"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics

โอกาสทองในการซื้อบ้านมาหรือยัง ?



โอกาสทองในการซื้อบ้านมาหรือยัง ?




แม้ว่าเศรษฐกิจ จะตกต่ำ แต่อสังหายังเป็นทั้งสิ่งจำเป็น สำหรับคนที่กำลังมองหาบ้านใหม่ รวมถึงนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนด้านนี้ บ้านนับเป็นเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีความได้เปรียบกว่า อสังหาฯประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะการมีที่ดินที่มีโฉนด เป็นหลักประกันในระยะยาวที่มั่นคง กว่าอื่นใด และเงื่อนไขราคา ก็ยังดีอยู่ ไม่ได้ปรับเกณฑ์เฉลี่ยสูงขึ้น เหมือนบรรดาคอนโดฯทั้งหลาย ที่ขยับขึ้นมาในระดับ 2-3 ล้าน แล้ว

“ราคาบ้านช่วงนี้ ตกถึงขีดสุดหรือยัง จะซื้อเมื่อไรดี” ล้วนแต่เป็นคำถามที่หลายๆคนถาม และอีกหลายๆคนอยากรู้ ฟังคำตอบเหล่านี้ได้จากซีอีโอ เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) "อนุพงษ์ อัศวโภคิณ"


กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : สองสามเดือนที่ผ่านมา มีแต่คนถามผมว่าจะซื้อบ้านตอนไหนดี เพราะคนส่วนมากคิดว่าปัญหาเศรษฐกิจจะทำให้ราคาต้องลดลงมาก ซึ่งผมตอบได้ยากว่าจะซื้อตอนไหนดีเพราะขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความต้อง การบ้านของผู้ถาม แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ จะไม่ลดมากอย่างที่หลายๆ คนคาดหวัง

สาเหตุที่คนจำนวนมากคาดคะเนว่าราคาบ้าน จะลดลงอย่างมาก แล้วจ้องรอซื้อในตอนนั้น ก็เพราะในตอนนี้ไม่มีใครรู้แน่ ว่าเศรษฐกิจของโลกจะเลวร้ายลงไปถึงไหน ทั้งยังมีการคาดคะเนว่าจะมีการปิดกิจการ คนตกงาน และเรื่องอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาอีก

ดังนั้น คนส่วนมากจึงเอาการคาดคะเนเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่ เคยเกิดขึ้นจริงในปี 2540 ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นเสมือนเอาทุเรียนไปเปรียบกับมะเขือยาว!
• ในปีวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 นั้น ธนาคารต่างๆ แทบจะไม่ปล่อยกู้ทั้งกับผู้ซื้อและผู้ทำโครงการ แต่ในตอนนี้ไม่ใช่ ระบบธนาคารมีการป้องกันตัวเป็นอย่างดี จึงยังสามารถให้กู้ได้ในระดับที่เห็นว่าปลอดภัยต่อระบบ
• ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ก็ไม่เหมือนก่อน เพราะมีรายที่เข้มแข็งเกิดขึ้นมามาก ซึ่งก็ส่งผลให้ธนาคารมีความมั่นใจ
• ปัญหาของปี 2540 คือ เศรษฐกิจแบบฟองสบู่ มีเงินนอกเข้ามามาก มีการเก็งกำไรกันอย่างกว้างขวาง เมื่อฟองสบู่แตกราคาที่สูงเกินจริงก็กลับสู่ภาวะปกติ ตามมาด้วยธนาคารเข้ายึดทรัพย์ออกขายทอดตลาด ราคาจึงตกลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่การเก็งกำไร เพราะธนาคารไม่ปล่อยกู้สำหรับการเก็งกำไรมานานแล้ว

พอผมพูดถึงภาวะไม่มีการเก็งกำไร ก็มักจะถูกแย้งว่าไม่จริง ซึ่งผมยอมรับว่ามีแต่อยู่ในวงจำกัด อาทิเช่น คอนโดก็พบว่ามีการซื้อเพื่อเก็งกำไรในอัตราไม่น่าจะเกินกว่า 20% ส่วนที่ดินนั้นยิ่งมองง่ายเพราะเมื่อธนาคารไม่ปล่อยกู้เพื่อเก็งกำไรที่ดิน ก็จะมีแต่คนที่มีเงินเย็นที่ซื้อเก็งกำไรและคนเหล่านี้ไม่เดือดร้อนที่ ธนาคารไม่ให้กู้ จึงไม่จำเป็นต้องรีบขาย และสามารถรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมได้

สำหรับการกู้ในส่วนของผู้ซื้อนั้นก็ เช่นกัน ในขณะนี้ มีลูกค้าไม่ผ่านการกู้เพิ่มขึ้นมาก บางโครงการมีลูกค้ากู้ไม่ผ่านมากถึง 50% ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะนี่คือระบบที่เท่ากับว่าธนาคารช่วยกรองมาให้แล้ว

ระบบธนาคารจึงประกันให้ว่าลูกค้า ปลอดภัย ผู้ทำโครงการปลอดภัยและธนาคารก็ปลอดภัย เป็นประโยชน์แก่ระบบเศรษฐกิจ และในที่สุด ธนาคารก็ยังสามารถที่จะนำเงินมาปล่อยกู้แก่ผู้ทำโครงการต่อไปได้

ในขณะนี้ แม้ว่าลูกค้าจะกู้ไม่ผ่าน สมมติว่ามากถึง 50% ก็ยังดีกว่าในปี 2540 อย่างมากเพราะในตอนนั้นมีผู้ที่สามารถกู้ผ่านได้ผ่านเพียง 10% เท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่าอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังคงแข็งแรงดีอยู่

