Baramos Maniac
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 6 สารภาพ

6.สารภาพ



พระเจ้าสอนไว้ว่า สิ่งที่คนควรทำคือความดี


แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์

มนุษย์คือสัตว์โลก ย่อมมีผิด มีพลาดพลั้ง

หากผิดแต่รู้จักแก้ไขย่อมประเสริฐกว่าไม่รู้จักผิด

ผู้ไม่รู้จักผิดก็ย่อมไม่เห็นค่าของความดี


และเขาคนนั้นก็คงไม่รู้จักการให้อภัย




ดวงตาสีม่วงอเมธิสต์ จับจ้องไปยังร่างสูงของหัวหน้าป้อมอัศวินที่ มาเข้าร่วมประชุมในสภาสูง โดยปกติเขาจะไม่เข้าร่วมในกิจกรรมของโรงเรียนพระราชาแห่งเอดินเบิร์ก เนื่องจากเขามีหน้าที่สังเกตตำแหน่งดวงดาว ตอนกลางวันจึงมักเป็นเวลานอน แต่วันนี้เขามาร่วมประชุมด้วยในฐานะผู้ช่วยของมหาปราชญ์เลโมธี

ชายผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งป้อมนักรบกำลังกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงสงบ ก้องกังวานน่าฟัง

คาโล วาเนบลี เดอะ ปริ้นซ์ ออฟ คาโนวาล

ใบหน้าขาวคมคายดูสงบเคร่งขรึม ดวงตาสีฟ้ากระจ่างดุจท้องฟ้าที่เจิดจ้าไร้เมฆหมอก ชายหนุ่มยืนหลังตรงผึ่งผายสง่างาม เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและรัศมีแห่งอำนาจ ดูสูงศักดิ์สมกับสายเลือดอันสูงส่งของเชื้อพระวงศ์แห่งคาโนวาล

ดินแดนแห่งนักรบป่าเถื่อน

ดวงตาของนักบวชหรี่ลงอย่างประเมินค่า ก่อนที่คิ้วเข้มจะเลิกขึ้นอย่างดูแคลน

ป่าเถื่อนสมชื่อ

แม้แต่เจ้าชายที่วางตัวเป็นผู้ดีดั่งสุภาพชนทุกกระเบียดนิ้ว ยังกร่างพอที่จะทำตามใจชอบกับเจ้าหญิงแห่งเดมอสและบารามอส

เจ้าหนูนั่นคงทำอะไรไม่ถูกใจมัน

รอยตามตัวอาจเกิดจากการสู้กัน

เขาคลายเวทที่ประตูบานนั้นอย่างยากลำบากพอดู เขตอาคมถูกลงไว้อย่างเข้มแข็งราวกับขังนักโทษคนสำคัญ

มือเลื่อนไปสัมผัสสร้อยในกระเป๋าเสื้อ

ควรจะฝากเจ้าชายนี่ไปคืนเด็กนั่นหรือเปล่า

หลังการประชุมจบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย คาโลก็ลุกขึ้นเตรียมจะกลับป้อม แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงในชุดนักบวชกำลังมองมาที่เขา

ลอเรนซ์ ดอร์น เดอะ พรีสต์ ออฟ แอเรียส

เขาจ้องตอบโดยไม่หลบ ส่งสายตาถามเป็นเชิงว่า “มีอะไร”

นักบวชหนุ่มยังคงมองหน้าเขาอยู่สักพัก ก่อนจะหันกายเดินออกไปจากห้อง


ไม่ต้องรอให้คาโลเป็นฝ่ายหลบหน้า เฟรินแทบจะหายตัวไปจากป้อม นอกจากเวลาเข้าเรียนและกินข้าวที่เจ้าตัวกินน้อยและรีบเร่งแล้ว หล่อนก็หายตัวไปโดยไม่มีใครพบเห็น

หัวหน้าป้อมยังทำตัวตามปกติ ไม่มีร่องรอยใดๆที่บ่งบอกว่าเขามีเรื่องราวกับเจ้าหญิงคนรัก แต่เมื่อคิลเอ่ยปากถาม คาโลก็ดูเครียดขึ้นมาอย่างฉับพลันจนคิลไม่กล้าซักต่อ ครั้นจะตามหาเฟรินก็ยากแสนยาก หล่อนกลับมาที่ห้องก็ต่อเมื่อดึกมากและล็อกประตูเงียบ

บรรยากาศสงบแต่เลวร้าย ดั่งลาวาที่อัดแน่นอยู่ใต้ผิวโลกรอการปะทุ ความอึดอัดชวนกระอักกระอ่วนแผ่ออกจากสองร่างที่นั่งเรียนขนาบข้างจนนักฆ่ารู้สึกไม่เป็นสุข

