Baramos Maniac
Group Blog
 
All Blogs
 

Someday someone will come โดย VANA



Someday someone will come


VANA





“Someday my prince will come

Someday I find my love

And how thrilling that moment will be

When the prince of my dream comes to me…”




หมู่ดาวส่องประกายระยิบระยับราวเกล็ดเพชรโรยเกลื่อนท้องนภาสีนิล ทางช้างเผือกพาดผ่านจากขอบฟ้าฟากหนึ่งไปจรดอีกฟากหนึ่งเป็นสะพานสีขาวของดวงดาวนับล้านที่มารวมกัน แสงสว่างวิบวับเหล่านั้นกำลังกระพริบพรายคล้ายจะสนทนาด้วยรหัสอันมิมีผู้ใดรู้แจ้ง


ราตรีเงียบงัน หริ่งหรีดเรไรร้องระงมเป็นดนตรีประกอบฉากเช่นทุกค่ำคืน หากเสียงไพเราะที่ลอยมาตามสายลมยามดึกสงัดกลับเป็นสิ่งเดียวที่แปลกออกไป


ดวงดาวพราวฟ้างดงามจับใจ ท่วงทำนองอ่อนหวานจึงรินหลั่งออกมาไม่ขาดสายจากคนที่ยืนอยู่ในเงามืดของเชิงเทินป้อม รัตติกาลแสนงามที่เหมือนจะมีเธอครอบครองแต่เพียงผู้เดียวในยามนี้ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งใจจนเผลอขับขานบทเพลงเก่าแก่ที่เคยร้องเล่นเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย


ในห้วงอารมณ์อ่อนหวาน ร่างสูงของเด็กชายผมเงินแวบเข้ามาในห้วงคิด ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งที่สวยงามหากแสนเย็นชา เธอรู้ดีว่าลึกลงไปในรอยเย็นชานั้นมีความอบอุ่นแฝงอยู่ เช่นเดียวกับความใจดีที่มีให้เธอในฐานะญาติสนิทเสมอมาและคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น...อย่างที่เธอแอบหวังอยากให้เป็นมาแต่เยาว์วัย


...ความหวังที่ไม่มีวันเป็นไปได้ ในเมื่อบัดนี้ดวงตาคู่นั้นไม่มีที่ว่างเหลือให้ใครอีก แววอ่อนโยนรักใคร่ที่เขาไม่เคยมอบให้ใครมาก่อนสะท้อนออกมาแจ่มชัด


...พร้อมกับเงาของหญิงสาวผมสีน้ำตาลคนนั้น...เฟลิโอน่า เกรเดเวล...


เสียงเพลงขาดหาย ร่างบางในเงามืดทอดถอนใจแผ่วเบา



...สักวันหนึ่งน่ะหรือ จะมีวันนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าชายองค์นั้นไม่เคยมีเธออยู่ในสายตา...



ริมฝีปากสีกุหลาบเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเหมือนจะเยาะตนเอง ดวงตาสีม่วงสวยแหงนเงยขึ้นมองท้องฟ้าพร่างดาว ละไอน้ำค้างเย็นจัดหยาดตัวตกต้องใบหน้า


น้ำอุ่นหยดหนึ่งไหลปะปนลงมา



น้ำตาเธอ...หรือว่า...น้ำตาดาว...





..................................................






นักฆ่าแห่งซาเรสกำลังแอบปีนหอเพื่อกลับขึ้นห้องตัวเอง


งานวันนี้ทำเอาเสียเวลามากเป็นพิเศษ ไอ้เศรษฐีหมูตอนในโพยสั่งฆ่านั่นก็ช่างมีชั้นไขมันหนาจนเขาต้องทะลวงซ้ำเสียสองรอบ ทำเอารูโหว่ตรงหน้าอกไม่เรียบร้อยจนเขานึกอยากเขย่าคอให้มันฟื้นขึ้นมา เผื่อจะได้ฆ่าใหม่อีกรอบให้ศพมันสวยๆหน่อย


เด็กหนุ่มนึกอย่างหงุดหงิดขณะที่มือเหนี่ยวแง่หินที่ก่อเป็นกำแพงป้อมแล้วยันตัวขึ้นไป


นี่ถ้าพ่อรู้เข้าคงโดนด่าตาย...ในฐานทำเสียชื่อตระกูลฟีลมัส...


เสียงหวานใสล่องลอยมาตามลม มันดังอยู่ใกล้จนเด็กหนุ่มนึกแปลกใจ



...ผู้หญิงที่ไหนมาร้องเพลงกลางดึกกลางดื่น เวลาที่ชาวบ้านเขาเข้านอนกันหมดแล้ว



...หรือจะเป็น...ผี!



ความคิดที่แวบเข้ามาทำให้อดขำไม่ได้ ถ้าเป็นเฟรินมันได้ยินเสียงเพลงลอยลมมากลางดึก คงเผ่นพรวดไปนอนคลุมโปงแทบไม่ทัน


นักฆ่าเริ่มนึกสนุกขึ้นมา ในเมื่อเสียงนั่นมันดังมาจากข้างบนหัวเขา จะลองแวะไปดูหน่อยก็ไม่เสียหลาย


ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เขารู้ว่าผีมีจริง แต่สำหรับอาชีพเขาที่ทำให้คนกลายเป็นผีมานักต่อนัก จะกลัวไปก็ใช่ที่


ร่างเพรียวของเด็กหนุ่มผมดำปีนต่อไปยังทิศทางที่มาของเสียงเพลง จนใกล้จะถึงเชิงเทินป้อม จู่ๆ เสียงนั้นก็เงียบหายไป แทนที่ด้วยเสียงทอดถอนใจเศร้าสร้อย



....เอ...ผีตายแล้ว ตายเท่ากับไม่หายใจ แล้วทำไมผียังถอนใจได้อีก...



ดวงตาคมกริบแลกวาดไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง หวังว่าคงไม่มีผู้คุมกฎคนไหนเดินยามผ่านมาตอนนี้ ก่อนที่สายตาเขาจะไปปะทะเข้ากับร่างบางที่ยืนแฝงอยู่ในเงามืดของเชิงเทินป้อม ต้นเสียงถอนใจที่เขาได้ยินเมื่อครู่



เรนอน ธีน็อท เดอะปรินเซส ออฟคาโนวาล!



...ว่าแต่เจ้าหญิงนี่มายืนทำอะไรอยู่แถวนี้ล่ะนั่น....



ดวงหน้าสวยแหงนเงยมองท้องฟ้า หมู่ดาวสาดแสงอ่อนจางลงมา หยาดน้ำวาวใสสะท้อนพรายยู่ในดวงตาสีม่วง ภาพนั้นทำให้คนที่กำลังจะเอ่ยทักเงียบงัน


เด็กหนุ่มเปลี่ยนใจปีนกลับลงไปทางเดิม สายลมหอบเอาเสียงทอดถอนที่ดังขึ้นอีกครามาเข้าหู ก่อนเสียงฝีเท้าเบาหวิวจะเดินกลับเข้าไปในตัวป้อม


นักฆ่าหย่อนตัวลงจากขอบหน้าต่างห้อง เพื่อนสนิททั้งสองนอนหลับไปนานแล้ว คนเพิ่งกลับมาถึงจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวบ้าง



ในห้วงฝัน เขาเห็นดวงดาวร้องไห้ น้ำตาหยดร่วงรายลงบนอุ้งมือ


เด็กหนุ่มได้แต่รู้สึกเสียใจ เขาช่วยปลอบโยนให้ไม่ได้


เพราะดวงดาวอยู่ไกล...ไกลเกินไป...จนเอื้อมไม่ถึง...






.............................................................






“ลูคัส...ลูคัส...”


เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากทางเบื้องหลังทำให้ผู้วิเศษแห่งทริสทอร์ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันได แล้วเหลียวกลับไปมอง


ร่างสูงกำยำของเพื่อนร่วมชั้นปี มาริอุส อาร์คัส เดอะวอริเออร์ ออฟโรมัน วิ่งตึงตังเข้ามาหา


ดวงหน้าคมเข้มที่ประกอบด้วยคางเหลี่ยมและสันคิ้วหนาทำให้ชายหนุ่มนักรบออกจะดูน่าเกรงขามทีเดียว บวกกับผิวสีทองแดงและรูปร่างบึกบึนล่ำสันที่มีส่วนสูงเกือบสองเมตรก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเหมือนรูปสลักสำริดของเทพแห่งสงคราม เพียงแต่เป็นเทพแห่งสงครามที่ตัวใหญ่ยักษ์และติดจะบื้อๆ ไปสักหน่อย


“ลูคัส...โอย...เจอจนได้ ฉันเที่ยวตามหานายเสียทั่วโรงเรียน นึกว่านายจะออกไปข้างนอกกับลอเรนซ์เสียแล้ว”


นักรบแห่งโรมันหอบแฮ่ก ดวงหน้าคมเข้มมีเหงื่อเกาะพราว นัยน์ตาสีฟ้าจัดของเจ้าตัวดูเหนื่อยอ่อนแกมรอยประหม่าเหมือนจะไม่มั่นใจอย่างไรพิกล ทำให้ซาตานประจำป้อมเอ่ยถามเพื่อนตัวโตด้วยความเอ็นดู


“ลอรี่ออกไปตรวจสอบข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่หอสมุดบารามอสให้อาจารย์ชามัล กว่าจะกลับก็วันมะรืน นายมีธุระอะไรกับลอรี่ล่ะ”


“เปล่าๆ มีธุระกับนายนั่นแหละ”


เลือดฉีดขึ้นซับโหนกแก้มสีทองแดงของนักรบหนุ่มจนเป็นสีเข้มจัดขึ้นมาชั่วแวบ เมื่อเจ้าตัวหยิบช่อดอกไม้สีหวานน่ารักที่ถือซ่อนไว้ข้างหลังตั้งแต่แรกออกมาอย่างเขินๆ


“อย่าบอกนะว่านายจะเอาดอกไม้นั่นมาให้ฉัน แมรี่”


ประโยคนั้นไม่เบานัก บวกกับภาพชายหนุ่มร่างใหญ่สองคนที่ยืนประจันหน้ากันริมบันไดพร้อมช่อดอกไม้ในมือฝ่ายหนึ่งทำให้กลุ่มหญิงสาวจากหออื่นที่เดินผ่านมาทางนี้พอดีพากันเหลียวขวับมามองชายหนุ่มรูปหล่อ ตัวโตเป็นยักษ์ปักหลั่นผู้เป็นเจ้าของชื่อน่าเอ็นดูนั่นอย่างพร้อมเพรียง


พวกเจ้าหล่อนป้องปากซุบซิบกันพลางหัวเราะคิกคัก ปฏิกิริยานั้นทำเอานักรบหนุ่มผู้ถือดอกไม้ชนวนแห่งความเข้าใจผิดได้แต่หน้าแดงแล้วแดงอีก ขณะที่ซาตานตัวต้นเหตุกลับยิ้มน้อยๆ เหมือนไม่รู้ไม่ชี้กับระเบิดที่เพิ่งวางไว้และประสบผลสำเร็จไปเรียบร้อย


“ไม่ใช่โว้ย! ใครเขาจะเอามาให้นายเล่า! แล้วก็ขอทีเหอะ ฉันชื่อมาริอุส เมื่อไหร่นายจะเลิกเรียกฉันด้วยชื่อหวานแหววนั่นเสียที”


มาริอุสหรือแมรี่ได้แต่เค้นเสียงลอดไรฟันออกมา ดวงหน้าคมเข้มกลายเป็นสีแดงสุกปลั่ง


“ก็ดูเหมาะกับนายดีออกนี่นา หรือไม่จริง” ซาตานประจำป้อมแย้มรอยยิ้มก่อนจะถามไปตรงๆ


“แล้วตกลงนายมีธุระอะไรกับฉัน แมรี่”





......................................................





