อย่าลังเล เพราะถ้าลังเล จะกระโดดได้ไม่ไกลและไม่แรงพอ
Group Blog
 
All Blogs
 

โลกอะไร(วะ)? : สวยสิ้นดี




ความสวยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของที่สุดสำหรับผู้หญิงในโลกอะไร(วะ)?
...


"ขวัญข้าวมัันกำลังโตเป็นสาว" ยายสายปรายตาไปยังเด็กสาวขณะแกพึมพำในลำคอ ...

ปีนี้ข้าวอายุเก้าขวบแล้ว เช้านี้เธอดูผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ แป้งผัดหน้ายังเกาะเป็นกลุ่มๆแลดูเป็นเกาะแก่งบนใบหน้า

"ยาย ...หนูสวยเปล่า" ขวัญข้าวหันหน้าเปื้อนแป้งมายิ้มแฉ่งให้ยายชม

ยายยังไม่ทันตอบ น้องข้าวสาวใหม่ๆก็หันกลับไปโบ๊ะหน้าต่ออย่างสบายอารมณ์

สตรีในโลกอะไร(วะ)? ขาดความสวยไม่ได้ พวกเธอทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะคงความสวยนั้นไว้ให้ได้มากและนานที่สุด ขวัญข้าวก็เช่นกัน

"ผู้หญิงเรายังไงๆก็ต้องสวยไว้ก่อน ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ เกิดมาเป็นผู้หญิงมันก็ดีอย่างที่ได้ใช้เครื่องสำอางนี่ล่ะ"

แต่ผู้ชายในโลกอะไร(วะ)? กลับคิดเห็นตรงกันข้าม

"ไม่รู้จะโบ๊ะไปทำไม เด็กก็ไม่ยอมเป็นเด็ก แก่ก็ไม่ยอมแก่ ผู้หญิงนี่เข้าใจยากไปซะหมด "







"พอน" ... หญิงสาวธรรมดาๆคนหนึ่งบนโลกอะไร(วะ)? เธอก็ชอบความสวยเหมือนกัน เพราะเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ...

แต่มีอย่างนึงที่ไม่สามัญในตัวเํธอ คือเธอไม่ใช้เครื่องสำอาง ...

และถึงแม้พอนจะไม่ใช้เครื่องสำอาง แต่พอนก็ไม่เคยศรัทธาในประโยคที่ว่า "ความสวยอยู่ที่ไต" พอนจึงอยู่กึ่งกลางระหว่างสองฝ่าย และเธอก็ไม่คิดจะฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้น

พอนเชื่อลึกๆว่า ความเป็นกลางของเธอคือ"ความสวย" และยังเชื่อลึกยิ่งกว่าลึกๆอีกว่า "ความสวย" นั้นไม่เป็นหนึ่งเดียว แต่มันคือลักษณะที่เป็นไปตามความชื่นชอบ และประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคน

พอนเชื่อเช่นนั้นมาตลอดทั้งชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่ง ความดื้อรั้นขวางโลกอะไร(วะ)? ของเธอก็ได้ทลายลง


เมื่ื่ือพอนได้สังเกตกิริยาอาการยามแต่งหน้าของโอเลเพื่อนสาวของเธอ จากนั้นเธอก็ได้ประจักษ์และบรรลุถึง'ดวงตาเห็นความสวย'ในที่สุด

เดิมทีพอนมักจะคิดว่า โอเลจะแต่งหน้าไปทำไมในเมื่อ เมื่อโอเลล้างหน้าออกทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม หนำซ้ำพอนยังเห็นว่า โอเลในยามที่อยู่ภายใต้หน้ากากเครื่องสำอางนั่น ดูจะมีความเป็นมนุษย์น้อยลงไปทุกที

แต่มาวันนี้เมื่อพอนบรรลุ เธอกลับ ..

