Group Blog
 
All blogs
 
แก๊งค์ลูกหมูตะลุยจับกวาง

หลังจากรอคอยกันมานาน จะเปลี่ยนใจกันก็หลายหน โยนหัวโยนก้อย กันอยู่หลายรอบ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
เช้าวันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2547 วันที่จะเหินฟ้าไปจับกวางขาวๆ ปากห้อยๆ กันซะที ลูกหมูหกตัวนัดเจอกันที่ ดอนเมือง
(ที่ๆวิ่งเล่นกันจนพลุนมาหลายรอบ) เวลาเก้าโมงเช้า เหอๆๆ มากันตรงเวลา เป๊ง ประหนึ่งกลัวต้องวิ่งขึ้นเครื่อง
งานนี้ขอเดินเนิบๆ เฉิดฉายในแอร์พอร์ต แบบนักท่องเที่ยวธรรมดาบ้างเถอะว้า.. ตรูวิ่งจนหอบมาหลายรอบและ..
TG 668 พาแก๊งค์ลูกหมู มาถึงกวางโจว บ่ายสามโมง อื้อออ อากาศเย็นน่าเดินเล่นมั๊กมาก.. โค้ทกะถุงมือตรูได้ใช้แล้วเว้ยเฮ้ย..
แต่กว่าเราจะได้ออกจากสนามบินอันโอฬารแห่งนี้ ก็ปาไปเกือบห้าโมง.. เนื่องจากคณะวีวีสตาร์ที่มารับเราต้องรอเพื่อน
ที่มาจากเซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง..
เดินทางจากสนามบินถึงในตัวเมืองกวางโจว ใช้เวลาประมาณหนึ่งชม. พอรถแล่นเข้าตัวเมือง ก็ได้เห็นว่บ้านเมืองเค้าเจริญใช่เล่น
ดูสะอาดตากว่าที่คิด และแล้วเรื่องนอยๆ ก็เกิดขึ้นจนด้ายยย แก๊งค์ลูกหมูเจอน้องหมวยหลอก ซะงั้น..
ก็รถ airport expressมาส่งเราหน้าโรงแรมสุดหรูแห่งหนึ่ง โอโห..น้องหมวยจองโรงแรมได้ถูกใจเจ๊เจงๆ
ที่ไหนได้ น้องหมวยหันมาพูดว่า this way เกิดอาการเง็งๆ ว่ามะใช่ที่นี่เหรอ.. อะ เดินก็เดิน.. กระเป๋าตรูก็นะ
หั่นเสี้ยวเทียนใส่ไปได้ทั้งคน..ต้องเดินลากข้ามถนนในกวางโจว ที่รถมันวิ่งกันขวักไขว่ ไอ่คนเดินก็ไม่สนใจรถ
สะพานลอยก็มีไว้ เป็นเหล่าเต๊ง ของคนจรจัด ..
เดินผ่านแยกที่หนึ่ง พอทำใจ
เดินผ่านแยกที่สอง มีอาหารพอล่อน้ำลาย
เดินผ่านแยกที่สาม อิหมวยเมิงตาย.. พาตรูเดิน มาสามกิโลแม้วแล้วนะเว้ย.. เมื่อไหร่จะถึง.. อีกนิด ได้ฆ่าหั่นศพ
หมวย ยัดกระเป๋าเดินทางตรูแล้วววว
ดีว่าแยกที่สี่ มาให้เห็น ทันตา .. อิหมวย รอดตายไปซะงั้น..
พาเดินมาไกลโข แล้วยังต้องมารอแบ่งห้องกันอีก.. หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย... ช้าอีกนิด กินหมวยเซี่ยงไฮ้
กวางเจา ปักกิ่ง เป็นอาหารแน่แล้ว..
อาหารเย็นมื้อนี้ เป็น บะหมี่เกี๊ยว ที่เห็น แล้วต้องกระโจนใส่ เกี๊ยว ลูกใหญ่มั๊กมาก.. ต้องขอบคุณพี่นก
ที่ช่วยทำให้แก๊งค์ลูกหมู ไม่อดตาย.. เพราะทุกคนภาษาจีนกระดิกอยู่แค่ขนรอบๆรูหู .. อิ อิ จิ้มรูปหน้าร้าน
กว่าจะถึงบางอ้อว่า รูปมันบอกแค่ว่า ไอ้นั่นนะ.. เกี๊ยวกุ้ง+ไข่กุ้ง .. ไม่ใช่เสิร์ฟเป็นจานแบบน้านนนน..


( สนามบินไป่หยุน ที่น้องหมวยว่า ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชีย รอสุวรรณภูมิบ้านเราก่อนเต๊อะ.. ชริ ชริ)

Beijing Lu

พอกินอิ่มก็เริ่มตาสว่าง สติ เริ่มกลับมา โรงแรมที่น้องหมวยจองให้นั้น
อยู่บนถนน เป่ยจิงลู่ ( ลู่ แปลว่า ถนน ) ทีแรกแอบนอยว่า เป่ยจิงลู่แล้วงัย
มองไปตรงข้ามโรงแรม เห็น shop discount ของ บาเลโน .. ฮึ่มๆๆ มีแค่เนี๊ยะ
ที่ไหนได้.. พอท้องอิ่มสมองปลอดโปร่ง ตาก็เริ่มสว่าง.. เป่ยจิงลู่ มีอะไรดี..

รู้กัน..

สตอเบอรี่ ชุบน้ำตาล ลูกอวบๆ ปิดท้ายด้วยส้มน้อยๆ หนึ่งเม็ดอยู่ที่ปลายไม้
อาหย่อยยยยยยย..

(ปล. ไอ้ส้มน้อยเม็ดสุดท้ายเนี่ย.. มีคนได้ลิ้มรสแค่สองคน .. คือป้า กะ นก
กิ้งโค้ง.. ไอ้ไม้แรกเกี่ยงกันกิน ป้าทำใจ กินเองก็ได้วะ.. อู้หู.. รสชาติอาหย่อย
อย่าบอกใคร.. จากนั้นลูกหมูขี้อิจฉาทั้งหลาย ก็อยากกินส้มน้อยซะอย่างงั้น
แต่คราวนี้ซื้อกี่ไม้ก็ได้แต่ พุทธาเชื่อม.. ลูกหมูไจโกะยอมซื้อองุ่นมาหนึ่งไม้
เพราะเห็นว่ามีส้มน้อยอยู่ปลายไม้ .. (กว่าจะยอมซื้อก็วันสุดท้ายแล้ว) ลูกหมู
ไจโกะ หลอกล่อให้ทุกคนกินองุ่น ตัวเอง ปล่อยองุ่นไม้นั้นไว้ แล้วไปแพ็ค
กระเป๋า หน้าเค้าท์เตอร์โรงแรม.. เงยหน้าขึ้นมาอีกที "เฮ้ย ..ส้มหายไปไหน!!"
อิ อิ อิ.. นกกิ้งโค้งดวดไปทางปลายไม้.. ซะงั้น.. ลูกหมูไจโกะ.. ทำได้แค่
เอามือกุมกบาล.. อดกิง.. )

เป่ยจิงลู่ มี เขาวงกต IP-Zone

พอเห็นร้านเท่านั้นแหละ.. แก๊งค์ลูกหมู.. อู้หู.. อู้หู.. ตี๋ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่ ตี๋(ปาก)ห้อย ตี๋เม้ม
มีทุกแบบ ตื่นตาตื่นใจ.. วนดูทุกซอกทุกมุน .. จะสอยตั้งแต่วันแรก ก็เกรงจาย.. เล็งๆไว้วันสุดท้ายค่อยมาสอย
ตอนนี้น้องๆ หมวยทั้งหลายก็อยู่ในร้านด้วย ลูกค้าในร้านเป็นแก๊งค์ตี๋กันหมด จนพนักงานที่ขายของลดราคา
เปลี่ยนคำที่เชียร์ๆ อยู่ มาเรียกชื่อ อู๋เจี้ยนหาว เป็นระยะๆ.. มันส์เค้าหละ..
เดินวนรอบเขาวงกต กันจนเหนื่อย แก๊งค์ลูกหมูก็ตั้งท่าจะมูฟ .. เริ่มเรียงแถวนับหัวหมู.. อ๊ะ.. หายไปหนึ่งหมู..
เอาละวา ลูกหมูนิค หายไปตั้งกะวันแรก.. เดินหากันจนทั่วร้าน วนหากันอยู่หลายรอบ ก็หาม่ายเจอ..
กะตะโกนเรียกอยู่แล้ว.. น้องลูกหมู เดินหัวฟู ออกมาจากห้องแต่งตัว.. น้องจ๋า..วันหลังไปไหน แจ้งให้ทราบหน่อยนะจ๊ะ..
ป้าหมูจะเป็งลม.. นึกว่าทำลูกเค้าหายซะแล้วววว.. แต่การอ้อยอิ่ง .. อยู่ใน เขาวงกตไอพีโซน..
ทำให้แก๊งค์ลูกหมู ต่อรองทั้งถุง ทั้งโปสเตอร์ กันแบบ ไม่รู้จักอิ่ม.. ซื้อถุงเท้า เอาถุง ซื้อร่ม เอาโปสเตอร์ กันซะงั้น..
เล่นเอาเป็นที่โจทก์ขานของพนักงานกันไป ถึงกะต้องเดินมาถาม..ว่ามาจากไหน.. ตอบอย่างภาคภูมิใจ ในภูมิภาค..
" ไท่กั๊วเหลิน ".. ไม่ไรป่าวววว..

( ลูกหมูสีจมปู หลงระเริงเขาวงกต.. อุ อุ)

เป่ยจิงลู่.. มี ป้อ กะ เทียน.. น่าร๊าก..

แต่เนื่องจากใช้พลังงานในเขาวงกต ไปซะหมด..
เห็นอ้วนยังเฉย แถม ไม่เห็นรูปข้างบนซะงั้น..
พอมาเห็นในกล้องทวด เลยต้องแหงนไปดูอีกรอบ..

หมดแรง บะหมี่เกี๊ยว กันด้วย บรรยากาศ ถนนเป่ยจิงลู่ ในคืนแรกของการจับกวาง..

ปุ้งนี้.. กวางขาวๆ ปากห้อยๆ จะมาถึง สนามบินไป่หยุน ตอนสิบเอ็ดโมง.. ต้องเก็บแรง
กันก่อนแหล่ว..