ผู้วิเศษแห่งทริสทอร์เดินถือดอกไม้ช่อสวยมาตามระเบียงป้อมที่มุ่งไปยังห้องนั่งเล่นของชั้นปีสาม หากระหว่างทางก็สวนกับนักฆ่าแห่งซาเรสเข้าเสียก่อน


“อ้อ...คิลลี่ เจอเธอพอดี ฉันฝากดอกไม้ไปให้เพื่อนเธอหน่อยสิ”


เด็กหนุ่มผมดำรับดอกไม้ช่อนั้นมาก่อนจะถาม


“ให้ใครครับ”


“เรนอน ธีน็อท”


พูดจบซาตานประจำป้อมก็เดินลอยชายจากไป ทิ้งให้คิลมองตาค้างพลางคิดอยู่ในใจ....นี่ผู้คุ้มกฎลูคัสสนใจเจ้าหญิงคนงามแห่งป้อมอัศวินกับเขาด้วยหรือนี่...


นักฆ่ายังงงๆอยู่เมื่อเปิดประตูห้องนั่งเล่นเข้าไป เฟรินที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเพื่อนซี้ถือดอกไม้ก็รีบปรี่เข้าไปตบไหล่ทักดังอั้ก....ให้คนโดนซัดเข้าไปครางอ๋อย พลางหันมามองคนทำอย่างแค้นๆ



....ใครบอกว่ามันเป็นผู้หญิงวะ มือหนักอย่างกับช้างถีบ...เส้นลายมือมันต้องขาดแหงๆ....



“นี่แกไปเอาดอกไม้มาจากไหนวะ คิล เพิ่งตาสว่างรึไงว่าจะจีบสาวน่ะมันต้องใช้มุกนี้ แล้วนี่กะจะให้เรนอนล่ะสิ ได้เลยเพื่อนฝูง...เดี๋ยวฉันช่วยเป็นกามเทพให้เอง!”


ไอ้เจ้าหญิงจอมพูดมากฉกดอกไม้ไปจากมือเขา แล้ววิ่งโร่ไปทางที่สามสาวนางฟ้านั่งอยู่โดยไม่รอฟังคำตอบสักนิด ทำเอาคิลใจหายวาบ...ก็ไอ้ดอกไม้นั่นมันใช่ของเขาซะที่ไหน....


ท่าทีที่ก้มลงซุบซิบพร้อมชี้ไม้ชี้มือมาทางเขาเรียกรอยแปลกใจปนเขินๆขึ้นมาบนดวงหน้าสวยหวานของเจ้าหญิงแห่งคาโนวาล ด้วยความกลัวว่าหัวขโมยจะเผาอะไรให้เจ้าหล่อนเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ คิลจึงรีบวิ่งเข้าไปบอก


“ไม่ใช่โว้ย เฟริน แกเข้าใจผิด”


คำพูดโพล่งที่ดังพอสมควรทำให้คนที่ตั้งตัวเป็นกามเทพอ้าปากค้าง เจ้าหญิงคนงามทำหน้าเก้อพลางรีบวางดอกไม้ช่อนั้นลงบนโต๊ะทันที


“เข้าใจผิด! แกหมายความว่ายังไงวะ อย่าบอกนะว่าแกกะจะเอามาให้แองจี้หรือมาทิลด้า”


ประโยคท้ายทำให้อีกสองสาวที่เหลือหันขวับมามอง ดวงตาสีมรกตของเจ้าแม่แห่งอเมซอนมีรอยขุ่นเคือง ขณะที่ดวงหน้าขาวน่ารักของแม่มดแห่งวิชท์ซับสีระเรื่อน้อยๆ


ยิ่งปล่อยให้เฟรินมันพูด ก็เหมือนจะลากความเดือดร้อนเข้าตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ นักฆ่าจึงเอ่ยแกมหงุดหงิด


“ก็ให้เรนอนนั่นแหละ”


ดวงตาสีม่วงสวยเงยขึ้นมองคนเอาดอกไม้มาให้ เฟรินจึงผิวปากล้อเลียน


“แต่...ฉันแค่รับฝากมาให้...”


นักฆ่าเกาหัวแกรกๆ เมื่อเห็นสายตาสงสัยของเจ้าหญิงตรงหน้า แล้วเท้าหนักๆ ของหัวขโมยก็พลันกระทืบลงบนเท้าเขาพร้อมสายตาปรามที่ส่งมา....ซึ่งถ้าแปล มันก็คงจะได้ความว่า...ไอ้งี่เง่า! แกจะเสือกบอกเขาไปหาอะไร...


คิลได้แต่แยกเขี้ยวตอบเพื่อนซี้ก่อนจะหันมาเฉลยว่า



“คนฝากดอกไม้มาให้น่ะ พี่ลูคัสต่างหาก”





.....................................................






ซาตานประจำป้อมได้แต่เดินไปเดินมาอย่างเบื่อๆ พอลอรี่ไม่อยู่ เขาก็ไม่รู้จะไปทำอะไรดี...จะมีอะไรสนุกๆ ให้ทำฆ่าเวลาจนกว่าลอรี่จะกลับได้บ้างหนอ....


เมื่อวานยังดีที่มีนักรบแห่งโรมันเพื่อนร่วมชั้นปีมาให้แหย่เล่น ไม่น่าเชื่อว่าแมรี่ที่วันๆ ดีแต่จับดาบ ไม่เคยสนใจผู้หญิงจะตกหลุมรักสาวน้อยคนสวยแห่งป้อมอัศวิน จนถึงกับบากหน้ามาขอให้เขาที่ค่อนข้างสนิทกับเจ้าพวกรุ่นน้องปีสามช่วยเอาดอกไม้ไปส่งให้สาว


ชายหนุ่มผมดำยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกไปถึงบทสนทนาเมื่อวันวาน



“แล้วทำไมไม่เอาไปให้เรนอนเองล่ะ แมรี่”


“ฉัน..เอ่อ...คือว่า....”


นักรบหนุ่มตัวโตทึ้งใบไม้ในกระถางที่อยู่แถวนั้นจนร่วงเกลื่อนพื้น ดวงหน้าคมเข้มเป็นสีแดงจัด


“คือว่า...ฉัน...ฉัน....ฉันไม่กล้าน่ะ”


คำตอบหลุดออกมาได้พร้อมกับใบไม้ที่ถูกเด็ดจนเกลี้ยงต้น กิ่งก้านโกร๋นยืนอยู่อย่างน่าเวทนา มือใหญ่ทำท่าจะหักกิ่งไม้ซ้ำเพื่อบรรเทาอาการเขินอายที่จู่โจมเข้ามาอย่ารวดเร็ว


“ฝากนายเอาไปให้...ได้ไหม เอาไปให้อย่าเดียวก็ได้ ฉันเขียน...อ่า...จดหมายรักใส่ไว้ในนี้แล้ว...”


ชายหนุ่มยกดอกไม้แกว่งไกวไปมาประกอบคำอธิบายอย่างตะกุกตะกัก จนลูคัสนึกเสียวๆ ว่าเจ้าดอกไม้ช่อนั้นจะทนทานแรงมือของนักรบตัวโตไม่ไหว




สุดท้ายเขาก็รับปากว่าจะเอาดอกไม้มาให้แม่สาวน้อย แลกกับการที่มาริอุสจะยอมเปลี่ยนเวรกะดึกที่ถูกจับคู่กับลอเรนซ์ในช่วงสองอาทิตย์ถัดไปกับเขา เพื่อว่าเขาจะได้ถือโอกาสนั่งจิบชาใต้แสงจันทร์กับนักบวชคู่หูโดยที่ฝ่ายนั้นบ่นไม่ได้


ร่างสูงเดินมาทะลุออกลานตะวันที่มีคนนั่งกันอยู่ประปราย โต๊ะที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นโต๊ะของกลุ่มเด็กปีสาม แว่วเสียงห้าวๆของเจ้าหนูหัวขโมยดังมาจากกลางวง


“ไม่น่าเชื่อเลยว่ะว่าจะเป็นพี่ลูคัส ไอ้คิล แกไม่ได้หลอกฉันจริงๆใช่ไหมนี่”


“ฉันจะหลอกนายทำไม ก็พี่ลูคัสเป็นคนฝากมาให้กับมือ”


นักฆ่าตอบอย่างหน่ายๆ หากประโยคถัดมาของหัวขโมยเรียกสีเลือดขึ้นซับบนดวงหน้าขาวได้ทันใจ


“แล้วนายก็เลยต้องเป็นพ่อสื่อให้ศัตรูหัวใจ อย่างกับพี่ลูคัสแกรู้...”


“ฉันรู้อะไรเหรอ เฟรี่”


เสียงทุ้มนุ่มที่ดังมาจากทางเบื้องหลังทำให้หัวขโมยชะงักค้าง พร้อมๆกับนักฆ่าที่ไม่ทันได้แก้ความเข้าใจผิด


ดวงตาสีนิลใต้แว่นกรอบทองของซาตานประจำป้อมมีแววใจดี หากประกายตานั้นเหมือนจะคาดคั้น ให้หัวขโมยกลืนน้ำลายดังเอื้อก....


“ก็...ง่า...รู้ว่า...คิลมันชอบเรนอนเหมือนกันน่ะครับ”


“เฮ้ย...ฉันเปล่า!”


คิลปฏิเสธเสียงหลง ขณะที่หัวขโมยจุ๊ปากพลางส่ายหน้าดิก


“แหม...ดูสิฮะพี่ลูคัส คิลมันไม่ยอมรับความจริงสักที ไม่เชื่อสายตาของท่านเฟรินคนนี้หรือยังไง ฉันบอกว่าแกชอบเจ้าหล่อน แกก็ต้องชอบสิ”


นักฆ่าได้แต่อ้าปากค้างกับเหตุผลพิลึกของเพื่อนซี้ ซาตานประจำป้อมจึงหัวเราะหึหึในลำคออย่างอารมณ์ดีเมื่อเริ่มเดาเหตุการณ์ได้รางๆ


“ว่าแต่พี่ลูคัสนี่ตาแหลมนะฮะ เลือกจีบสาวงามประจำป้อมเสียด้วย เรนอนน่ะทั้งอ่อนหวาน ทั้งน่ารัก...”


