"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics
ถึงเทศกาล "กินเจ" อีกแล้ว

ถึงเทศกาล "กินเจ" อีกแล้ว

ปีนี้ การ "กินเจ" ตรงกับวันที่ 28 กันยายน - 07 ตุลาคม 2551 คนที่ยังไม่เคยสัมผัสกับการกินเจ ลองมาศึกษาดูครับ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ในเรื่องประโยชน์ และภาพรวม ที่ไม่ได้เกี่ยวกับพิธีกรรม หรือ ด้านศาสนา ถึงแม้จะมีจุดเริ่มต้นมาจาก พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ก็ตาม





คำว่า "เจ" ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า "อุโบสถ" คำว่า "กินเจ" ตามความหมายที่แท้จริง คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ไม่ใช่การไม่กินเนื้อสัตว์ เหมือนดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือ "รักษาศีล 8" ในวันพระ คือจะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีล ของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียก "การไม่กินเนื้อสัตว์" ไปรวมกันคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย เลยกลายเป็นความเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้น

ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เลยยังคงเรียกว่า "กินเจ" ด้วย ฉะนั้นความหมายก็คือ "คนกินเจ" มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนที่กินเจ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง" ดังนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ "ถือศีลกินเจ" จึงนับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว

ตามร้านขาย "อาหารเจ" เราจะพบเห็นตัวอักษรจีน ที่อ่านว่า "ไจ" (เจ) แปลว่า "ไม่มีของคาว" เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน 9 จะเห็นตัวอักษรนี้เขียนบนธงสีเหลือง ปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจ มองเห็นเป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแก่ชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ดังนั้นผู้ตั้งใจถือศีลบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ระลึกไว้เสมอว่า "การกินเจ งดเว้นเนื้อสัตว์ของคาวคือ การปฏิบัติธรรม รักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรมโดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และก่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก"

รู้และเข้าใจในการกินเจอย่างถูกต้อง
ตั้งแต่โบราณกาลนับเป็นพันๆ ปีจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันไม่ว่าโลกจะผันแปรไปในทิศทางใดก็ตาม คนจำนวนหลายพันหลายหมื่นครอบครัวที่ดำรงชีวิตอยู่ ด้วยการรับประทานแต่อาหารเจ สืบทอดจากบรรพบุรุษก็ยังมีอยู่ให้พบเห็นได้ในทุกวันนี้ "อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนและที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5 ได้แก่
•กระเทียม
•หัวหอม
•หลักเกียว
•กุ้ยฉ่าย
•ใบยาสูบ
บรรพชนในแต่ละครัวเรือนของคนกินเจได้ถ่ายทอดหลักของการกินเจที่ถูกต้อง และศิลปะในการปรุงไว้ให้แก่ลูกหลานของตน สืบต่อเนื่องกันมาโดยไม่ขาดสาย คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอาหารเจ เป็นอาหารที่มีรสจืดชืดไม่อร่อย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไม่มีโอกาสลิ้มรสอาหารเจที่แท้จริงก็เป็นได้ อาหารเจมีรสชาดอร่อยกลมกล่อมต่างไปจากอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเจไม่มีกลิ่นเหม็นคาวใดๆเลย อาหารเจบางอย่าง คนทั่วไปที่รับประทานแต่อาหารเนื้อจะไม่มีโอกาสรู้จักหรือได้ลิ้มรสเลยในชีวิต เนื่องด้วยอาหารเหล่านั้นทำขึ้นรับประทานกันเฉพาะในบรรดากลุ่มคนที่กินเจเท่านั้น บางคนมักคิดเอาเองว่า หากรับประทานแต่อาหารเจ จะทำให้เป็นโรคขาดอาหาร แต่ทางการแพทย์กลับยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่กินอาหารเนื้อหรือคนที่กินเจ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน เพราะสาเหตุสำคัญของโรคขาดอาหารในคนทั้ง 2 กลุ่ม ก็คือการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก บริโภคอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรท แป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ เป็นเหตุให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าโรคขาดอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินเนื้อหรือกินเจ แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยกินตามใจ เลือกกินแต่อาหารที่ตนชอบ ที่อร่อย หรือแพงอย่างไม่มีเหตุผล โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่จะได้จากการรับประทานอาหารนั้นๆ ในความเป็นจริงแล้ว คนที่กินเจอย่างถูกหลักจะรู้สึกว่าตนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าคนที่บริโภคอาหารเนื้อเสียอีก

