พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๔๐ : นายสุมนมาลาการ
พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๔๐ : นายสุมนมาลาการ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ตรัสพระธรรมเทศนา เรื่องนายมาลาการ ว่า "ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ" ดังนี้
นายมาลาการนั้น เป็นผู้ที่บำรุงพระเจ้าพิมพิสารด้วยดอกมะลิ ๘ ทะนานแต่เช้าตรู่ทุกวัน ได้ทรัพย์วันละ ๘ กหาปณะ ต่อมาวันหนึ่ง เมื่อนายมาลาการถือดอกไม้ พอเข้าไปสู่พระนคร แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า อันมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงเปล่งพระรัศมี ๖ ประการ เสด็จเข้าไปสู่พระนคร เพื่อบิณฑบาต
นายมาลาการบูชาพระศาสดาด้วยดอกไม้ ครั้นนายมาลาการเห็นอัตภาพพระผู้มีพระภาคเจ้า เช่นกับด้วยรัตนะอันมีค่าและทองอันมีค่า แลดูพระสรีระของพระพุทธองค์อันพร้อมด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ จึงมีจิตเลื่อมใส แล้วคิดว่า "เราจักทำการบูชาอันยิ่งแด่พระศาสดาอย่างไรหนอ?" เมื่อไม่เห็นสิ่งอื่น จึงคิดว่า "เราจักบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้เหล่านี้" แต่ก็คิดอีกว่า "ดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้สำหรับบำรุงพระราชาประจำ, พระราชา เมื่อไม่ทรงได้ดอกไม้เหล่านี้ พึงให้จองจำเราบ้าง พึงให้ฆ่าเราบ้าง พึงขับไล่เสียจากแว่นแคว้นบ้าง, เราจะทำอย่างไรหนอ?" แต่แล้วกลับคิดได้ว่า "พระราชาจะทรงฆ่าเราเสียก็ตาม ขับไล่เสียจากแว่นแคว้นก็ตาม แต่พระราชานั้น พระราชทานแก่เรา เพียงทรัพย์สักว่าเลี้ยงชีพในอัตภาพนี้, ส่วนการบูชาพระศาสดา อาจเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุข แก่เราในโกฏิกัปเป็นอเนกทีเดียว" นายมาลาการคิดว่า "จิตเลื่อมใสของเราไม่กลับกลายเพียงใด เราจักทำการบูชาเพียงนั้นทีเดียว" เมื่อคิดสละชีวิตของตน แด่พระตถาคตแล้ว เขาจึงมีจิตเบิกบานและแช่มชื่น เพื่อบูชาพระศาสดา
ความอัศจรรย์ของดอกไม้ที่เป็นพุทธบูชา นายมาลาการซัดดอกไม้ ๒ กำขึ้นไปในเบื้องบนแห่งพระตถาคตก่อน ดอกไม้ ๒ กำนั้นได้ตั้งเป็นเพดานในเบื้องบนพระเศียร เขาซัดดอกไม้ ขึ้นอีก ๒ กำ ดอกไม้ ๒ กำนั้นได้ย้อยลงมาตั้งอยู่ทางด้านพระหัตถ์ขวา โดยอาการอันมาลาบังไว้ เขาซัดดอกไม้อื่นอีก ๒ กำ ดอกไม้ ๒ กำนั้น ได้ห้อยย้อยลงมาตั้งอยู่ทางด้านพระปฤษฎางค์ เขาซัดดอกไม้อีก ๒ กำที่เหลือ ดอกไม้ ๒ กำนั้น ก็ห้อยย้อยลงมาตั้งอยู่ทางด้านพระหัตถ์ซ้าย อย่างนั้นเหมือนกัน. ดอกไม้ ๘ ทะนานเป็น ๘ กำ แวดล้อมพระตถาคต ทั้ง ๔ ด้าน มีทางพอเป็นประตู เดินไปข้างหน้าได้เท่านั้น ทั้งขั้วดอกไม้ทั้งหมดได้หันหน้าเข้าข้างใน, หันกลีบออกข้างนอก แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า ราวกับล้อมด้วยแผ่นเงิน
นายมาลาการบอกแก่ภรรยา นายมาลาการเต็มเปี่ยมด้วยปีติ ครั้นเมื่อได้ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ได้ถือเอากระเช้าเปล่ากลับสู่เรือน ครั้งนั้น ภรรยาถามเขาว่า "ดอกไม้อยู่ที่ไหน?" มาลาการ เราบูชาพระศาสดาแล้ว ภรรยา บัดนี้ ท่านจักทำอะไรแด่พระราชาเล่า? มาลาการ พระราชาจะทรงฆ่าเราก็ตาม ขับไล่จากแว่นแคว้นก็ตาม, เราสละชีวิตบูชาพระศาสดาแล้ว