วันที่ 5 ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ .. ขอให้คุณพ่อมีความสุข

เป็นเช้าวันใหม่ ในกวางโจว ที่แสนจะตื่นเต้น เพราะขนาดนอนไปตอนประมาณ
เกือบตีสี่ ยังสามารถตื่นมาได้ตอน 7 โมงเช้า ก็ตั้งแต่งานคอนฯที่เมืองไทย
ก็ปาไป 1 ไตรมาสกว่าๆ แล้ว ที่ไม่ได้เจอ พ่อเทวดาหน้าหยกทั้งหลาย ถึงจะเจอ
แค่คนเดียวก็เถอะ.. งี๊ดๆๆ แอบอยากเจอ มากกว่าหนึ่ง ฮือๆๆๆๆ

เช้าวันนี้ต้องหาอาหารเช้ากระแทกท้องกันเอง เพราะดูท่าทางน้องหมวยทั้งหลาย
เธอก็วุ่นๆ กับการเตรียมการต้อนรับน้องตี๋ และ จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ คณะจับ
กวางจากไท่กั๊ว ซึ่ง นอกจากแก๊งค์ลูกหมูแล้ว ยังมี พี่นก ป้าแวน พี่อ้อย จูตาล
พี่คุณนาย แล้วก็เพื่อนพี่คุณนาย (ที่คุ้นหน้าทุกงาน แต่.. แฮะๆๆ จำชื่อบ่ได้ ..
ขออำภัย) งานนี้ไม่ได้พี่นกเราคงไม่ได้กิน โจ๊กแสนอร่อย กับ บะหมี่เกี๊ยว ที่รู้สึก
ว่าเมื่อคืนยังไม่หนำใจ แต่หลังจากมื้อเช้านี้แล้ว.. แก๊งค์ลูกหมู สั่งลา บะหมี่เกี๊ยว
กวางโจว..ไปเลย.. พอเห็นเกี๊ยว ร้อง “ เบื่อโว้ย !!” ทันที.. เรากินข้าวเช้ากันแบบ
ไม่รู้จักอิ่ม เหมือนจะรู้ว่า เรื่องนอยเรื่องที่สอง กะลังจะเกิดขึ้นในเย็นวันนี้.. อุ อุ

กินเสร็จ ก็ กลับไปเดินเล่นบนถนนเส้นเมื่อคืน.. แล้วก็ย้อนกลับไปโรงแรมตาม
เวลานัด คือ 10 โมง ยืนรอพลพรรค กันจนครบถ้วน ก็มูฟกันไปขึ้นรถบัส ตรงลาน
จอดรถด้านหลังโรงแรม .. พอเห็นรถ.. อื้ออออออออออหือออออออ ( ว่าจะถ่าย
รูปมา .. แล้วก็ลืม) น้องหมวยวีวี ตกแต่งรถบัสคันงาม ด้วยแบนเนอร์น้องตี๋ ไฟล์
แอนด์ไอซ์ ซึ่งพวกเรายังไม่ได้เห็นโฆษณาเต็มๆ เลย ตอนที่ออกมาจาก ไท่กั๊ว

ได้เวลา.. ออกเดินทาง.. มากวางโจว ครั้งแรก.. แต่ขอบอก สนามบินไป่หยุน..
คุ้นแล้วเว้ยเฮ้ย.. เดินจนพลุน ใหญ่ และสวย จริงๆ.. เนื่องจากเมื่อวานเย็นเรายังไม่
คุ้นสถานที่เลยไม่กล้าแตกแถวไปไหน แต่วันนี้มาอีกรอบเราเลยแยกตัวออกมา
เดินหา mapเมืองกวางโจว เพราะว่า จะต้องอยู่ต่ออีก 3 วัน ถ้าไม่มี map สงสัย
ต้องเล่น อีตักกันในโรงแรมเป็นแน่ พอเช็คเวลาเครื่องที่น้องตี๋มา แล้วก็ปล่อยทวด
ให้ยืนเกาะกระจก.. รอลูกชาย ลูกหมูที่เหลือ ก็ไปตะลุยหา map.. ขอบอกว่า
กระทั่งเจ้าหน้าที่สนามบิน ภาษาอังกฤษ ยังไม่กระดิกหู.. สุดท้าย เดินขึ้นเดินลง
กันจนเวียนหัว เก๊าะ ไม่ได้แผนที่อยู่ดี.. เฮ้อ.. หมูนอย..

แต่ก็ด้วยอาการเดินสำรวจเนี๊ยะแหละ.. แก๊งค์ลูกหมูเลยได้เจอร้านเอสแอนด์เค
ร้านที่สองในกวางโจว ซึ่งร้านแรกที่เจอเมื่อคืน เราพยายามเจรจาต้าอ้วย ขอนู่น
ขอนี่เป็นการใหญ่ แต่ก็ได้อะไรมาไม่มาก อาจจะเพราะลูกค้าเยอะ เค้าเลยไม่ง้อ
แต่ที่สนามบิน ร้านเงียบเป็นเป่าสาก เราก็เลยไปสร้างความคึกคัก ด้วยการซื้อร่ม
แค่ 1 คัน.. ที่เหลือ แม่สั่งให้มา ขอ.. อิ อิ ได้ถุงใบเล็กใบน้อยมาเพียบอยู่ แถม
ได้ถ่ายรูปกะอ้วน .. ที่หลบไปยืนเหงาๆ อยู่ข้างเสาคนเดียว.. มัวหลงระเริง จนลืม
เวลา เลยต้องวิ่งหน้าตั้งกลับมารอรับน้องตี๋ และแล้ว ก็รู้ว่า อ้วนขโมยถุงมือไปข้าง
นึง.. แง๊ๆๆๆ ถุงมือคู่ละ 890 ... หายไปเพราะมัวแต่ หลงระเริงกะอ้วนข้างเสา..
ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

.. บรรยากาศสนามบินไป่หยุน ..



นาทีระทึก very moment

สมาชิกบ้านเม้ง คงทราบกันดีว่า ปกติ ปี้เอสเนี่ยจะปลูกแห้วไว้เป็นไร่ๆ เพราะเกือบ
ทุกครั้งที่เหล่าเทวดาหน้าหยกบินมาไท่กั๊ว ปี้ทั่นต้องมีอันชวดเกือบทุกทีซิน่า.. เหอๆๆ

แต่คราวนี้ คาดว่าพิกัดที่ตั้งของเมืองกวางโจว ไม่เหมาะสมกับการปลูกไร่แห้ว..
อย่างแรง หรืออาจเป็นเพราะ ทั่นปี้เอส และ ทวดเป็นคนตระกูลเฉิน บรรพบุรุษที่
กวางโจว เลยช่วยคุ้มครองให้สมหวังทุกประการ.. เหล่านี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ
ซึ่งเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ แต่มีปัจจัยหนึ่งที่อยู่ในความควบคุมของเรา คือ
ยางบนใบหน้า .. อุ อุ พอออกนอกประเทศไปในถิ่นที่เราไม่รู้จัก และก็ไม่มีใคร
สักคนรู้จักเรา เค้าด่าเราก็ฟังไม่รู้เรื่อง เราด่าเค้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง หน้าไปหลาอยู่บน
จอทีวีแม่ก็ไม่รู้ โอวอิสระเสรีที่เสี้ยวเทียนต้องการ ( ขอหน่อย )

ดังนั้น ไม่ทันต้องคิด และคิดไม่ทัน ปี้เอสซึ่งมีความได้เปรียบทางด้านรูปร่าง
พอไม่ต้องกลัวกล้องสะอย่าง พี่ทั่นก็สามารถเข้าไปยืนในจุดที่พอใจ แถมได้รับ
อากาศเบื้องบนไม่ต้องมาทน ดมหัวไม่สระผมของหมวยๆ ทั้งหลาย ให้ระคาย
ตะหมูก.. ( ไม่สูงบ้างแล้วไป.. ว้อย) เที่ยวบินน้องตี๋มาตรงเวลา ( เที๋ยว CZ ไรอะ
นู๋ลืม.. ฮืออ)

แต่ เหมือนบรรพบุรุษตระกูลเฉินจะกลั่นแกล้งให้น้องตี๋ ยืนรอกระเป๋า เป็นอนุสาวรีย์
ให้เราได้ยลกันอยู่นานสองนาน ถึงจะเห็นแต่ข้างหลัง แต่ก็เป็นที่อิ่มอกอิ่มใจ
เพราะยืนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน เกือบ 10 นาที ทำให้มีเวลาคิดว่า
จะเข้าไปประชิดตัวได้ด้วยวิธีใด และมีเวลาหยั่งรากให้มั่นกับพื้น พร้อมบอก
ตัวเองว่า “ ถ้าตรู ล้มลงไป เป็นศพแน่ๆ สหบาทาหมวย คงไม่ปรานีใคร”
คิดได้ดังนั้น ยืนกางขาให้มั่น .. มือขวาตั้งกล้อง ตาจับจ้องที่หลังน้องตี๋
พอตี๋เริ่มขยับ กล้องก็เริ่มทำงาน งานนี้หมูป้ายืนอยู่ห่างๆ ประมาณ 5-6 ก้าว
คลิปก็ได้มาห่างๆ แต่ก็เห็นน้องตี๋และพี่จือชัดเจน .. และแล้วน้องตี๋ ก็ค่อยๆ
เคลื่อนกลายออกมาจากสนามบิน..ใช้เวลาประมาณ นาทีกว่าๆ เกือบสองนาที
ขึ้นรถแวนคันสีขาว ออกจากสนามบินไป ช่วงเวลานั้น ลูกหมูไจโกะ ก็วิ่ง
แหกปากมาเหมือนโดนใครเชือด.. ปากก็ระร่ำระลัก พูดแต่ว่า.. จับมือ (เสียงสูง
ขึ้น ) จับมื้อ.. (สูงขึ้นอีก) จับมื๊ออออออออออ

เออ.. กรูรู้แล้วววว จับมือใครละเว้ย.. “จับมือตี๋ .. จับจูง จับจูง .. จือคว้ายังไม่
หวั่น.. จับไม่ปล่อยเลย”... ( เป็นจือหน่อยไม่ได้ พะจะหยิกให้เขียวเชียว..
อิจว้อย) พอรถตี๋ออกไปทวดก็วิ่งกลับมา หน้าซีดมั๊กมาก ช่วงนี้เหมือนว่า
เทพอุ้มสมประจำตัวทวดยังไม่ตื่นจากบรรทม.. หรือว่าเจอ เทพยักษ์ ของปี้เอส
ขวางดวงอยู่ก็ม่ายรุ.. อุ อุ ( เรื่องราวความประทับใจของแต่ละคนคงต้องให้ลูก
หมูแต่ละตัวมาแจกแจงกันเองเน้อ)


(อันนี้ยืนนิ่งเป็น อนุเสาวรีย์ อยู่ลิบๆ)


พอน้องตี๋ลับตาไป .. และสาวกทั้งหลายก็เริ่มหายจากอาการตื่นเต้น ก็ตั้งสติกัน..
แยกย้ายกันกลับโรงแรม เพื่อเตรียมตัวไปงาน .. แต่ท่าทางตะละคน สติมันวิ่งตาม
รถน้องตี๋ไปด้วย ทั้งหมวยทั้งไม่หมวยเดินกลับรถบัสกันไม่ถูก เดินผิดเดินถูกเกือบ
เข้าไปทัวร์รันเวย์ท้าลมหนาวในสนามบิน.. ซะงั้น

กลับมาถึงโรงแรมกี่โมงจำบ่ได้ รู้แต่ว่าน้องหมวยวีวี นัดให้ไปพร้อมกันที่หน้า
โรงแรมตอนประมาณ บ่าย 3 โมงครึ่ง ช่วงนี้เริ่มนอยกับที่นั่งในบัตรกันแล้ว เพราะ
ว่าน้องหมวยไม่ยอมแจกบัตรเข้างาน พอถามว่าจะได้นั่งตรงไหน ก็ตอบไม่ได้
เหมือนกัน แก๊งค์ลูกหมูเดินทางมาไกลก็อยากดูใกล้ๆ เลยสืบเสาะจนรู้ว่าที่ที่น้อง
หมวยจัดไว้ให้เรานั้นเป็นที่ที่อยู่บนชั้นสองข้างเวที รับรองไม่มีใครขึ้นไปบังได้..
เหอๆๆ แก๊งค์ลูกหมูไม่กัวแขกเฟร้ย.. เลยตะเกียกตะกาย เสียตังส์ค่าตั๋วกัน
อีกรอบเพื่อที่จะได้นั่งดูตี๋อย่างใกล้ชิด ..