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เห็นได้ว่าแม้ภาพ ของเศรษฐกิจอาจจะดูไม่ดีคล้ายๆ กัน แต่มาจากคนละสาเหตุ ดังนั้น ผลที่ตามมาจึงย่อมไม่น่าจะเหมือนกันไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะยืนอยู่เข้มแข็งและเพิ่มขึ้นต่อไป เพราะในปีหน้าเป็นที่ตลาดจะอ่อนตัวและต้นทุนวัสดุก่อสร้างจะลดลงแน่นอน จึงอาจจะส่งผลให้ราคาอ่อนตัวลงบ้าง แต่ไม่ใช่การลดลงอย่างเป็นระบบทั้งตลาด


ตลาดดุเดือดแน่นอน

ในภาวะที่ตลาดอ่อนตัวลงจะมีการแข่งขัน กันอย่างดุเดือดแน่ เพราะผู้ประกอบการต่างก็ต้องการเงินเพื่อให้บริษัทตัวเองปลอดภัยที่สุดจน กว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ไม่ใช่การแข่งขันที่พากันตัดราคาเพราะเหตุผลที่อ้างมาแล้วว่าต้นทุน ที่ดินไม่ลดลง ต้นทุนเงินกู้ไม่ลดลงและความต้องการในตลาดยังมีอยู่

ทุกวันนี้ จะเห็นได้ว่าบริษัทขายบ้านและคอนโดฯ ได้รับการสอบถามราคาเพิ่มขึ้นเกือบสอง เท่า เวลาเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ก็ยังมีจำนวนผู้สนใจเข้ามาดูไม่ลดลง แสดงว่าความต้องการซื้อยังมีอยู่มาก แต่การซื้อจริงกลับมีน้อย ก็เป็นเครื่องชี้ชัดว่าผู้ซื้อรอราคาเพราะคาดว่าจะมีการลดราคาจากผลของพิษ เศรษฐกิจ

ตราบที่มีคนเข้าคิวรอซื้อจำนวนมาก ก็หมายความว่าตลาดยังดีอยู่ แล้วคนขายของที่ไหนจะลดราคา

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไม่ได้มีต้นทุนลดลงมากพอ จึงทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะรังแต่จะทำให้อุตสาหกรรมพังได้โดยง่าย อันนี้ทุกคนเข้าใจกันดี ฉะนั้นการแข่งขันด้านราคาจึงจะอยู่ในวงจำกัดและในช่วงเวลาที่จำกัด ขึ้นกับแผนบริหารการเงินของแต่ละราย

เราจึงจะเห็นการต่อสู้กันในด้านของการ เสนอของแถม เสนอเงื่อนไขทางการเงินที่ดีกว่า ซึ่งในตอนนี้ก็เริ่มมีให้เห็นกันแล้ว อาทิเช่น การร่วมมือกับธนาคารให้ข้อเสนอการกู้ที่น่าสนใจ เป็นต้น

ผู้ประกอบการจะแข่งขันกันอย่างหนัก แต่ไม่ใช่การลดราคาอย่างหนัก เพราะทุกรายรู้ว่าแข่งด้วยการลดราคาเมื่อไรจะตายกันหมด

อีกด้านหนึ่งก็ได้แก่การแข่งขันลดต้น ทุนให้แก่ลูกค้า อาทิเช่น ร่วมกับผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งผู้ซื้อบ้านก็จะรู้สึกได้ทันทีถึงภาระที่ลดลง เพราะเมื่อซื้อแล้วก็จะไม่ใช่ได้รับแต่บ้านว่างเปล่า แต่เป็นบ้านที่อยู่ได้ทันทีและอยู่ได้อย่างสบาย



รายใหญ่กับรายเล็กได้เปรียบกว่า

อย่างที่กล่าวมาแล้วถึงการแข่งขัน ซึ่งด้านการลดราคานั้นเกิดขึ้นยาก ดังนั้น การร่วมกับธนาคารทำข้อเสนอทางการกู้ที่ดี จึงน่าจะเป็นทางที่ได้รับความสนใจ จากผู้ซื้อ แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าการส่งเสริมการขายในแบบนี้ จะต้องมีจำนวนยูนิตมากเพียงพอจึงจะทำให้ความร่วมมือกันนี้น่าสนใจ และก็มีเฉพาะผู้ทำโครงการรายใหญ่ที่จะมีปริมาณยูนิตมากเช่นนั้น

ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถขยายจำนวน โครงการได้มาก เพื่อเฉลี่ยความเสี่ยง เมื่อบางโครงการขายได้ บางโครงการขายไม่ได้ ก็สามารถมีรายได้ค้ำจุนกันได้ ในขณะที่ผู้ทำโครงการขนาดกลางขาดความสามารถจะทำเช่นนั้น จึงเสียเปรียบทั้งในการร่วมมือกับธนาคาร และเสียเปรียบในการจัดการความเสี่ยง
สำหรับรายเล็กนั้น น่าจะเรียกได้ว่าได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะส่วนมากมีปัญหาในการกู้ธนาคารอยู่แล้ว จึงใช้เงินตัวเองสร้างและตลาดในบางทำเล ก็นับว่ามีความต้องการสูง ภาวะเศรษฐกิจจึงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ทำโครงการรายเล็กมากนัก