เสียงสัญญาณการเลิกเรียนดังปลุกเจ้าของดวงตาสีม่วงให้ตื่นจากนิทรา พอเขามองซ้ายมองขวาก็ไม่พบร่างของเพื่อนทั้งสองแล้ว

“เฟริน” คิลวิ่งตามร่างบางของหญิงสาวเพื่อนซี้ที่กำลังก้าวออกไปจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว เฟรินหยุดเดินนิดหนึ่งแล้วพูดโดยไม่หันกลับมามอง

“เราเลิกกันแล้ว” เฟรินพูดโดยไม่รอฟังคำถาม

“เอาจริงหรือ” คิลเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อหู

หญิงสาวพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ

“ทำไม พวกนายกำลังจะแต่งงานกันไม่ใช่เรอะ”

“บอกไปนายก็ไม่เข้าใจคิล”

ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย

“นายน่าจะใจเย็นๆหน่อย”

“แค่นี้ฉันก็ปล่อยให้อะไรๆมันมากเกินไปแล้ว”

คำตอบนั้นทำให้ดวงตาสีม่วงของเพื่อนซี้ทอประกายแห่งความฉงน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง

“คาโลมันทำอะไรนาย”

แวบหนึ่งที่ดวงตาที่ฉายความเป็นห่วงเป็นใยทำให้เธออยากจะพูดออกไปให้หมด บอกทุกอย่างกับคิลซะ ให้หมอนี่ช่วยคิด ช่วยแก้ปัญหา เธอจะได้สบายสักที

แต่ไม่ได้ เรื่องแบบนี้ จะให้ใครรู้ไม่ได้ เพื่อตัวเอง เพื่อหมอนั่น

คิดแล้วก็ตัดใจบอกปัดคนตรงหน้า

“เรื่องนี้นายอย่ายุ่งดีกว่าคิล”

อีกอย่าง คาโลก็เพื่อนนาย บอกไปนายก็ไม่เชื่อ

“อย่ารีบร้อนตัดสินใจอะไรแบบนั้น” นักฆ่าเอ่ยเสียงจริงจัง ด้วยรู้สึกว่าปัญหานั้นอาจจะใหญ่และซับซ้อนกว่าที่เขาคาด

หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆก่อนเอ่ย

“บางที ถ้าฉันตัดสินใจได้เร็วกว่านี้ เรื่องของฉันกับมันอาจจะไม่แย่เท่านี้ก็ได้”

“เฟริน...”

“นายกลับไปกินต่อเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”

แล้วหล่อนก็วิ่งหนีหายไปจากสายตา


สองขาพาร่างมายังที่หลบภัยที่ดูเหมือนจะใช้เป็นประจำ

ดาดฟ้าป้อม

ดวงตาคู่สีน้ำตาลเหม่อลอยไปอย่างไร้จุดหมาย แต่ห้วงความคิดกลับดิ่งลึกลงภายในใจ

รู้สึกผิด

แย่ที่สุด ทั้งๆที่หมอนั่นทำเรื่องโหดร้ายกับเธอขนาดนั้น ทำไมเธอถึงต้องมารู้สึกผิดด้วย เธอควรจะโกรธ

แล้วทำไมถึงหายโกรธได้ง่ายดายนัก

เหงา...อย่างที่คาด

เหมือนหัวใจมันหายไปครึ่งนึง

น้ำตาใสๆไหลปริ่มออกมาเงียบๆ หล่อนไม่ปาดมันออก แต่ปล่อยให้ไหลลงมาตามเรียวแก้มจนหยาดหยดลงสู่พื้น

หยดแล้วหยดเล่า

หากความทุกข์มันร่วงหล่นลงไปพร้อมกับน้ำตาได้ จะดีสักแค่ไหน

เรื่องคาโลทำให้เธอนอนแทบไม่หลับมาหลายวัน เธอหนีจากอ้อมแขนนั้นมาได้อย่างยากลำบาก แต่ยามนี้กลับรู้สึกโหยหา

อีกเรื่องที่ยังน่ากังวล

ลอเรนซ์ ดอร์น เดอะ พรีสต์ ออฟ แอเรียส

เขาจะเอาเรื่องเธอไปบอกอาจารย์คนอื่นไหม อดีตผู้คุมกฎผู้เคร่งครัดจะถือว่าเรื่องเธอเป็นสิ่งที่ต้องจัดการหรือเปล่า

ถ้าพ่อรู้เรื่องนี้ ไม่แน่ว่าสงครามเอเดน-เดมอสอาจปะทุขึ้นอีกรอบ โดยมีเธอเป็นชนวนสงคราม...อีกครั้ง

