Baramos Maniac
Group Blog
 
All Blogs
 

Little Killer ตอนที่ 1




ดวงจันทร์ข้างขึ้นสาดแสงสลัวรางลอดผ่านกรอบบานหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ บานกระจกถูกลมยามดึกกรรโชกให้แกว่งไกวส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเป็นระยะๆ หากนอกจากความเคลื่อนไหวนั้นแล้วก็มีเพียงความเงียบสงัดที่ทิ้งตัวอ้อยอิ่งอยู่ในเงามืด


เครื่องเรือนชิ้นใหญ่ในห้องดูทึบทะมึน คมอาวุธที่ประดับผนังสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายปลาบ ฝาผนังด้านหนึ่งถูกจัดไว้เป็นที่ทดสอบความแม่นยำ รอยพรุนบนเป้านิ่งที่หมายเฉพาะจุดตายบ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญของผู้ใช้อาวุธได้เป็นอย่างดี


ส่วนฝาผนังฟากตรงข้ามนั้นเรียงรายด้วยชั้นวางขวดแก้วใสซึ่งภายในเป็นน้ำยาสีสันประหลาดกับกระปุกเล็กกระปุกน้อยที่ติดฉลากเอาไว้ ร่องรอยการทดลองที่คั่งค้างยังหลงเหลืออยู่บนโต๊ะวางตาชั่งและวัตถุดิบต่างๆ ที่บรรจุในโหลเคลือบปิดผนึกอย่างดี ข้าวของที่กองทิ้งไว้ดูราวกับว่าเจ้าของจะเพิ่งผละไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา


เมฆหนาทึบลอยผ่าน เปิดโอกาสให้แสงเงินยวงส่องลงมายังพื้นโลกเบื้องล่างเต็มที่ เงามืดถูกขับออกไปเผยให้เห็นลวดลายกระดาษปิดผนังสีอ่อนใสประลายดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋มผิดกับสภาพโดยรวมของห้องชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ


แสงจันทร์สาดจับโต๊ะทำงานตัวใหญ่ชิดหน้าต่าง อุปกรณ์และเศษเหล็กต่างๆถูกทิ้งไว้ระเกะระกะพร้อมกับตำราเล่มโตที่เปิดทิ้งค้าง


ลมกรรโชกแรงจนผ้าม่านผืนบางสะบัดไหว หน้าหนังสือปลิวพึ่บพับจากกลางเล่มไปจนถึงหน้าท้ายๆที่มีวัตถุบางอย่างคั่นเอาไว้



...กระดาษแผ่นหนึ่งที่สอดทับลวกๆ ถูกพัดออกมาก่อนจะปลิวตกลงไปยังพื้นห้อง...


สายลมส่งท้ายพาให้กระดาษแผ่นนั้นร่อนไปหยุดอยู่แทบเท้าบุรุษร่างสูงที่ก้าวเข้ามา...




มือใหญ่หยิบขึ้นมากวาดตามองปราด ก่อนที่ริมปากจะกระตุกรอยยิ้มขัน พลางส่งจดหมายในมือต่อให้สตรีงามที่ยืนเคียงข้าง


ข้อความสั้นๆ เพียงสองบรรทัดที่ปรากฏอยู่เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ให้ดังขึ้น



"จะไปฆ่าหมอนั่น
จาก ลูก"













"หยุดข้างหน้านี่แหละ"



เสียงบุรุษจากภายในเกวียนร้องสั่งให้คนขับดึงบังเหิ่ยนหยุดฝีเท้าม้า ขณะที่เขากระโดดลงมายืนมองกำแพงสีเทาสูงตระหง่านเบื้องหน้าแล้วขยับรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปโอบร่างหญิงสาวที่รออยู่ในเกวียนให้ตามลงมาด้วยกัน