"โอเลไม่ได้แต่งหน้าให้ดูดีกว่าที่เป็น แต่โอเลกำลังแต่งหน้าให้แตกต่างจากที่เป็นต่างหาก" พอนคิดในใจเงียบๆระหว่างโบกมืออำลาโอเล

ขณะกลับบ้านพอนมองขึ้นไปบนฟ้าสีม่วงปนส้ม และพบว่าวันนี้ฟ้าสวยยิ่งนัก
"ฟ้าสวย เพราะมันไม่เหมือนอย่างที่มันเคยเป็น" พอนพึมพำ


ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ... โอเล นีเวีย และเพื่อนๆของพอนทั้งหลายต่างต้องประหลาดใจกับโฉมใหม่ของพอน

พอนภายใต้หน้ากากเครื่องประทินโฉมยิ้มรับสีหน้าผวาดผวาของบรรดาเพื่อนๆ อย่างสบายอารมณ์

เสียงกรีดร้อง ด้วยความขยาดดังเซงแซ่ขึ้น อย่างไม่ขาดสายตามรายทางที่พอนก้าวผ่าน

พอนกระหยิ่มยิ้มย่องกับเสียงตอบรับอันล้นหลาม ...
เสียงตอบรับที่มีให้กับ...ความสวยของเธอ...

พอนอดที่จะเดินไปส่องกระจกไม่ได้ ตัวเธอเองในกระจกยิ้มตอบกลับมาอย่างขี้เล่น ชวนให้พอนหลงใหลได้ปลื้มกับโฉมใหม่ของตัวเองอย่างไม่ยอมโงหัว

ริมฝีปากเปรอะลิปสติก คิ้วโก่งยาวเกินขนาด แก้มสีม่วงเข้มข้างหนึ่ง สีเขียวเข้มอีกข้างหนึ่ง นั่นคือพอน ...

พอนดีใจที่เธอตาสว่างเสียที แม้เธอจะเสียดายเวลาที่ผ่านมาแต่เธอก็ยินดียิ่ง ที่ครั้งหนึ่งเธอได้มีโอกาสรู้จักความสวยที่แท้จริง

หลังจากวันนั้นเพื่อนทุกคนของพอนลงมติว่าพอนเสียสติไปแล้ว ทุกคนจึงเลิกคบพอนอย่างไร้เยื่อใย ด้วยเกรงว่าตนจะติดเชื้อความสวยประหลาดๆมาจากพอน

แม้จะเป็นเช่นนั้น ...
แม้พอนจะไร้เพื่อน แต่วันนี้พอนไม่สนใจอีกต่อไป เพราะการไม่มีเพื่อนก็เป็นความสวยอย่างหนึ่งที่พอนปรารถนา
"มันเปลี่ยนไป เพื่อน...ไม่มี ... สวยเนอะ" พอนคิด

พอนอยู่คนเดียวเรื่อยมา ทำให้พอนมีเวลาศึกษาและเที่ยวชมธรรมชาติให้มากขึ้น
และพอนก็พบว่า สรรพสิ่งช่างงดงาม เพราะทุกๆวันนั้น ธรรมชาติช่างมีรายละเอียดที่ไม่ซ้ำกันเลยสักวัน


"วันนี้ฉันสวยจัง" พอนพูดกับตัวเองในกระจกเช่นนี้ทุกๆเช้าเพราะเธอแก่ขึ้นในทุกๆวัน




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2551 18:49:06 น.
Counter : 308 Pageviews.  