คราวนี้หัวขโมยชักแปรพักตร์มาเข้าฝ่ายรุ่นพี่ตรงหน้า ลูคัสเลยถามออกไปยิ้มๆ


“ทำไมถึงคิดว่าฉันสนใจเรนอนล่ะ เฟรี่”


“โธ่...พวกผมรู้กันทั้งชั้นปีแล้วฮะว่าพี่เป็นคนฝากดอกไม้มาให้เจ้าหล่อน ไม่ต้องปิดบังหรอก แต่แหม...ฝากดอกไม้มาทั้งทีน่าจะมีพวกจดหมงจดหมายอะไรแนบมามั่งนะฮะ ถ้าไอ้คิลมันเกิดอุบเงียบแล้วสวมรอยว่าตัวเองให้แทน พี่จะทำยังไงเนี่ย”


นักฆ่าเหลือบมองเพื่อนซี้ที่มันกำลังทำท่าจะหาเหามาใส่หัว...และหัวนั่นก็ดันเป็นหัวเขาเสียด้วย หากคำตอบของรุ่นน้องทำให้ลูคัสถึงแก่บางอ้อ



...สงสัยเพื่อนนักรบที่ฝากดอกไม้มาจะทำไอ้จดหมายรักที่ว่าตกไปที่ไหนสักที่ หรือไม่ก็บื้อพอที่จะลืมเอาใส่ไว้ เด็กพวกนี้เลยเข้าใจว่าเขาเป็นคนให้ดอกไม้แม่สาวน้อยนั่น....



แล้วคนที่เขาฝากดอกไม้ต่อไปอีกทอดก็ดันเป็นเจ้าหนูนักฆ่าที่อาจจะชอบเจ้าหล่อนอยู่เสียอีก...




ดวงตาคู่เข้มเบื้องหลังแว่นกรอบทองมีรอยสนุกฉายระริกอยู่ข้างใน จนนักฆ่าที่หันไปเห็นโดยบังเอิญนึกหนักใจขึ้นมา



ถ้าให้เลือกได้ เขาไม่อยากตอแยกับผู้คุ้มกฎคนนี้เอาเสียเลยจริงๆ





.........................................................






“เรนนี่”



ซาตานประจำป้อมโผล่หน้าเข้ามาในห้องครัวรวมที่ร่างบางของสาวน้อยคนงามกำลังวุ่นวายอยู่หน้าเตาอบ กลิ่นหอมกรุ่นของขนมโชยตลบอบอวลไปทั่วห้อง ชายหนุ่มถือโอกาสที่ว่างจัดเพราะเพื่อนคู่หูไม่อยู่แวะมาดูสถานการณ์ทางฟากนี้บ้าง ไม่รู้ว่าเรื่องดอกไม้นั่นจะทำให้ทางฝ่ายหญิงมีปฏิกิริยาอย่างไร


เจ้าหญิงแห่งคาโนวาลเงยหน้าขึ้นมองผู้เข้ามาใหม่ ดวงหน้านวลซับสีชมพูระเรื่อจากความร้อนหน้าเตา ทำให้เขาดูไม่ออกว่าเจ้าหล่อนหน้าแดงหรือไม่ หากท่าทีภายนอกที่แสดงให้เห็น มีแค่ความสุภาพและรอยยิ้มน้อยๆ แบบเจ้าหญิงที่ซ่อนอารมณ์ทุกอย่างไว้แนบเนียน


“มีอะไรคะ พี่ลูคัส”


“แค่ตามกลิ่นขนมมาเฉยๆ ว่าแต่ได้รับดอกไม้นั่นแล้วใช่ไหม”


“ค่ะ สวยมาก ขอบคุณนะคะ”


ท่าทีขอบคุณอย่างมีมารยาทหากไว้ตัว ดวงตาสีม่วงที่เงยขึ้นสบก่อนจะเสไปมองทางอื่นนั้นทำให้ซาตานหนุ่มรู้สึกคุ้นเคยชอบกล ก่อนจะคิดออกว่ามันก็คือแววตาแบบเดียวกับตัวเขาเองยามแย้มรอยยิ้มฉาบอำพรางความรู้สึกไว้


ลูคัสหรี่ตาลงมองเจ้าหญิงตรงหน้าอย่างครุ่นคิด



...พวกเดียวกัน...



...แม่สาวน้อยนี่สวมหน้ากากไว้แนบเนียน แต่แววตาฉลาดของเจ้าหล่อนบอกว่ารู้ทันเกมไม่เบา อย่างน้อยก็ไม่น่าเบื่อ....



ดวงตาสีนิลที่เริ่มวาววับซ่อนแผนการบางอย่างที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ เสียงทุ้มนุ่มนวลจึงเอ่ยออกไปด้วยประโยคซึ่งทำให้คนฟังหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา


“ถ้าชอบก็ดีแล้ว คนให้จะได้ดีใจ”



...ไม่ได้บอกนี่นะ ว่าคนให้คนไหน...



ผู้วิเศษแห่งแห่งทริสทอร์หัวเราะหึหึอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นอาการเขินอายแบบสาวน้อยที่หลุดมาดเจ้าหญิงในชั่วเสี้ยววินาทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น


เรนอนเมินหลบดวงตาสีนิลที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด ก่อนจะชะงัก เมื่อร่างสูงเดินเข้ามาจนใกล้


“ไหนดูหน่อยสิ ทำขนมอะไร เดี๋ยวฉันช่วย”





.........................................................





นักฆ่าแห่งซาเรสกำลังรู้สึกกังวลใจ


สาเหตุอาการกังวลใจก็คือจดหมายที่เขาเพิ่งนึกออกกระทันหัน...จดหมายที่หล่นมาจากช่อดอกไม้ เขาจึงเก็บเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วก็ลืมเสียสนิท จนกระทั่งเฟรินพูดขึ้นมา


จดหมายที่ลืมปิดซองและจ่าหน้า จนเขาต้องเสียมารยาทละลาบละล้วงเปิดออกอ่าน


จดหมายที่เขานึกว่าเป็นของผู้คุมกฎลูคัส แต่ไม่ใช่


เนื้อความในจดหมายและชื่อของคนเขียนที่ลงท้ายทำให้คิลเพิ่งรู้ตัวว่าได้สร้างความเข้าใจผิดเรื่องดอกไม้ช่อนั้น เขาจึงตัดสินใจจะเอาจดหมายฉบับนี้ไปให้เจ้าหญิงแห่งคาโนวาลด้วยตนเอง


หากภาพที่เห็นจากทางประตูที่แง้มไว้ทำให้เขาได้แต่ยืนอึ้ง


เจ้าหญิงคนงามหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับซาตานประจำป้อม มือใหญ่ของชายหนุ่มกำลังบีบครีมสีขาวตกแต่งเค้กก้อนโตอย่างประณีตบรรจง ขณะที่สาวน้อยสาละวนหั่นผลไม้สดและผลไม้เชื่อมเพื่อประดับหน้าให้ เสียงหวานใสคุยจ้ออย่างเพลิดเพลินเรื่องสูตรขนม โดยมีซาตานหนุ่มให้คำแนะนำอย่างอารมณ์ดี


ทันใดนั้น คนที่กำลังใช้มีดหั่นผลไม้ก็อุทานขึ้นเบาๆ


คมมีดเฉือนเข้าไปในเนื้อจนได้เลือด แผลคงจะลึกเอาการจนสาวน้อยนิ่วหน้า มือบางกดแผลเอาไว้แน่น


ผู้วิเศษแห่งทริสทอร์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ คว้ามือมาดู หยดเลือดซึมออกมาจนมองไม่เห็นปากแผล ชายหนุ่มจึงก้มลงดูดเลือดที่ปลายนิ้วให้ก่อนจะร่ายมนตร์รักษาเบื้องต้น


สัมผัสอบอุ่นหากชวนวาบหวามทำให้สาวน้อยใจสั่นขึ้นมากระทันหัน ดวงตาสีนิลที่เงยขึ้นมองในระยะใกล้เหมือนจะดึงดูดเข้าไปจนดวงหน้าร้อนผ่าว


สาวน้อยรีบตั้งสติพลางดึงมือออกจากการเกาะกุมอย่างสุภาพ พร้อมกับขอตัวไปทำแผลที่ห้องพยาบาล


ร่างบางที่เดินรีบร้อนออกไปทั้งๆ ที่หน้าสวยยังแดงก่ำทำให้ซาตานประจำป้อมแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ตามหลัง หากเงาของใครบางคนกลับปรากฏตัวขึ้นที่ประตูเสียก่อน


ดวงตาสีม่วงคมของเด็กหนุ่มผมดำมีแววสงสัยแม้ว่าท่าทีนั้นจะเรื่อยเฉื่อยเหมือนไม่ใส่ใจ ขณะที่ซาตานประจำป้อมยังคงยิ้มแย้ม และดวงตาสีเข้มหลังแว่นตาก็ฉายแววสนุกสนานอย่างปิดไม่มิด


“ว่าไง คิลลี่”


“พี่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”


คิลตัดสินใจถามตรงๆ หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วว่าวิธีนี้น่าจะได้เรื่องเร็วที่สุด การจะหลอกล่อถามซาตานประจำป้อมเป็นเรื่องที่ไม่น่าเสี่ยง ลูคัสเลิกคิ้วก่อนจะตอบอย่างอารมณ์ดี


“ก็อย่างที่เธอเห็น...”


“ผมรู้เรื่องหมดแล้ว”


จดหมายในกระเป๋าเสื้อที่เจ้าตัวยัดไว้ลวกๆ ทำให้ดวงตาสีนิลเหลือบมามองก่อนจะหรี่ลงเล็กน้อย


“จุ๊ๆ เปิดจดหมายคนอื่นออกอ่านไม่ดีนะคิลลี่ ว่าแต่ทำไมถึงมาอยู่ที่เธอได้ล่ะ ฉันนึกว่ามันหล่นหายไปไหน หรือเจ้าของลืมใส่ไว้เสียอีก เอ...หรือจริงๆแล้วเธอตั้งใจไม่ให้เด็กคนนั้นรู้ว่าใครเป็นคนให้อย่างที่เฟรี่บอกกันนะ”


“ไม่ใช่!”