พ่อปีศาจที่ยอมแพ้เพราะทนกฎข้อบังคับไม่ได้ จะสนใจอะไรกับสัญญาสงบศึก และพ่อคนนั้นก็รักเอ็นดูเธอดั่งดวงใจ โทษฐานที่ทำร้ายเธอทั้งร่างกายและจิตใจคงไม่อาจชดใช้ได้ง่ายๆ

เธอคงเสียใจยิ่งกว่านี้ ถ้าคาโลต้องเป็นอะไรไป

พี่ลอเรนซ์มาเฝ้าที่นี่ทั้งคืน กลางวันพี่คงจะไม่มา ถ้าเขาถามเรื่องวันนั้น เธอคงพูดไม่ออก กลัวจะเผลอร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น น่าเจ็บใจจริงๆ เธอทำตัวเป็นสาวน้อยมากขึ้นทุกวันแล้ว

แต่เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากข้างหลังทำให้หล่อนรู้ว่าคาดการณ์ผิด หล่อนอาจจะหลบลอเรนซ์ ดอร์นมาได้หลายวัน แต่ตอนนี้มันจบลงแล้ว หล่อนอยากจะถอยหนี แต่ดาดฟ้าก็ไม่มีที่ให้หนี ไม่มีแม้แต่ที่หลบซ่อน

กระโดดลงไปซะดีไหม ทุกอย่างจะได้จบ

“เฟริน เดอเบอโรว์”

เสียงเรียกนั้นทำให้เธอถอนหายใจเบาๆรีบปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้า

“วันนี้ตื่นเช้าจังนะฮะ เพิ่งจะเที่ยงเอง”

ชายหนุ่มไม่ตอบแต่กลับสาวเท้ามายืนตรงหน้า

“จะพูดเองหรือจะให้ฉันถาม”

ดวงตาสีม่วงดั่งอัญมณีคู่นั้นมองมาที่เธออย่างแน่วแน่ เฟรินก็จ้องตอบก่อนจะยักไหล่แล้วพูดกลั้วหัวเราะ

“พี่นี่ ยิงตรงไม่มีอ้อมค้อมเลยนะฮะ”

“เธอมีเรื่องอะไรกับคาโล วาเนบลี”

“เรื่องส่วนตัวฮะ พี่จะรู้ไปทำไม”

“เธอจะบอกว่าไม่เอาเรื่องที่คาโลขังเธอ”

“ถ้าผมว่างั้น”

“การกักขังผู้หญิงไว้ในห้องผิดกฎของโรงเรียนอย่างรุนแรง หมอนั่นเป็นหัวหน้าป้อมกลับมาทำผิดกฎซะเอง ย่อมต้องถูกลงโทษสถานหนัก”

“เด็กทะเลาะกันน่าพี่”

“คาโลทำอะไรเธอ”

“ฮะ”

“ทำไมเขาต้องลงอาคมขังเธอไว้ในห้อง แล้วไอ้รอยพวกนั้นมาจากไหน”

“ไม่เอาน่า พี่ซักอย่างกับเป็นแม่ผม”

“เลิกเล่นลิ้นได้แล้ว”

สายตาคมกริบที่ส่งมาทำให้เฟรินหุบปากสนิท สีหน้าทะเล้นหายไป แทนที่ด้วยความเงียบ

“ทำไมไม่พูด หรือมันมีเรื่องน่าละอายที่พูดไม่ได้”

เธอถูกกักไว้ในห้อง แล้วหมอนั่นก็...

เรื่องแบบนั้น ให้เธอหน้าหนาขนาดไหนก็พูดไม่ออก

“พี่ฮะ ถือว่าผมขอร้องสักครั้ง” เฟรินเดินไปยืนตรงหน้าพลางเอื้อมมือไปสัมผัสที่แขนของชายหนุ่ม “พี่อย่ายุ่งเรื่องนี้เลยนะฮะ”

“เห็นจะไม่ได้” คำปฏิเสธไร้เยื่อใย คิ้วเข้มยิ่งขมวดอย่างไม่พอใจ

“เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก ผมรับรอง”

“กฎก็ย่อมเป็นกฎ”

“แต่พี่ไม่ใช่ผู้คุมกฎแล้ว เป็นอาจารย์หรือก็เปล่า” หล่อนยังคงไม่ละความพยายาม จงใจส่งสายตาละห้อยไปทำลายเกราะโหดๆของนักบวชหน้าบูด

“ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้”

นักบวชหัวดื้อ ตอแยอะไรเธอนักหนา

เฟรินคิดหาทางหนีทีไล่สารพัด ก่อนจะจบลงด้วยการตัดสินใจกระตุ้นสัญชาตญาณของอดีตนักรบป้อมอัศวิน หญิงสาวสูดลมหายใจรวบรวมความกล้าก่อนเอ่ย

“งั้นผมขอท้าพี่”

“ท้าฉัน?” ดวงตาสีม่วงเป็นประกายขึ้นมาทันใด คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงพร้อมกับรอยยิ้มที่หาได้ยาก “เธอกล้า?”