กว่าจะรวมพล กันครบ แล้ว ย้ายก้น ไปที่ จงซานฮอลล์ ( Sun Zhongshan Jiniantang
= อนุสรณ์สถานซุนจางซานจี้เนี่ยนถาง : อยู่ใกล้กับถนนเจี่ยฟ่างเป่ยลู่
กับตงเฟิงลู่ หลังคามุงกระเบื้องสีน้ำเงิน สร้างขึ้นหลังอสัญกรรมของ ดร.ซุนยัดเซ็น
ในปี 1925 เสร็จสมบูรณ์ในปี 1931 โรงละครและห้องบรรยายมีเนื้อที่ 12,000
ตารางเมตร จุคนได้หลายพันคน – จากหนังสือนำเที่ยวของปี้เอส )
ไปถึงจงซานฮอล์ ก็ใกล้ๆ ห้าโมงแล้ว แก๊งค์ลูกหมูเริ่มรู้สึกตัวว่า โจ๊กกะเกี๊ยว
เมื่อเช้าถึงจะกินไปมากแค่ไหน ลูกหมูก็สามารถกักตุนอาหารได้แค่กระเพาะเดียว
เริ่มกระจองอแงบ่นหิว กันแล้ว.. ทีแรกว่าจะเดินเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ แต่รอกันไป
รอกันมาจนพิพิธภัณฑ์ปิด .. ซะงั้น . อด ได้แต่เกาะรั้วมอง ป๋องพี่เป๊บบิคเบ้งอยู่
หน้าฮอล์ น้องหมวยแจ้งให้ทราบว่าจะมีซาลาเปามาให้ตอนห้าโมงครึ่ง ฟังตั้งนาน
ไอ่ซาลาเปาเนี่ย ก็คือ พี่แมคโดนัล บ้านเรานี่เอง.. เอาฟระ เสียค่าบัตรไปพันนึง
(ค่าบัตรใหม่ที่นั่งดีกว่าสิริราคาไม่ถึง 500 ) กินของน้องหมวยให้คุ้มหน่อย..
(ลืมบอกไปว่า หน้างานมีตั๋วผีขายเพียบ ) และแล้วก็รู้ว่าคิดผิด ปาไปหกโมง
เปายังไม่มา นกกิ้งโค้งเริ่มโมโหหิว เดินง่วนหา มันเผา ( ใครไปเมืองจีน ควรหามา
กินให้ได้ มันร้อนๆ เผาในปีบ หัวหญ่ายๆ ผิดมันบ้านเรา .. หย่อยๆๆๆ) เดินจนจะ
รอบรั้วฮอล์ ไม่มีของขายจั๊กเทือก เลยต้องกินน้ำลูบท้องรอ เปาของหมวยต่อไป
รอไป ก็อยากจะงับหัวหมวยไป.. ฮ่วย.. สักหกโมงครึ่ง .. เราถึงได้กิน เปา..
แบบ หายไปในพริบตา ใส่ถึงมือปุ๊บ ยัดเข้าปาก วาบ.. หมด.. ม่ายอิ่ม..

คราวนี้เริ่มไม่สนใจกองทัพหมวย .. แก๊งค์ลูกหมูมีแรงแล้วก๋ากั่น เริ่มออกเดินเท้า
แยกตัวไป หาแหล่งอาหาร และห้องน้ำ เพราะคาดว่าห้องน้ำในฮอล์ คงเข้า
ข่าย “รับไม่ได้” เป็นแน่.. เราก็เดินไปตามทางที่รถเลี้ยวเข้ามาเพราะจนป่านนี้เรา
ยังหา map กวางเจา ไม่ได้เลยระหว่างที่จะเดินถึงถนนใหญ่ พระเจ้าก็เริ่มเห็นใจเรา
โดยส่งมาแป๊ะขายมันเผาเดินผ่านหน้าเรา .. ปี้เอสกะนกกิ้งโค้ง ฐานที่เคยมาเมือง
จีนกันแล้ว เลยรู้ว่า ไอ้ปีบเก็บขยะนั่นเป็นแหล่งอาหารอันโอชะ.. เราเลยได้มันมา
คนละหัว เดินงับต่างหัวน้องหมวย แล้วก็มุ่งหน้าหาแหล่งน้ำต่อไป

เดินผ่าน ข้างๆ จงซานฮอล์ เหมือนเป็นศาลาว่าการเมืองกวางโจว.. (ไม่รู้เค้าเรียก
อะไร แผนที่เน่าไม่อยู่ในมือตอนนี้ ) ถัดไป ก็เป็น โรงแรมตงเฟิง ที่ตอนแรกเรา
กะจองห้องพักที่นี่เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้กับที่จัดงาน .. จากถนนตรงนั้นมองไปก็
เหมือนกับจะไม่มีแหล่งน้ำของแก๊งค์ลูกหมู แล้วสายตาทวดก็ไปต้องแสงไฟ ดวง
น้อยๆ ที่รอดผ่านรั้วโรงแรม ทวดว่า ตรงนั้นต้องเป็นร้านขายของแน่ เราเลยเสี่ยง
เดินผ่านซอยมืดๆ เข้าไป..

แล้วก็ไม่ผิดหวัง เป็นคอนวีเนี่ยนเล็กๆ หรือเรียกว่า โชวห่วย บ้านเรานั่นเอง มี
สารพันสินค้าครบครัน คว้าน้ำ พร้อมหนมติดไม้ติดมือกันออกมา พร้อมกับสายตา
ประหลาดใจของเจ้าของร้านว่า ไอ้พวกนี้มันหลุดมาจากโลกไหนว่า ( คือในมือ ก็
ยัง ใส่ข้อมือ ถือลูกโป่งพร้อมจะดูคอนเสิร์ต) พอเสบียงและน้ำพร้อม เราก็พร้อม
จะลุย

โดยไปตั้งมั่นกันที่ห้องน้ำ ของโรงแรมตงเฟิง ตอนขาเข้าต้องทำตัวเฉิดฉาย
ว่าข้าพักที่นี่ แต่ด้วยความพะรุงพะรังคุณยามเธอก็แอบจับตามอง.. ลูกหมูม่ายสน
เดินกันเฉิบๆ ขึ้นบันไดเลื่อนดิ่งไปที่ห้องน้ำ(ทั้งๆที่ไม่รู้หรอกนะว่าห้องน้ำอยู่ไหน
แต่คาดว่ามัวงกๆ เงิ่นๆ ดูป้ายอยู่ด้านล่าง เกรงจะถูกจับโยนออกไปเป็นแน่)

.. แม่เจ้า .. ห้องน้ำโรงแรมสี่ดาว เป็น.. “ส้วมหลุม” กรูอยากตาย.. ดีว่ายังมีประตู
มิดชิด.. นอยจนขำ.. แอบคิดว่า ตรูไม่ได้นั่งยองๆมานานแค่ไหนแล้วเนี๊ยะ..

.. แต่โรงแรมนี้ มีดีอยู่อย่าง.. คือ “ มีร้านขายmap “ ยับปี้!! อีก 3 วันที่เหลือ รอด
แล้วเว้ยเฮ้ย ไม่ต้องนั่งเล่นอีตักที่โรงแรม..

.. คราวนี้เราก็ดิ่งกลับมา ด้วยสภาพพร้อมรบ.. กะ น้องตี๋.. อิ่มและน้ำก็มี ทุกข์ก็
ปลดแล้ว map ก็ได้มาไว้อุ่นใจ คราวนี้แหละ.. กรี๊ดกระจุย..


( ภาพน้องตี๋หน้างาน สว่างวาบได้เพราะแสงแฟลช.. พี่เป๊บทำยังกะ ตีหัวคนมาดู
งาน.. ปิดไปซะมืดแปดด้าน ..)


..มีเรื่องไม่คาดฝันอีกนิหน่อย.. ที่กลายเป็นตำนานแก๊งค์ลูกหมูในคราวนี้.. ก็คือ
ข้างรั้วของ จงซานฮอล์ โดยบังเอิญ เราได้พานพบกะ โคโค่ เพื่อนชาวฮ่องกง
ที่ไม่ยั่นในการหาพรีเมี่ยมให้เรา และมาดูคอนฯที่เมืองไทย หลังจากนั้นปี้เอสและ
น้องนิค ก็มีล่ามในการนั่งดูตี๋ ส่วนป้า ป้าเลนส์ และนกกิ้งโค้ง นั่งมองน้องตี๋
พะงาบ พะงาบ แบบมะรู้เรื่อง.. ฮึ่มๆๆ ไม่เกิดเป็นคนตระกูลเฉินบ้างแล้วไป๊..
อาไร้.. โชคจะเข้าข้างแล้วเข้าข้างเล่าอยู่ล่าย..

ส่วนทวดหลังจากบรรพบุรุษ สาวประวัติแล้วว่าทั่นก็เป็นคนตระกูลเฉินเช่นกัน เลย
หอบความโชคดีมาไว้ใกล้ๆ ประมาณ แถวห้าจากหน้าเวที แล้วก็โชคดีซ้ำซ้อนได้
คุยกะลูกชาย โดยมีสักขีพยานเป็นคนทั้งฮอลล์

เนื่องจากฟังน้องตี๋ไม่ค่อยรู้เรื่อง อิป้า ก็ง่วงเหงาหาวนอนซะงั้น.. กระเด้งมาเป็น
ระยะ ตามความน่ารักของน้องตี๋.. แต่ที่ทำเอาตาหว่าง ก็เสียงเย็นๆ ของทวดนี้
แหละ.. พอน้องตี๋ ชี้ไท่กั๊ว เราก็มองตาม เห็นป้าย ไทยแลนด์ ( อันเป็นป้ายลง
ยันต์มาแล้วจากน้องยูเรก้า ซึ่งคราวที่แล้วก็หอบไปสิงค์มาด้วย.. ต้องขอบคุณจู
ตาลที่ หอบมาจากเมืองไทยอีกรอบ ) ทวดพูดไรไม่รู้ ตี๋ถามไรไม่เข้าใจ รู้แต่..
เสียงทวด เสียงทวด เสียงทวด.. ดีจายน้ำตารื้นนนน.. ฮือๆๆๆ ( รายละเอียดใน
ฮอลล์หาดูได้จากในคลิป.. เนื่องจากนั่งดูบ่ฮู้เรื่อง เลยเล่าได้บ่ถืก )



.. ลำดับเหตุการณ์ระทึก..