ชายสูงวัยหากยังคงแข็งแรงกระฉับกระเฉง เรือนผมขาวถูกหวีเสยเก็บขึ้นจนเรียบมันยืนนิ่งรอสองร่างของผู้มาใหม่เบื้องหน้ากำแพงใหญ่ซึ่งรายล้อมรกครึ้มด้วยเงาไม้สีเขียวเข้มและเถากาฝากที่เกาะอยู่ตามก้อนหินฐานรากจนดูเก่าแก่กว่าที่ควรเป็น


เถาไม้ที่ห้อยระย้าลงมาเกะกะถูกมือหนาหยาบกร้านของผู้ออกมาต้อนรับปัดออก เผยให้เห็นกรอบประตูซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความสูงใหญ่หนาแน่นของกำแพง


"ทางนี้ครับ ท่านเวสรออยู่ด้านใน"


บานประตูหนักถูกผลักออกเสียงดังครืดเหมือนเสียงหินโม่บดพื้น ขณะที่พ่อบ้านเดินเข้าไปหยิบเทียนไขจากช่องในผนังออกมาเดินนำเข้าไปยังทางเดินที่ปกคลุมด้วยแนวไม้เรียงรายเหมือนป่าใหญ่ เงาหลังของชายชราวูบวับเหมือนภูตผีปีศาจอยู่ในหมู่ไม้หนาทึบ


หลุดจากแนวป่าเข้ามาก็พบทางโปร่งตาขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด คฤหาสน์หลังใหญ่ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า พ่อบ้านประจำตระกูลโค้งให้อาคันตุกะทั้งสองซึ่งเกือบจะมาถึงพร้อมๆกันอย่างนับถือ ก่อนจะเปิดประตูพลางผายมือเชิญทั้งสองเข้าไป



ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามา สิ่งแรกที่รู้สึกก็คือ... กลิ่นหอมอบอวลของอาหารเช้า



ทางเดินซับซ้อนวกวนที่ชายชราเดินนำไปอย่างรวดเร็วไม่ได้เป็นปัญหาแก่ผู้ที่เดินตามเช่นเดียวกันกับทางเดินในป่า แสงสว่างจ้าสาดเป็นลำเข้ามาทางบานประตูพร้อมกระแสลมอ่อน แล้วเสียงหนึ่งก็ร้องทักขึ้นเรียกสายตาของผู้มาใหม่ให้เหลียวไปมอง


"หนึ่งชั่วโมงครึ่งจากประตูหน้าเข้ามา ฝีมือตกหรือไง ไวท์บีสต์"


ทางเดินนั้นทอดยาวทะลุออกไปยังระเบียงกว้างที่ตั้งโต๊ะรอไว้ แสงแดดยามสายจับเส้นผมสีทองของหัวหน้าตระกูลฟีลมัสให้เป็นประกายเรืองรองล้อมกรอบดวงหน้าคมคาย ดวงตาสีม่วงคู่คมประสานกับดวงตาสีเข้มของบุรุษตรงหน้าพลางก้าวเข้ามาตบหลังไหล่กันและกันหนักๆ


หลังจากทักทายกันตามประสาเพื่อนเก่าเพื่อนแก่เป็นที่เรียบร้อย รายการอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมกับการปรากฏตัวของสตรีผมดำผู้เป็นเจ้าบ้านฝ่ายหญิง รอยยิ้มที่ส่งมาให้บ่งบอกความคุ้นเคยกับแขกทั้งสองเป็นอย่างดี










"แปลว่าลูกสาวนายหนีไปหาลูกชายฉันที่เอดินเบิร์กแล้วสินะ" เสียงห้าวเอ่ยถามขึ้นหลังจากได้ฟังเรื่องจากสหาย


"ฉันก็คิดจะมาปรึกษานายเรื่องนี้" อีกฝ่ายแย้มรอยยิ้มตอบกลับมา ดวงตาสีเข้มเป็นประกายพราวด้วยรอยเอ็นดูผู้เป็นต้นเหตุของเรื่อง


"พนันกันไหม ฟีลมัส ฉันว่าลูกชายนายเอาชนะลูกสาวฉันไม่ได้แน่"