จะเลือกซื้อบ้านอย่างไร

เมื่อผู้ทำโครงการกำลังก้าวเข้าสู่การ แข่งขัน ก็จะเกิดภาวะตลาดของผู้ซื้อ (buyers market) อย่างแน่นอน ฉะนั้นผมจึงอยากแนะนำให้ผู้จะซื้อบ้านจำไว้ประการแรกว่า "การเห็นกับตาย่อมดีที่สุด" เลือกสิ่งที่จับต้องได้จริง เพราะในเวลาเช่นนี้ลูกค้าจะไปโครงการไหน อยากดูอะไรจะได้รับการตอบสนองอย่างดีแน่นอน การจะคิดว่าซื้อจากรายใหญ่แล้วจะดีนั้นก็ไม่แน่นอนเสมอไป

เช่นกันกับเลือกสินค้าจากผู้ทำโครงการ เล็กก็ควรไปดูกับตาตัวเอง เพราะมีบางโครงการที่ทำเสร็จ ส่งมอบได้เรียบร้อย แต่ยอดขายน้อยทำให้มีลูกบ้านอยู่ไม่กี่หลัง ทำให้สภาพการอยู่อาศัยกลายเป็นความลำบากไปได้เหมือนกัน

ในตอนนี้ จึงเป็นโอกาสที่จะได้เลือกดูกับตา สัมผัสได้จริง จากนั้นจึงพิจารณาข้อเสนอที่โครงการมอบให้ว่าน่าสนใจเพียงใด

ผู้สนใจซื้อบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ น่าจะมีโอกาสได้เลือกมากขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากการพัฒนาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์น่าจะเพิ่มขึ้นมาก เพราะเป็นการพัฒนาบนที่ดินแปลงใหญ่ และสามารถแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ ตามจำนวนการขายได้ จึงไม่เกิดความเสี่ยงมากเหมือนกับการทำคอนโด ซึ่งเมื่อสร้างฐานรากแล้ว ก็จะต้องทำให้เสร็จแม้ว่าจะขายได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม



ระวังงาจะไหม้เพราะรอถั่วสุก

ด้วยปัจจัยของปัญหาทางเศรษฐกิจในตอนนี้ กับในปี 2540 ที่แตกต่างกันเกือบสิ้นเชิงนี้ จึงเห็นได้ว่าโอกาสของการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์จะทรุดอย่างหนักเหมือนก่อน ไม่น่าจะไม่เกิดขึ้นได้ แต่เงื่อนไขในการซื้อของลูกค้าจะดีขึ้นแน่นอน จากการแข่งขันผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณา คือ ต้องกู้เงินธนาคารมาชำระหรือเปล่า ในกรณีนี้คนที่มีเงินเก็บจำนวนมากและจะซื้อด้วยเงินสดย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่หากจะต้องกู้เงินธนาคารมาซื้อก็จะเห็นได้ว่าอัตราต้นทุนดอกเบี้ยกำลัง เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ในทางที่สูงขึ้น หมายความว่าแม้ผู้ทำโครงการจะไม่ขึ้นราคา ต้นทุนการเงินของลูกค้าก็จะต้องขึ้นไปแน่นอนในอนาคต

อีกปัจจัยหนึ่ง คือ ความมั่นใจของผู้บริโภคกับปัจจัยทางเศรษฐกิจนั้น แม้ว่าจะสัมพันธ์กันแต่ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน อาทิเช่น ในบางเวลาแม้ว่าการเมืองและเศรษฐกิจยังมีปัญหา แต่ความมั่นใจของผู้บริโภคก็กลับขยับตัวขึ้นมาได้ ขึ้นอยู่กับบรรยากาศแวดล้อม

ในขณะนี้ ไม่มีใครทำนายได้แน่ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำลงไปอีกนานแค่ไหน แต่เมื่อถึงตอนนั้น ความมั่นใจกลับมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็จะขยับตัวขึ้นทันที ดังจะเห็นได้เสมอในตลาดหลักทรัพย์ที่มีเพียงไม่กี่คน ที่สมหวังกับการรอซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำที่สุด การซื้ออสังหาริมทรัพย์ก็แทบจะไม่แตกต่างกัน!


นี่เป็นความคิดเห็นในทัศนะของนักลงทุน ซึ่งก็เป็นกลุ่มอสังหาเฉพาะบ้านสร้างใหม่ แต่อีกส่วนหนึ่ง คือบ้านเก่า หรือบ้านมือสอง สถานะการณ์อาจจะแย่กว่า ความต้องการขายอาจมากกว่า และราคาก็จะต่ำกว่า ด้วยเช่นกัน แต่การเลือกซื้อ จะยากกว่าการซื้อบ้านใหม่ เพราะมันกระจัดกระจายกันอยู่ อีกทั้งเมื่อซื้อแล้ว ยังต้องเตรียมงบสำหรับการปรับปรุงตกแต่งอีกด้วย




สถานการณ์ล่าสุด
เมื่อผู้บริโภคส่งสัญญาณทิ้งดาวน์

ก่อนหน้านี้ มีเสียงบ่น ในเรื่องเกี่ยวกับการขอกู้สินเชื่อซื้อบ้านไม่ผ่าน เพราะความเข้มของแบงก์ที่มีต่อการปล่อยสินเชื่อ ในการกู้ซื้อบ้าน จากฝั่งผู้ประกอบการ แต่เมื่อลองถามกลับไปทางเจ้าของเงิน “นายแบงก์” แล้วต่างกล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้เข้มงวดมากขึ้น เรียกว่าระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้นดีกว่า ด้วยการให้เหตุผลว่าหากไม่มีความรอบคอบในการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจขาลงเช่นนี้ “เสี่ยงที่จะเกิดหนี้สูญ” มาก!! ความคิดเห็นที่กล่าวถึงล้วนมาจากประเด็นที่ลูกค้า “กู้ไม่ผ่าน” ทั้งที่มีความต้องการที่อยู่อาศัย และเชื่อมั่นว่ายังพอมีกำลังในการผ่อนชำระ ทำให้ผู้ประกอบการปิดตัวเลขขายบ้านไม่ได้เสียที่