โลกอะไร(วะ)? : แว่นตาแตก



คนในโลกอะไร(วะ)?ใส่แว่นตาทุกคน
แตกเป็นคนในโลกอะไร(วะ)?
ดังนั้นแตกจึงใส่แว่นตา

แว่นตาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์บนโลกอะไร(วะ)?
ไม่เคยมีใครรู้ว่าแว่นตาอุบัติขึ้นมาในโลกอะไร(วะ)?ตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยใคร และเพื่ออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือทุกคนรู้ว่าแว่นตามีประโยชน์

เมื่อแว่นมีประโยชน์ คุณแตกและทุกๆคน จึงสวมใส่แว่นตาราวกับเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสาม

แตกใช้ชีวิตกับแว่นตาขาเกสุดที่รักอย่างมีความสุขเรื่อยมา..
แตกมองโลกอะไร(วะ)? ผ่านแว่นตาขาเกได้อย่างชัดเจนเหมือนคนอื่นๆ

แตกคิดว่าคนอื่นๆเห็นสิ่งเดียวกับที่แตกเห็น
และคนอื่นๆก็คิดว่าแตกเห็นสิ่งเดียวกันกับพวกเขา


แตกมีชีวิตที่สงบสุขเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง



แตกเริ่มสงสัยว่า เป็นเพราะแว่นตารึเปล่าที่ทำให้โลกอะไร(วะ)?สงบสุขขนาดนี้
แตกจึงเฝ้าขอบคุณแว่นตาทุกเช้าทุกเย็น ที่ช่วยให้โลกของแตกปราศจากการทะเลาะเบาะแว้ง อันเนื่องมาจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันของคน


ชาวบ้านคนหนึ่งเ่ล่าให้เราฟังว่า "ไอ้แตกมันประสาท เชิดชูบูชาแว่นตาอยู่ได้ เนี่ยมันเพิ่งจะตั้งศาลแว่นตาที่หน้าบ้านมัน"

จากนั้นไม่นานศาลแว่นตาก็กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ยายต้อย(เจ้ามือหวยใต้น้ำ) : อ้อ เจ้าพ่อแว่นตาแตกน่ะหรอ ใครๆก็ว่ามันบ้าน่ะตอนแรก แต่ตอนนี้เฮโลไปหามันกันหมด มันพูดอะไรคนก็เชื่อไปหมดแล้วตอนนี้

ทั้งที่แว่นตาของแตกก็เป็นแว่นธรรมดาเหมือนกับของชาวบ้าน จะผิดกันก็แต่ขาเกหน่อยเดียวเท่านั้น ทำไมชาวบ้านถึงได้มาเคารพนับถือกันก็ไม่รู้....



ไม่นานต่อมาเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นกับแตก แว่นตาของแตกมันแตก .. แตกไม่เ็ป็นชิ้นดีเลย แตกก็เลยเสียใจราวกับตับจะแตก

จากวันนั้นแตกก็เปลี่ยนไป...

ศาลเจ้าพ่อแว่นตาแตก กลายเป็นศาลเจ้าพ่อที่เป็นจริงที่สุดในโลกอะไร(วะ)?
ก็เพราะแว่นตามันแตกจริงๆแล้วคราวนี้

ศาลเจ้าพ่อแว่นตาแตก กลายเป็นศาลเจ้าพ่อที่เป็นจริงที่สุดในโลกอะไร(วะ)?
ก็เพราะแว่นตามันแตกจริงๆแล้วคราวนี้

แตกเปลี่ยนไปเป็นขลุกตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน
ศาลเจ้าพ่อแว่นตาแตกกลายเป็นศาลร้าง แต่ก็ยังมีคนมาบนบานอยู่ประปราย

ในตอนแรกที่แว่นตาของแตกแตกใหม่ๆ แตกเริ่มมองโลกอะไร(วะ)? แตกต่างออกไปจากชาวบ้าน แตกเลยกลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง นานวันเข้าชาวบ้านก็ไม่ยอมรับแตก เพราะว่าแตกนั้นแตกต่างเกินไป ชาวบ้านเริ่มไม่เห็นแตกในสายตา เพราะสายตาของชาวบ้านมีไว้มองสิ่งธรรมดาๆที่แว่นตาให้มองเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้แตกจึงต้องเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใครให้เจ็บช้ำน้ำใจ

แตกจึงเริ่มเขียนอะไรเรื่อยเปื่อย แตกบันทึกสิ่งที่เขาและเห็นบรรยายสิ่งที่เขาคิด แตกหมายมั่นว่าจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตเขาก็ยังจะเขียน

.....
.....
.....