ว่าแล้วคนพูดก็หัวเราะ ให้คนฟังหรี่ตามอง ร่างสูงของหัวหน้าตระกูลฟีลมัสเอนลงกับพนักเก้าอี้พลางยักไหล่


"ตระกูลเรามีวิธีเฉพาะในการจัดการเรื่องนี้" เวสหัวเราะเบาๆในลำคอ


"ฉันมั่นใจว่าคิลจะเอาชนะลูกสาวนายได้ แต่ก่อนหน้านั้น..." ชายหนุ่มผมทองหันไปสั่งให้พ่อบ้านยกแชมเปญขวดใหญ่ออกมา


"ฉลองล่วงหน้ากันก่อนเป็นไง พวกเราน่าจะได้อุ้มหลานกันอีกไม่นานเกินรอ"


"ดูนายแน่ใจเหลือเกินนะว่าคิลมันจะไม่โดนลูกสาวฉันปาดคอเอาเสียก่อน"


บุรุษผู้เป็นเพื่อนกันมานานเลิกคิ้วเป็นเชิงยั่วเย้า ก่อนที่เสียงหัวเราะของหัวหน้าตระกูลทั้งสองดังประสานกันอย่างถูกอกถูกใจ ทิ้งให้สายตาของผู้เป็นภรรยามองกันยิ้มๆ แก้วก้านบางใสถูกยกขึ้นพร้อมเสียงห้าวกังวานรื่นเริง


"แด่นักฆ่าตัวน้อยในอนาคต!"










"ฮัดเช้ย!”



เสียงจามสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นจากนักฆ่าแห่งซาเรส เรียกให้สายตาทุกคู่ในห้องเหลียวมามองเป็นตาเดียว อาจารย์คิงชามัลส่งสายตาคมกริบมายังเด็กหนุ่มก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น


"เธอน่าจะฉลาดพอรู้ได้นะคิลมัส ฟีลมัส ว่าอาการหวัดมันจะรบกวนสมาธิเพื่อนในชั้นเรียน" ว่าแล้วท่านก็หันกลับไปสอนหนังสือต่อ ทว่าไม่วายมีเสียงบ่นเปรยมา


"พวกป้อมอัศวินนี่จริงๆเลย เรื่องมารยาทเคยมีในหัวบ้างไหมนี่"


คิลยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยผมสีดำยุ่งๆ เอนลงนอนต่อโดยหนังสือประวัติศาสตร์กางบังเอาไว้ แสงแดดอุ่นๆยามสายทำให้ความง่วงงุนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว


คนที่โดนขัดจังหวะหลับสบายแอบบ่นพึมพำอยู่คนเดียวในใจ ลางสังหรณ์พิลึกๆ แล่นวาบจนรู้สึกรำคาญขึ้นมาตงิดๆ ก่อนที่หนังตาจะค่อยๆปรือปิดลง



...ใครแอบนินทาวะ....





 

Create Date : 17 มกราคม 2549    
Last Update : 17 มกราคม 2549 1:19:45 น.
Counter : 594 Pageviews.  

Little Killer บทนำ




One little two little three little killers...

Four liitle five little six little killers...

Seven little eight little nine little killers...

Ten little killer boys”



สายตาคมปลาบของนักฆ่าแห่งซาเรสตวัดไปยังคนที่ยังนั่งฮัมเพลงอยู่อย่างเพลิดเพลิน คิ้วเข้มกระตุกเมื่อสบดวงตาสีเขียวมรกตที่ฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างปิดไม่มิดนั่น


เสียงปิดสมุดรายงานดังปัง เรียกให้สายตาทุกคู่ของผองทโมนชาวป้อมซึ่งนั่งทำรายงานกันอยู่บนโต๊ะม้านั่งกลางสวนเงยขึ้นมาดู


"นายอยากมีเรื่องนักใช่ไหม โร"


อีกฝ่ายหยุดเสียงร้องเพลง พลางหันมาแย้มรอยยิ้มเยือกเย็นตอบกลับให้อารมณ์นักฆ่ายิ่งขุ่นมัว