ป๋องเนี๊ยะ เพื่อแม่


แม่ป๋มข้ามทะเลมาจากไท่กั๊ว .. นั่งอยู่โน่นค๊าบ

แม่จำราศีเกิด ป๋มได้ป่าว

แม่อยากขึ้นไปเล่น เกมส์นี้เจงๆ .. ลูกตี๋เอ๊ย


( เห็นเกมส์นี้ปุ๊บ อิป้าโวยวาย.. ตรูเล่นต้องชนะแหงม..
ตรูอยากเล่น.. กระโดด หยอยๆ แหกปากเท่าไร.. ก็มะมี
ใครสน.. นอย.. ตรูอยากเล่น.. (ลืมควบคุมยางบนใบหน้า
อีกและ.. )เก็บกด ไปเล่นกะปี้เอสในวัด วันรุ่งขึ้น..ซะงั้น..)


..แต่ความโชคดีของแก๊งค์ลูกหมูยังไม่หมดแค่นั้น เนื่องจากเราเจอแม่หมูโคโค่
เราเลยตะล่อมแม่หมูอย่าเพิ่งกลับฮ่องกง ให้อยู่เป็นไกด์นำเที่ยวให้เราก่อน
พวกเราเลยไม่กลับกะรถที่น้องหมวยวีวีจัดไว้ให้ โดยจะไปหาอาหารกวางตุ้งกินกัน
รอบดึก

ก็เดินวนอยู่ใน จงซานฮอลล์ หาทางออกไม่ได้ สุดท้ายก็เลยวนจนรอบ มาทาง
ด้านหลังฮอล์เห็นกาดกะคนจำนวนนึงยืนออกันอยู่ ก็เลยได้ความว่า น้องตี๋นั่งให้
สัมภาษณ์อยู่ด้านในยังไม่ออกมา .. อาฮะ.. เดชะบุญอะไรเช่นนี้.. ยืนพ้อยท์เท้า
กันซักพัก พิธีกรในงานเป๊บก็เดินออกมา.. เราก็ แท่ดๆๆ เข้าไป เจ๊าะแจ๊ะ จนทวด
ได้ลายเซ็นต์มาด้วย.. อิอิ.. จากนั้นก็ยืนเข้าแถวรับเสด็จน้องตี๋..

แล้วก็ไม่ผิดหวัง น้องตี๋นั่งเปล่งประกายแสงโอโม่อยู่ในรถ แก๊งค์ลูกหมูมัวตะลึง
แสงเข้าตา เลยไม่สามารถจับภาพมาให้ได้ .. แต่น้องตี๋ก็โบกไม้โบกมือทักทายจน
รถลับประตูไป.. งานนี้ หลงทางได้ลาภโดยแท้.. ขอบคุงแม่หมูที่พาเดินวนซะทั่ว
ฮอล์มืดๆ..

พอภาระกิจจับกวางเสร็จสิ้น .. ลูกหมูทั้งหลาย ก็เพิ่งตระหนักว่า จากโจ๊กกะเกี๊ยว
เมื่อเช้า ถึง ซาลาเปา เมื่อเย็น ขณะนี้ สามารถเขมือบควายได้ทั้งตัวแล้ว..
และแม่หมูก็พาเรามากินอาหารกวางตุ้งแสนอร่อย ราคาถูกที่สุดเท่าที่อยู่กวางโจว
มา .. ( ฉ่อยซำ อาหย่อยมั๊กมาก.. : ฉ่อยซำ คือผักกวางตุ้ง)


คืนนี้พกแต่ความอิ่มเอมกลับไปนอนหลับเป็นตาย..


ตำนานแก๊งค์ลูกหมูตะลุยกวางโจว

หลังจากภาระกิจจับกวางเสร็จสิ้น ข่าวสุดท้ายทราบว่าน้องตี๋นั่งรถแวนออกจากกวางโจวกลับไปฮ่องกง ตั้งแต่เมื่อคืน พวกเราก็เตรียมวางแผนใช้ 3 วันที่เหลือ ตะลุยกวางโจวไหนๆ ก็มาแล้ว เดี๋ยวแม่ถามจะได้ตอบแม่ถูก หรือไม่ก็จะได้มีรูปถ่ายไปอำพรางคดี.. อิ อิ

แพลนมีคร่าวๆ ประมาณว่า ไปเที่ยวตามสถานที่ในหนังสือแนะนำไว้ และ ก็หาไรหย่อยๆกิน หาที่ช๊อปของเอฟ(อันนี้ไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากฟังคณะอื่นเล่ามา น้ำยายเลยเริ่มใย๋ ) เรามีเวลา วันที่ 6 7 และ 8 ก่อนบ่ายสี่โมง เพราะเครื่องออกตอน 2 ทุ่ม

ตอนเช้า พี่นก ก็จัดการจองห้องพัก ต่อให้อีก 2 คืน ส่วนคณะของพี่นก ป้าแวน และ คุณนายจู เห็นว่าจะไปตะลุยมาเก๊ากันต่อโดยที่จะค้างที่กวางโจวอีกคืนเดียว ก็เลยร่ำลากันในเช้าวันนั้น เพราะคาดว่า ออกจากโรงแรมไป คงกลับกันมาดึกพอควร

กว่าจะตื่น ทำธุระ จัดการห้องพัก ก็ปาไป เกือบสิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว เราเลยรวบยอดอาหารเช้ากับกลางวันเข้าไว้ด้วยกัน โดยฝากท้องไว้กับแม่หมู แม่หมูถามว่าจากกินไร “ ติ่มซำ ติ่มซำ ติ่มซำ” จากินติ่มซำ แม่หมูก็พยักหน้าหงึกๆ .. คิดในใจว่า “ เหอๆๆ ไม่เสียเที่ยวแล้วตรู” แล้วแม่หมูก็พาแก๊งค์ลูกหมูเดินออกจากโรงแรม ย้อนไปตามถนนที่น้องหมวย พาเดินลากกระเป๋ามาวันแรก แก๊งค์ลูกหมูก็ตื่นตาตื่นใจกับร้านรวง ที่เห็นวันแรก แล้วก็ กะแวะ กะแวะ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้แวะ (จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปแวะ.. ฮือๆๆๆ) เดินกันพออ่วม แม่หมูก็ชี้ไปที่ร้านนึง ว่า กินร้านนี้ไม๊.. ยี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โจ๊กกกกกก.. ม่ายกิง ส่ายหน้ากันดิก.. แม่หมูทำหน้าระอา แล้วก็เดินไปถามอาแปะคนนึงที่นั่งเฝ้าหน้าร้านแถวนั้น ( ที่กวางเจา ถ้าถนนไหน ขายของประเภทไหน เค้าจะขายกันทั้งถนน ถนนที่เราเดินผ่านในเช้าวันนี้ ขายภาพเขียน ทุกร้านสองข้างทางก็มีแต่ภาพเขียน มีถนนนึงนั่งรถผ่าน ขายประตู ทั้งถนนสองข้างทาง มีประตูเป็นร้อย ) อาแปะแนะนำว่าหัวมุมถนนตึกที่เราเดินผ่านชั้น 6 มีร้านอาหารกวางตุ้ง ( และแล้วตรูก็จำชื่อร้านไม่ได้ ) เราเดินขึ้นบันไดเลื่อน ไป 6 ชั้น แล้วก็พบทางเข้าเหมือนเป็นบันไดหนีไฟหลังร้าน ทีแรกก็งงๆ แต่ก็มีพนักงานแต่งกี่เพ้าออกมาต้อนรับ ยังนึกในใจว่า ร้านยังมาซ่อนอยู่ในหลืบขนาดนี้ แต่พอเข้าไป อู้หู อย่างหรู แอบกระซิบถามแม่หมูว่า แพงไม๊ แม่หมูส่ายหน้าดิก โอเจ ระหว่างเดินหาที่นั่ง ป้าก็เดินไป เอานิ้ว ชี้ไปที่ลิฟท์ มืออีกข้าง ก็ไปสะกิด แม่หมู .. Heyๆๆ ทำไมตรูไม่ขึ้นจากทางนี้ แม่หมูหันมาหัวเราะสติแตก พร้อมตอบว่า I don’t know เวรไม๊ล่า จะพาตรูรอดตลอดรอดฝั่งไม๊เนี่ย แต่อาหารมื้อนั้นก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เนื่องจากภาษาจีนอ่านไม่ออก ภาพก็ไม่มีให้ดู เราก็เลยต้องอาศัยแม่หมูลูกเดียว ได้อาหารออกมาหน้าตาแบบเนี๊ยะ..


