจังกับอะไรสักอย่างที่ทำให้มีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่
“ผมเข้าใจแล้วครับ”

“รุจน์รู้ใช่ไหมคะว่าฟ้าชอบคุณมาก ร่างกายฟ้าไม่เคยโกหก”
“ครับ Body Talk” ผมยิ้มพร้อมยกมือลูบแก้มเนียนของหล่อนเบามือ ผมอยากบอกกับหล่อนเหลือเกินว่า มาแสดงยินดีกับเราทั้งสองคนที่กำลังจะความสุขกับใครสักคนอย่างยั่งยืนกันเถอะ ถึงผมจะเสียดายคุณแต่หากคุณไปดีผมก็ยินดีด้วยจากใจจริง ขอบคุณนะน้ำฟ้าคุณเป็นคนเดียวในชีวิตที่ผ่านมาของผม คุณไม่ทำร้ายผมนอกจากมอบความสุขไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือใจ

“ผมจะไม่พูดไม่แสดงอะไรที่จะทำให้คุณเดือดร้อนแน่นอนครับ” ผมรู้ว่านี่คือสัญญาที่น้ำฟ้าลำบากใจที่จะขอ หากแต่กล่อนก็ต้องการจากผมมากเสียกว่าคำแสดงความยินดี น้ำฟ้ายืดตัวลุกขึ้นพร้อมยื่นใบหน้าสดสวยของหล่อนมาจูบผมที่แก้ม หล่อนกระซิบคำว่าขอบคุณที่ผมฟังแล้วเหมือนคำว่าลาก่อนสัมพันธ์ของเรา ผมหลับตาพยักหน้ายิ้มน้อยๆ....ผมขอให้คุณโชคดีเช่นกัน

เมษากลับมาก่อนที่น้ำฟ้าออกไปพบลูกค้าเซเลบของหล่อน ทั้งสองคนเจอกันที่หน้าประตูเมษาค้อมตัวให้น้ำฟ้า หล่อนพยักหน้าแล้วถามว่าส่งของเรียบร้อยไหม เมษายิ้มกว้าง
“ไร้ที่ติ”
“เยี่ยม” น้ำฟ้าตบบ่าเขาก่อนออกจากประตูไป เมษาเงยหน้าขึ้นมองผมที่ยืนที่ระเบียงหน้าห้องทำงานของน้ำฟ้า สายตาของเขาทำให้ผมใจเต้น เมษายืนอยู่กลางร้าน เขาช่างชวนตาอย่างเคย ผมไม่อาจเสทำมองสิ่งอื่นได้นอกจากเขา

เนื่องด้วยในร้านมีกล้องวงจรปิดที่ทำให้เราไม่สามารถทำตัวให้กลายเป็นเรื่องฉาวขายหน้าได้ ผมกับเมษาจึงหลบเข้าไปในออฟฟิศของผม ผมไม่รู้ทำไมเมษาถึงดึงผมเข้าไปกอดแน่นแบบนั้นอาจเพราะกลิ่นอายของร่างกายเรายังคงกรุ่นอยู่เขาเลยคิดถึงแค่ห่างไม่กี่ชั่วโมง
“นายกอดแน่นจัง เดี๋ยวฉันก็เป็นลมอีกรอบหรอก” ผมหัวเราะคิกคัก
“ผมแค่อยากรู้สึกว่าผู้จัดการยังอยู่ในอ้อมแขนของผม” คำพูดของเมษาทำให้ผมต้องยกแขนกอดตอบ

“ฉันอยู่ตรงนี้ไง” ผมจูบต้นคอของเขา
“คืนนี้ผมต้องไปทำงานพิเศษ ลาเขาไว้ก่อนไปญี่ปุ่นสองวันน่ะ คนไม่ค่อยจะพอสงสัยเฮียหัวหน้าด่าเละเลย” เมษามองนาฬิกาบนผนัง
“วันนี้ไม่ค่อยมีงานอะไรแล้วล่ะ นายกลับก่อนได้” ผมจัดสูทจับไทด์ให้เขา
“แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

เมษาเปิดประตูก้าวออกจากห้องแต่ก็ถอยกลับเข้ามาอีกครั้ง
“ผมถามผู้จัดการสักข้อได้ไหมครับ”
“ได้ซิ”
“คุณต้องตอบผมจริงๆนะครับ”
“อื้ม”ผมพยักหน้า
“ผมเห็นมาตั้งแต่ที่คืนแรกที่โรงแรมแล้ว สงสัยมากแต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยไม่กล้าถาม” เมษาปิดประตูแล้วพิงหลัง

“อะไรหรือ” ผมคิดว่ารอยยิ้มผมค่อยเจื่อนลงอยู่แน่ๆ
“สร้อยเพชรที่ข้อเท้าของคุณ มันหมายถึงอะไร ตอบผมแค่ว่า มันเป็นที่ระลึกหรือแค่เครื่องประดับ” คำถามของเมษาทำเอาผมลืมหายใจไปชั่วขณะ
“มันเป็น...”นี่ผมกำลังคิดนานไปหรือเปล่า
“มันเป็นแค่เครื่องประดับ” ผมตัดสินใจเลือกตัวเลือกสุดท้าย เมษามองหน้าผมครู่หนึ่งแล้วระบายยิ้มกว้างออกมา

“ผมไปนะ” เขาเปิดประตูแล้วก้าวออกไป ผมทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ห้องเงียบเหงาเมื่อเมษาออกไปแล้ว ผมถลกขากางเกงขึ้น สร้อยข้อเท้าสีทองส่องประกายแวววาวราวกับจะบอกว่ามันจะไม่มีวันหม่นแสงเรืองรองลงได้หรอก ผมรูดขากางเกงลง ทิ้งหลังพิงกับพนักพิงด้านหลัง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด รอสายครู่หนึ่ง
“พี่หรือครับ ผมเองนะครับผมเพิ่งมาจากญี่ปุ่น ขอโทษนะครับทุกอย่างมันกระทันหันไปหมดผมเลยไม่มีของฝากติดมือมาด้วย”
“อือ มีอะไรอีกไหมพี่ยุ่งอยู่น่ะ” น้ำเสียงที่เย็นชาไม่เปลี่ยนตอบกลับอย่างไม่แยแส

“ไม่มีแล้วครับผมแค่อยากบอกกับพี่ว่าผมปลอดภัยดี”
“อืม ดีแล้ว แค่นี้นะไว้ค่อยคุยกัน”
ผมมักถูกตัดสายก่อนเสมอ ที่ว่าไว้ค่อยคุยกัน น่ะรอไปเถอะเพราะมันไม่เคยและไม่มีวันเกิดขึ้นจริงๆหรอก พี่ผมเขาก็แค่ไม่อยากคุยกับผมจริงๆนั่นน่ะมีไว้แค่ขอไ



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 20:33:33 น.
Counter : 240 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]