คนตรงหน้ายังจำได้ว่าเธอเคยกลัวเขาจนหัวหด สะดุ้งทุกครั้งที่เขาเข้ามาใกล้

“ใช่ฮะ ถ้าผมชนะพี่ พี่ต้องลืมเรื่องนี้ซะ แต่ถ้าพี่ชนะ ผมจะบอกพี่ทุกอย่าง”

“ฉันไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรไร้สาระแบบนั้น ในเมื่อเธอต้องบอกฉันมาเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มกอดอกและทำสีหน้ากึ่งพอใจกึ่งรำคาญกับข้อเสนอที่ได้ยิน

“พี่จะไม่ให้ทางถอยผมหน่อยหรือ อย่างน้อยก็ในฐานะนักรบแห่งป้อมอัศวินคนนึง ผมขอโอกาสสู้เพื่อปกป้องความลับของตัวเอง”

“ฉันไม่อยากสู้กับผู้หญิง”

“ตอนสงครามเอเดนเดมอส พี่ก็เคยสู้กับผม”

“นั่นคือการกำจัดธิดาแห่งความมืด ไม่ใช่การประลองกับรุ่นน้องผู้หญิง”

“ก็แค่คำแก้ตัวให้ฟังดูดี ผมไม่เห็นมันจะต่างกันตรงไหน”

คำท้าทายเริ่มทำให้อารมณ์นักบวชแห่งแอเรียสกรุ่น น้ำเสียงจึงห้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“หาเรื่องเจ็บตัวทำไม หรือเธอลืมไปแล้วว่ารสชาติของคัมภีร์มนตร์สวรรค์ไปแล้ว”

เมื่อเฟรินรู้ว่าเริ่มยั่วขึ้น หล่อนก็ยักไหล่แล้วพูดกระตุ้นเข้าไปอีก

“ผมมันความจำไม่ค่อยดี เรื่องไม่น่าจำนี่ลืมง่าย แต่พี่คงยังไม่ลืมรสชาติของผ่าปฐพี”

“ฉันจำได้” เสียงแข็งดังราวตวาด แต่ไม่สามารถทำให้หญิงสาวเปลี่ยนความตั้งใจ แม้จะเริ่มรู้สึกอยากวิ่งหนีตามวิสัยขโมย

“พี่ไม่อยากประลองให้รู้แพ้รู้ชนะหรือ” หล่อนแกล้งเลิกคิ้วพลางขึ้นเสียงสูง

“อย่ายั่วฉัน”

“นั่นสินะ ผมลืมไปว่าพี่เป็นนักบวช แต่ไม่รู้สิฮะว่านักบวชนี่รักสงบหรือขี้ขลาดกันแน่”

“ลงไปที่สวน เฟริน เดอเบอโรว์”


“ผมขออธิบายกติกาหน่อย”

ดวงตาสีม่วงหรี่ลงอย่างไม่เป็นมิตร ให้คนมองต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“คิดจะเล่นลูกไม้อะไร บอกไว้ก่อน ถ้าเธอเล่นตุกติก รับประกันว่าเรื่องนี้จะถึงมหาปราชญ์เลโมธีโดยไม่ผ่านคนกลาง”

สายลมหนาวพัดหวีดหวิวในสวนหลังป้อมที่เงียบสงบ ทุกคนคงกำลังรับประทานอาหาร และสวนแห่งนี้กว้างใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงบดบังสายตา การประลองครั้งนี้จึงไม่มีผู้ชมแม้แต่คนเดียว

“ผมคงต้องขอยืมมีดพี่”

“เรื่องมาก สู้ๆกันธรรมดาซะก็หมดเรื่อง”

ปากบ่นแต่ก็ยอมส่งมีดให้หญิงสาวแต่โดยดี เฟรินยิ้มน้อยๆก่อนจะปามีดสั้นสีเงินวาววับไปปักลงบนกิ่งไม้ที่อยู่เหนือสระน้ำกว้าง

“การประลองครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการแย่งชิงมีด”

ว่าพลางหยิบใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วโดนลงริมสระน้ำ

“ใบไม้ใบนี้จมเมื่อไหร่ มีดของพี่อยู่ในมือใครคนนั้นชนะ”