"ฉันก็แค่ร้องเพลง"


ดวงตาสีม่วงคมกริบฉายรอยอำมหิตวาบขึ้น หากคนมองดูจะไม่สะทกสะท้านกับรังสีฆ่าฟันที่แผ่ซ่านออกมานั้น เสียงทุ้มยังคงเอ่ยต่ออย่างนุ่มนวล


"หรือนายไม่ถูกใจเพราะมีความหลังไม่ค่อยดีกับเพลงนี้"


คิลกัดฟันกรอด นัยน์ตาหรี่ลงเป็นสัญญาณอันตราย ก่อนจะยิ้มยียวนตอบกลับเหมือนจะยั่วกิเลสไอ้ขอทานจอมวางมาดที่กวนประสาทเขามาตั้งแต่เริ่มทำรายงาน



...หรือพูดให้ถูกก็คือตั้งแต่มันรู้ว่าเขาถูกจับให้ทำรายงานคู่กับใคร...



"ความหลังไม่ดีเรอะ ไม่รู้สินะ แต่ที่ฉันรู้อยู่อย่างหนึ่งก็คือ คราวนั้นไอ้คนปากดีบางคนก็ลงไปนอนจมกองเลือดไม่ต่างกัน"


อารมณ์ขุ่นโชนวาบขึ้นมาในใจคนฟัง ริมปากขอทานแห่งทริสทอร์จึงกระตุกรอยยิ้มเย็นเยียบ


"ครั้งนั้นฉันยอมรับว่าประมาทนายไป ท่านนักฆ่า แต่คราวนี้..."


ดวงตาสีเขียวส่งรอยเหยียดหยันมากระตุ้นอารมณ์นักฆ่าให้ลุกโพลงอยากกระโจนเข้าไปปาดคอคนพูดเสียเดี๋ยวนั้น


"เรามาตัดสินกันเลยเป็นไง"


ทันทีที่สิ้นคำ ประกายสีเงินก็ปรากฏวูบเข้ามาจ่อชิดลำคอของโรด้วยความเร็วที่แทบมองไม่ทัน หากก่อนที่คมมีดในมือนักฆ่าแห่งซาเรสจะเรียกเลือดออกมา ขุมพลังดำมืดก็ปรากฏขึ้นในมือบุรุษแห่งทริสทอร์ในชั่วเสี้ยววินาทีนั้น


บรรยากาศรอบด้านเหมือนมีประกายไฟแลบแปลบปลาบขณะดวงตาสองคู่ยังจ้องเขม็งชนิดไม่มีใครยอมใคร และก่อนที่ทุกคนจะทันได้สตินั่นเอง...



โป๊ก! โป๊ก!



"พวกนายจะมัวทะเลาะกันอีกนานไหม เดี๋ยวรายงานก็ไม่เสร็จพอดี!"



เสียงตวาดแหวของแม่มดสาวแห่งวิชท์ดังขึ้นพร้อมๆกับไม้คทาที่เหวี่ยงลงศีรษะของขอทานและนักฆ่าอย่างแม่นยำ ดวงหน้าน่ารักหันไปค้อนขอทานแห่งทริสทอร์ แล้วหยิบหนังสือเล่มหนาวางโครมให้นักฆ่าแห่งซาเรสที่โดนอาจารย์จับคู่ให้ทำรายงานกับเธอ


คนที่โดนดีทั้งสองคนหันมาลูบหัวป้อยๆ ก่อนจะรีบนั่งลงแต่โดยดี เพื่อป้องกันไม่ให้แม่มดสาวเงื้อไม้คทาอาญาสิทธิ์ขึ้นมาอีกรอบ






"คุณโรคะ เดี๋ยวช่วยเขียนหัวข้อนี้ทีนะคะ ฉันจะเขียนอีกหัวข้อให้เอง"