หลังจากอิ่มหมีพีมันกันแล้ว ก็ได้เวลาออกตัว ไปเที่ยวตามสถานที่ตั้งใจไว้ แห่งแรกที่หมายตาคือ วัดกตัญญู เค้าเรียกว่า GUANG XIAO CHAN SI (กวงเสี้ยวฉางซื่อ) วัดเนี๊ยะถ้าไปโดยรถไฟใต้ดินจะต้องขี้นบริเวณสถานี XI MEN KOU ( ซีเหมินโคว) โอว ทั้งเสี้ยวทั้ง ซีเหมิน อิป้าพยักหน้าหงึกๆ ไป ไป ไป.. ตกลงที่แห่งแรกที่จะไป ก็คือ วัดเสี้ยว นี่แหละ และทางที่จะไปก็คือเราต้องเดินไปขึ้น รถไฟใต้ดิน คราวนี้แม่หมูก็พาเดินมาเรื่อยๆ จนเรามาบรรจบ กับถนน Zongshan-5 lu ซึ่งถนนเส้นนี้ ถ้าเราเดินออกจากโรงแรมไปตามเส้น shopping เมื่อวาน ก็จะมาบรรจบถนนเส้นนี้.. เริ่มแหม่งๆ ว่า แม่หมูไม่รู้ทาง เพราะระหว่างเดินมา แม่หมู ถามทางกับ อาม่า อาแปะมาตลอดทาง นกกิ้งโค้งเห็นดังนั้นเริ่มควักแผนที่มา ดูเองดีก่า ระหว่างดูแม่หมูก็วิ่งไปถามทาง แล้วก็ กลับมาบอกว่า ระหว่างที่เรายืนอยู่มีสถานีรถไฟใต้ดินอยู่สองทางซ้ายกับขวา ห่างพอๆ กัน จะไปขึ้นสถานีไหน เราก็ตามใจแม่หมู พอดีกวางโจวเนี่ยฝั่งคนขับมันอยู่คนละข้างกับบ้านเรา คือ พวงมาลัยซ้าย ถ้าเราจะไปขึ้นสถานีทางซ้าย ก็ต้องให้แท๊กซี่ไปยูเทิร์น เราเลยตัดสินใจ ไปขึ้นสถานีขวามือ ก็ลงไปงกๆ เงิ่นๆ อยู่สถานีรถไฟใต้ดินซักพัก เราก็ได้ขึ้น แล้วก็นั่งรถเลยมาสองสถานี ผ่าน GONGYUANQIAN แล้วไปขี้นที่ XI MEN KOU พอขึ้นจากสถานี แม่หมูก็เรียกแท๊กซี่ ให้ไปส่งที่วัดกวงเสี้ยวฉาง แท๊กซี่มันทำหน้างงๆ แล้วก็ทำเสียง จึ๊ จ๊ะ ป้าก็งงๆ ว่าทำไมมันไม่กดมิเตอร์ มันก็เลี้ยวขวา ป๊าบ สูดหายใจสองที มันแทบจะถีบเราลง ก็ไอ้วัดเนี่ย มันเดินเข้าซอยมาไม่ถึง 100 เมตร ก็เห็นแล้ว เจ๊ป้าเลนส์ทำท่าจะไม่จ่ายตังส์เพราะมันไม่ยอมกดมิเตอร์ มันก็โวยวายใส่ เจ๊มีเถียง “ อย่าดุซีโว้ย กรูไม่รู้เรื่อง” เออเว้ยเพิ่งเห็นเจ๊เม้งก็งานนี้แหละ สะกิดเจ๊ จ่ายๆไปเหอะ 7 หยวน กรูนั่งยังงงเลยว่า จะคิดตังส์เท่าไหร่ดีกว่า ( นึกถึงเรื่องบุญชู ที่ใครสักคนเข้ากทม.มาแล้วเรียกสามล้อ ไปส่ง ไอ้สามล้อมัน กลับรถ ข้ามถนน แล้วบอก “ถึงแล้ว” โอวนี่ตรูบ้านนอกพอๆ กะบุญชู ใช่ไม๊เนี่ย .. ) ลงจากรถได้ ทุกคนก็ชี้หน้า แม่หมู โคโค่ ฮาลั่น I don know .. แหงะ จะไม่รู้อีกกี่เรื่องเนี่ย แอบนอย..

( บรรยากาศภายในวัด เงียบสงบ .. ไม้ดูเก่ามาก แล้วก็สะอาด คนไม่ค่อยเยอะเท่าวัดบ้านเรา)


วีรกรรมแม่หมูยังไม่หมดแค่นั้น.. ระหว่างที่เราเดินเข้าวัดเสี้ยว คนที่นั่งเก็บตั๋วอยู่หน้าวัด ก็พ่นภาษาจีนเสียงดังว่าเราต้องไปซื้อตั๋วก่อน ราคา 4 หยวน (ใช่ป่าวหว่า ) พวกเราก็หันซ้ายหันขวา ม่ายเห็นซุ้มขายตั๋วจั๊กเทือก พลันสายตาโคโค่ ก็เหลือบไปเห็น กล่องไม้หนึ่งใบตั้งอยู่หน้ายักษ์ตนหนึ่ง เธอก็ชี้ๆประมาณว่า ให้เราใส่เงิน ลงไปในกล่อง แก๊งค์ลูกหมูเริ่มเกากบาลแกรกๆ เจ๊เลนส์ (แอบมาเล่าทีหลัง) นึกในใจว่า “ตรูใส่เงินลงไป แล้วไอ้กล่องไม้เนี่ย มันจะยื่นตั๋วมาให้ทางไหนฟระ” ทุกคนไม่หลงกล แม่หมูแล้ว มีแต่เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นบนใบหน้า เจ๊เลนส์ เลยออกเดินสำรวจพื้นที่ แล้วก็ไปเจอห้องขายตั๋วอยู่หลังยักษ์ตนนั้น ไจโกะ ที่ยืนเถียงกะ โคโค่อยู่ เลยไขข้อข้องใจว่า ไอ้กล่องไม้เนี่ย ถ้าเป็นบ้านตรูเค้าเอาไว้ใส่เงินบริจาคเฟร้ย ขืนตรูหยอดไป มันจะบริจาคตั๋วเข้าวัดให้ตรูไม๊.. นอย ขำกันจนคนฉีกตั๋วงง ว่ามันไปยืนมุงตู้บริจากทำไม.. แม่หมู นะ แม่หมู..


( กล่องเจ้ากรรม)


สาระ ( จากหนังสือนำเที่ยวของปี้เอส)

วัดกวงเซี่ยวซื่อ ซึ่งพ้นภัยจากการปฏิวัติวัฒนธรรมมาได้เพราะโจวเอินไหลสั่งให้อนุรักษ์เอาไว้ ตำนานเล่าว่าวัดนี้เก่าแก่กว่าเมืองกว่างโจวเสียอีก มีอายุอยู่ในราว ค.ศ.400 แต่วิหารบางหลังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่สร้างขึ้นหลังอัคคีภัยในปี 1269, 1629 และอาจหลังปี 1832 ด้วย ตรงประตูทางเข้ามีรูปพระสังกัจจายน์สีสดในตั้งอยู่ ที่ลาดด้านหน้ามีกระถางกำยานสำริดขนาดมหึมา วิหารหลังใหญ่มีเพดานไม้ลงรักเป็นสีแดง ส่วนลานวัดด้านหลัง ก็มีเจดีย์เหล็กเก่าแก่ที่สุดในจีน ตั้งอยู่หลายองค์ ( มัวแต่หลงของพรีเมี่ยมของวัด เลยไม่ได้เดินไปดู..นอย) พระโพธิพรรม (ตั๊กม้อ) ภิกษุชาวอินเดียผู้ก็ตั้งนิกายฉาน(เซน) และคิดค้นมวยวัดเส้าหลินขึ้น ก็เคยมาเยือนวัดนี้เช่นกัน


บริเวณภายในวิหารมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่จรดเพดาน อยู่ 3 องค์ แต่ห้ามถ่ายรูป ข้างในวิหารกลางเหมือนจะเป็นที่สำหรับสวดมนต์ แล้วก็มีวิหารสองข้าง โคโค่ว่า( เชื่อได้ไม๊เนี่ย) ข้างนึง เป็นกลอง อีกข้างเป็น ระฆัง.. จำได้แค่เนี๊ยะ.. นอกนั้น ก็เดินชม ดื่มด่ำความงาม แบบ แบ๊ะๆ

เสร็จจากวัดกวงเสี่ยวซื่อ เราจะไปต่อกันที่วัด ลิ่วหรงซื่อ( วัดไทรหกต้น)( Guangzhou Liurong Monastery) คราวนี้พอออกจากวัดโคโค่ก็โบกแท๊กซี่ ทุกคนก็ เฮ้ย!! ดูแผนที่ก่อน .. เป็นอันว่าความไว้วางใจในตัวแม่หมูเป็นอันจบสิ้น ลงกล่องบริจาคไป.. กร๊ากกกกก

ดูแผนที่ แล้วก็เห็นว่าวัดนี้อยู่ไม่ไกล ก็เลยลองเดินกันดู แล้วเรา ก็กลายเป็นกระเหลี่ยงหลงตรอกไปทันที เพราะว่าพอมันเป็นตรอกเล็กๆ มันก็จะไม่ปรากฏบนแผนที่ คราวนี้จะซ้ายจะขวา ก็ต้องอาศัยโคโค่อย่างเดียว แม่หมูก็ถามทาง แล้วก็ this way .. this way ไปเรื่อยๆ ถึงจะไม่เชื่อแต่ก็ทำไรบ่ได้แล้ว ต้องจำใจเดินตามแม่หมูไปต้อยๆๆเราเดินกันไกลมาก จนนึกด่าตัวเองว่า ทามมายตรูไม่นั่งแท๊กซี่ ไอ้ครั้น จะโวยวายกะแม่หมู ก็โดนกีบโตบเพราะทีแรก แม่เรียกแท๊กซี่ไว้แหล่ว แต่ลูกหมูดันหยิ่งกันเอง ก้มหน้าก้มตาเดินไป ห้ามบ่น แต่พอเงยหน้าอีกที “แม่เจ้า” พระที่ไหว้ไว้ที่ วัดกวงเสี่ยวซื่อ วิ่งกลับวัดกันไปหมดแล้วววว.. ก็ในตรอกมันเป็นบ้านคนทั้งสองข้างทาง เค้าก็เอาไม้ไผ่ พาดออกมา ไว้ตากผ้า ไม่เว้นแม้แต่ลิงน้อยหลากสี หลายขนาด .. ตรูจาบร้า.. คราวนี้ก็เดินไปแหงนไป หลบรัสมี น้องลิงทั้งหลาย คล้ายๆ เดินหลบกองขี้หมา แต่กลับกันเพราะต้องแหงนหน้า แต่งตัวก็ผิดชาวบ้านร้านตลาดอยู่แล้ว ท่าเดินยังแปลกๆ อีก ผ่านบ้านไหน เค้าก็มองกันเหลียวหลัง.. ระหว่างเดินหลบน้องลิงไป เราก็สำรวจวิถีชีวิต คนกวางโจวไปในตัว แล้วสายตาก็ไปป๊ะกับร้านเสริมสวยเล็กๆ แห่งหนึ่ง ติดไว้หน้าร้านว่า ค่าสระผม 3 หยวน โอวถูกมาก(อันที่จริงในกวางโจว มีร้านตัดผมเดิร์นๆ อยู่หลายร้าน แต่ร้านบ้านๆ พวกเราก็เพิ่งเคยเห็น) พอเราเดินผ่านหน้าร้าน สายตาอัตโนมัติ ก็พาเราแลเข้าไปในร้าน แล้วก็เป็นอัน โต๊ะจาย .. เพราะว่า หน้าคนถูกสระ หายไป.. หยึ๋ย .. พินิจอยู่พักใหญ่ ก็เห็นว่า เค้าคว่ำหน้าสระผม ไอ้คนเกา ก็ แกรกๆๆ อย่างเมามันส เรายืนทึ่งกับค่าสระผม 3 หยวน แบบตะลึง พอคนในร้านเริ่มหันมาประหนึ่งจะชักชวนให้ไปสระ เราก็โกยกันแน่บ..