ตอนนี้แตกไม่สนใจคำครหาของชาวบ้านอีกต่อไป แตกรู้ว่าการที่แว่นตาของเขาแตกนั้นมันต้องมีสาเหตุ
และยิ่งนานวันเข้าแตกยิ่งเชื่อมันว่า จะต้องมีคนที่แว่นตาแตกเช่นเขาอีกไม่มากก็น้อย บนโลกอะไร(วะ)?แห่งนี้


นอกจากนี้แตกยังหวังไว้ด้วยว่าเขาจะสามารถ ทำลายแว่นตาของมนุษยโลกอะไร(วะ)? ได้ในวันใดก็วันหนึ่ง ด้วยหนังสือที่เขาเขียนขึ้น

แม้แตกจะมีอุดมการณ์และปณิธานอันแรงกล้าดังนี้ แต่แตกก็ติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือ เขาจะตั้งชื่อหนังสือนี้ว่าอย่างไรดี ...

"เอาเถอะ ผมยังไม่คิดตอนนี้หรอก บางทีผมอาจจะตั้งชื่อมันว่า โลกมนุษย์ก็ได้"





 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2551 18:46:47 น.
Counter : 200 Pageviews.  

โลกอะไร(วะ)? : กวีมีเยอะ



โลกอะไร(วะ)?นั้นมีกวีมากเกินประมาณ

เมื่อสิบกว่าปีก่อนกระแสตื่นตัวกลัวกวีจะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินได้อุบัติขึ้น
จนเป็นที่น่าตระหนกและชวนให้ตระหนักว่าทำไมกระแสเช่นนี้ถึงผุดโผล่ขึ้นมาได้

มาบัดนี้, โลกอะไร(วะ)? กลายเป็นโลกที่มีกวีผุดขึ้นอย่างล้นหลาม
ส่งผลให้สนามกวีที่มีอยู่ไม่มากนัก เกิดภาวะแออัด
สลัมกวีขยายบริเวณ

กวีแย่งกันคิด,แย่งกันเขียนมากขึ้น จนต้องมีการออกกฎหมายมารองรับ และควบคุมพฤติกรรมของกวีเหล่านี้ แต่ทั้งนี้กฎดังกล่าวก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมากนัก

เมื่อหลายวันที่ผ่านมากวีต๋อย(นามสมมติ) ถูกจับในข้อหาขโมยความคิดของกวีอ๋อย(นามสมมติ)
เนื่องด้วยกวีต๋อยรับเละ(สองบาทห้าสิบสตางค์ค่าเรื่อง..) จากการที่กวีต๋อยได้ลอกความคิดกวีอ๋อยแล้วดัดแปลงพอเป็นพิธีเพื่อส่ง สนพ.

หนำซ้ำยังมีข่าวกวีเบิ้ม(ตัวแม่ในวงการ)เผลอผูกขาดหน้ากระดาษอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยเหตุที่สนพ.รักในนามของพี่เบิ้มอย่างเหนียวแน่น

ดังนั้นในขณะที่โลกอื่นๆครวญคราง ร่ำร้อง ตีโพยตีพายหากวี กลัวกวีจะแล้งแหล่ง... แต่โลกอะไร(วะ)?กลับมีกวีมากจนเกินจะรับไหว
ทั้งเด็กแก่แม่พ่อ ลุงป้าน้าอา บางบ้านเป็นกวีกันทั้งโคตร
ตื่นเช้ามาก็ตั้งวงต่อกลอน