คิลหน้าแดงก่ำ ขณะกำลังจะอ้าปากจะปฏิเสธ มือใหญ่ของซาตานประจำป้อมก็ฉวยจดหมายฉบับนั้นไปจากกระเป๋าเสื้อเสียก่อน


“งั้นเดี๋ยวฉันจะเอาจดหมายนี่ไปคืนเจ้าของเองก็แล้วกัน แล้วเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วง “เพื่อน” หรอกนะ รับรองฉันจะดูแลอย่างดีไม่ให้บุบสลาย สัญญาเลย”


สีหน้ายิ้มๆ ของผู้วิเศษแห่งทริสทอร์ทำให้นักฆ่ารู้สึกหนาวเยือก น้ำลายเหมือนจะติดคอขึ้นมากระทันหัน



ตกลงมันเป็นความผิดของเขาเพราะทำให้เจ้าหล่อนเข้าใจว่ารุ่นพี่ลูคัสเป็นเจ้าของดอกไม้ช่อนั้น


หรือว่าผิดที่เขาดันไปกระตุ้นต่อมอยากแกล้งคนของซาตานขึ้นมากันแน่...






.........................................................





เจ้าหญิงคนงามนั่งอยู่เพียงลำพังในห้องนอน เพื่อนสาวทั้งสองยังไม่กลับเข้ามา


มือบางพลิกหน้าหนังสืออย่างใจลอย ตัวอักษรที่เรียงรายไม่เข้าไปในหัวสักนิด เหตุการณ์วันนี้ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว เป็นความรู้สึกที่เธอบอกได้ยากว่าเป็นเพราะอะไร


แน่นอน เรนอนรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนสวย


เธอมีชายหนุ่มเข้ามาให้ความสนใจไม่ได้ขาดตั้งแต่เริ่มรุ่น แม้ว่าหัวใจเธอจะมีญาติผู้พี่อยู่ แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธไมตรีของคนที่เข้ามาหาเสียทีเดียว


ความเป็นคนฉลาดทำให้เธอไม่รานน้ำใจคนที่มาชอบง่ายๆ และความฉลาดก็สอนให้เธอรู้จักใช้ประโยชน์เล็กๆน้อยๆ จากความลุ่มหลงของคนพวกนั้น


เธอมั่นใจว่าเธอจะคุมเกมได้เสมอ


ผู้คุ้มกฎลูคัส รุ่นพี่ที่เธอเพิ่งรู้จักเขาในแง่มุมใหม่ๆ ความสนใจที่ตรงกันทำให้เธอเปิดใจให้เขาอย่างง่ายดายจนตัวเองนึกแปลกใจ


แต่ไม่รู้ว่าทำไม เธอกลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้ชอบเธอแบบผู้ชายอื่นที่เข้ามาใกล้ แววตาสีนิลนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเสียมากกว่า


แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเสน่ห์ความเป็นผู้ชายของรุ่นพี่คนนั้นมีเต็มเปี่ยมจนน่าอันตราย....


สาวน้อยถอนใจ เธอไม่รู้ว่าควรถอยห่างหรือไม่ แต่เธอก็ไม่อยากปฏิเสธใครที่เข้ามาหา


ใครสักคนที่อาจจะเข้ามาแทนที่เจ้าชายในฝันคนนั้น...คนที่ไม่มีวันเป็นของเธอ...


ใครสักคนที่อาจเป็นเจ้าชาย เป็นอัศวิน เป็นผู้วิเศษ เป็นนักบวช หรืออะไรก็ได้...


ขอแค่เป็นคนที่สามารถลบเลือนดวงตาสีฟ้าคู่นั้นไปจากใจ...


ในห้วงคิด...บทเพลงเก่าแก่เหมือนจะกังวานแว่ว...



...Someday my prince will come

Somewhere waiting for me

There’s someone I’m longing to see....




ก๊อกๆ



เสียงเคาะประตูทำลายภวังค์ความคิดของสาวน้อย แองจี้กับมาทิลด้าคงกลับมา เรนอนออกจะแปลกใจว่าทำไมเพื่อนทั้งสองไม่เปิดกุญแจเข้ามาเองเหมือนทุกที


“รอเดี๋ยวค่ะ รอเดี๋ยว”


ร่างบางลุกไปเปิดประตู หากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เพื่อนสาว แต่เป็นคนที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน


คนที่เธอจำได้แม่นยำ คนที่ทะเลาะกับเธอในศึกหมากกระดานเกียรติยศตอนปีหนึ่ง ผู้ชายที่กล้าใช้หมึกเวทมนตร์เขียนหน้าเธอในแผนบุกปราสาทเอดินเบิร์กเมื่อปีที่ผ่านมา


คนที่ให้คำชมพิลึกพิลั่นที่สุดกับเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลคนนี้ว่า...เธอตลกดี!



คิลมัส ฟีลมัส นักฆ่าแห่งซาเรส!





..........................................................





ร่างเพรียวล่ำสันของเด็กหนุ่มผมดำยืนมองคนตรงหน้าพลางเกาหัวแกรกๆ



ตกลงยัยเจ้าหญิงนี่จะเชื่อเขาไหม...



คิลสูดหายใจลึกๆ ดวงตากลมโตสีม่วงที่มองสบนั่นนิ่งสนิทจนเขาอ่านไม่ออก เจ้าหล่อนอำพรางความคิดต่างๆ ไว้ข้างใต้นั้นอย่างแนบเนียน แม้แต่คิ้วเรียวก็ไม่เลิกขึ้นสักนิด


“ยังไงฉันก็เป็นต้นเหตุให้เข้าใจผิดเรื่องดอกไม้นั่นเลยมาบอกให้รู้”


“ขอฉันดูจดหมายฉบับนั้นหน่อยสิคะ"


คิลหมายจะหยิบจดหมายที่ยัดไว้ในกระเป๋า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าซาตานประจำป้อมฉวยไปเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า


“ไม่ได้อยู่ที่ฉันแล้ว พี่ลูคัสเอาไป”


ดวงตากลมโตสีม่วงสวยมองสบนิ่งเหมือนจะใคร่ครวญก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ


“ถ้าอย่างนั้น...ฉันคงยังเชื่อไม่ได้ จนกว่าจะได้ฟังเรื่องจากทั้งสองฝ่าย”


นักฆ่ายักไหล่...เขามาบอกเรื่องทั้งหมดแล้ว ยัยเจ้าหญิงนี่จะไม่เชื่อก็คงช่วยไม่ได้


“ตามใจเธอ”


ไม่ทันที่คิลจะหันกลับไป เสียงหวานใสก็เอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน


“คุณคาโลรู้เรื่องนี้บ้างไหมคะ”


“ยังไม่ได้บอกหรอก เธอจะทำไม”


เสียงลอบถอนใจแผ่วเบากับดวงหน้างามที่สลดลงทำให้คิลเบิกตาโตอย่างนึกอะไรได้ ก่อนจะเผลอพูดโพล่งออกไป


“อย่าบอกนะว่าเธอรู้ความจริงทุกอย่าง แต่ที่จะทำนั่นก็เพื่อให้คาโลมันหึง!”


สีเลือดฉีดขึ้นมาซับผิวขาวจนแดงก่ำ สาวน้อยเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาสีม่วงจ้องมาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ



...ตานี่พูดเหมือนเข้าไปนั่งในใจเธอ เหมือนจะเห็นส่วนแย่ๆที่เธอพยายามซ่อนไว้


เธอรู้ดีว่านักฆ่าแห่งซาเรสไม่ใช่คนที่จะพูดโกหก และเมื่อลองคิดย้อนไปถึงท่าทีของผู้คุมกฎในวันนี้ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้


แต่เธอแค่อยากลองใช้โอกาสที่เป็นใจนี้เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างซึ่งไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องผิด ในเมื่อเธอไม่ได้ทำให้เขากับคนรักทะเลาะกัน


สิ่งที่เธอจะใช้ก็แค่ตัวของเธอและนิสัยชอบแกล้งคนของผู้วิเศษแห่ง ทริสทอร์เท่านั้น


เธอโกรธเพราะเขาพูดแทงใจดำ...ใช่ไหม?




ดวงหน้าสวยร้อนผ่าวด้วยความโกรธแกมละอายใจ แต่คิลเหมือนจะไม่สังเกต และสิ่งที่เขาพูดต่อก็ยิ่งทำให้เธอสติขาดผึง!


“อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า ให้ตายคาโลมันก็ไม่หึงหรอก เธอเองนั่นแหละจะเสียหายซะเปล่าๆ พี่ลูคัสไม่ใช่คนที่จะเล่นด้วยได้รู้ไหม...”



เพียะ!!!



เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังถนัดหู ดวงหน้าคมคายหันไปตามแรงตบ ก่อนที่รอยนิ้วจะปรากฏชัดบนดวงหน้าขาวจัด


ดวงตาสีม่วงสองคู่สบกัน คู่หนึ่งมีรอยโกรธแกมละอายใจ ส่วนอีกคู่มีร่องรอยของความไม่เข้าใจก่อนจะแปรเป็นเย็นชา


ร่างเพรียวของเด็กหนุ่มผมดำเดินผละไปโดยไม่เหลียวกลับมาอีก ทิ้งให้ดวงตาสีม่วงสวยอีกคู่มองตามอย่างเสียใจ หากทิฐิทำให้เธอไม่ยอมเอ่ยปากเรียก


คืนนั้น สิ่งที่ค้างอยู่ในห้วงฝันกลับไม่ใช่ดวงตาสีฟ้าเหมือนเคย แต่เป็นดวงตาสีม่วงของใครอีกคนที่มองเธอเหมือนจะต่อว่า



ในความฝัน..เธอได้แต่พร่ำบอกว่า...ขอโทษ...





....................................................





“แกหมายความว่าพี่ลูคัสจะหลอกเรนอนเหรอ”


“ฉันจะไปตรัสรู้ได้ยังไง”


นักฆ่าที่ตอนนี้มีรอยฝ่ามือห้านิ้วเป็นเครื่องประดับบนดวงหน้าหล่อเหลากระชากเสียงตอบอย่างหงุดหงิด แต่หัวขโมยกลับไม่ใส่ใจ ดวงตาสีน้ำตาลมีรอยครุ่นคิด


เมื่อคิลกลับมาถึงห้อง เพื่อนสนิททั้งสองอ้าปากค้างกับรอยมือบนดวงหน้า ทำให้เขาต้องเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เห็นในห้องครัวและเรื่องจดหมายฉบับนั้นให้คาโลและเฟรินฟัง ส่วนเรื่องยัยเจ้าหญิงงี่เง่านั่นเขาบอกแต่ว่าเธอไม่ยอมเชื่อ แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดมากกว่านั้น



...อาจเป็นเพราะสงสารหรือเห็นใจ เขาก็ไม่รู้ แต่แววเจ็บช้ำที่ปะปนด้วยรอยโกรธแกมเสียใจในดวงตาคู่สวย ทำให้เขาไม่ได้บอกเรื่องที่เป็นชนวนให้เกิดรอยมือบนหน้าเขาออกไป...