เมื่อไหร่ตรูจะถึงวัดไทรหกต้นเนี่ย.. สุดซอยแล้วน๊า.. เจออาม่านั่งเหงาๆ อยู่คน โคโค่เลยเดินไปถาม อาม่าก็ชี้ทางมาแบบ เลือกเอาละกัน จะไปทางไหน .. เอาเข้าไป..
เดินจนใกล้หมดแรง และแล้วเราก็มาถึง ดีว่าหน้าวัดไม่มีกล่องไม้.. แต่โคโค่ดันพาเข้า ตรงทาง Exit .. ใครฆ่าตรูที เลยต้องชี้ให้แม่หมูดู.. แม่หมูหัวเราะ แล้วก็ Sorry เราเลยต้องพาแม่หมูมาทาง Enter (ตกลงใครเป็นไกด์แน่ฟระ)

สาระ .. อีกและ..

ทางตอนบนของถนนจงซานลู่มีตรอกแคบๆสายหนึ่งทอดไปสู่ ลิ่วหลงซื่อ (วัดไทรหกต้น) กับ ฮวาถ่า(เจดีย์บุปผา) ที่สร้างขึ้นในปี 1097 และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกว่างโจว เจดีย์นั้นดูจากภายนอกสูงเก้าชั้น แต่ละชั้นมีประตูและระเบียงล้อมรอบ เมื่อเข้ามาข้างในจะพบว่าจริงๆแล้วมีถึง 17 ชั้น สามารถขึ้นไปชั้นบนสุดเพื่อชมดูทัศนียภาพของตัวเมืองกว่างโจวได้

.. พิสูจน์แล้วว่ามี 17 ชั้นเจงๆ กว่าจะตะกายไปถึงเหนื่อยมั๊กมาก.. แต่ข้างบนสวยดี .. คริ คริ..


พอออกจากวัด ลิ่วหรงซื่อ คราวนี้ไม่พูดพล่ามทำเพลง โบกแท๊กซี่ ไป Chen Clan Academy (วัดเฉินเจียซื่อ) ทันที ( ในหนังสือเขียนว่าเป็นวัด แต่ เข้าไปดูแล้ว เหมือนบ้านขุนนางเก่า มากกว่า) ไม่รอให้แม่หมูแนะนำอะไรทั้งนั้น ไปถึง บ้านตระกูลเฉิน เหมือนปี้เอสกะทวดจะได้กลับมาเยี่ยมบรรพบุรุษ ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรม แถมได้ความภาคภูมิใจ ประหนึ่งบ้านนี้ตรูเคยอยู่กันมา ฮา...


จะให้สาระ

วัดตระกูลเฉิน ได้รับการบูรณะหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมยุติลง มีอายุนับย้อนไปถึงปี 1894 ตั้งอยู่ตอนบนของถนนจงซานซีลู่ มีลานหกชั้น วางผังแบบจีนโบราณ ตกแต่งตัวอาคาร ประตู และเจดีย์ด้วยลวดลายสลักเสลาสวยงาม ลายสลักที่ใหญ่ที่สุดยาว 28 เมตร เล่าเรื่องสามก๊ก...

บนหลังคาตกแต่งด้วยงานจำหลักไม้ อิฐ และ หิน..

แซ่เฉินเป็นหนึ่งในแซ่ที่พบมากที่สุดในมณฑลกว่างตง (ในแก๊งค์นี้ ก็มี แซ่เฉิน อยู่ 2 คน)

หลังบ้านตระกูลเฉิน มีสวนหลังบ้าน ที่มีเรื่องราวของ Ah Q
จนป่านนี้เราก็ยังไม่รู้ว่า Ah Q คือใคร แต่ แก๊งค์ลูกหมูได้
ไปสร้าง ปะ-ติด- มา-กรรม อันใหม่.. เป็น 7WARIOR ซึ่ง
ไม่สามารถเปิดเผยรูปต่อธารกรรมนัลได้.. กร๊ากกกกกก


( เล่าต่อ)

ร่ำลาส่งแม่หมูเสร็จ เราก็มองหน้ากัน คิดถึงชะตากรรมตัวเอง โอว ไม่มีแม่แล้ว .. จีนก็ไม่กระดิก อังกฤษเค้าก็เดินหนี ทำงัยดี.. ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป.. ตกลงปลงใจว่าไปโรงแรม White Swan ดีกว่า เพราะว่าย่านนั้นเป็นเขตเมืองเก่า เรียกว่า เกาะซาเมี่ยน (ZHAMIAN ISLAND)

ในหนังสือปี้เอส แนะนำไว้ว่า เกาะซาเมี่ยนเป็นเขตตัวเมืองซีกตะวันตกเฉียงใต้ที่อนุรักษ์มรดกจากยุคอาณานิคมไว้เป็นอย่างดี เดิมเป็นสันดอนทรายริมฝั่งแม่น้ำจูเจียงตอนบน ต่อมาจึงได้รับการพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปี 1859 จีนได้แบ่งเกาะเล็กๆแห่งนี้ให้ชาติตะวันตกหลายชาติเช่า แต่ที่หลักๆ ก็มีอังกฤษกับฝรั่งเศส และได้ขุดคลองล้อมเกาะเอาไว้ ช่วงกลางคืนจะมีการปิดประตูเหล็กกับสะพานแคบๆ กันไม่ให้คนจีนเข้า ปัจจุบัน ซาเมี่ยนให้ความรู้สึกเหมือนเมืองรีสอร์ทผิดกับภาพลักษณ์อันสับสนจอแจของกว่างโจวโดยสิ้นเชิง สถานทูตหลายแห่งกับโรงแรมห้าดาวอย่าง ไวท์สวอนจะตั้งอยู่ที่มุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ.. ( แง๊ๆๆๆ อดปาย)

หลังจากดู map กันแล้ว เราก็รู้ว่า สถานีMRT ที่ใกล้ที่สุด คือ HUANGSHA ก็นั่งรถไฟ ย้อนกลับไป พอขึ้นมาบนพื้นดิน มีอัน แบ๊ะๆ ทีแรกกะเรียกแท๊กซี่ แต่ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่า มันอยู่ทิศไหนกันแน่ ก็เลยเดินเท้าไปหาถนนใหญ่ดีกว่า เดินมาเรื่อยๆ จึงรู้ว่าแถวนี้เหมือนเป็นท่ารถเมล์หลายสายอยู่ มองข้ามไปฝั่งตรงข้ามลิบๆ ก็เห็นแสงไฟ มลังมะเลืองอยู่ ทุกคนลงความเห็นว่าต้องใช่แน่.. ก็เลยตัดสินใจข้ามถนน .. เหอๆๆ มันเป็นถนนกึ่งๆ ไฮเวย์ที่ตัดกันขวักไขว่มั๊กมาก.. แต่มาหลังจากมองไปสุดลูกหู ลูกตา ก็คาดว่าถ้าเดินหาทางข้ามชาตินี้คงไม่ได้ข้าม และแล้ว บรรพบุรุษก็ส่งชายหนุ่มผู้นึงมาข้ามให้เราดู .. แก๊งค์ลูกหมู ทำตามแบบเป็ด วิ่งกันแท่กๆๆ ข้ามไปอีกฝั่ง เพื่อที่จะเห็นป้าย บอกเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ใจความว่า “ กรุณาใช้ทางข้ามใต้ดิน” .. บังเอิญเป็นหมู ไม่ใช่ตัวตุ่นเลยหาทางข้ามไม่เจอ.. เกือบโดนรถทับแบน ซะงั้น..
สำหรับทางที่จะเดินเข้าไปหาแสงไฟ ก็กำลังขุดถนนกันเมามัน แก๊งค์ลูกหมู ก็ไม่ยั่น เดินดุ่ยๆ ท้าดงตีน เข้าไปซะงั้น .. เดินเข้าไปเรื่อยๆ เริ่มเหมือนตลาดปากคลองบ้านเรา.. มีร้านอาหารทะเลอยู่ลิบๆ แล้วเราก็ได้ประจักษ์แก่สายตา ว่าแสงไฟที่เราเห็นนั้นมันอยู่ตั้งฟากกระโน้น.. โฮ..


ทำงัยได้.. กาง map เข้าไปถามคนขายตั๋ว ถามอังกฤษ ตอบจีน ดีว่าปี้เอสเรียนมาได้ 5 เล่ม พอจะรู้ว่า พวกตรูเดินเข้ารูผิดซะแหล่ว.. ที่จริงไม่ต้องเรียนตรูก็รู้.. หลงแหงม.. แต่แสงไฟฝั่งตรงข้ามก็เย้ายวนเหลือเกิน สุมหัวกันสักพัก จะเดินท้าดงตีนออกไป หรือจะขึ้นเรือไปตายดาบหน้า ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียว “ตุ้ยเมี่ยน” หกคน 3 หยวน ถูกจะตาย ทำไมจะไม่ข้าม ( ตุ้ยเมี่ยน แปลว่าฝั่งตรงข้าม นั่งเรือข้ามฝากตกคนละ 2.50 บาทพอๆ กับท่าพระจันทร์บ้านเรา ) แล้วแก๊งค์ลูกหมู ก็ได้ ลงเรือ ( เครื่องบิน รถบัส รถยนต์ รถไฟ นั่งมาหมดแล้วทริปนี้ .. เรือยังได้นั่ง.. เอากะตรูซี้.. ) แล้วก็ตาละห้อย บ๋ายบาย รร.ไวท์สวอน ตรงกลางแม่น้ำไข่มุก ( Pearl river )

( ภาพ รร.ไวท์สวอน จากฝั่งตรงข้าม)



ข้ามไปอีกฝั่ง คาดว่า เป็นบริเวณที่เรียกว่า Bai’etan Bar Street ก็ไม่ผิดหวัง เป็นสวนสาธารณะสำหรับเดินเล่น และมีเครื่องเล่นประเภทชิงช้า ไม้ลื่น .. แก๊งค์ลูกหมู ก็ไปลองเล่นแล้วแต่สภาพร่างกายจะอำนวย ถึงตรงนี้ ทวดเริ่มไม่ไหวแล้ว เหมือนจะปวดหัวอย่างแรง พวกเราเลยรีบเดิน ดูแผนที่แล้วก็เดินออกจากซอยซึ่งมีร้านรวงอยู่สองข้างทาง แต่สินค้า เหมือนจะเป็นแถบชานเมืองแล้ว คุณภาพจะไม่เหมือนกับที่เราเดินใน เป่ยจิงลู่ ออกมาถึงถนนใหญ่เห็นรถวิ่งกันขวักไขว่ก็เริ่มเง็ง กันอีกรอบว่าจะซ้ายหรือจะขวาดี เนื่องจากวันนี้ทั้งวัน คนที่เรียกแท๊กซี่คือแม่หมู ไอ้ครั้นจะเรียกเองก็ไม่มีปังยาต้าอ่วยด้วย ทีแรกก็ยังจะเรียกกลับไปเกาะซาเมี่ยน แต่เห็นอาการทวดแล้ว คิดว่ากลับโรงแรมดีกว่า ก็เลยว่าจะเรียกแท๊กซี่ไปขึ้น MRT เกือบไปแล้ววว .. หลังจากไปไหว้ วัดตระกูลเฉินมาแล้ว บรรพบุรุษก็ดลใจปี้เอส ให้ลองเดินข้ามไปเรียกแท๊กซี่อีกด้าน เพราะตรงที่เรายืนอยู่เหมือนจะเป็นป้ายรถเมล์ .. พอเดินข้ามกำแพงกั้น ก็มองเห็นทางลง MRT สถานี Fangcun เกือบไปแล้ว เกือบเรียกให้แท๊กซี่ด่ารอบมิดไนท์ซะแล้ววว ..