“น่าสนุก” รอยยิ้มที่หาได้ยากปรากฏขึ้นที่ใบหน้าหล่อเหลาของนักบวชหนุ่ม และยิ่งกว้างมากขึ้นเมื่อหญิงสาวตรงหน้าเรียกดาบแห่งจ้าวปีศาจมากระชับมั่นไว้ในมือ “อีกยี่สิบนาทีจะบ่ายโมง ฉันจะพยายามไม่ให้เธอต้องเข้าเรียนสาย”

“ผมก็จะไม่ให้พี่ต้องเสียเวลานอน”

ใบไม้แห้งนั้นลอยตัวอยู่เหนือน้ำได้อย่างมั่นคงราวเรือน้อย หากลมไม่พัด ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ใบไม้ใบนั้นจะจมลง

ทั้งคู่ยืนจ้องตากันนิ่งไม่ขยับ ใบไม่ก็ยังนิ่ง แต่พอมีเสียงนกร้องดังขึ้น เฟรินก็สะดุ้งสุดตัวแล้วพุ่งเข้าหาร่างสูงทันที

ลอเรนซ์ ดอร์นไม่นึกว่าสาวน้อยตรงหน้าจะพุ่งเข้ามาโจมตีเขา หล่อนน่าจะพุ่งเป้าไปที่มีดเล่มนั้นมากกว่า แต่ก็ไม่มีเวลาให้สงสัยเมื่อความเร็วของเจ้าหล่อนนั้นไม่ใช่ธรรมดา

เฟรินลงดาบอย่างเหี้ยมโหดไร้ความปรานี ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าไม่อาจออมมือให้คนตรงหน้าได้แม้แต่นิด คลื่นพลังจากผ่าปฐพีทำให้ต้นไม้รอบๆเกิดริ้วรอย ผิวน้ำเริ่มกระเพื่อม นักบวชขยับกายหลบไปมา พลางสอดส่ายสายตาหาหนทางไปเอามีดเล่มนั้น

ในที่สุดนักบวชก็พลาด กระแสพลังจากดาบใหญ่กระแทกเฉียดๆหัวไหล่เขาไปอย่างหวุดหวิด แต่ก็เรียกเลือดให้ซึมออกมาจากชุดนักบวชสีดำสนิท

“พี่เลิกออมมือได้แล้ว”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากอย่างพอใจ ก่อนที่มือของนักบวชแห่งแอเรียสจะวาดขึ้นมาตรงหน้า

“คัมภีร์มนตร์สวรรค์”

การปะทะเป็นไปอย่างดุเดือดโดยแทบจะไม่มีใครสนใจจะชิงมีดที่เป็นตัวกำชัยชนะ เมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่ เฟรินก็เริ่มหอบ เหงื่อไหลชื้น ตามแขนขาเริ่มมีรอยแผลถากๆหลายแห่ง แต่คู่ต่อสู้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย

อาจจะสู้ไม่ได้...

ตอนสงครามเอเดนเดมอส เธอยังมีหวังชนะ

พี่เก่งขึ้นมาก พลังเวทในตัวก็เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แถมยังสุขุมขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนเดิม

นี่ขนาดพี่ยังไม่ได้หยิบมีดออกมาเลยสักเล่ม

เฟรินปราดเข้าไปประชิดโดยไม่สนใจบาดแผลที่เกิดจากพลังของคัมภีร์มนตร์สวรรค์ คนถูกบุกจึงผงะเล็กน้อยก่อนจะทิ้งคัมภีร์ลงกับพื้นแล้วคว้ามีดสั้นสีเงินขึ้นมาแทน

มีดเล่มนับสิบเล็กปะทะกับผ่าปฐพี เสียงเปรื่องปร่างดังขึ้นพร้อมกับประกายไฟแลบออกมาจากรอยปะทะ ดาบใหญ่เหวี่ยงขึ้นโดยมีเป้าหมายที่คอของนักบวช แต่ยังไม่ทันใกล้ มีดสั้นก็ปักลงบนไหล่บางให้ดาบใหญ่ตกลงบนพื้น แขนเล็กห้อยตกลงข้างตัว

เฟรินรีบกระโดดถอยออกมา เลือดสีแดงสดไหลลงมาตามแขนแล้วหยาดหยดลงบนพื้น

“รู้ผลแพ้ชนะแล้วมั้ง เฟริน เดอเบอโรว์”

“ผมก็ว่างั้น” หล่อนตอบพร้อมกับแย้มรอยยิ้ม

ว่าแล้วหล่อนก็กัดฟันดึงมีดออกมาต่อหน้านักบวชหนุ่มที่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ โลหิตพุ่งกระเซ็นออกมาเปรอะเปื้อนใบหน้าขาว แล้วเจ้าหล่อนก็ก้มลงบนพื้นแล้วเก็บก้อนขึ้นมาก้อนหนึ่ง