คนกินเจ รู้จักวิธีดัดแปลงแปรรูปธัญพืชในธรรมชาติให้ได้มาซึ่งโปรตีน เราจะพบเห็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเมล็ดถั่วเหลืองมากมายหลายชนิด เช่น น้ำนมถั่วเหลือง (น้ำเต้าหู้) เต้าหู้ขาว เต้าหู้เหลือง เต้าเจี้ยว น้ำมันถั่วเหลือง ซี่อิ๊ว ฟองเต้าหู้ ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งโปรตีนอันอุดม และมีคุณค่าสูงยิ่ง ทุกวันนี้ไม่ว่าเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ นิยมบริโภคแต่เนื้อสัตว์กันมากจนละเลยอาหารผัก ซึ่งมีคุณประโยชน์สูงไปอย่างน่าเสียดาย หลายคนมีนิสัยเลือกรับประทานเฉพาะเนื้อสัตว์แล้วเขี่ยผักทิ้งไม่ยอมบริโภค นี้แหละเป็นสาเหตุสำคัญของโรคขาดสารอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารครบตามที่ต้องการ จะพบว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ทานผักน้อยหรือไม่ทานเลยมักป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคขาดอาหาร ขาดวิตามิน โรคกระเพาะ โรคเกี่ยวกับลำไล้และทางเดินอาหาร สุขภาพไม่แข็งแรง เชื่องซึม ไม่เฉลียวฉลาด ขาดปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาต่ำ พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจไม่สมบูรณ์

ประจักษ์พยานสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความล้ำค่าของอาหารเจก็คือ บรรดาครอบครัวของผู้ที่กินเจ ตั้งแต่บรรพบุรุษสืบต่อกันลงมาหลายชั่วคน ก็ยังคงมีให้เราพบเห็นอยู่จนทุกวันนี้ จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งต่อเนื่องกัน หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องดีงามและทรงคุณค่า ก็ยังอยู่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลง ทุกๆคน ทุกๆครอบครัว ที่บริโภคแต่อาหารเจ ล้วนมีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคร้ายแรงเบียดเบียน และสามารถปฏิบัติภาระกิจการงานได้เป็นอย่างดี แม้แต่ทารกที่เกิดจากมารดา ซึ่งกินเจอย่างถูกหลัก ก็ไม่พบว่าขาดสารอาหารแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เด็กๆทุกคน ล้วนมีร่างกายแข็งแรงสุขภาพอนามัยดี ไม่เป็นโรคติดต่อใดๆได้ง่าย มีภูมิต้านทานสูง จิตใจเบิกบาน ร่าเริงสดใส เฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาดี เพราะฉะนั้นคนเรา ถึงจะมีฐานะดี ร่ำรวยมหาศาล แต่หากไม่รู้จักรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นโรคขาดสารอาหารได้พอๆ กับคนยากจนอดอยากที่ไม่มีจะกิน เลยทีเดียว

ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินเนื้อหรือกินเจ หากกินไม่ถูกต้องก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน พึงตะหนักไว้อยู่เสมอว่า "ทรัพย์สินเงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้ สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับการรู้จักปฏิบัติตัวของท่านเอง" แม้ในปัจจุบันนี้ จะเป็นโลกของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ล้ำยุค แต่การค้นพบความเร้นลับต่างๆ ในธรรมชาติ ได้กลับกลายมาเป็นข้อพิสูจน์ยืนยันให้แก่หลักเกณฑ์ของการกินเจ ที่มีมานานนับเป็นพันๆ ปี ได้อย่างเหมาะสมคล้องจองจนแทบไม่น่าเชื่อ ฉะนั้น เราควรหันมาศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า "คนกินเจ" เขามีหลักปฏิบัติอันสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาลอย่างไร


ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานอาหารเจ

1.) พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสดๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจจำเป็นต้องรับประทานผลไม้สดๆ หลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุง และการบริโภคในแต่ละวันควรจัดให้ได้ครบตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้
1. สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ พวกผัก เช่น มะเขือเทศ, พริกสุก, หัวแครอท ฯลฯ และพวกผลไม้ เช่น มะละกอ, ส้ม, แตงโม ฯลฯ
2. สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ พวกผัก เช่น มะเขือม่วง, เผือก, เห็ดหูหนู ฯลฯ และพวกผลไม้ เช่น ละมุด, ลูกหว้า, องุ่น ฯลฯ
3. สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน พวกผัก เช่น ฟักทอง, ข้าวโพด, พริกเหลือง ฯลฯ และพวกผลไม้ เช่น มะม่วง, กล้วย, ทุเรียน ฯลฯ
4. สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้ พวกผัก เช่น ผักคะน้า, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง ฯลฯ และพวกผลไม้ เช่น ฝรั่ง, ชมภู่, มะเฟื่อง ฯลฯ
5. สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุโลหะ พวกผัก เช่น หัวผักกาดขาว, ผักกาดขาว, กระหล่ำดอก และพวกผลไม้ เช่น มะพร้าว, น้อยหน่า ฯลฯ
ผักผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือเป็นประเภทยาก เช่น พวกผักผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูก ประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จักฉลาดกิน ฉลาดใช้ ประหยัดยอด ประโยชน์เยี่ยม

ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลายหลาก ตลอดปีเราสามารถหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบทั้ง 5 สี โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาบริโภคในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน และไม่ควรเลือกทานเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์หลายๆ ท่านเลือกรับประทานผักผลไม้เฉพาะอย่างเพื่อความอร่อยเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก


2.) เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วเปลือกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรท คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่งเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว
ถั่วทั้ง 5 สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่างๆ เช่น ถั่วดำบวช ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกะทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบ หรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวช ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสง ซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้ ทุกคนควรรับประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้คบทุกสีจะทำให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น

เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง
ถั่วทั้ง 5 สีที่ให้คุณประโยชน์ต่ออวัยวะหลักภายใน
1. ถั่วแดง (RED BEANS) ให้คุณต่อหัวใจ
2. ถั่วดำ (BLACK BEANS) ให้คุณต่อไต
3. ถั่วเหลือง (SOY BEANS) ให้คุณต่อม้าม
4. ถั่วเขียว (GREEN BEANS) ให้คุณต่อตับ
5. ถั่วขาว (WHITE BEANS) ให้คุณต่อปอด
ธาตุทั้ง 5 สี ถั่วแต่ละสี บำรุงอวัยวะ ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุโลหะ แดง ดำ เหลือง เขียว ขาว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด


3.) การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้งพร้อมทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี


4.) งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนม คนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำ เพราะในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค (LINOLEIC ACID) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมาก แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้

สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาด แล้วใช้ไฟอ่อนๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลืองพอเย็นจึงนำมาโขลกหรือ ปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งาที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำใช้ปรุงอาหาร และขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอม น่ารับประทาน โดยปกติผู้ที่กินเจควรรับประทานงาในปริมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย


5.) ผู้ที่กินเจ ไม่ควรรับประทานรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมากๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้
•รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ
•รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต
•รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม
•รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ
•รสเผ็ด ส่งผลต่อ ปอด


6.) หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า


7.) เครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สดๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ น้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน และนอกจากการดื่มน้ำผลไม้สดๆ แล้ว ทุกคนต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประจำ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหลักความรู้ในการปรุงและบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สุขสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ


"อาหารมังสวิรัติ" แตกต่างจาก "อาหารเจ" อย่างไร?