( ป้ายต้อนรับคณะลูกหมู จากกลางแม่น้ำไข่มุก.. อิ อิ)

จากสถานี Fangcun เราก็ดิ่งกลับไปที่ Nongjiangsuo แล้วต่อแท๊กซี่กลับโรงแรม ดูแลให้ทวดนอนพักผ่อนแล้วพวกเราก็หนีลงมาเดินเล่น Beijing lu อีกรอบ แวะกินโจ๊ก กับ ก๋วยเตี๋ยวหลอด รอบดึก ( เริ่มสั่งเองเป็นแล้ว โคโค่สอนมาหลายคำ ฉ่อยซำ (ผักกวางตุ้ง) ชาชู (หมูแดง)..ไม่อดตายแล้วเว้ย แม่หมูบอกไว้ 5 5 5) แล้วก็ไปร้าน 7-11 (ที่หาได้ยากเย็นในกวงโจว) กวาดซื้อมาม่า กะจะขึ้นไปปาร์ตี้ แต่พอขึ้นไปจัดแจงให้ ทวดทานมาม่า ได้นิดหน่อย พวกเราก็หมดแรง.. หลับเป็นตาย .. เหนื่อยอิ๊บ..



..รูปนี้เป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน..ตรงที่เราข้ามแม่น้ำไปถึง แต่เด็กอนามัยเดินผ่าน..ซะงั้น..


เช้าวันที่ 7 เราตื่นกันสายมาก เนื่องจากเมื่อวานเล่นกันจนหมดแรง แล้ววันนี้เราแพลนกันไว้ว่าจะ shopping ก็เลยไม่ค่อยรีบร้อน ลงมากินก๊วยเตี๋ยวหลอด กะ โจ๊ก (ร้านเมื่อคืน) แถมมีปาท่องโก๋ตัวยาวๆ กะ ซาละเปาแบบบ้านเราด้วย แต่ลูกใหญ่กว่า กินกันจนเกินอิ่ม เพราะคาดว่าต้องเดินอีกไกล ที่แรกที่เราจะไปคือ ตลาด Stationery ซึ่งจากการบอกเล่าของพี่นก และคุณนายจู ก็รู้ว่าอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก .. แก๊งค์ลูกหมูค่อยๆ เดินไปสักพักใหญ่ๆ ก็เจอ ( เกือบ ครึ่งกิโลแนะ) หลังจากนั้น เราก็ตื่นตาตื่นใจต่อของกันแหลกลาญ พยายามซื้อกล่องใส่เครื่องประดับที่บุด้วยผ้าจีน กระเป๋าผ้าแบบจีน ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้ แต่ด้วยความเมามัน ก็ต่อกันไปเรื่อย อี้เก้อ เหลียงเก้อ ซานเก้อ.. ต่อจนคนขายถามว่ามาจากไหนกัน .. ตอบอย่างภาคภูมิใจในประเทศชาติ.. ไท่กั๊ว.. 5 5 5 เค้าส่ายหัวดิก.. เราเดินสำรวจไปจนทั่วตลาดเพื่อจะมองหาร้านที่พี่คุณนายบอกไว้ แต่ก็ไม่เจอ ไอ้ครั้นจะถามทางคงไม่รู้เรื่องกัน ทีแรกกะโทรหาน้องพราย ให้คุยทอสับให้หน่อย แต่โทรไม่ติด เราเลยดิ่งกลับไปร้านเก่าที่เราต่อราคาเค้าแหลก ไปถามเอากะเค้า ว่าเราจะหา “โจวเจี๋ยหลุน” ได้ที่ไหน (งานนี้ต้องพึ่งเจย์ เพราะเกรงว่าถามหาเอฟ อาจจะดังไม่พอ กร๊ากกกกก) เค้าก็ใจดี ให้ลูกน้องเดินนำทางเราไปเรื่อยๆ จนออกจากตลาดแล้วก็ข้ามถนนไป เหอๆๆๆ พอเห็นร้านเท่านั้นแหละ.. โลกหยุดหมุน กระโจนเข้าใส่ ( ร้านที่ 3 ในทู้คุณจิ้มจุ่ม นั่นแหละ) เห็นโปสเตอร์ warriors ของพี่เป๊บ แต่ไม่มีของตาเสี้ยว ซะนี่.. เราเจี๊ยกแตก ตอนเจอ เซ็ทพินของพี่เป๊บ กวาดกันมาหมดแผง แล้วก็ ถาม น้องหมวย จิ้มไปที่โปสเตอร์เป๊บซี่ “เสี้ยวเทียน โหย่ว เหม่ยโหย่ว” น้องหมวยก็กุรีกุจอไปคุ้ยมาให้ หาอยู่แป๊บนึง น้องหมวยหันมาตอบว่า “เหม่ยโหย่ว” อิป้ากะป้าเลนส์ ประสานเสียง “ เหม่ยโหย่วลา” ( แปลว่าไรไม่รู้ รู้แต่น้ำเสียงผิดหวังมาก แล้วอาหมวย ก็ตอบกลับมาสีหน้าน้ำเสียงดีใจ (แทนอิป้า) “ โหย่วๆๆๆ” โอวคุงเทียนเล่นซ่อนตัวอยู่ใต้สุดของชั้น มีประมาณ 21 แผ่น เราเลยกวาดมาเรียบ เดินวนกันทั่วร้าน พนักงานในร้านก็เพียรเอานู่นเอานี้มาเสนอ พอรู้ว่าเราบ้าเอฟ ก็ขุดกรุกันมาขายเลย มันบร้าขายตรูก็บร้าซื้อ ข่าวว่าของถูกกว่าที่ฮ่องกงนัก .. เลยกวาดกันมาซะยกใหญ่ อยู่ในร้านนี้จนประหนึ่งฟังพนักงานขายรู้เรื่อง น้องหมวยทั้งหลายไม่สนใจลูกค้ารายอื่น มาล้อมหน้าล้อมหลังถามว่าเรามาจากไหน แล้วก็ขอแรกตังส์.. ซะงั้น เพราะเทอไม่เคยเห็นเงินไทย แถมมีการเอาไปดม แล้ว บอกว่าเงินเราหอมอีกต่างหาก มีเรื่องขำขันเล็กน้อยที่ร้านนี้ เนื่องจากเราเจรจากะน้องหมวยคนที่หาพี่เสี้ยวให้เรากันจนถูกคอ พอจะออกจากร้าน เจ๊เลนส์เลยกำแบงค์ 20 ส่งให้ หวังจะให้น้องเป็นที่ระลึก พร้อมกับ พูดว่า “เก๋ยหว่อ”ทีแรกน้องหมวยยื่นมือมา พอได้ยินเจ๊เลนส์ เก๋ยหว่อ เท่านั้นแหละ หดมือกลับแทบไม่ทัน ร้อนถึงปี้เอสต้องรีบโพล่งออกไป “เก๋ยหนี่ เก๋ยหนี่” กร๊ากกกกกันไป ทั้งคนให้คนรับ .. พอเรากำลังจะเดินพ้นจากร้าน น้องหมวยคนเดิมก็วิ่งมา ส่งสาสน์รัก ประมาณว่า อิตาคนนั่งคิดตังส์ เหล่ป้าเลนส์อยู่นานแล้ว บอกว่า “ เหิ่นเพี่ยวเลี่ยง” กร๊ากกก มนต์รักกวงโจว ซะละมั้งงานนี้.. อิ อิ

เนื่องจากซื้อของกันมาเต็มอัตราศึก เราเลยต้องเรียกแท๊กซี่เอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อน จากนั้น เราก็ให้เค้าท์เตอร์เขียนชื่อสถานที่ที่จะไป เพื่อให้แท๊กซี่อ่านเพราะคาดว่า มัวงม MRT มีหวังไม่ได้ไปตามที่ต้องการแน่ๆ ( แล้วทำไม ไม่ทำงี้ตั้งแต่แรกหว่า.. ) เป้าหมายถัดไป คือ ห้าง China Plaza ใกล้ ๆ Lieshilingyuan Station ที่ๆบอกว่า มีน้องตี๋ ก็เทวดาทั้งหลายอยู่ตามทางขึ้นสถานี แต่คราวนี้บรรพบุรุษไม่ช่วยอะไร เพราะเราเจอแค่น้องตี๋ ซึ่งกว่าเราจะไปถึง ก็ 4 โมงเย็นแล้ว มัวหลงระเริงอยู่ใต้ดินเกือบ 2 ชม. เลยต้องกิน Mac รองท้อง แล้วก็บึ่งไปที่ ถนน Shang Jiu Lu กันต่อ


บรรยากาศ ถนน shang jiu lu .. เป็นถนนคนเดิน เหมือนๆ กับที่ เป่ยจิงลู่ แต่ว่าร้านจะเยอะกว่า คนก็เยอะกว่า ถนนก็ยาวกว่า


สาเหตุที่เราไปถนนนี้ก็เพื่อ.. โจวเจี๋ยหลุน.. ร้าน Meters/Bonwe


มาถึง ชางจิ่วลู่ พอแวะร้านเจย์เสร็จ ก็เดินตุหลัดตุเหล่ ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย จนหลงไปใน IPZone อีกรอบ นกกิ้งโค้งได้รองเท้ามา 2 คู่ ทวดได้รึเปล่าไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ต่อนู่นต่อนี่ ชมคนขายหน่อยว่าหล่อกว่าน้องตี๋ เราเลยได้ถุง kentex มาโดยไม่ต้องซื้อของซะนิด.. อิ อิ

แต่อิป้าดันลืมถุง Gior ที่ช๊อบไว้เลยต้องบึ่งแท๊กซี่กลับไปเอา ดีว่าถามไว้ว่าร้านปิดกี่โมง ได้ความว่าปิด 5 ทุ่ม กลับถึงโรงแรมตอน4ทุ่ม45 ใช้เวลา 15 นาที บวกกับวิ่ง 4*100 เหนื่อยแทบขาดใจ..

( ฝีมือน้องนิค ได้แค่ถุง สมุดภาพขโมยถ่ายเอาก็ได้ .. อิ อิ)


ป้ากะนกกิ้งโค้งต้องบึ่งกลับไปเอาถึง เลยพลาด ช๊อทเด็ดที่ 7-11..

.. เนื่องจากเรากินแม็ครองท้อง แล้วก็ซื้อมาม่าครบทุกรส ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อน คืนนี้เราก็เลยตกลงกันว่าจะปาร์ตี้มาม่ากัน ก็เลยลงไปหาซื้อไส้กรอก ลูกชิ้น เพื่อความสมบูรณ์ทางโภชนาการ ..