แต่วันนี้ลองดูอีกหนึ่งมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมเกี่ยวกับการกู้ไม่ผ่าน เมื่อมีกระแสข่าวมาจากฝั่งแบงก์ว่า ตัวเลขของการกู้ไม่ผ่าน ส่วนหนึ่งแล้ว ลูกค้า “ตั้งใจ” กู้ไม่ผ่านเสียเอง


แล้วมีปัจจัยใด? ที่กระตุ้นให้ลูกค้าต้องตั้งใจกู้ไม่ผ่าน

นายอภิชาติ อรรฆย์ฐากูร ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสินเชื่อเคหะ ธนาคารนครหลวงไทย เล่าให้ฟังว่า ขณะนี้มีลูกค้าบางส่วนเริ่มส่งสัญญาณไม่มั่นใจถึงรายได้ในอนาคต กังวลเรื่องการผ่อนไม่ไหว จึงแจ้งให้ทางแบงก์ปฎิเสธสินเชื่อขอกู้ซื้อบ้านกับทางโครงการให้แทน เพราะหากแบงก์เป็นผู้ปฏิเสธสินเชื่อเองแล้ว ลูกค้ายังมีโอกาสได้รับเงินดาวน์ที่ผ่อนไปแล้วคืน ภาพรวมที่แบงก์ปฏิเสธการขอสินเชื่อบ้านในปีนี้จึงอยู่ที่ประมาณ 5% ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม ระดับราคาประมาณ 2 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 3 ล้านบาท

“มีลูกค้าเริ่มทิ้งเงินดาวน์ เงินจองจำนวนไม่น้อยทีเดียว บางรายผ่อนไปแล้ว 5-6 แสนบาท แต่ดูแล้วว่าอนาคตผ่อนไม่ไหม จึงแจ้งเข้ามาขอให้แบงก์ช่วยปฏิเสธสินเชื่อแทนให้”

ผู้บริโภคไม่มีความมั่นใจในอนาคตของรายได้ จึงไม่กล้าที่จะสร้างหนี้ก้อนโต ซึ่งไม่ใช่เรื่องไม่ดี ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ผู้บริโภคมีความระวังในการจับจ่ายใช้สอย เตรียมแผนรับมือเผื่อความเสี่ยงในอนาคต เพราะหากผู้บริโภคทุกรายตัดสินใจ แบงก์ปล่อยโดยไม่พิจารณาอย่างรอบคอบ ก็จะเกิดหนี้เสียจำนวนมหาศาลในระบบอีกครั้งเหมือนยุควิกฤติฟองสบู่แตกเมื่อ ปี 2540


แบงก์เข้มมองรายได้อนาคต

สำหรับความเข้มข้นในการพิจารณาสินเชื่อกู้ซื้อบ้านของแบงก์นั้น นายอภิชาติยอมรับว่า พิจารณาเรื่องความเสี่ยงของรายได้ในอนาคตมากขึ้น จากเดิมที่จะพิจารณาเฉพาะรายได้ในอดีตและปัจจุบัน เพื่อมองความมั่นคง แต่สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว จะมองรายได้ในอดีตไม่ได้แล้ว ต้องมองรายได้ ของอนาคตว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ทำงานอยู่ในธุรกิจใดที่เสี่ยงมากเสี่ยงน้อย

ขณะที่สินเชื่อเพื่อโครงการ ก็พิจารณาอย่างรอบคอบเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันอย่างน้อยสัดส่วนยอดขายพรีเซลต้องไม่ต่ำกว่า 50% แล้ว หากไม่สามารถทำยอดขายได้ถึงสัดส่วนดังกล่าว ก็ไม่สามารถปล่อยกู้ให้ได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่ ที่ไม่มีพัฒนาโครงการมาก่อนยิ่งต้องพิจารณามาก เป็นพิเศษ นอกจากว่ามีธุรกิจอื่นที่มีโอกาสในการเติบโตเป็นตัวรองรับ


สร้างเสร็จขายดีกว่า ยังไม่สร้างชะงัก

นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า บ้านหรือคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้ว จะมียอดขายที่ดีกว่ายังไม่ได้ก่อสร้างมาก เพราะผู้บริโภคมีความกังวลว่า โครงการที่ยังไม่ได้เริ่มงานก่อสร้างจะไม่ สามารถสร้างได้ด้วยปัจจัยใดก็ตามแต่ โดยจากการที่ดูตัวเลขการปล่อยสินเชื่อลูกค้าที่ซื้อตอนจบ อยู่ที่สัดส่วนสูง ถึง 50% ซื้อก่อนสร้างเหลือเพียง 30% และซื้อช่วงที่ใกล้แล้วเสร็จประมาณ 20%