อาหารมังสวิรัติ หมายถึง อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกประเภท แต่ยังคงใช้ผักทุกประเภท มาปรุงอาหารรับประทาน ในส่วนของ "อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกประเภทเช่นกัน แต่อาหารเจจะไม่ใช้ผักฉุนทั้ง 5 ประเภท มาปรุงลงในอาหารโดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติอยู่แล้ว หากจะทดลองปรุงและรับประทานอาหารเจดูบ้าง ก็เพียงแต่ไม่บริโภคผักฉุนทั้ง 5 ประเภทก็เรียกว่าเป็น "อาหารเจ" และ "กินเจ" ได้แล้วนั่นเอง


อานิสงส์ ๑๐ ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์

บุญเป็นผลพลอยได้ จากการไม่กินเนื้อสัตว์ ช่วยให้คนละเว้นจากการฆ่าสัตว์ จะได้อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าและเบียดเบียนสัตว์ คือจะทำให้ชีวิตของเรา ไม่ต้องตายด้วยปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุการณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่า และยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติศีลข้อ “ปาณาติบาต” คือ ห้ามการฆ่าเป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง และในพระสูตรของพุทธศาสนามหายาน ยังได้กล่าวถึงพระพุทธวจนะ ว่าด้วยเรื่อง “อานิสงส์ ๑๐ ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์” ในคราวที่ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคราชไว้ด้วยดังนี้
๑.เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย

บุคคลผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่เบียดเบียนผู้ใด มีกิริยาสำรวม จรรยามารยาทเรียบร้อย ไม่กล่าวคำกระโชก ด่าทอกับใคร บุคคลเช่นนี้เมื่อก้าวไปสู่ที่ใดย่อมเป็นที่รักใคร่ มีแต่คนอยากเข้ามาใกล้ชิด ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่สะสมไว้แต่อารมณ์ร้ายๆ แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งการฆ่า ทุกคนก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล ถ้าภายในจิตใจเราไม่คิดจะไปทำลายหรือเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น เราจึงไม่เป็นที่หวาดกลัวต่อผู้ใด แต่จะเป็นที่รักของสัตว์ต่าง ๆ แม้สัตว์ดุร้ายก็ไม่ทำอันตราย

๒.จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น

คนที่มีเมตตากรุณาอยู่ในใจ อย่าว่าแต่เห็นสัตว์ทั้งหลายต้องตายไปต่อหน้าเลย เพียงแต่เห็นสัตว์ต้องประสบเคราะห์กรรมถูกเฆี่ยนตี ก็ย่อมจะไม่สบายใจ นอกจากจะไม่เข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นแล้ว แม้แต่จะเอ่ยวาจาด่าทอให้ระคายหูก็จะไม่กระทำโดยเด็ดขาด เมื่อจิตเมตตาค่อยๆถูกสะสม เพิ่มพูนจนเปี่ยมล้น ก็จะบังเกิดเป็นมหาเมตตาขึ้นในใจ และมหาเมตตานี้จะเพิ่มพลังจิตขึ้นในตัว นับเป็นเหตุปัจจัยสำคัญอันจะนำพาให้ผู้บำเพ็ญสามารถสำเร็จธรรมบรรลุขั้น “พระโพธิสัตว์”

๓.สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์โหดร้ายเคียดแค้นได้

นอกเหนือจากความเห็นแก่ตัวเพื่อปากท้องตัวเองอันเป็นเหตุให้เกิดการเข่นฆ่า ทำลายชีวิตผู้อื่น และสาเหตุใหญ่ของการทำร้ายซึ่งกันและกัน คือ ความโกรธแค้น อาฆาต พยาบาทจองเวรต่อกัน ซึ่งนับวันก็จะกลายเป็นคนโหดร้ายเห็นความตายของผู้อื่นเป็นเรื่องเล็กน้อย ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องตัดอารมณ์เหล่านี้ให้หมดสิ้น และไม่เพียงแต่จะรักชีวิตตนเองเท่านั้น แต่ยังจะต้องรักและทะนุถนอมชีวิตผู้อื่นอีกด้วย หากชาตินี้เรายังฆ่ากินเลือดเนื้อเขา ความแค้นพยาบาทจะฝังอยู่ในกมลสันดาน และจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ชีวิตทุกชาติไป แล้วเราจะปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นได้อย่างไร?