แล้วดวงตาสีม่วงก็ยิ่งเบิกกว้างหนักเมื่อเจ้าหล่อนขว้างก้อนหินก้อนนั้นไปโดนใบไม้แห้งจมลง

“หมดเวลา ผมชนะ มีดของพี่อยู่ในมือผม”

“เฟริน เดอเบอโรว์”

ดวงตาของนักบวชทอประกายวาววับพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ สีหน้าหงุดหงิดของคนตรงหน้าทำให้เจ้าหล่อนที่อยากจะเผ่นหนีเต็มทนถอยกรูด

“ผมไปได้แล้วใช่ไหมฮะ”

“เธอโกง”

เลือดสดๆยังหยดลงพื้นไม่หยุด ทำให้เจ้าตัวเริ่มหน้าซีดลงๆ เมื่อร่างสูงยื่นมือเข้ามาใกล้เจ้าหล่อนก็สะดุ้งเตรียมจะหันหลังหนี

“เอาแขนมา”

“ฮะ”

“ไม่ได้ยินหรือไง ฉันบอกให้เอาแขนมา”

ยังไม่ทันได้ทำตามคำสั่ง หญิงสาวนั่งแปะลงกับพื้นอย่างหมดแรง นักบวชจึงนั่งลงข้างๆแล้วชะโงกหน้าเข้ามาดูแผลใกล้ๆ

“ฉันมองไม่เห็น”

เจ้าหล่อนถอนหายใจเฮือกแล้วถอดเครื่องแบบชั้นนอกออก เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในมีรอยขาดยาวตรงไหล่ซ้ายและโชกไปด้วยเลือดแดงฉานเกือบครึ่งตัว

มือใหญ่ฉีกแขนเสื้อออกโดยไม่ขออนุญาต แรงสะเทือนทำให้หล่อนต้องนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด ชายหนุ่มจับข้อมือเล็กยกแขนเรียวขึ้นนิดหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างสว่างวาบด้วยเวทรักษา

ความเงียบเข้าปกคลุม สายลมหนาวพัดผ่าน ใบไม้ร่วงหล่น เวลาผ่านไปหลายนาทีแต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไร

ดวงตาสีม่วงจับจ้องอยู่ที่บาดแผล แต่ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรที่ขยับเข้ามาจนชิด

ดวงหน้าของลอเรนซ์ ดอร์นนั้นงดงามไร้ที่ติ ดวงตาสีอเมธิสต์ใสเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสัน เส้นผมสีทองสว่างไสวแม้อยู่ภายใต้ความมืดสลัวในเงาไม้ ผิวหน้าขาวเกลี้ยงเกลา แต่คิ้วเข้มและประกายกร้าวในดวงตากลับทำให้ใบหน้านี้ดูคมเข้มสมชายชาตรี

ราวกับรู้ว่าถูกจ้อง ใบหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตาเธอแล้วจ้องกลับ ความร้อนแล่นวูบวาบขึ้นมาบนใบหน้าจนเกิดความกระดาก รีบหาคำพูดมาแก้เขิน

“บอกไว้ก่อนว่าผมจะไม่เล่าอะไรทั้งนั้น”

คิ้วเข้มขมวดอย่างหงุดหงิด ชายหนุ่มหันทางอื่นก่อนเอ่ย

“เห็นความบ้าของเธอ ฉันก็ไม่อยากรู้แล้ว”

ในเมื่อมันสำคัญขนาดนั้น เขาจะคาดคั้นไปทำไมนักหนา แถมยังรู้สึกแย่เหมือนกำลังรังแกผู้หญิง

เมื่อหันกลับมาก็พบดวงตาสีน้ำตาลใสเป็นประกายจ้องมองเขาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ

“ยิ้มอะไร ไม่เจ็บแล้วหรือไง”

“ขอบคุณฮะ” เสียงเอ่ยแผ่วเบา

เขาจ้องดวงตาสีน้ำตาลคู่โตนั้นอย่างค้นหา ก่อนจะหันไปทางอื่นแล้วปล่อยมือหล่อน เฟรินทดลองขยับแขนเบาๆแล้วยิ้มกว้าง

“ขอบคุณอีกครั้งฮะ”

“ขอบคุณทำไม แผลนั่นฉันเป็นคนทำ”

“ขอบคุณที่พี่ช่วยผมออกจากห้องวันนั้น”