ปัจจุบันสภาพแออัดเช่นนี้เริ่มเป็นที่คุ้นชินแก่ผู้คน ผิดกับเมื่อช่วงปีที่ปรากฏการณ์นี้เริ่มต้นขึ้น
ชาวบ้านต้องทุกข์ถนัดเพราะจู่ๆคนขายปาท่องโก๋หน้าบ้านกลับกลายเป็นกวีมาซะดื้อๆ
วันๆนั่งแต่งแต่กลอน ปาท่องโก๋ก็ไม่ขาย

ไม่ใช่แต่เฉพาะคนขายปาท่องโก๋นะ ใครๆก็กลายเป็นกวี พนักงานเก็บตั๋วรถเมล์ก็กลายเป็นกวีไปซะอย่างนั้น
ใครจะจ่ายค่าโดยสารต้องบอกป้ายที่จะลงเป็นภาษากวี (ไม่งั้นเจ๊แกไม่เก็บ เดือดร้อนรัฐอีก)

ช่วงหลังมานี่จึงค่อยดีหน่อย ทุกคนทำงานตามหน้าที่
คนขายปาท่องโก๋ ไม่สิต้องเรียก "กวีปาท่องโก๋" ก็กลับมาขายปาท่องโก๋อย่างเดิม จะผิดจากเดิมนิดหน่อยก็ตรงที่ปาท่องโก๋ขดเป็นคำๆ เอาไว้ให้กวีปาท่องโก๋และลูกค้าได้แสดงความสามารถในการแต่งไฮกุ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโลกอะไร(วะ)? จะเคยชินกับปริมาณกวีที่คับคั่งในที่คับแคบ
แต่ปัญหาอาชญากรรม, รวมทั้งคดีเบ็ดเตล็ดต่างๆก็ยังคงทวีปริมาณและความรุนแรง จนกลายเป็นปัญหาสำคัญของโลกอะไร(วะ)?ในอันดับต้นๆ

จึงวันนี้...
คำพูดที่ว่า "ใครๆก็เป็นกวีได้" "มาเป็นกวีกันเถอะ" "กวีศักดิ์ศรีชาติ" รวมถึง "กวีมีค่าอย่าทำลาย" ของพวกนักอนุรักษนิยมในสมัยเก่าๆก่อนจะมีการพุ่งพรวดของปริมาณกวี
ได้ถูกแทนที่ด้วยคำพูดที่ว่า "เอากวีออกไป" "ร้อยแก้วไม่แห้วอย่างที่คิด" หรือกระทั่ง "ระวัง กวีดุ"

ยุคที่ใครๆก็เป็นกวี จึงอาจไม่ใช่ยุคที่น่าพิสมัยอย่างในความคิดของบางโลกที่ต้องการ และ่เทิดทูนกวีกันเสียเหลือเกิน

และถ้ากวีมันจะล้นเป็นน้ำหลากแล้วเกิดปัญหาขนาดนี้ ก็ให้มันแห้งแล้งไปซะเถอะ




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2551 18:45:21 น.
Counter : 208 Pageviews.  

โลกอะไร(วะ)? : ของแท้, เทียม, และผลประโยชน์

โลกอะไร(วะ)? : ของแท้, เทียม, และผลประโยชน์


ระหว่างวันอันวุ่นวาย โลกอันอลหม่าน
ขณะที่ของแท้ของเทียม ทั้งมีชีวิตและไร้ชีวิต เกลื่อนกลาด ก่ายกอง อยู่ทั่วทุกมุมโลก

ในบางขณะ...
ที่นักร้องรณรงค์ให้ผู้ฟังอุดหนุนผลงานเพลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แต่ตนกลับซื้อหนังเถื่อนมาชมอย่างสบายอารมณ์

ในบางขณะ...
ที่นักแสดงวิงวอนให้ผู้ชมตะเกียกตะกายป่ายราคาซื้อแผ่นแท้
แต่ตนกลับยังฟังMP3 ที่โหลดมาฟรีๆอย่างสบายอารมณ์

ไม่น่าแปลกและไม่น่ารังเกียจอะไรสำหรับพฤติกรรมเช่นนั้นในยุคนี้ ยุคที่การกระทำกำหนดด้วยผลประโยชน์

หรือพูดให้งงเล่นอีกครั้งว่า ผลประโยชน์เป็นเครื่องกำหนดการกระทำ

...