๔.ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย

ความเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการผันแปรของดินฟ้าอากาศ หรืออาหารการกินที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งอาจรักษาให้หายได้ด้วยยา แต่ทว่ายาไม่สามารถรักษาโรคกรรมได้ โรคกรรมอันเกิดมาจากการเคยสร้างอกุศลกรรมร่วมกันมาในอดีต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ร่วมเสพเนื้อผู้อื่น ร่วมส่งเสริมผู้อื่นให้ฆ่าให้กินให้เสพ เป็นกรรมร่วมกัน จึงส่งผลให้คนเหล่านั้นต้องมาตายพร้อมกันในชาติปัจจุบัน เช่นเป็นโรคระบาดในคราวเดียวกันมาก ๆ ประสพภัยพิบัติ น้ำท่วม แผ่นดินไหวตายหมู่ เป็นต้น หากท่านอยากเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน จงงดเว้นบริโภคเนื้อสัตว์ และหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ปลดปล่อยช่วยเหลือชีวิตสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำ

๕.อายุมั่นขวัญยืน

ทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้ ทั้งคนและสัตว์ ต่างล้วนอยากให้ตนมีอายุยืนยาว แต่ความมีอายุยืนยาวนั้น มิใช่ขอกันได้ ถ้าหากในอดีตท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบนิยมยินดีในการบริโภคเนื้อสัตว์ ตลอดจนฆ่าและส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การที่จะหวังให้ตนมีชีวิตที่ราบรื่นเป็นสุข และอายุยืนยาวนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ บุคคลผู้ที่มีจิตเมตตา ชอบช่วยเหลือชีวิตสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่หรือสัตว์เล็กๆก็ตาม อานิสงส์ผลบุญจะช่วยต่อชีวิตทำให้มีอายุยืนยาว

๖.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด

วัชรเทพทั้ง ๘ พระองค์ คือ เทพเจ้าผู้พิทักษ์ธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อบุคคลใดมีจิตมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณงามความดี รักษาศีลกินเจ วัชรเทพทั้ง ๘ พระองค์ก็จะมีบัญชาให้เหล่าเทพบริวารทั้งหลายลงมาพิทักษ์รักษาปกป้องคุ้มครองบุคคลนั้นๆ มิให้ภูติผีปีศาจ ยักษ์มาร อสูรร้ายมารังควาน แต่หากเมื่อใดบุคคลนั้นมีจิตใจรวนเร ไม่มั่นคงในการปฏิบัติธรรม บรรดาทวยเทพก็จะพากันผละหนีไป ซึ่งเหล่ามารร้ายจะเข้าจู่โจมทำอันตรายทันที แม้ตาเนื้อของปุถุชนคนธรรมดา จะมองไม่เห็นบรรดาเทพพรหมที่เฝ้าคุ้มครอง แต่เมื่อถึงคราววิกฤตตกอยู่ในที่คับขัน เทพพรหมทั้งหลายเหล่านั้นก็จะพลิกผันเหตุการณ์ให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ในที่สุด

๗.ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล

โดยปกติคนทั่วๆไป หากมีเรื่องราวรบกวนจิตใจให้วิตกกังวลว้าวุ่น เมื่อถึงยามพักผ่อนแม้ว่าร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักปานใด ก็ไม่สามารถจะหลับลงได้หรือหลับๆ ตื่นๆ และท้ายที่สุดเคลิ้มหลับไป ก็จะฝันร้ายตลอดคืน