เจ้าหญิงแห่งคาโนวาลเอ่ยยิ้มๆ เมื่อเห็นขอทานแห่งทริสทอร์ยังเหลียวมองแม่มดสาวที่ถูกอาจารย์ให้จับกลุ่มคู่กับนักฆ่าแห่งซาเรสไม่วางตา


โรลอบระบายลมหายใจพลางรับสมุดที่เจ้าหญิงเรนอนแบ่งหัวข้อไว้ให้เรียบร้อยมาเขียนแต่โดยดี


การทำรายงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากมากนักเพราะเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลซึ่งได้คู่กับเขาเป็นคนทำงานละเอียดลออ แต่การจับคู่ทำรายงานตามการแบ่งของอาจารย์นี่แหละที่ทำให้เขาอดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้


ภาพนักฆ่าแห่งซาเรสที่กำลังก้มดูหนังสือเล่มเดียวกับแม่มดสาวทำเอาขอทานเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาอีกรอบ


โรดึงสายตากลับมาอย่างสงบ พยายามสนใจกับรายงานตรงหน้า หากรอยอารมณ์ที่ฉายอยู่ลิบๆในแววตาสีเขียวที่เคยเยือกเย็นเสมอนั้น เจ้าหญิงเรนอนมองออกได้ไม่ยากนัก


หญิงสาวลอบอมยิ้มน้อยๆกับสมุดรายงานก่อนจะเงยหน้ามองไปทางแองเจลีน่าซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาปั่นรายงานกันอยู่อีกทางหนึ่ง ใจนึกอิจฉาแม่มดสาวแห่งวิทช์ขึ้นมานิดๆ



...แองจี้โชคดีที่ได้ความรักตอบกลับมาจากคนที่เธอรัก....



ดวงตาสีม่วงสวยเลื่อนไปยังเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่กำลังนั่งทำรายงานให้หัวขโมยตัวแสบ แม้ปากจะดุไปบ่นไปให้เฟรินทำรายงานด้วยตัวเอง แต่เธอกลับเห็นบรรยากาศอ่อนโยนที่ห้อมล้อมคนทั้งคู่ไว้



...สำหรับเธอแล้ว...คงไม่มีวันนั้น...



รอยเศร้าปรากฏวูบขึ้นในดวงตาคู่สวยที่กำลังเหม่อมองญาติผู้พี่และเจ้าหญิงหัวขโมยทำให้นักฆ่าที่เงยหน้าขึ้นมาพอดีหยุดชะงัก ทว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นเหมือนจะรู้สึกตัว เมื่อเธอรีบกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น










คิลยังเผลอมองไปยังเจ้าหญิงผู้อ่อนหวานแห่งคาโนวาลเป็นระยะ ...เพราะรู้ดีว่าเธอเป็นคนอย่างไร ความรู้สึกเป็นห่วงจึงรุกเข้ามาในใจอย่างช่วยไม่ได้



...คนจากคาโนวาลนี่เหมือนกันไปหมด ชอบเก็บความรู้สึก หรือไม่กลัวว่าสิ่งที่กดไว้กับอกนั้นจะทรมานเพียงใด...



...ครั้งแรกที่เคยได้เห็น หรือครั้งที่สองที่เคยได้สบตา หรือไม่ว่าครั้งไหน เขายอมรับว่าประทับใจอะไรหลายอย่างในตัวเธอไม่น้อย...



...ทั้งความฉลาดเฉลียว ความสุขุมเยือกเย็น และความอ่อนหวานนุ่มนวล ดูเธอจะเป็นเจ้าหญิงผู้เพียบพร้อมไปเสียหมด...



...แต่มันเหมือนจะมีอะไรสักอย่างไม่ใช่ดังที่เฟรินเคยล้อเลียนเขากับเธอ...



...อะไรบางอย่างที่ยังไม่ลึกซึ้งในความรู้สึกมากขนาดนั้น...







เงาดำปรากฏวูบเบื้องหน้าพร้อมกับดวงหน้าเจนตาของเพื่อนรัก หัวขโมยยิ้มเผล่พลางยักคิ้วให้ รอยเจ้าเล่ห์ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นทำให้นักฆ่าชักไม่ไว้วางใจขึ้นมากระทันหัน...นี่มันจะมาไม้ไหนอีกล่ะเนี่ย...