ถ้ายังไม่ชัดเจนในเนื้อหาพอ หรืออ่านแล้วคิดไม่ออก ไม่เข้าใจในสาระแห่งโลกนี้ ... ก็เลิกอ่านเถอะ ...

แล้วไปอ่านโลกจริงๆแทน (เผื่ออะไรมันจะเข้าใจง่ายกว่า โลกอะไร(วะ)?)

...

ล่าสุด ของใหม่มาแรง คือ หนังสือเรียนปลอม

โรงพิมพ์ผู้ผูกขาดรายได้อันเป็นกอบเป็นกำ ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ และจับกุม หนังสือเรียนเหล่านี้อย่างออกหน้าออกตา

จึงไม่วายที่ตำรวจจะต้องไปตามจับ ...
หนังสือเรียน ที่ "เลียน" แบบขึ้นมานี้ ซึ่งว่ากันว่าคุณภาพด้อยกว่าของแท้...

จะด้อยหรือไม่ด้อยกว่าทางด้านเนื้อหา ก็ต้องพิจารณาตัวต้นฉบับกันเอา เพราะก๊อปกันมาทั้งดุ้น ส่วนที่เขาว่ากันว่าด้อยโดยแท้คือคุณภาพหมึก ความคมชัดของภาพและตัวอักษร

มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกอะไร(วะ)?
แต่ออกจะแปลก แบบพิลึกพิลั่นอยู่ซะหน่อย ... สำหรับโลกอื่น
เพราะ ต่างจากปัญหาการขาดแคลนหนังสือเรียน อย่างที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาในโลกนู้นนนน

...
ด้วยเหตุที่ประเด็นนี้เป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดา
อยู่คู่โลกอะไร(วะ)? มานานนมแล้ว
นักวิชากรรมเลยจับมาวิเคราะห์ซะให้ถึงขนาด

แล้วเขาก็สรุปตามๆกันมาว่า อ้ายปัญหาหนังสือเก๊ มันมีสาเหตุหลักมาจากผลประโยชน์ที่ล่อความละโมภของมนุษย์ และชนะจริยธรรมอันไร้กำลังของคนเราได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ในสภาพสังคมที่บีบคั้นด้วยทุกข์นานาประการเช่นนี้

จากนั้นนักวิชา(ผู้มี)กรรมอีกคนก็มาเสริมต่อ
เขาบอกว่า "ซึ่งผลประโยชน์นั้น จะทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม ก่อให้เกิดยุคสมัยสังคมที่เสื่อมโทรม"

นักวิชากรรมคนที่สาม แห่งโลกอะไร(วะ)?จึงนิ่งไปพักหนึ่ง
แล้วพึมพำในลำคอว่า "ทำไมตอนกุเด็กๆ หนังสือไม่เห็นต้องมีสี, คมชัด หรือถนอมสายตาเลยวะ "

....
ไม่นาน...
นักวิชากรรมคนที่สามก็กองประเด็นธรรมด๊าธรรมดานั้ไว้
แล้วกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์ เพื่อไปดูหนังเถื่อน(ยืมมาจากท่านนักวิชากรรมคนที่สอง) ที่ไม่คมชัดแต่ดูรู้เรื่อง(ดีกว่าไม่มีดู)

๒๑ มีนาคม ๒๕๕๑




 

Create Date : 29 มีนาคม 2551    
Last Update : 29 มีนาคม 2551 20:32:15 น.
Counter : 304 Pageviews.  


มดส้มจ่อย
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add มดส้มจ่อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.