“คาโล แกคิดว่าไง” เฟรินเบือนหน้าไปถาม


“ฉันไม่มีความเห็น” เจ้าชายแห่งคาโนวาลที่อ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะตอบกลับมา ทำให้คนรอฟังคำตอบชักหงุดหงิด


“แต่เรนอนเป็นญาติแกนะโว้ย”


“ถึงจะเป็นญาติ แต่เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว”



...เออดี ฟังไร้น้ำใจดี คาโนวาลนี่มันหล่อบล็อกน้ำแข็งกันออกมาทั้งประเทศเลยหรือไงนี่...



หัวขโมยอยากจะกุมขมับในเมื่อคนที่คิดว่าจะพึ่งพาได้กลับไม่สนใจจะยุ่ง ส่วนอีกคน ไอ้เรื่องที่เจอมาวันนี้คงทำให้มันไม่อยากจะยุ่งแล้ว



สงสัยคงต้องหาคนช่วยยุ่ง...





......................................................





“แล้วไง!”


เสียงห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำตอบกลับมา ดวงตาสีอะมีธีสต์ของนักบวชแห่งแอเรียสเพ่งมองรุ่นน้องสามคนตรงหน้า รอยไม่สบอารมณ์แกมรำคาญฉายชัด


ทันทีที่ลอเรนซ์ย่างเท้ากลับมาเอดินเบิร์กได้ไม่ถึงห้านาที รุ่นน้องก็รีบวิ่งมาบอกเรื่องไม่เป็นเรื่องของเพื่อนคู่หูที่เกิดขึ้นระหว่างเขาไม่อยู่สองวันที่ผ่านมาให้ฟัง


คล้ายกับว่าไอ้ซาตานปัญญาอ่อนนั่นมันจะวางแผนอะไรอยู่ แต่เขาไม่อยากจะยุ่งสักเท่าไหร่



...มันจะจีบผู้หญิงก็เรื่องของมัน...ตราบใดที่มันไม่มากวนใจเขาเป็นใช้ได้...



หัวขโมยแห่งบารามอสชักหน้าแหย คนที่คิดว่าจะช่วยปรามพี่ลูคัสได้ก็ดูท่าว่าจะไม่สนใจเอาเสียเลย จะให้พี่ลูคัสเลิกยุ่งกับเรนอนอาจจะง่ายกว่าทำให้พี่ลอเรนซ์เข้าไปช่วยห้ามหรือเปล่าหว่า..


“สรุปไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม ฉันจะได้ไปรายงานตัวกับอาจารย์ชามัล”


ขณะที่ร่างสูงของนักบวชกำลังออกเดินต่อ เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นโปรดพวกเฟรินเสียก่อน


“ลอเรนซ์ ” เสนาธิการฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวิน เจ้าชายโรเวน ฮาเวิร์ดเดินตรงเข้ามาหาผู้คุมกฎผมทอง


“อาจารย์ชามัลออกไปธุระข้างนอก แต่เห็นบอกว่าฝากเรื่องที่จะให้นายเขียนสรุปไว้ที่ลูคัสแล้ว”


นักบวชแห่งแอเรียสพยักหน้ารับเงียบๆ


“เท่านั้นล่ะ ฉันแค่แวะมาบอกเฉยๆ”


ร่างสูงของผู้คุมกฎจอมโหดแห่งป้อมอัศวินเดินดุ่มๆจากไป โดยมีสามสหายวิ่งตามไปข้างหลัง ให้เสนาธิการฝ่ายซ้ายมองตามอย่างสงสัย


“พวกเธอจะตามฉันมาทำไม”


ลอเรนซ์เอ่ยถามอย่างหงุดหงิด เฟรินรีบบอกก่อนที่นักบวชขี้โมโหจะรำคาญพวกลูกลิงที่วิ่งเกาะหลังตามมาจนต้องร่อนมีดใส่


“ก็พี่จะไปหาพี่ลูคัสไม่ใช่เหรอฮะ พวกผมรู้ว่าพี่ลูคัสอยู่ที่ไหนตอนนี้”




......................................................





“ใจลอยอย่างนั้น เดี๋ยวก็มีดบาดอีกหรอก”



เสียงทุ้มของซาตานประจำป้อมเอ่ยเบาๆ ดวงตาสีนิลมองสาวน้อยที่กำลังผ่าฟักทองลูกโตสำหรับทำพายอย่างขำขัน มือบางจรดมีดเป็นนานสองนานแล้วก็ยังไม่ได้ฤกษ์หั่นเสียที


วันนี้เจ้าหญิงแห่งคาโนวาลนัดผู้วิเศษแห่งทริสทอร์มาทำขนมด้วยกันอีก เขาเห็นว่ายังไงก็ว่างอยู่แล้วเลยหาเรื่องทำอะไรฆ่าเวลา เผื่อจะได้ขนมน้ำชาไปฝากลอรี่ที่จะกลับมาตอนเย็น แต่แม่สาวน้อยกลับเหม่อลอยไปไกลจนเขาเอ่ยทัก ดวงตาคู่สวยจึงกะพริบปริบอย่างงุนงง


“ตายจริง...ขอโทษค่ะ”


คนที่เพิ่งรู้สึกตัวรีบกดคมมีดลงบนเปลือกฟักทอง อารามรีบร้อนทำให้จับไม่แน่นจนผลฟักทองลื่นหลุดกระเด็นจากมือ คมมีดจึงพลาดลงมาอย่างแรง สาวน้อยหลับตาปี๋



...ได้โดนบาดอีกรอบแน่ๆ ซุ่มซ่ามจริงเรา...



สัมผัสหนักหน่วงที่ยึดข้อมือข้างที่ถือมีด และตะครุบบนหลังมืออีกข้างที่กำลังจะโดนบาดทำให้เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะพบว่าคนโดนมีดบาดคราวนี้ไม่ใช่เธอ แต่เป็นผู้วิเศษแห่งทริสทอร์ที่ช่วยกันไว้


คมมีดกรีดลงบนหลังมือใหญ่จนเป็นแผลยาวลึก แม้ว่ามืออีกข้างของชายหนุ่มจะรั้งข้อมือที่ถือมีดไว้ไม่ให้ถลำลงมาเต็มที่ แต่ก็ยังไม่ทัน


ดวงตาสีม่วงสวยเบิกกว้าง เธอรีบคว้าผ้ามาห้ามเลือดก่อนจะร่ายมนตร์รักษามือไม้สั่น เลือดทะลักออกมามาพอดู แต่คนโดนบาดเหมือนจะทำท่าว่าไม่เป็นไร เวทมนตร์ปิดปากแผลได้บางส่วนแต่ก็ยังมีเลือดไหลซึมออกมาอยู่ดี


“พี่ลูคัส ไปห้องพยาบาลเถอะค่ะ”


หน้าสวยชักซีดลง เมื่อเห็นว่าเลือดไม่ยอมหยุดไหล ซาตานประจำป้อมยิ้มน้อยๆ ก่อนที่ดวงตาสีนิลหลังแว่นกรอบทองจะปรากฏรอยนึกสนุก ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะโน้มลงไปกระซิบริมหู


“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง หรือเธอเป็นห่วง”


เสียงทุ้มนุ่มและลมหายใจอุ่นๆ ที่คลอเคลียทำให้สาวน้อยสะดุ้งนิดๆ ดวงตาสีม่วงสวยเงยขึ้นสบดวงตาสีนิลในระยะใกล้เหมือนจะถูกดึงดูดเข้าไปจนเธอไม่อาจละสายตาได้ ดวงหน้าสวยจึงเริ่มซับสีระเรื่อ


“ได้ยินว่าจุมพิตของเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้นี่นะ”


น้ำเสียงอ่อนหวานนั้นราวกับสะกดให้หัวใจเต้นรัว สมองเธอเตือนว่า...ผู้ชายคนนี้..อันตราย...แต่อะไรบางอย่างในดวงตาคู่คมที่จ้องแน่วนิ่งทำให้เรี่ยวแรงหดหายจนไม่อาจขยับหนี


“จะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะขอพิสูจน์”


ดวงหน้าคมคายโน้มเข้ามาทีละน้อยจนเธอสัมผัสถึงไออุ่นที่ชัดเจนขึ้นทุกที...ทุกที...


“เดี๋ยวก่อน!!!”


เสียงห้าวของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่โผล่เข้ามาในห้องทำให้เธอรีบขยับออกห่าง ดวงหน้าหวานละมุนแดงจัด ขณะที่ซาตานหนุ่มกลับยิ้มน้อยๆให้ผู้มาใหม่


“ทำไมหรือ เฟรี่”


“พวกเรารู้เรื่องหมดแล้ว พี่จะหลอกเรนอนต่ออีกทำไม”


“ไม่คิดหรือว่าฉันอาจจะชอบเข้าจริงๆ ก็ได้น่ะ”


ดวงตาสีนิลหันมาสบตาสีน้ำตาล สีม่วง และสีฟ้า หากสายตาทั้งสามคู่กลับฟ้องออกมาชัดเจนว่า...ใครเชื่อที่พูดก็บ้าแล้ว....


ซาตานแห่งทริสทอร์หัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างขำขันก่อนยักไหล่


“ฉันล้อเล่นเท่านั้น แค่อยากลองซ้อมอะไรนิดหน่อยเผื่อเอาไว้ใช้ในอนาคตน่ะ”


ร่างสูงกำยำหันกลับไปมองเจ้าหญิงแห่งคาโนวาล แต่สาวน้อยกลับเหลียวไปทางเจ้าชายผมเงินที่ยืนอยู่ด้านหลัง


ดวงตาสีม่วงสวยคู่นั้นมีรอยเจ็บปวด...เจ็บเพราะเขาคนนั้นไม่รู้สึกอะไรกับภาพที่เห็นอย่างที่คิด....


นัยน์ตาสีนิลมีรอยเห็นใจ ขณะที่แว่วเสียงใครถามอะไรอยู่ปลายหู ซาตานหนุ่มจึงตอบคำถามนั้นไปพลางเหลียวกลับมามอง


“หืม...ฝึกเอาไว้ใช้กับใคร... ไม่น่าถาม ของมันแน่อยู่แล้ว ก็เอาไว้ใช้กับลอรี่...”



ลอรี่!



ภาพนักบวชผมทองที่ยืนเด่นอยู่ตรงประตูห้องครัวทำให้ซาตานหน้าบานด้วยความดีใจ ร่างสูงกรากจะเข้าไปกอดรับขวัญเพื่อนคู่หูที่ไม่ได้เห็นหน้ามาตั้งสองวัน แต่สีหน้าถมึงทึงเหมือนกำลังอยากจะฆ่าคนของลอเรนซ์บอกว่ามันได้ยินคำตอบที่ว่านั่นชัดแจ๋ว


“เอ่อ...ลอรี่...กลับมาแล้วเหรอ...”