.. ไม่คาดฝัน กลางดึกคืนนั้นเราเลยได้รู้ว่าพรุ่งนี้จะมี พรีเมี่ยมพี่เป๊บออกมายั่วน้ำลาย อีกแล้ว..

( ที่ 7-11 กวงโจวตอนนี้มีลูกศิษย์น้องนิคเพิ่มขึ้นอีกคน รายละเอียด .. อุ อุ อุ.. สัมภาษณ์น้องนิคกะปี้เอสจะได้ความกระจ่างกว่า ได้ข่าวว่า ฮา)


8 ธันวาคม วันคล้ายวันเกิด ป้าเลนส์

.. เราพยายามสอดส่ายสายตาหาร้านเคก อยู่หลายวันแต่ก็ไม่พบ.. แต่เราก็วางแผนการณ์ไว้ เซอร์ไพร์สเจ๊อยู่ก่อนแล้ว เลยต้องตื่นแต่เช้า มาเนรมิตผู้มอบของขวัญให้เจ๊ ..ตามมีตามเกิด ได้ออกมาหน้าตาประมาณเนี๊ยะ..

.. ถึงตาเสี้ยวจะหัวเล็กไปหน่อย อุ้มแมวตัวน้อยมาให้ .. ก็ตั้งใจทำนะเออ..

.. ยืนขำ อิซีเหมินอยู่นานก่อนจะทำใจย่องไปห้องเจ๊เลนส์โดยมีน้องนิคเป็นสายคอยส่งซิก .. รออยู่หลังม่านจนจะหายใจไม่ออกตาย เจ๊ก็ไม่ออกจากห้องน้ำ เลยต้องให้น้องนิคทำทีเป็นปวดท้อง .. เจ๊ก็ยอมออก.. ขนาดอิเทียนอยู่บนเตียงตัวเองแท้ๆ ยังมองไม่เห็น .. จนไอ้หลังม่านเริ่มอยู่ไม่สุก ยุกยิก ยุกยิก อิเจ๊ตกใจ นึกว่าผีหลอก เราเลยต้องออกมาเฉลย.. เจ๊เอ๊ย.. ลูกกะตาเหรอนั่น.. ฮ่วย.. แก๊งค์ลูกหมู เซร็ง.. ซะงั้น..

..เสร็จธุระตอนเช้า เราก็มาเช็คเอ้าท์พร้อมกับฝากของที่โรงแรม และให้รถโรงแรมไปส่งที่สนามบิน 4 โมงครึ่ง สนนราคา ประมาณ 250หยวน ดีกว่าลากกระเป๋าใส่ศพไปขึ้น Airport Express ที่โรงแรมเดิม ..

.. เช้าวันนี้สดใสที่สุดตลอดเวลาที่มาอยู่ที่กวางโจว เพราะอิตาฟร้อน ที่พูดภาษาปะกิตได้ หน้าตา หล่อตี๋ได้ใจมั๊กมาก เราเลยขนานนามเค้าว่า คุณคนหล่อ.. ซึ่งนกกิ้งโค้งจะขอเป็นคนไปเจรจาตลอด .. ถ่วงเวลาถามนู่นถามนี่ซะงั้น เพราะเป็นคนเดียวที่พูดภาษาปะกิตได้ ..

.. สถานที่ท่องเที่ยวแหล่งสุดท้ายที่เราต้องไปให้ได้ คือ อนุเสาวรีย์ 5 แพะ.. ( ตำนานเล่าว่าดาวลูกแกะเป็นผู้สร้างเมืองก่วงโจว - หนังสือนำเที่ยวของปี้เอส) เราก็ให้คุณคนหล่อเขียนชื่อสถานที่ให้ .. แล้วเราก็ออกจากโรงแรม เพื่อไปสอยพรีเมี่ยมที่ร้าน 7-11 ก่อน

.. พรีเมี่ยม 1 กล่อง ต้องซื้อน้ำ 2 ขวด กว่าจะได้ครบคน เราก็ต้องแบกน้ำกัน ประมาณ 20 โหล.. ทีแรกกะจะทิ้งไว้ที่ร้านนะแหละ.. ขี้เกียจแบก แต่เจรจากันแล้ว ถ้าเป็นที่ฮ่องกง เราอาจซื้อน้ำพอเป็นพิธี แล้วก็ซื้อพรีเมี่ยมได้ในราคา 5 หยวน แต่ที่นี่ 5ไม่ยอม10ไม่ยอมเราก็เลยงอนเดินแบกน้ำออกมาทำตัวเป็นซานต้า ไปแจกตามร้านอาหารที่เราไปซื้อๆ มา.. ก็ได้รับคำขอบคุณกันทั่วหน้า มานอยก็ที่ IPZone ซึ่งผจก.ร้านสั่งไม่ให้พนักงานรับ.. เราก็เลยเดินงอลตุ๊บป่อง เอาน้ำมาแปะไว้ที่ถังขยะหน้าร้านซะงั้น .. แต่พอคล้อยหลังไป ก็มีคนมาเก็บไปทันที .. ปี้เอสกะนกกิ้งโค้งแอบเดินตามไปดูว่าเค้าจะเอาไปไหน.. เลี้ยวเข้าห้องน้ำไปเลย.. ตามต่อบ่ได้.. 5 5 5..

.. หลังจากอิ่มเอมกะพรีเมี่ยมที่แรกมา และทำตัวเป็นซานต้าแจกไป๋ซื่อแล้ว เราก็ปฏิบัติภาระกิจสุดท้ายโดยการ พิชิต 5 แพะได้สำมะเร็จ..


5 แพะเนี่ย อยู่ใน Yuexia Park ซึ่งกว่าเราจะหากันเจอ ก็เดินข้ามเขากัน 1 ลูกพอดี.. เกือบย้อนกลับไปเตะอียามด้านหน้าแล้ว ชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้ตรูเดินข้ามเขา ที่จริงเดินอ้อมทางราบก็ได้..

.. ระหว่างทางข้ามเขา เราก็เจอเค้าถ่ายแบบกันอยู่ แอบจิ้นว่าเป็น ตาเสี้ยวมาถ่ายมิวสิค.. ซะงั้น .. พอให้บันเทิงเริงใจไม่กลับไปงับหัวยาม..

.. ถ่ายรูป กะซื้อของที่ระลึกกันอยู่พักใหญ่ๆ ก็กลับไปเป่ยจิงลู่ เก็บตกของฝาก ที่ยังไม่ได้ซื้อ พอสี่โมงเป๊ง ก็กลับโรงแรม..

.. คุณคนหล่อมาเดินวนเวียนดูเราแพ็คกระเป๋าอยู่หน้าล๊อบบี้ พร้อมกับแววตาสมเภช ว่าได้พวกนี้มัน ช๊อบยังกะไปยุโรป.. บ้านมันไม่มีเหรอฟระ.. ดีนะที่ไม่เห็นขวดพี่เป๊บ..

.. สี่โมงครึ่งเค้าก็รีบๆ ไล่ให้พวกเราออกจากโรงแรม.. มาถึงสนามบินใกล้ๆ 6 โมง .. กะเดินเล่นใน duty fee ซะหน่อย .. ปากดว่า ..มีอยู่กระจึ๋งเดียว เลยต้องนั่งเม้าส์กันจนเครื่องจะออก.. มีเสียวเล็กน้อยก่อนกลับ เพราะใน boarding pass มันเขียนไว้ว่า gate A8 เราก็ไปนั่งรอ ที่ A8 จนจะ 2 ทุ่มก็ยังมีเรานั่งอยู่กลุ่มเดียว .. เริ่มนอยว่าไม่มีใครบินกับตรูรึงัยเนี่ย.. สักพัก เหลือบไปเห็น A6 .. เอ๊า!!ย้าย gate ก็ไม่บอก.. เกือบตกเครื่องแล้วไม๊ละ..

กลับถึงกทม. ห้าทุ่มพอดี พร้อมกับหูเพี๊ยนๆ ไปกับสำเนียงแปล่งๆ ของสจ๊วตการบินไทย.. ทั่นเดินมาตรงหน้า บอกเราว่า " วันนี้เอาบรั่นดีมา" .. เล่นเอาตรูงง มาบอกตรูทำไมฟระว่า เอาบรั่นดีมา .. ได้คำเฉลยจากปี้เอสว่า ทั่นพูดว่า "หนี่เหย้า บรั่นดี มา".. พ่อคู๊ณณณณ ..


จบมหากาพย์แต่เพียงเท่านี้..
ปล. ยังมะมีปันยา ป๊ะรูป.



Create Date : 14 กรกฎาคม 2548
Last Update : 4 สิงหาคม 2548 19:46:40 น. 9 comments
Counter : 597 Pageviews.

 
แฮ่ แฮ่ มะเห็นมีไรเลย
แต่ไมคนเข้าแยะจัง
อุอุ


โดย: STOR IP: 203.146.98.239 วันที่: 15 กรกฎาคม 2548 เวลา:20:52:24 น.  

 
สู้สู้ สู้ตาย 555555


โดย: S and K วันที่: 24 กรกฎาคม 2548 เวลา:23:33:19 น.  

 
มาวิ่งเล่น

มีให้วิ่งหลายที่แฮะ





โดย: Piggie IP: 58.10.169.52 วันที่: 25 กรกฎาคม 2548 เวลา:23:16:10 น.  

 
เนเน่เปี่ยนสีตัวอักสรเยย อ่านมะออก


โดย: Z-rebrum วันที่: 2 สิงหาคม 2548 เวลา:20:15:12 น.  

 
อ่านกี่ทีก็มันส์พะย่ะคับ


โดย: ^RyOkO^ วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:1:00:03 น.  

 
รูปในเครื่องหมายคำถามอะ ให้ทายละเปล่างะ ( กลัวทายถูกกกกจังงะ )


โดย: sumok IP: 202.142.216.41 วันที่: 11 สิงหาคม 2548 เวลา:18:05:16 น.  

 
อิจฉาได้ไปตามอ้วนอ่า อยากไปบ้างงงงงง เข้ามาตะโกนบอกอ้วน ว่ารักอ้วนนนนนน ประสบการณ์ชีวิตที่มีปู้ชายหล่ออ้วนคนนึงเป็นตัวชักนำ มันส์มากมายเลยค่ะ


โดย: rapint (rapint ) วันที่: 12 สิงหาคม 2548 เวลา:11:50:56 น.  

 
ยาวจริงๆๆ 555


โดย: sumo k IP: 202.142.216.198 วันที่: 18 สิงหาคม 2548 เวลา:9:10:28 น.  

 
ไปอีกชวนบ้างซิ แบบจริงใจนะโทรฯมาชวนนะ 081 3071632


โดย: จิ IP: 203.114.110.18 วันที่: 12 เมษายน 2550 เวลา:17:53:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จ้ายโหยว่
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add จ้ายโหยว่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.