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางเดินไปเก็บมีดสั้นของตน โดยมีหญิงสาวนั่งมองตาม สักพักเขาก็เดินกลับมาก้มลงเก็บเสื้อของหล่อนแล้วคลุมลงบนไหล่บาง

“ไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซะ”

เฟรินยิ้มรับ พลางเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของนักบวช

“พี่ก็เหมือนกัน ผมรู้ว่าพี่ก็โดนไปไม่น้อย”

นักบวชเดินจากไปพร้อมกับเสียงสบถอย่างหงุดหงิด เฟรินยังคงนั่งอยู่กับที่ เหม่อมองไปยังสระน้ำ

ฉันจะปกป้องเรื่องนี้ไว้ เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำเพื่อเรา

หล่อนนิ่งมองใบไม้ร่วงหล่นอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเอวถูกรวบให้ลุกขึ้นยืน

“เดินไม่ไหวก็บอกสิ”

“เดินไหวสิฮะ ผมนั่งเล่นเฉยๆ”

มือใหญ่ปล่อยออกในทันที ซึ่งหล่อนก็ทรุดลงไปทันทีเหมือนกัน เมื่อเห็นแววตาสมเพชที่ขายหนุ่มส่งมา ก็ต้องก้มหน้างุดด้วยความเขิน

“ง่า...ผมแค่ไม่ทันตั้งตัว”

“อยู่เฉยๆแล้วอย่าพูดมาก”

ชายหนุ่มช้อนร่างหล่อนขึ้นจากพื้นแล้วเดินไปวางไว้ที่ห้องพยาบาลโดยที่หล่อนไม่กล้าประท้วง เมื่อทำแผลเสร็จ เฟรินก็ไม่เห็นร่างของนักบวชอีก หญิงสาวจึงเดินกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

เลยเวลาเข้าเรียนไปนานแล้ว โดดซะดีไหม

ระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย หล่อนก็เดินผ่านห้องหัวหน้าป้อม แล้วก็เผลอมองประตูบานนั้นไปโดยไม่รู้ตัว

ป่านนี้ นายคงนั่งขยันเป็นนักเรียนดีเด่นเหมือนเคย ไม่มีเวลาจะมานั่งสับสนเหมือนเธอ

ประตูเปิดออกให้สะดุ้ง คนที่ไม่คิดว่าจะอยู่กลับเปิดประตูออกมา ดวงตาสีฟ้ากวาดมองร่างเธอแวบหนึ่ง เฟรินสังเกตเห็นแววไหววูบเมื่อเขาเห็นรอยเลือดบนเสื้อของเธอ

“นายโดนอะไรมา”

“ฉันประลองกับพี่ลอเรนซ์”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“ไปห้องพยาบาลมาแล้ว อีกสองสามวันก็หาย”

“งั้นหรือ”

แล้วเจ้าชายแห่งคาโนวาลก็เดินกลับไปเข้าห้องเรียน ทิ้งอดีตคนรักไว้เบื้องหลังกับความรู้สึกที่หลากหลาย








Create Date : 08 มีนาคม 2549
Last Update : 8 มีนาคม 2549 0:18:21 น. 18 comments
Counter : 1757 Pageviews.

 
โอ้ ขอบคุณ๕รับ ยาวดีแท้ เดี่ยวเช้าจะมาอ่านต่อ อ่านตั้งนาน เพิ่งถึง "แล้วหล่อนก็วิ่งหนีหายไปจากสายตา"


โดย: ฉี่เฉี่ยวถัง วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:2:17:07 น.  

 
ดีใจจังเลยค่ะ มาต่อจนได้ ถึงคาโลจาเลว(!?) ถึงคาโลจาเลวแต่ก็ยังอยากให้เปนพระเอกอยู่ดีอ่าค่ะ ตอนต่อไปขอจากเฟริน-คาโลเยอะๆนะค่ะ น่าติดตามมากๆค่ะ


โดย: melodia IP: 203.118.85.107 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:4:06:01 น.  

 
อ่านตอนนี้แล้วไม่ชอบลอเรนส์เลย
ทำไมถึงจามาแย่งเฟรินไปจากคาโลล่ะ
ถึงจะชั่วจะเลวยังไงก็ยังรักคาโลอยู่เหมือนเดิม


โดย: ฮื้อ ๆ IP: 203.113.61.103 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:16:48:21 น.  

 
เฮ่ๆ เห็นด้วยกะลอเรนซ์นะ ว่าคาโลป่าเถื่อน สมเป็นเจ้าชายแดนนักรบป่าเถื่อน

อ่านบทนี้แล้วสงสารคิลจังเลย นั่งอยู่ตรงกลางเพื่อนสองคนแต่ไม่รู้อะไรซักอย่าง


โดย: A IP: 125.25.132.251 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:17:08:00 น.  