ผู้วิเศษแห่งทริสทอร์พยายามปั้นรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาส่งไปให้ แต่คำตอบที่ได้รับคือกริชเงินซัดมาเป็นพายุบุแคม พร้อมเสียงเหี้ยมของนักบวชแห่งแอเรียสที่ตะโกนลั่นป้อม



“ไอ้โรคจิต! ไอ้ซาตานวิปริต! ตายซะเถอะ อย่าอยู่เลยแก!!!”





..........................................................





คืนนี้พระจันทร์ปรากฏเป็นเสี้ยวบาง หมู่ดาวจึงยังพราวพร่างเหมือนเมื่อสองสามคืนที่ผ่านมา


นักฆ่าที่หลบออกไปรับงานนอกเอดินเบิร์กยังต้องตะกายขึ้นป้อมในยามดึกเหมือนทุกครั้ง แต่วันนี้ชายหนุ่มอารมณ์ดี เพราะเหยื่อที่ฆ่าออกมาสมบูรณ์แบบ ทั้งรอยแผล และการไหลของเลือด รวมทั้งสีหน้าของศพ ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเลยทีเดียว


และคืนนี้ก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วมาอีก ใจหนึ่งบอกให้เลิกยุ่ง แต่อีกใจก็บอกให้ปีนไปดูสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ยังไงยัยเจ้าหญิงนั่นก็เป็นเพื่อนกันมา


ยังไม่ทันโผล่หน้าขึ้นไป ดวงหน้าสวยหวานก็ชะโงกมามองอยู่บนหัวให้เขาตกใจจนเกือบปล่อยมือเสียเอง...หวิดได้สิ้นชื่อนักฆ่าเพราะตกป้อมตายดับอนาถเสียแล้ว...


“โอย...ตกใจหมด ทีหลังถ้ารู้ก็ไม่ต้องชะโงกหน้ามารออีกล่ะ ฉันหัวใจเกือบวาย”


คิลบ่นอู้หลังจากตะกายขึ้นมานั่งบนขอบเชิงเทินได้ เสียงใสหัวเราะขำขัน ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาหน่อย...ยังไงวันนี้ยัยนี่ก็ไม่ได้ร้องไห้ล่ะ...


“แล้วคุณคิลขึ้นมาทำอะไรล่ะคะ”


นักฆ่าแห่งซาเรสอ้าปากจะตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเกาแก้มแกรกๆ


“ขึ้นมา...เอ...มาดูดาวมั้ง ดาวสวยดี”


“แหม...ใจเดียวกันเลยค่ะ ฉันก็ขึ้นมาดูดาว”


ดวงตาสีม่วงสองคู่แหงนหน้ามองท้องฟ้า เงียบกันไปสักพัก เสียงหวานใสจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ


“วันนั้น ฉันขอโทษนะคะที่ตบ”


“อื้อ...ไม่เป็นไรหรอก” นักฆ่าเอานิ้วถูจมูกเขินๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้


“แล้ววันนี้เธอไม่ร้องเพลงอีกหรือไง ตะกี้ว่าได้ยินนี่นา”


ดวงตาสีม่วงสวยหันขวับมามองอย่างแปลกใจ


“วันนี้... หมายความว่าคุณคิลเคยได้ยินเมื่อวันก่อนด้วยใช่ไหมคะ”


“ก็...ทำนองนั้น หรือถ้าเธอไม่อยากร้อง...”


“ไม่หรอกค่ะ ว่าแต่ถ้าคุณคิลไม่รังเกียจ ช่วยอยู่ฟังได้ไหมล่ะคะ”


เรนอนยิ้ม ก่อนท่วงทำนองอ่อนหวานจะขับขานออกจากริมฝีปากสีกุหลาบใส


สายลมหอบเอาเสียงไพเราะไปไกล...เหมือนจะให้ล่องลอยไปถึงดวงดาวบนฟากฟ้า...


บทเพลงเก่าแก่ที่ร้องวันนี้...ไม่ทำให้เธอเจ็บปวดจนอยากร้องไห้เหมือนทุกทีที่ผ่านมา...


คงเพราะมีคนคอยรับฟังอยู่ข้างๆ หรือเปล่าหนอ...



“Someday I find my love….

Someone to call my own…”




เธอเคยเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าชายของเธอจะมาหา...


แต่จริงๆ แล้ว หัวใจของเธออาจแค่อยากเชื่อว่า...


วันหนึ่ง...เธอจะได้พบความรักที่แท้...


วันหนึ่ง...เธอจะได้เจอใครสักคน...


ใครคนนั้น....คนที่จะเป็นของเธออย่างแท้จริง...



เสียงหวานใสเปลี่ยนท่อนท้ายของบทเพลงเสียใหม่ หัวใจเธอเหมือนจะขับขานไปพร้อมๆ กัน



“…Somewhere waiting for me

There’s someone I’m longing to see

Someday someone will come.”








The End



By VANA
27/10/2005
7.57 PM








 

Create Date : 18 มกราคม 2549    
Last Update : 27 มกราคม 2549 13:50:05 น.
Counter : 2179 Pageviews.  

ยิ้มหน่อยน่าคาโล(นอกรอบ) โดย Foxilla



***มาอีกแล้วสำหรับฟิคลับเฉพาะกิจ เด็กดีไม่ควรอ่าน อันนี้ NC-17 นะจ๊ะ***




ยิ้มหน่อยน่าคาโล (นอกรอบ)



คืนนี้มีลุ้นที่แท้จริง



by Foxilla






เสียงประตูถูกปิดดังโครมพร้อมๆกับเสียงฝีเท้าปึงปังของคนสองคน




ร่างเล็กในชุดราตรีสีชมพูอ่อนถูกเหวี่ยงไปติดกำแพงอย่างไม่มีปรานีปราศรัย ร่างสูงที่ก้าวเข้ามาทีหลังจับไหล่บางกดไว้ไม่ให้หล่อนดิ้น สองร่างหายใจแรงด้วยเพลิงโทสะที่ลุกโชน


“นายปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ คาโล วาเนบลี” เสียงผู้หญิงเอ่ยเฉียบขาด ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองใบหน้าขาวคมคายที่อยู่ห่างแค่คืบอย่างไม่กลัวเกรง


“ใครให้นายไปเต้นกับโรเวน” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่า แม้จะเบาแต่ก็เย็นยะเยือก


“ฉันจะเต้นกับใครมันก็เรื่องของฉัน”


“แต่ฉันไม่ชอบ”


ดวงตาสองคู่จ้องกันนิ่งอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่หญิงสาวจะแย้มรอยยิ้มเหยียด


“นายเข้าใจผิดอะไรไปรึเปล่า ฉันต้องสนด้วยหรือว่าอะไรที่นายชอบอะไรที่นายไม่ชอบ”


คำพูดนั้นเร่งอารมณ์กรุ่นของคนตรงหน้าให้โหมทวี ดวงตาสีฟ้าเข้มขึ้นจนเหมือนเปลวเพลิง


“นายรู้อยู่แก่ใจเฟริน อย่าทำแบบนี้อีก” ดวงหน้านั้นโน้มใกล้เข้ามาอีก


“จุดเดือดต่ำจริงนะ” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นอย่างท้าทาย


“ถ้านายรู้แล้วว่าความอดทนฉันมีจำกัด ก็อย่ายั่วให้มันมากนัก”


“ฉันจะยั่วแล้วจะทำไม”


ริมฝีปากอุ่นประทับลงมาบนริมฝีปากบางที่เผยอค้างไว้แทบจะทันทีที่คำพูดนั้นหยุดลง


ราวกับรออยู่แล้ว ลิ้นเรียวตวัดตอบโต้การคุกคามที่รุกล้ำเข้ามาอย่างหิวกระหาย มือแกร่งทั้งสองข้างที่เกาะกุมไหล่บางอยู่แน่นค่อยๆคลายลงแล้วรวบร่างตรงหน้าเข้าสู่อ้อมอกกว้างจนเนินเนื้อนุ่มทั้งคู่เบียดชิดกับร่างกายเขา สองร่างควานหาความหวานของกันและกันเนิ่นนานจนลมหายใจเริ่มกระชั้น ชายหนุ่มจึงค่อยๆถอนริมฝีปากออก แต่สายตายังจับจ้องไปที่ดวงตาสีน้ำตาลคู่งามบนใบหน้านวลที่ค่อยๆลืมขึ้น ริมฝีปากบางแดงก่ำขยับพูด


“นายพอใจแล้วใช่ไหม”


ดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มเปลี่ยนเป็นประกายกร้าว แขนเล็กผลักร่างสูงออกไปโดยแรงจนกระเด็นไปด้านหลังพลางหันกายก้าวไปทางประตู


“เฟริน!” เสียงเย็นเยียบห้วนราวกับตวาด


“คราวหลังนายอย่ามาทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของฉันอีก ฉันไม่ชอบ” เฟรินตอบโดยไม่หันหลังกลับมามอง


แต่พอมือเล็กจะสัมผัสกับลูกบิดประตู เอวบางก็ถูกกระชากจากด้านหลังโดยแรงจนร่างทั้งร่างลอยขึ้นจากพื้น ตัวหล่อนอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งที่รัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก แผ่นหลังนวลเนียนที่โผล่ออกมานอกชุดเปิดหลังแนบชิดจนรู้สึกถึงเสียงหัวใจเต้นแรงของคนที่รวบร่างหล่อนไว้


“นายเป็นของฉัน” เสียงพร่าด้วยอารมณ์ถูกกรอกเข้าไปถึงสมองตามด้วยการขบหนักๆที่ใบหู


หญิงสาวสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่าถูกกัดแล้วก็ตอบโต้ด้วยการดิ้นสุดแรง แต่ร่างสูงก็ยิ่งรัดแน่น ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยวและอารมณ์ลึกๆบางอย่างที่เริ่มจะก่อเกิด เมื่อเริ่มหายใจไม่ออกหล่อนก็หยุดดิ้นหอบหายใจแรง


“ตัวฉันก็เป็นของฉันสิ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคาโล นายไม่มีสิทธิ์”


“ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์”


มือแกร่งข้างหนึ่งกอดรวบแขนเรียวทั้งสองข้างที่แสนร้ายกาจแนบไว้กับลำตัวจนมันไร้พิษสง ริมฝีปากอุ่นเลื่อนจากใบหูลงสู่ต้นคอขาวนวล เฟรินขนลุกซู่เมื่อลิ้นอุ่นตวัดแลบเลียซอกคอและค่อยๆไล้มาที่ปลายคางของหล่อน มืออีกข้างลูบหนักๆไปตามไหล่เนียนจนไปหยุดอยู่ที่เนินเนื้อนุ่มนิ่มที่สะท้อนขึ้นลงตามแรงหายใจ มือใหญ่เคล้นคลึงเนื้อสาวเล่นอย่างนุ่มนวลทว่าเร่าร้อน จนหญิงสาวต้องลอบระบายลมหายใจหนักๆออกมา