ภรรยาไม่เลื่อมใสฟ้องพระราชา แต่ภรรยาของเขาเป็นหญิงอันธพาล ไม่มีความเลื่อมใสในพระปาฏิหาริย์ กลับด่าเขา แล้วกล่าวว่า "ธรรมดาพระราชาทั้งหลายเป็นผู้ดุร้าย กริ้วคราวเดียวก็กระทำความพินาศมาก ด้วยการตัดมือและเท้าเป็นต้น ความพินาศพึงมีแก่เรา เพราะกรรมที่เธอกระทำ" แล้วเธอจึงพาพวกบุตรไปเข้าเฝ้า พระราชาตรัสเรียกมาถามว่า "อะไรกันนี่?" เธอจึงกราบทูลว่า "สามีของหม่อมฉัน เอาดอกไม้สำหรับบำรุงพระองค์ ไปบูชาพระศาสดาแล้ว กลับมือเปล่ามาสู่เรือน เมื่อถูกหม่อมฉันถามว่า ดอกไม้อยู่ไหน? ก็กล่าวคำชื่อนี้, หม่อมฉันด่าเขาแล้วกล่าวว่า ธรรมดาพระราชาทั้งหลายเป็นผู้ดุร้าย กริ้วคราวเดียว ก็กระทำความพินาศมาก ด้วยการตัดมือและเท้าเป็นต้น, ความพินาศพึงมีแก่เรา เพราะกรรมที่เธอกระทำ ดังนี้แล้ว ก็ละทิ้งเขามาในที่นี้; กรรมที่เขากระทำ จะเป็นกรรมดีก็ตาม จะเป็นกรรมชั่วก็ตาม, กรรมนั้นจงเป็นของเขาผู้เดียว, ขอเดชะ พระองค์จงทรงทราบความที่หม่อมฉันละทิ้งเขาแล้ว
พระราชาทรงทำเป็นกริ้ว แต่พระราชาที่ทรงบรรลุโสดาปัตติผล ด้วยถึงพร้อมด้วยศรัทธา เป็นอริยสาวกด้วยการเห็นทีแรก ทรงดำริว่า "โอ! หญิงนี้เป็นอันธพาล ไม่ยังความเลื่อมใสในคุณเห็นปานนี้ให้เกิดขึ้น." ท้าวเธอจึงทำเป็นกริ้ว ตรัสว่า "เจ้าพูดอะไร แม่? นายมาลาการนั้นกระทำการบูชา ด้วยดอกไม้สำหรับบำรุงเราหรือ?" หญิงนั้นทูลว่า "ขอเดชะ พระเจ้าข้า." พระราชาตรัสว่า "ความดีอันเจ้าทิ้งเขาแล้ว, เรารู้กิจที่ควรกระทำแก่นายมาลาการผู้กระทำการบูชา ด้วยดอกไม้ทั้งหลายของเรา" ทรงส่งหญิงนั้นไปแล้ว รีบเสด็จไปในสำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว เสด็จเที่ยวไปด้วยพระศาสดา พระศาสดาทรงทราบความเลื่อมใสแห่งพระหฤทัยของพระราชานั้น เสด็จเที่ยวไปสู่พระนครตามถนนแล้ว ได้เสด็จไปสู่พระทวารแห่งพระราชมนเทียรของพระราชา. พระราชาทรงรับบาตร ได้ทรงมีพระประสงค์จะเชิญเสด็จพระศาสดาเข้าไปสู่พระราชมนเทียร. ส่วนพระศาสดาได้ทรงแสดงพระอาการที่จะประทับนั่งในพระลานหลวงนั่นเอง. เมื่อพระราชาทรงทราบพระอาการนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้กระทำปะรำในทันที พระศาสดาทรงประทับนั่งกับหมู่ภิกษุแล้ว. เพราะ พระศาสดา มีความปริวิตกว่า ถ้าว่าเราพึงเข้าไปนั่งในภายในไซร้ มหาชนจะไม่พึงได้เห็นเรา คุณของนายมาลาการจะไม่พึงปรากฏ แต่ว่ามหาชนจักได้เห็นเรา ผู้นั่งอยู่ ณ พระลานหลวง, คุณของนายมาลาการจักปรากฏ.
พระราชาได้ถวายภัตตาหารแก่พระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์ แล้วตามส่งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับวัดเวฬุวันแล้ว จึงมีรับสั่งให้นายสุมนมาลาการเข้าเฝ้า เมื่อนายสุมนมาลาการมาเข้าเฝ้าแล้ว พระเจ้าพิมพิสารตรัสยกย่องสรรเสริญนายสุมนมาลาการว่าเป็นมหาบุรุษ แล้วพระราชทานสิ่งของ ๘ ชนิด คือช้าง ม้า ทาส ทาสี เครื่องประดับใหญ่ กหาปณะ นารี อย่างละแปด ที่นำมาจากราชตระกูล และบ้านส่วยอีก ๘ ตำบล
พระศาสดาตรัสสรรเสริญนายมาลาการ เมื่อกลับถึงวัด พระอานนท์ได้ทูลถามถึงผลบุญที่นายสุมนมาลาการจะพึงได้รับ พระพุทธองค์ตรัสว่า นายสุมนมาลาการได้สละชีวิตบูชาพระองค์ในครั้งนี้จักไม่ได้ไปเกิดในนรกตลอดแสนกัลป์ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จเข้าพระคันธกุฎี ดอกไม้เหล่านั้นจึงตกลงที่ประตูกุฎีนั้นแล ในเวลาเย็น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรม เรื่องการบูชาพระพุทธเจ้าของนายสุมนมาลาการแล้วได้รับของพระราชทาน ๘ อย่างจากพระเจ้าพิมพิสาร พระพุทธองค์เสด็จมาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย บุคคลทำกรรมใดแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้เอิบอิ่ม มีความสุขใจ นั่นแหละเรียกว่า กรรมดี" นายสุมนมาลาการ เป็นอุบาสกที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชนได้ท่านได้เสียสละชีวิตเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า นั่นคือ สละชีวิตเพื่อทำความดี รักษาความดีเอาไว้ แม้ชีวิตจะหาไม่ก็ตาม จึงเป็นบุคคลที่ควรยกย่องและเป็นแบบอย่างได้
Create Date : 12 กันยายน 2553 | | |
Last Update : 12 กันยายน 2553 22:42:09 น. |
Counter : 16249 Pageviews. |
| |
|
|
|