ด้านนโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นนั้น เชื่อว่าไม่จะส่งผลให้ภาระการผ่อนชำระของลูกค้าเพิ่มขึ้น เพราะเป็นการทำสัญญาการผ่อนอัตราคงที่ แต่จะมีผลให้เงินต้นลดลงได้ช้าลง เช่น ลูกค้ากู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี หากดอกเบี้ยปรับขึ้น 0.25 จะต้องผ่อนนานขึ้น 3 ปี หรือหากขึ้นดอกเบี้ย 0.50% จะต้องผ่อนนานขึ้น 7 ปี หรือดอกเบี้ยที่เคยจ่ายตลอดสัญญาที่ 1.29 ล้านบาท หากดอกเบี้ยปรับขึ้น 0.25% ภาระดอกเบี้ยตลอดสัญญาจะเพิ่มเป็น 1.52 ล้านบาท หากดอกเบี้ยปรับขึ้น 0.50% ภาระดอกเบี้ยตลอดสัญญาจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.87 ล้านบาท

หากการปรับขึ้นของดอกเบี้ยจะสูงกว่างวดการผ่อน เช่น ผ่อนชำระ 10,000 บาทต่อเดือน และเป็นดอกเบี้ย 9,500 บาท หากดอกเบี้ยปรับเพิ่มอีก 0.50% อัตราดอกเบี้ยในการผ่อนชำระเพิ่มเป็น 10,500 บาท หรือดอกเบี้ยสูงกว่าค่างวดผ่อนชำระ ธนาคารจะต้องขอปรับค่างวดให้เพิ่มมากกว่า 11,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้พอกับเงินต้นและดอกเบี้ย โดยธนาคารมองว่าใช่วงที่เหลือดอกเบี้ยอาจปรับขึ้นได้ 0.50% ซึ่งธนาคารมองว่าจะไม่กระทบกับการผ่อนชำระของลูกค้า
หวั่นยอดขายเกือบแสนล.รับรู้ไม่ได้

เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน!! ผู้บริโภคขาดความมั่นใจถึงเงินในอนาคตของตัวเอง และเลือกใช้วิธีทิ้งดาวน์ ทิ้งจอง ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพรวมของตลาดอย่างรุนแรง เพราะยอดขายที่ขายได้แล้ว อาจโอนไม่ได้ บรรดาเจ้าของโครงการมีโอกาสขาดสภาพคล่อง จะกลายเป็นโดมิโนล้มไปตามๆ กันอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งข้อมูลที่กล่าวถึงในเบื้องต้นสอดคล้องกับที่นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เคยให้ข้อมูลไว้ว่า ได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 14 บริษัทใหญ่ๆ พบว่า ยอดขายที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อปีนี้มีสัดส่วนสูงถึง 20-30% จากสถิติการปฏิเสธสินเชื่อที่ผู้บริโภคที่สูงขึ้นนี้ จะส่งให้โอกาสที่จะมีรายได้จากยอดขายที่รอรับรู้ในอนาคต กลายเป็นอุปสรรค

โดยยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นั้น ทั้ง 14 บริษัท อสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นไตรมาส 2/2551 มีมากถึง 9.24 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นคอนโด 78% หรือประมาณ 72,000 ล้านบาท ที่เหลือ 22% หรือประมาณ 20,400 ล้านบาท เป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งทั้งหมดมีความกังวลว่าจะเกิดปัญหา โดยโครงการที่น่าเป็นห่วงก็คือ โครงการที่กำหนดวงเงินดาวน์ต่ำ 10-15% และมีกลุ่มลูกค้าหลักที่ซื้อเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-น้อย และกลุ่มคนที่ซื้อเก็งกำไร

ตัวเลขไม่น้อยทีเดียวสำหรับห้องชุดรวมมูลค่า 7.2 หมื่นบาทที่รอรับรู้รายได้ในปีหน้า และอีก 2 หมื่นกว่าล้านบาทของบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ หากไม่สามารถที่จะโอนให้ผู้บริโภคได้ แม้เพียง 10-20% ตลาดก็ซวนเซไม่น้อยแล้ว



ดังนั้น การที่จะตัดสินใจซื้อบ้าน ขอให้เป็นดุลยพินิจ ของแต่ละคนไป ตามเงื่อนไข และความพร้อมส่วนบุคคล เช่นถ้าเจอบ้านที่ถูกใจ ได้ราคาที่ไม่แพง และมีความพร้อมทางการเงิน ก็ขอให้ตัดสินใจได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อแพง ราคาอสังหาฯใหม่ๆ ไม่มีทางถูกกว่าของเก่า ไม่ว่ายุคไหน เศรษฐกิจตกต่ำอย่างไร เพราะนักพัฒนา ไม่ยอมขายราคาขาดทุน ส่วนผู้ที่ยังไม่พร้อม ดูบ้านแล้วยังไม่ถูกใจ หรือการเงินยังไม่มั่นคง ก็ไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจ ค่อยๆดู ค่อยๆเลือก ไม่ต้องพะวงเรื่องเวลา ปีหน้าก็ยังทัน โชคดี ก็จะได้ของถูก และไม่เสี่ยง ไม่ผูกมัดตัวเอง

TraveLArounD


ข่าวจาก - bangkokbiznews.com
//www.bangkokbiznews.com/2008/11/13/news_311175.php
และ - สุกัญญา สินถิรศักดิ์ (sukanya_sin@nationgroup.com) //special.bangkokbiznews.com/detail.php?id=5332&username=bizweek





 

Create Date : 23 ธันวาคม 2551    
Last Update : 23 ธันวาคม 2551 12:36:00 น.
Counter : 732 Pageviews.  