“ปล่อย...ฉัน” เสียงนั้นเบาและขาดเป็นห้วงๆ


“ไม่” เสียงทุ้มกรอกเข้าที่ข้างหูจนลมหายใจอุ่นปะทะแก้มนวล จมูกได้รูปซุกไซร้ไปตามลำคอที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นสาวที่หอมหวานจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะลิ้มรสไปทั่ว ผิวขาวนวลขึ้นสีแดงเป็นจ้ำๆไปทุกที่ที่คนข้างหลังประทับรอยเอาไว้


เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเลิกดิ้นและเริ่มอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนเขา มือข้างหนึ่งก็ลูบต่ำลงไปยังเอวบางและสะโพกกลมกลึงก่อนที่จะเลยไปยังหน้าท้องแบนราบและเนินเนื้อแห่งความเป็นหญิง แม้จะนอกร่มผ้าแต่ร่างบางก็สะท้านวูบเผลอครางแผ่วในลำคอ


เสียงนั้นทำให้ชายหนุ่มยิ่งได้ใจ มือข้างนั้นยิ่งรุกหนัก คาโลเลิกกระโปรงบานนุ่มพลิ้วขึ้นมาถึงโคนขา พลางค่อยๆลูบไล้เข้าไปใต้กระโปรง


“นายหยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงแหลมสูงดังขึ้นพร้อมกับอาการดิ้น แต่ก็ต้องชะงักแล้วบิดร่างอย่างเสียวซ่านเมื่อนิ้วเรียวล้วงลึกเข้าไปในจุดเร้นลับแล้วสัมผัสลงบนส่วนอ่อนไหวแห่งอารมณ์ ปลายนิ้วอุ่นนวดเน้นเบาๆจนหญิงสาวต้องกัดริมฝีปากเพื่อสะกดกลั้นเสียงครางไม่ให้หลุดออกมา ขาของหล่อนไร้เรี่ยวแรงจนต้องทิ้งร่างไปกับอ้อมแขนแข็งแกร่งที่โอบอุ้มไว้จากด้านหลัง


“รู้รึยังว่าฉันมีสิทธิ์ทำอะไรกับนาย” เสียงทุ้มจากร่างสูงที่เริ่มหายใจแรง


เฟรินฟังเสียงนั้นแทบไม่รู้เรื่อง เมื่อนิ้วของคนพูดเสียดสีกับร่องเนื้อบอบบางแล้วก็แทรกเข้าไปชอนไชในร่างกายหล่อนราวกับควานหาอะไรบางอย่าง เมื่อร่องนั้นเริ่มชุ่มชื้นนิ้วที่สองก็ตามเข้าไป ดวงตาสีน้ำตาลปิดแน่น คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยอารมณ์พุ่งพล่าน ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผ่าว โลหิตสูบฉีดจนผิวกายแดงซ่าน ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นชายที่แนบชิดอยู่ด้านหลัง


“แล้วนายจะเสียใจ” คำที่หญิงสาวกัดฟันพูดออกมาเรียกรอยยิ้มเหยียดจากใบหน้าคมคาย


“นายเป็นของฉัน รู้ไว้ซะ” คาโลว่าพลางยกมือที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำขึ้นลิ้มลองรสชาติของหญิงสาวแรกรุ่น


ริบบิ้นด้านหลังถูกกระตุกรวดเดียวหลุด ชุดบางเบาที่ยึดไว้ด้วยริบบิ้นไหมเพียงเส้นเดียวจึงหลุดออกจากร่างลงไปกองอยู่ที่เอว แขนแข็งแกร่งช้อนร่างบางที่อ่อนยวบยาบขึ้นจากพื้นแล้วก็โยนโครมลงบนเตียงนุ่ม เรียกเสียงหวีดร้องเบาๆจากคนถูกโยน ชายหนุ่มค่อยๆปลดกระดุมเสื้ออย่างใจเย็น ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายอย่างมาดมั่นจับจ้องอยู่ที่ร่างอ้อนแอ้นที่ค่อยๆขยับลุกขึ้นมานั่งราวกับจะกลืนกิน


เสื้อผ้าถูกโยนทิ้งลงบนพื้น ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องแผ่นอกกว้างขาวจัดที่ปรากฏแก่สายตา


หมอนี่ไม่ได้บอบบางอย่างที่หล่อนเคยคิด ร่างสูงกำยำแข็งแกร่งสมเป็นชาย ภาพคนตรงหน้าที่รูปงามราวกับเทพบุตรทำให้หัวใจของเฟรินเต้นแรง


ปลายเตียงยวบลง เมื่อเข่าของเจ้าชายแห่งคาโนวาลทิ้งน้ำหนักลง แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวหญิงสาวตรงหน้า ฝ่าเท้าเล็กก็ถีบโครมเข้าใส่ใบหน้าเทพบุตรเต็มแรง มือเขาคว้าข้อเท้าข้างนั้นไว้ได้อย่างง่ายดายแล้วออกแรงลากร่างนั้นเข้ามาใกล้จนหล่อนเสียหลักล้มแผ่ลงบนเตียง ชายกระโปรงเลิกสูงขึ้นไปถึงโคนขาขาวผ่อง ใบหน้าหวานงอง้ำอย่างไม่สบอารมณ์


“อย่าดื้อ เฟริน” ดวงตาสีฟ้าวาววับอย่างข่มขู่


ขาข้างนั้นถูกยกขึ้นจรดกับริมฝีปากอุ่น ที่ค่อยๆโลมเลียสูงขึ้นเรื่อยๆจนถึงขาอ่อน เขาจัดการดึงชุดสวยที่เกะกะออกไปให้พ้นทาง


ดวงตาคู่สวยสำรวจร่างตรงหน้าอย่างเต็มๆตา ผิวนวลขึ้นสีเรื่อแดงเป็นรอยจ้ำจากฝีมือของเขา ทรวงอกกลมกลึงราวกับปั้น เอวบอบบาง สะโพกผายได้รูป ขายาวเรียวแบบสาวน้อยแรกรุ่น ดวงหน้าหวานแดงก่ำเมื่อรู้สึกว่าถูกจ้อง หล่อนเบือนหน้าหลบสายตาที่ราวกับจะกลืนกินนั้น


“อย่าจ้องให้มากนัก ไอ้ทะลึ่ง”


“นายจะจ้องฉันบ้างก็ได้ ฉันไม่ถือ”


เฟรินหันกลับมามองอย่างโกรธๆ แต่ยังไม่ทันได้ด่าริมฝีปากอุ่นก็ประกบลงมาอีกรอบ เรียกไฟแห่งอารมณ์ให้โหมปะทุขึ้นมาใหม่ แขนเรียวตวัดขึ้นโอบรอบคอคนร่างสูง มือเล็กลูบไล้ไปที่เรือนผมสีเงินที่ละเอียดนุ่มมือและแผ่นหลังกว้าง มือใหญ่ไล่เวียนวนอยู่บนทรวงอกขาวที่ชูชันด้วยอารมณ์แล้วค่อยๆลูบไล้ต่ำลงจนสัมผัสกับร่องที่เปียกชื้น นิ้วเรียวสำรวจกลีบเนื้อนุ่มนวลนั้นอีกรอบ เรียกเสียงครางแหลมในลำคอจากปากที่ถูกปิดอยู่ หยาดน้ำแห่งความเป็นหญิงเอ่อล้นพร้อมๆกับการสะดุ้งของร่างบางเมื่อนิ้วเรียวสองนิ้วกระตุกหนักๆในช่องนั้น


“อย่าเกร็งนะ” เสียงทุ้มกระซิบพลางโลมเลียที่ติ่งหูของเธอด้วยปลายลิ้น


เฟรินสะดุ้ง เมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่ค่อยๆแทรกเข้ามาในร่าง หญิงสาวเปล่งเสียงอุทานด้วยความที่เจ็บปวดจนน้ำตาซึม หล่อนเคยแต่เป็นคนทำ เพิ่งจะรู้ความรู้สึกของคนที่ถูกกระทำ


เจ็บเหมือนถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ


ความร้อนที่เข้ามาจนสุดนิ่งคาอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ ก่อนที่จะค่อยๆขยับเบาๆ เรียกเสียงครางให้หลุดออกมาจากริมฝีปากแดงระเรื่อ เล็บคมๆจิกไปบนแผ่นหลังขาวจนชายหนุ่มต้องกัดฟันกรอด


“เป็นของฉันนะเฟริน”


ไอ้น้ำแข็งบ้าเพิ่งจะมาถาม


“ไม่พูดซะพรุ่งนี้เลยล่ะ” หญิงสาวหอบหายใจแรงพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบ


ลิ้นอุ่นดันเข้าไปในปากเล็กอีกครั้งพลางเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเรียวที่ตวัดตอบโต้อย่างเร่าร้อน


บทรักค่อยๆเร่งขึ้นตามจังหวะการหายใจ สองร่างขยับกายสอดประสานกันจนชายหนุ่มใกล้ถึงฝั่ง หยาดเหงื่อไหลโซมกาย


“หยุด!” เสียงหวานปนหอบสั่งห้วน


มือบางกระชากเรือนผมสีเงินขึ้นโดยแรงจนใบหน้าคมคายต้องแหงนเงยขึ้นสบตาหล่อนอย่างงุนงง จังหวะรักชะงักวูบ


“แบบนี้ฉันไม่แฮปปี้ คาโล”


“แล้วนายจะเอายังไง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างอยากจะต่อเต็มทน


รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าหวานที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ


“ฉันไม่อยากเป็นของนาย”


เจ้าชายแห่งคาโนวาลถูกเหวี่ยงลงไปข้างๆด้วยแรงที่ไม่น่าเชื่อ หล่อนตวัดกายขึ้นคร่อมตัวเขาไว้พลางขยับส่งความเป็นชายให้ร่างหล่อนกลืนกินไว้เหมือนเดิม แล้วก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจ


ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะตั้งตัว เฟรินก็ขยับสะโพกอย่างหนักหน่วงหลายครั้งแล้วหยุด เล่นเอาคนข้างล่างกัดฟันกรอด


“นายเป็นของฉันดีกว่า” หล่อนเสยผมสีน้ำตาลละเอียดที่ยาวสยาย แล้วก้มลงจูบเขาดูดดื่ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากหญิงสาวข้างบนทำให้คนที่โดนทำให้ลงมาอยู่ข้างล่างเจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก


แต่ในที่สุดดวงตาสีฟ้าก็ค่อยๆปรือลง ด้วยรสสัมผัสที่นุ่มนวลและวาบหวาม


แบบนี้ก็ไม่เลว


มือแกร่งประคองเอวบางพลางยกตัวหล่อนขึ้นเร่งให้ร่างบางขยับต่อ หญิงสาวค่อยๆขยับกายอย่างอ้อยอิ่งแล้วก็เร่งขึ้นเรื่อยๆ เส้นผมยาวสะบัดพลิ้วตามการเคลื่อนไหวของร่างที่ส่ายไปมาด้วยแรงปรารถนา มือแกร่งเคล้นคลึงสะโพกกลมกลึงด้วยความรู้สึกที่ต้องสะกดกลั้น


“ดีไหม คาโล” เสียงหวานหอบกระเส่า


เฟรินทิ้งน้ำหนักตัวไปด้านหน้า มือเรียวบางลูบไล้ไปตามแผ่นอกแข็งแกร่งก่อนที่ร่างของหล่อนจะกระตุกแหงนเงยไปด้านหลัง ลมหายใจหอบถี่ เสียงครางกระชั้น เขาเองก็จะทนไม่ไหวแล้ว หญิงสาวขยับกายเร็วขึ้นเรื่อยๆแล้วก็…


หยุดซะงั้น!