"นายจะจ้องจนตาถลนเขาก็ไม่หันมารู้ตัวหรอกน่า" เจ้าคนทะเล้นทำเป็นกระซิบกระซาบ


"กล้าๆหน่อยสิคิล ทักนิดทักหน่อย ดอกพิกุลไม่ร่วงหรอก"


ดวงตาสีม่วงถลึงมองเพื่อนตัวแสบ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อร่างเพรียวของหัวขโมยหนุ่มน้อยวิ่งปร๋อไปเกาะโต๊ะที่เจ้าหญิงคนงามนั่งทำรายงานอยู่พลางก้มหน้าลงซุบซิบอะไรบางอย่างแล้วพยักเพยิดมาทางเขา


คิลเบิกตาโต ก่อนจะรีบตรงเข้าไปดึงเพื่อนรักออกมา


"นายไปพูดอะไรกับเรนอน"


เจ้าหัวขโมยตัวยุ่งหัวเราะเอิ้กอ้าก "ก็ฉันไปนัดสาวให้นายไงวะคิล ขืนมัวนั่งรอนายพูด ชาติหน้าคงไม่ได้ความอะไรสักอย่าง"


นักฆ่าแห่งซาเรสแทบอยากเขกกะโหลกเพื่อนซี้ คิ้วเข้มขมวดมุ่นขณะเอ่ยปากเรียบๆขัดเสียงหัวเราะกวนประสาทของเจ้าตัวแสบประจำป้อมนั่น


"มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด"


ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองหน้าเพื่อนรัก ก่อนจะขมวดคิ้วบ้าง หากแววตาเต็มไปด้วยรอยขบขันแกมล้อเลียนที่ชวนให้นักฆ่าหน้าแดงขึ้นมาเอาดื้อ ๆ


"งั้นมันเป็นแบบไหนกันล่ะ ไอ้ที่นายคิดน่ะ ช่วยบอกมาให้ฉันหายข้องใจหน่อยสิ"


สีหน้าวุ่นวายใจกับมือที่ยกขึ้นเกาหัวแกรกๆ ทำให้คนมองยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก เมื่อสุดท้ายเจ้าเพื่อนนักฆ่าก็ยักไหล่พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างหมดปัญญาอธิบาย



"ฉันก็ไม่รู้"













ภาพตาคิล ฝีมือท่านตาล (Zeda)



โอ้...น่ารักเหลือหลาย คิลจ๋า.... ภาพนี้คิลเข้มมาก ย้ำนะเจ้าคะว่าตาคิลในฟิค Little Killer นี้สิบเจ็ดจะสิบแปด กำลังอยู่ปี 3 เป็นหนุ่มกะลังน่ากินเลยเชียว -_,-


ภาพนี้มีชื่อว่า When Killer’s vacant หรือ เมื่อนักฆ่าเหม่อลอย


ขอบพระคุณท่านตาลมากๆ นะเจ้าคะ ที่มีเมตตาวาด ดัดแปลงแล้วลงสีให้ ^^


เห็นว่าตอนนี้ท่านกำลังพยายามสร้างลัทธิคิลเฟริน ขอให้สมปรารถนาโดยเร็ว เพราะข้าพเจ้ารออ่านอยู่








เห็นภาพนี้แล้ว ใครคิดว่าตาคิลยังเด็กๆ ไร้เดียงสา เป็นนักฆ่าปัญญาอ่อน ลืมไปซะให้เกลี้ยงเลยเชียว เพราะคิลในฟิค Little Killer ของข้าพเจ้ากับท่านบลูนี้เน้นความเท่ห์และเร้าใจของคิลอย่างแรง!




 

Create Date : 16 มกราคม 2549    
Last Update : 17 มกราคม 2549 1:21:55 น.
Counter : 392 Pageviews.  


vana-chan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add vana-chan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.