มีตัวอย่างมากมายของผู้ที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เอาแต่สร้างกรรมชั่ว ประพฤติมิชอบ อาหารแต่ละมื้อจะต้องเพียบพร้อมไปด้วยเนื้อสัตว์ เมื่อยามหลับก็จะฝันเห็นแต่สิ่งที่เลวร้าย น่าเกลียดน่ากลัว แต่เมื่อได้ศึกษาและตั้งใจปฏิบัติธรรม งดบริโภคเลือดเนื้อผู้อื่น ก็มักจะมีโอกาสนิมิตรฝันเห็นแต่สิ่งที่ดีงาม เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นนิมิตรที่ดีเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง จะหลับและตื่นก็เป็นสุข

๘.ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกันได้

คัมภีร์แห่งสัจธรรมได้กล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายกับคนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน มิได้แตกต่างกัน แต่เป็นเพราะความหลงผิดไม่รู้เท่าทัน จึงยึดรูปลักษณ์ภายนอกมาทำให้เป็นความแตกต่างว่านั่นเป็นสัตว์ นี่เป็นคน ฯลฯ

ผู้ปฏิบัติธรรมมีญาณปัญญา เห็นแจ้งในธรรมต้องปราศจากจิตที่เคืองแค้นอาฆาตผู้อื่น และมีจิตเมตตากรุณา คิดสงสารผู้อื่นที่หลงประพฤติผิด ทั้งพยายามหาวิธีฉุดช่วยให้เขากลับสู่เส้นทางแห่งความถูกต้องดีงาม

๙.สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ

ตามกฎแห่งกรรม ผู้ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือชอบเสพเลือดเนื้อสัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไปวิญญาณจะต้องร่วงลงสู่อบายภูมิทั้ง ๓ ได้แก่
1. นรกภูมิ 10 ขุม ต้องรับทุกข์ทรมานแสนสาหัส
2. เปรตภูมิ จะได้รับทุกข์ทรมานอยู่กับความหิวโหย
3. เดรัจฉานภูมิ เมื่อวิญญาณใช้หนี้บาปกรรมพ้นจากนรกภูมิและเปรตภูมิแล้วจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถูกเขาฆ่าตายชาติแล้วชาติเล่า จนกว่าจะครบกำหนดตามจำนวนที่ตนได้เคยทำลายชีวิตผู้อื่น

๑๐.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตวิญญาณจะมุ่งสู่สุคติภพ

ในมหายานสูตร มีเรื่องเล่าถึงวิบากกรรมของผู้ที่หลงผิดชอบเข่นฆ่าสัตว์และนำไปสังเวยฟ้าดินถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นบาปอย่างมหันต์ อกุศลกรรมนั้นทำให้ต้องได้รับโทษโดยถูกสุนัขปีศาจ รุมกัดกินเนื้อ ทุกข์ทรมานแสนสาหัส นับครั้งไม่ถ้วน

สาธุชนผู้ที่งดเว้นเนื้อสัตว์ ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตายด้วยการถือศีลกินเจ ย่อมจะห่างไกลจากทุคติภพไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัว เมื่อจิตวิญญาณจะละสังขาร ก็อาศัยเหตุปัจจัยแห่งกุศลกรรมความดี ดลบันดาลให้เหล่าทวยเทพเทวารอรับขึ้นเบื้องบน

ฉะนั้นการศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ได้สำเร็จลุล่วงผู้บำเพ็ญธรรม จักต้องละเว้นจากการเสพเลือดเนื้อชีวิตสัตว์โดยสิ้นเชิง พร้อมกับอนุเคราะห์ช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อให้หนทางการบำเพ็ญสู่ความหลุดพ้น ไม่ถูกขัดขวางจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย


สรุปแล้ว การกินเจ จึงมีแต่ข้อดี ทั้งนั้น ไม่มีข้อเสีย เสียอย่างเดียว ไม่ได้กินของอร่อยที่ชอบ ผมเองก็กินเจตามเทศกาลมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้เคร่งมาก ตามที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ที่เป็นหลักมาตรฐาน แต่เราก็ว่าไปตามความสะดวก เพียงแต่ขอให้ทำตามวัตถุประสงค์หลัก คือการถือศีล และละเว้นเนื้อสัตว์ เท่านั้น บางพื้นที่อาจจะหาอาหารเจยากหน่อย ก็ต้องปรับตัวตามความสะดวก เช่น ผมเอง บางทียึดหลัก ที่เขาว่าไม่ฆ่าสัตว์ ดังนั้น นมหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของนมบ้าง ผมก็อนุโลม เพราะว่าเขารีดนมวัวมา เขาไม่ได้ฆ่าวัว แต่ไข่ไก่นั้น มันจะฟักเป็นตัว จะเป็นไข่ลมหรือไม่ เราเดาไม่ได้ จึงต้องงดเว้น แม้กระทั่งหอยนางรม ที่เขายกเว้น เราก็ไม่เอา เพราะถือว่าสัตว์มีชีวิต อย่างนี้เป็นต้นฯ ส่วนจำนวนวัน ก็เอาตามสะดวก หรือที่ใจเราทนได้เช่น อาจจะแค่ 3 วัน 5 วัน ก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย ผมเองแรกๆ กว่าจะครบ 9 วัน ก็ทรมาณเหมือนกัน พอชินแล้ว ก็แถมต่ออีกวัน 2 วันก็ได้

ประการสุดท้ายที่จะแนะนำ คือก่อนการกินเจ เราควรไหว้พระ ตั้งจิตอธิษฐานเสียก่อน ว่าจะถือศีลกินเจ เพื่อทำบุญ จะได้บุญตามที่ ตั้งใจไว้ เมื่อออกเจก็ไหว้พระอีกที เพื่อรายงานว่า เราปฏิบัติได้ ดังที่ตั้งใจไว้แล้ว แค่นี้ ก็จะได้บุญและอานิสงส์ทุกๆประการ

TraveLArounD



ข้อมูลจาก
//www.banfun.com/culture/je03.html
//www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/009933.htm



Create Date : 24 กันยายน 2551
Last Update : 24 กันยายน 2551 17:01:54 น. 4 comments
Counter : 2528 Pageviews.

 
ขอบคุณมากครับ


โดย: samsam วันที่: 24 กันยายน 2551 เวลา:20:35:21 น.  

 
แวะเข้ามาเอาความรู้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ


โดย: wiyada_susi วันที่: 25 กันยายน 2551 เวลา:11:12:53 น.  

 
ร้านที่ไม่น่าไปกินเจ คือร้านข้างๆโรงแรม Interplace เพิ่งจะมีโอกาสได้ไปลองกิน เพราะตอนเช้าร้านอื่นไม่เปิด สั่งบะหมี่ลูกชิ้นเจ 2ลูก คิด 35บาท แพงจัง แต่ตอนแรกไม่รู้ ด้วยความหิว ขอบะหมี่เพิ่งตังก้อนหนึ่ง คิดว่า 10บาท มันคิดตังสะใจเลย บะหมี่1ก้อนคิด 25บาท o_0โอ้อออออออ แม่เจ้าาาาาา

โกรธมากครับเพราะ ผมกินไม่อื้ม แพงครับ


โดย: เจกินจัง IP: 124.120.74.246 วันที่: 1 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:50:08 น.  

 
ร้านที่ไม่น่าไปกินเจ คือร้านข้างๆโรงแรม Interplace เพิ่งจะมีโอกาสได้ไปลองกิน เพราะตอนเช้าร้านอื่นไม่เปิด สั่งบะหมี่ลูกชิ้นเจ 2ลูก คิด 35บาท แพงจัง แต่ตอนแรกไม่รู้ ด้วยความหิว ขอบะหมี่เพิ่งตังก้อนหนึ่ง คิดว่า 10บาท มันคิดตังสะใจเลย บะหมี่1ก้อนคิด 25บาท o_0โอ้อออออออ แม่เจ้าาาาาา

โกรธมากครับเพราะ ผมกินไม่อื้ม แพงครับ


โดย: เจกินจัง IP: 124.120.74.246 วันที่: 1 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:50:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.