เขาลืมตามองร่างบนตัวเขาที่ขยับรอยยิ้มอย่างยั่วยวน


“ฉันบอกแล้ว ว่านายจะต้องเสียใจ คาโล”


หล่อนจะทำให้เขาคลั่ง!


เฟรินนั่งนิ่งไม่ยอมขยับต่อจนเจ้าชายน้ำแข็งต้องกัดฟันกรอด กระชากร่างบางลงกับเตียงแล้วจัดการสำเร็จโทษต่อทันควัน หญิงสาวหอบหายใจพลางหัวเราะคิกคักจนเขาต้องปิดปากหล่อนซะ คราวนี้ร่างสูงขยับเร่งจนเฟรินต้องกัดฟันจิกนิ้วลงกับเตียง ทั้งคู่ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความหฤหรรษ์ที่ลึกล้ำลงเรื่อยๆ ก่อนที่เฟรินจะกรีดร้องพร้อมกับเกร็งกระตุกไปทั้งร่างเมื่อหยาดสุดท้ายถาโถมเข้าสู่ร่างของหล่อน


คนข้างบนทิ้งกายซบลงกับไหล่บาง สองร่างนอนหอบอยู่ชั่วครู่แล้วริมฝีปากอุ่นก็สัมผัสแก้มเนียนก่อนจะพลิกกายลงไปนอนข้างๆ เฟรินหันไปมองดวงหน้าคมคายพลางปีนขึ้นไปบนอกกว้างแล้วเท้าแขนนอนพังพาบอยู่บนนั้น ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตเพ่งมองใบหน้าราวรูปสลักที่มองตอบ แก้มใสๆทั้งสองข้างยังแดงระเรื่อ หล่อนดูไร้เดียงสาน่ารักจนมือใหญ่ต้องขยับขึ้นลูบไล้แก้มเนียนเบาๆ


“อะไร” คำถามห้วนแต่นุ่มนวล เรียกรอยยิ้มกว้างจากใบหน้าหวาน


“ช้าๆจะดีกว่านะ” รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ก่อนที่ร่างเล็กจะพลิ้วกายหนีการคว้าของอ้อมแขนแข็งแกร่งไปอย่างหวุดหวิด พอเจอมือโปรสอนเข้าให้ หน้าขาวๆก็ขึ้นสีเข้มเหมือนถูกตบอย่างแรง


“ไม่ต้องมาสอนฉัน” คาโลขยับลุกตาม


“ไม่เอาน่า ฉันรู้ว่านายครั้งแรก” เฟรินวิ่งวนไปรอบๆห้อง


“นายก็ครั้งแรก”


“นายแน่ใจ?”


“เฟริน!”


ร่างเล็กถูกคว้าไว้ได้ในที่สุด เสียงหัวเราะร่วนยังไม่หายไปแม้จะถูกทิ้งโครมลงบนเตียงอีกรอบ แล้วก็ต้องหยุดกึกกลืนน้ำลายเอื้อกเมื่อดวงตาของคนที่ขึ้นคร่อมร่างหล่อนเอาไว้ดุจนน่ากลัว


“นายอย่าโกรธน่า ไม่สอนก็ไม่สอน” หญิงสาวออดอ้อน พอเห็นแววดุคลายลงก็ขยับปากพูดต่อ “แต่เดี๋ยวฉันบอกนายเองว่าชอบแบบไหน” แขนเล็กโอบรอบคอพลางแย้มรอยยิ้มยียวนที่ต้องชะงักลงเมื่อคนตรงหน้ายิ้มตอบ


“นายไม่ต้องบอกหรอกเฟริน ฉันชอบค้นคว้าเองมากกว่า” ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายระยับให้หญิงสาวหงุดหงิด


“ไอ้นักเรียนดีเด่น!” คำโวยวายนั้นสร้างความขบขันให้คาโลแต่เขาก็แสร้งปั้นหน้าขรึม


“ฉันว่าเรื่องนี้ยาก คงต้องค้นกันนาน”


“ไอ้ทะลึ่ง!”


ริมฝีปากอุ่นของนักเรียนดีเด่นทาบลงมาอีกครั้ง มือใหญ่เริ่มอยู่ไม่สุข เฟรินขัดขืนน้อยๆพอเป็นพิธีก่อนจะปล่อยให้คนชอบค้นคว้าจัดการค้นร่างหล่อนตามใจชอบไปตลอดคืนจนทั้งคู่หมดเรี่ยวแรง




ยามเช้ามาถึงพร้อมกับเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว


เฟรินค่อยๆขยับกายแต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกขัดยอกไปทั้งร่าง พอเลิกผ้าห่มดูก็ต้องตกใจ


ล่อนจ้อน!


แถมยังมีรอยแดงๆทั่วไปหมด


ไอ้บ้าคาโล ทะเลาะกันอยู่ดีๆไหงจบแบบนี้วะ


เรื่องเมื่อคืนค่อยๆไหลเข้ามาในหัวเหมือนน้ำท่วม หล่อนค่อยๆหันไปมองคนข้างๆ ดวงตาสีฟ้าคู่สวยที่มีรอยขันจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวจึงแยกเขี้ยวถาม


“ดูผลงานของนาย” นิ้วเรียวชี้ไปที่รอยแดงจ้ำที่ลำคอและเนินอก “ทำอะไรไม่รู้จักคิด รีบทำให้มันหายไปเร็วๆเลย”


คนอื่นต้องสังเกตเห็นแน่!


คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ คำพูดแสนสั้นที่หลุดออกมาจากปากคนพูดน้อยก็คือ


“ไม่ ฉันง่วง”


“คาโล!”


ชายหนุ่มพูดแล้วก็แสร้งหันหลังให้หล่อน คำตอบนั้นทำเอาเฟรินแทบจะเต้น แบบนี้ไอ้คิลมันก็แซวตายน่ะสิ แล้วยังสายตาสอดรู้สอดเห็นแปลกๆจากคนอื่นๆ อย่างน้อยไอ้โรมันต้องรู้แน่ เมื่อนึกถึงสีหน้ายิ้มๆของมันแล้วก็ให้หงุดหงิดใจยิ่งนัก แล้ววันนี้เธอยังต้องเดินทางไปบารามอส ไม่มีทางที่จะออกจากป้อมอัศวินไปโดยไม่มีใครรู้เห็น


“คาโล” เฟรินลุกขึ้นนั่งกอดอกหรี่ตามองคนข้างๆที่แกล้งนอนนิ่งไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ให้นึกหมั่นไส้เต็มกำลัง


“...”


“นายจะไม่ทำใช่ไหมคาโล” น้ำเสียงสูงอย่างหมดความอดทน “แล้วนายจะเสียใจ”


ร่างสูงต้องหันกลับมามองเมื่อเฟรินกระชากผ้าห่มออกไปจากตัวเขาแล้วกระโดดขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว หล่อนไม่พูดพล่ามทำเพลงก้มลงประทับรอยแดงบนต้นคอขาวๆของเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่นอนนิ่งยอมให้ทำแต่โดยดีหลายที่ แถมท้ายด้วยการทิ้งรอยฟันจากการกัดเบาๆไว้ที่ปลายจมูกได้รูป แล้วก็เผ่นแผลวลงจากเตียงมายืนมองคนที่พยายามทำตาดุแต่ไม่สำเร็จเพราะความจริงแอบดีใจ


“ของฝากให้พ่อนาย จากประสบการณ์ของฉันมันจะอยู่ไปอีกสามวันเป็นอย่างน้อย” น้ำเสียงเยาะเย้ยพลางเหยียดยิ้มอย่างสะใจ พลางมือก็คว้าเสื้อผ้าขึ้นมาใส่แต่แล้วก็ต้องเบ้ปากเมื่อเจอชุดสีชมพูฟูฟ่องที่แสนจะใส่ยาก หล่อนโยนมันทิ้งแล้วก็คว้าเสื้อชายหนุ่มมาใส่แทน เสื้อตัวนั้นยาวจนหล่อนไม่ต้องเสียเวลาหากางเกงมาใส่


“พ่อฉันคงดีใจ”


คำตอบจากคนตรงหน้าทำเอาหัวขโมยต้องขมวดคิ้ว


“นายหมายความว่าไง”


“ทั้งๆที่พ่อไม่ค่อยจะพูดกับฉัน แต่พอเจอกันดันถามถึงนาย” ชายหนุ่มลุกขึ้นคว้ากางเกงมาใส่ก่อนที่หัวขโมยตัวแสบจะเอาไป ดวงตาสีฟ้าจับจ้องใบหน้างงๆของหญิงสาวที่ใส่เสื้อของเขา “ไปเที่ยวคาโนวาลเดือนหน้าเตรียมตัวแต่งงานซะด้วย”


“เฮ้ย!” เฟรินร้องออกมาหลังจากอึ้งไปชั่วครู่ “นายล้อเล่นใช่ไหม”


“ถ้าพ่อฉันรู้ว่าเรามีอะไรกันแล้ว นายก็เตรียมตัวได้”


“อย่าทำเป็นผู้หญิงไปหน่อยเลยน่า นายจะบังคับให้ฉันรับผิดชอบนายเรอะ” หน้าหวานเริ่มซีดลงๆ


“นายต่างหากที่เป็นผู้หญิง” คาโลเก็บเสื้อคลุมขึ้นมาใส่แล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง


“นายจะไปไหน”


“กลับคาโนวาล”


“คาโล!”




และแล้วเฟรินก็ไปบารามอสอย่างกระวนกระวายว่าไอ้รอยที่ตัวเองทำไว้จะหายทันก่อนที่คาโลจะกลับถึงคาโนวาลหรือไม่







 

Create Date : 16 มกราคม 2549    
Last Update : 18 มกราคม 2549 11:26:41 น.
Counter : 16696 Pageviews.  


vana-chan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add vana-chan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.