รัฐบาลฯเดินหน้าเมกกะโปรเจกต์


รัฐบาลฯเดินหน้าเมกกะโปรเจกต์
ลุยโครงการเป็นไปได้ก่อน


น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมเตรียมการเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่หรือเมกกะโปรเจกต์ ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้หารือเพื่อจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าโครงการขนาดใหญ่มีหลายโครงการ จึงให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาว่าโครงการใดมีความเป็นไปได้ชัดเจน ก็ให้ดำเนินการก่อน ไม่ใช่วาดวิมานในอากาศจะดำเนินการทั้งหมด และให้นำโครงการที่ต้องดำเนินการเป็นลำดับแรกๆ เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในวันที่ 5 พ.ย.นี้


ทั้งนี้ในที่ประชุม ได้แบ่งการพิจารณาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรกคือรถไฟฟ้า 3 สาย คือ สายสีแดง สายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน ที่เร่งให้มีการลงนามก่อสร้างภายในเดือนธ.ค.นี้ เพราะได้เงินกู้จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือเจบิค
ส่วนที่สอง คือ เรื่องของการลงทุนด้านการศึกษาและสาธารณสุข ที่เห็นว่าได้ตั้งงบประมาณลงทุนไว้น้อยเกินไป โดยด้านการศึกษามีวงเงินลงทุน 22,182 ล้านบาท และด้านสาธารณสุข วงเงิน 78,611 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงงินลงทุนระหว่างปีงบประมาณ 52-54 ซึ่งต้องเพิ่มให้มากขึ้น
ส่วนสุดท้ายคือด้านพลังงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแผนของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอยู่แล้วในวงเงิน 33,942 ล้านบาท รวมทั้งได้พูดถึงโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกเพราะ เป็นตัวสนับสนุนในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร


อย่างไรก็ตามวงเงินลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ประจำปีงบประมาณ 52-54 ตามกรอบแผนบริหารราชการแผ่นดิน มีแผนงานโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญตามนโยบายรัฐบาลวงเงินรวม 1.60 ล้านล้านบาทเศษ
แบ่งเป็นด้านการศึกษา มูลค่าลงทุน 22,182.13 ล้านบาท
ด้านการสาธารณสุข วงเงิน 78,611.56 ล้านบาท
ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ วงเงิน 208.344.35 ล้านบาท
การขนส่งและโลจิสติกส์ วงเงิน 875,773.33 ล้านบาท
ด้านพลังงาน วงเงิน 367,153.99 ล้านบาท
การสื่อสารโทรคมนาคม 52,194.14 ล้านบาท
และการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ วงเงิน 5,166.93 ล้านบาท



ข่าวจาก นสพ.เดลินิวส์ - 31 ตุลาคม 2551
//www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=181265&NewsType=1&Template=1




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2551 21:42:01 น.
Counter : 669 Pageviews.  

แบงก์คุมเข้มกู้บ้าน น็อกธุรกิจอสังหาฯสลบข้ามปี


แบงก์คุมเข้มกู้บ้าน น็อกธุรกิจอสังหาฯสลบข้ามปี


จากภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัวทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ทำให้ในอีกไม่นานเรากำลังจะต้องเจอกับความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของ ธนาคารต่างๆ
ในความเป็นจริง ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน มีมาอย่างต่อเนื่องแล้ว และในความเข้มข้นของการปล่อยกู้นั้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ธนาคารมองด้วยสายตาที่ “เข้มข้น” ขึ้น


ทันทีที่ธนาคารเพิ่มความเข้มข้นในการให้กู้ซื้อบ้าน เพราะเกรงว่าลูกค้าจะไม่มีกำลังในการจ่ายหนี้คืน ทำให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อพุ่งสูงขึ้นจากที่อยู่ในระดับ 20% เพิ่มเป็น 30% บางโครงการถูกปฏิเสธเงินกู้ถึง 50% จึงเกิดผลกระทบกับโครงการที่เตรียมจะโอนค่อนข้างสูง และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รายได้ของบริษัทพัฒนาที่ดินในปีนี้อาจไม่เป็นไป ตามที่คาดหวัง


การเข้มงวดปล่อยสินเชื่อของธนาคารจึงกลายเป็นหมัดน็อกภาคธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ในปีนี้และปีหน้า หลังจากที่ โดนหมัดชุดจากปัญหาการเมือง และเศรษฐกิจชะลอตัวมาตั้งต้นปี แม้ว่าแต่ละบริษัทจะกัดฟันปั้นยอดขายมาได้ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา แต่ก็มาโดนน็อกในยกสุดท้ายตอนลูกค้าโอนบ้านนี่เอง


จึงมีเสียงเรียกร้องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เมื่อคราวเข้าไปหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เข้ามาช่วยดูแลแก้ปัญหาให้ โดยเฉพาะการขอให้ธนาคารกดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยลง เพื่อลดค่างวดเงินผ่อนของลูกค้าลง ทำให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่กระทรวงการคลังจะเข้าไปช่วยเหลือ เพราะเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ และการขึ้น-ลงของดอกเบี้ย


อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ขณะนี้ การลดดอกเบี้ยลง เพื่อช่วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คงเป็นเรื่องยากที่จะทำ โดย นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เห็นว่า การแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารในขณะที่สภาพคล่องเริ่มลดน้อยลง ทำให้การลดดอกเบี้ยลงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะหากต้องการลดดอกเบี้ยบ้านให้เหลือ 3% เหมือนหลังวิกฤตปี 2540 คงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้หากต้นทุนการเงินยังอยู่ในระดับ 4-5% ถ้าจะให้ทำเช่นนั้น ผู้ประกอบการก็ควรลดราคาบ้านลงมา 10% ก่อน