 
ได้อ่านตอนใหม่แล้ว เป็นปลื้มค่ะ อิอิ


โดย: linz IP: 61.91.67.15 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:19:58:50 น.  

 
มาติดตามอย่างใกล้ชิด... ทำไมคาโลเป็นคนอย่างนี้ไปได้เนี่ย

รอลุ้นตอนต่อไปนะคะ


โดย: wonam IP: 61.91.167.104 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:21:25:28 น.  

 
อัพเร็วๆนะค้า
คาโลเป็งอย่างงี้เฟรินน่าสงสารจัง
รออยู่นะค้า


โดย: ~*YuMe*~ IP: 203.118.121.64 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:23:00:37 น.  

 
มาเม้นต์ ๆ ชอบๆ คาโลใจแข็งดีเหมือนกันนะ ภายนอกยังคงแสดงออกด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ภายในจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนก็เถอะ
เอาใจช่วยคาโลค่ะ


โดย: ze.c. IP: 58.136.205.58 วันที่: 9 มีนาคม 2549 เวลา:9:29:40 น.  

 
เพ่ foxxxxxx

อัพต่อ เร็วๆ อย่างด่วน

อยากรู้ตอนหน้าแล้วอ่า

โผมรอเพ่มาเดือนนึงแล้วน้า



5555+ รีบมาละกัน แล้วอัพเรื่อง หลาน ย่า ในเด็กดีด้วย



โดย: IP: 203.209.117.68 วันที่: 9 มีนาคม 2549 เวลา:12:01:38 น.  

 
มาอัพใหม่เร็วๆน้าาา.. สนุกจังค่ะ เรื่องลึกลับซับซ้อนดีอ่ะ ชอบๆ


โดย: ดา IP: 203.113.81.171 วันที่: 9 มีนาคม 2549 เวลา:16:49:30 น.  

 
คาโลกลับไปเป็นคนเย็นชาตามเดิมซะแล้ว สรุปว่าเฟรินยังรักหรือไม่รักคาโลกันแน่เนี่ย ลุ้นๆ


โดย: kirara_chan IP: 164.115.9.2 วันที่: 10 มีนาคม 2549 เวลา:9:43:19 น.  

 
อัพไวไวนะค่ะ
รออยู่


โดย: Hiwatari Hikari IP: 58.8.36.17 วันที่: 11 มีนาคม 2549 เวลา:12:29:29 น.  

 
เรื่องนี้หนุกมากงับ


โดย: okayazu IP: 61.90.248.110 วันที่: 12 มีนาคม 2549 เวลา:16:53:54 น.  

 
ไม่ว่าทุกคนจะว่ายังไง
แต่ว่า...
ขอบอกคำเดียวว่า

ถ้าเรื่องนี้ลอเรนซ์ไม่ได้เปงพระเอกหนูจาเลิกอ่านนนน

คาโลทั้งป่าเถื่อน นิสัยไม่ดี ไม่รู้จักทะนุถนอมเฟรินเลย(สำหรับเรื่องนี้อ่านะ)
ไม่ว่าทุกคนจะบอกว่าให้คาโลเป็นพระเอกยังไง แต่หนูขอบอกคำเดียวว่า เรื่องนี้ คาโลจงอย่าได้เป็นพระเอกเล้ยยยยซ้า~~ทู้~~


โดย: Crystal IP: 203.153.166.1 วันที่: 13 มีนาคม 2549 เวลา:0:06:32 น.  

 
ยอดเยี่ยมเหมือนเคย
( ขอแบบโหดๆหน่อยก็ดีนะคะ )


โดย: ซาคุยะ IP: 58.9.203.228 วันที่: 14 มีนาคม 2549 เวลา:13:22:17 น.  

 
เรื่องนี้หนุกหนานมากเลย อ่านแล้วชอบลอเรนซ์มากขึ้นเลยอ่ะ เกลียดคาโลเพิ่มขึ้นอีก เหอเหอ เรื่องนี้อยากให้ลอเรนซ์เปงพระเอกจางเลย


โดย: Ovantine IP: 58.10.77.235 วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:17:21:11 น.  

 

เฮ้อ......น่าจะจับลอรี่....เอ้ย ลอเรนซ์ยัดใส่ตำแหน่ง สุดยอดแห่งวีรบุรุษ ไปเลย


โดย: ลูคัส ซาโดเรีย IP: 124.120.111.143 วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:16:04:36 น.  

 
น่าสงสารวะ


โดย: -*- IP: 124.121.46.224 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:16:14:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

vana-chan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add vana-chan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.