ในขณะที่นักวิชาการอย่าง รศ.มานพ พงศทัต อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำภาควิชาเคหะการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอทางออกในเรื่องนี้ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องเข้ามาดูแล โดยกำหนดวงเงินดาวน์ให้สูงขึ้นเป็น 30% เพื่อลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ ส่วนลูกหนี้ที่มีปัญหาด้านเครดิต ผู้ประกอบการควรจะเข้าไปค้ำประกันเงินกู้ให้กับลูกค้า เพื่อให้ธนาคารปล่อยกู้ให้ รวมถึงการเปลี่ยนจากการซื้อเป็นเช่าซื้อในช่วง 2 ปีแรก เพื่อปรับปรุงเครดิตของลูกค้าให้เข้าเกณฑ์ของธนาคารก่อนที่ขอสินเชื่อ


แม้ว่าจะมีความพยายามเสนอทางออกในต่างมุมมองของแต่ละฝ่าย แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่จะนำไปปฏิบัติได้ง่ายๆ หากมองย้อนไปในอดีต ที่ไม่มีครั้งใดที่ จะหยุดยั้งไม่ให้ธนาคารเข้มงวดในการ ปล่อยกู้ในยามที่ธนาคารเห็นว่ามีภาวะเสี่ยงที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับ ธนาคารได้


สุดท้ายแล้ว เชื่อว่าทุกอย่างจะยังคงดำเนินต่อไปในลักษณะที่รัดกุมและ จะเพิ่มความรัดกุมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพายุใหญ่จากวิกฤตการเงินโลกพัดเข้ามาถึงในประเทศไทย หมัดน็อกของธนาคารครั้งนี้จึงไม่รู้ว่าจะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฟื้น ขึ้นมาได้เมื่อไหร่


ข่าวจาก
ทีมข่าวอสังหาริมทรัพย์ : posttoday - วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
//www.posttoday.com/business.php?id=15518




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2551 3:34:45 น.
Counter : 714 Pageviews.  

กทพ.ปรับแนว 'ด่วนสุวรรณภูมิ' ใหม่

กทพ.ปรับแนว 'ด่วนสุวรรณภูมิ' ใหม่


ชาวบ้านนับ100 หลังคาเรือน รุมต่อต้าน หลังการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเมื่อปลายปีที่ผ่านมาต่อกรณี ผลการศึกษาโครงการก่อสร้างทางพิเศษสุวรรณภูมิ หรือ"เอ็ม 1" มูลค่า 26,000 ล้านบาท ขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 22.5 กิโลเมตร เริ่มจากบริเวณแยกถนนพระราม 4 คลองเตย -สนามบินสุวรรณภูมิ ครอบคลุมท้องที่ เขตวัฒนา คลองเตย สวนหลวง ประเวศ ลาดกระบัง กทม.และอำเภอบางพลี จังหวัด สมุทรปราการ เนื่องจากต้องเวนคืนเขตทางใหม่ตลอดแนว ที่สำคัญยังตัดผ่านชุมชนหนาแน่นใจกลางเมือง โดยเฉพาะย่านคลองเตย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นโครงการ ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ที่กทพ. ต้องกลับไปทบทวน


ผู้บริหารจากกทพ.อธิบายว่า บริษัทที่ปรึกษา ได้กำหนดแนวสายทางเพื่อคัดเลือกไว้ 4 แนวด้วยกัน โดยเห็นว่า แนวที่ 1 เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นแนวตรง ทะลุไปถึงสนามบินได้เลย แต่ชาวบ้านต้องการให้ยกเลิกโครงการ ขณะที่ความจำเป็นของโครงการนี้มีสูง ต่อการรองรับปริมาณจราจรในอนาคต ควบคู่ไปกับการเติบโตของสนามบิน


ทางออกของโครงการนี้ จึงต้องการให้กระทบต่อวิถีชีวิตชาวบ้านน้อยที่สุด กทพ.จึงเลือกแนวที่ 4 และปรับเบี่ยงแนวเพื่อความเหมาะสม ซึ่งเกือบตลอดแนวจะคร่อมไปตามแนวเดิมของทางด่วนที่เปิดใช้ปัจจุบันทำให้แทบไม่ต้องเวนคืน และเป็นการเชื่อมโครงข่ายจราจรที่ดีอีกทางหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เชื่อว่าชาวบ้านจะพอใจ
โดย เอ็ม1-1 เริ่มจาก จุดสิ้นสุด โครงการช่วง เอ็ม 1-2 บริเวณใกล้กับทางแยกต่างระดับด่วนฉลองรัช อาจณรงค์ วิ่งคร่อมไปตามแนวทางด่วนฉลองรัช มุ่งหน้าไปโซนตะวันออก กทม. ผ่านพระราม9 ทางแยกต่างระดับศรีนครินทร์ ขนานไปกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สาย กรุงเทพฯ-ชลบุรีสายใหม่ผ่านทางแยกต่างระดับทับช้างและถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก จากนั้นมุ่งหน้า ตรงไปบริเวณทางเข้า-ออกสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเชื่อมเข้าไปด้านใน
ส่วนโครงการช่วงที่ 2 "เอ็ม 1-2" เริ่มจาก แยกพระราม 4 บริเวณคลองเตย ซึ่งเป็นจุดขึ้น-ลง บริเวณด่านเก็บเงิน สุนทรโกษา ทางด่วนฉลองรัช ผ่านท่าเรือคลองเตย ไปตามทางด่วนฉลองรัช ผ่านแยกต่างระดับอาจฉรงค์ และเลี้ยวขึ้นไปบรรจบกับจุดเริ่มต้นโครงการช่วงที่ 1"เอ็ม 1-1" ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดโครงการช่วง 2"เอ็ม 1-2"

ดูแผนที่ขยาย : //www.daoreuk.com/m1_project/media/board1_p2345.html


โดยแนวสายทางที่กำหนดใหม่ จะทำให้ไม่มีผลกระทบต่อชาวบ้าน เมื่อเทียบกับแนวเก่าที่ต้องเวนคืนและเปิดหน้าดินใหม่ โดย "แนวเก่า" ที่ชาวบ้านต่อต้าน เริ่มจาก บริเวณจุดตัดระหว่างถนนพระราม 4 กับถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตยจากนั้นผ่านซอยอารีย์ ห้างคาร์ฟูร์ผ่านสี่แยกสุนทรโกษา ผ่านซอยแสนสุข ผ่านบริเวณท้องฟ้าจำลอง และสถานีขนส่งเอกมัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซอยสุขุมวิท 42 ,63 โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ตรงไปผ่านซอยสุขุมวิท 71 หน้าไปรษณีย์พระโขนง บริเวณนี้จะมีห้างจัสโก้ และเชื่อมกับทางด่วนฉลองรัช ซึ่งราคาที่ดินย่านคลองเตยราคา 300,000-400,000 บาทต่อตารางวา ส่วนเมื่อวิ่งไปทางโซนตะวันออก จะผ่านหมู่บ้านดังหลายโครงการ อาทิ วันดารา อ่อนนุช ฯลฯ

อย่างไรก็ดี การเวนคืนที่ดิน ไม่ว่าที่ใด ถ้ามีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก ย่อมได้รับการต่อต้านแน่นอน ยิ่งสมัยนี้ การประท้วงต่างๆ เขาก้าวร้าวและหยาบคายกันหนักขึ้นทุกที ทางที่ดี กทพ.ควรเปิดเวทีรับฟังเสียงชาวบ้านอีกสักรอบ !!!


จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2368 23 ต.ค.- 25 ต.ค. 2551




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2551    
Last Update : 27 ตุลาคม 2551 1:07:19 น.
Counter : 823 Pageviews.  

เร่งเปิดแอร์พอร์ตลิ้งค์ 12 ส.ค. ปีหน้า

เร่งเปิดแอร์พอร์ตลิ้งค์ 12 ส.ค. ปีหน้า


นาย ยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการพัฒนาโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมืองหรือแอร์พอร์ตลิ้งค์ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาแผนทั้ง 7 ด้าน เพื่อรองรับการให้บริการของโครงการ ซึ่ง รฟท.ตั้งเป้าหมายในเบื้องต้นว่า โครงการจะต้องก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน พ.ค.52 ก่อนจะมีการทดสอบระบบเป็นเวลา 3 เดือน และจะพยายามเริ่มเดินรถให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ส.ค. 52 ให้ได้

อย่างไรก็ตาม งานทั้ง 7 ด้าน จะประกอบด้วย งานระบบจัดการกระเป๋าสัมภาระ ระบบเคาน์เตอร์เช็กอิน ระบบจัดส่งสัมภาระ ระบบสายพานลำเลียง ระบบความปลอดภัย ระบบรักษาความสะอาด และระบบจัดการพื้นที่จอดรถ ซึ่งงานทั้งหมดจะเป็นงานปฏิบัติการ เพื่อบริหารพื้นที่สถานีมักกะสัน และสถานีอื่นๆรวม 7 แห่ง ของโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ ซึ่งจากการหารือกับผู้บริหาร บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ซึ่งเป็นผู้บริหารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เบื้องต้น ชัดเจนว่า ทอท.จะไม่เป็นผู้บริหารพื้นที่ ดังนั้นรฟท.จะเปิดประกวดราคาหาผู้รับจ้างบริหาร ซึ่งขณะนี้มีบริษัทที่เชี่ยวชาญหลายแห่ง เช่น การบินไทย และบริษัทไทยแอร์พอตส์ กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด หรือเเท็ก ที่จะสามารถดำเนินการได้

นายยุทธนากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในการว่าจ้างหาบริษัทที่จะเข้ามาบริหารนั้น รฟท.จะพยายามให้แล้วเสร็จ ภายใน 3 เดือน โดยไม่รอการจัดตั้งบริษัทลูกของ รฟท. ที่จะมาบริหารการเดินรถ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการ รอการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เนื่องจากบริษัทลูกดังกล่าว รฟท.จะต้องขอยืมงบประมาณจากรัฐ เป็นเงินทุนจดทะเบียนบริษัท 500 ล้านบาท สำหรับการว่าจ้างผู้บริหารพื้นที่นี้

หลังจากนี้ คณะกรรมการฯชุดแอร์พอร์ตลิ้งค์จะเริ่มพิจารณาแผนธุรกิจว่า สัญญาว่าจ้างจะมีมูลค่างานเท่าใด เข้าข่ายเป็น พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ หรือไม่ และคุณสมบัติผู้รับจ้างจะเป็นเช่นใด เพื่อนำไปกำหนดเงื่อนไขTOR ให้ได้เร็วที่สุด การต้องเร่งดำเนินการ หาผู้บริหารพื้นที่แอร์พอร์ตลิ้งค์ เพื่อให้ทันต่อการเปิดใช้ ซึ่งต้องวางระบบต่างๆให้พร้อมภายใน8 เดือนข้างหน้า ถือเป็นช่วงวิกฤติที่ต้องให้ระบบทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์สามารถเปิดให้บริการได้.


ข้อมูลจากนสพ.ไทยรัฐ




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2551    
Last Update : 27 ตุลาคม 2551 0:16:56 น.
Counter : 671 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.