ความเศร้าหมองย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์
เกริ่นไว้ก่อน ท่านจิตโต คือนามของหลวงพี่ท่านหนึ่ง ที่ท่านได้สอนกรรมฐาน บทสนทนาธรรมที่นำมาลงไว้นี้ ข้าพเจ้าได้คัดลอกมาจากเทปการสนทนาธรรมระหว่างหลวงพี่กับญาติโยมที่มาปฏิบัติพระกรรมฐาน ซึ่งข้อธรรมในบางครั้งที่พวกเราสงสัยท่านมักจะแนะนำชี้แนวทางในการปฏิบัติ ทำให้สามารถเข้าใจในธรรมนั้นๆ ได้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น การสนทนาธรรมมักจะอยู่ในช่วงการรอเวลาเพื่อที่จะปฏิบัติพระกรรมฐาน ข้าพเจ้าเห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาลงไว้ใน ณ ที่นี้
...................................... บทสนทนาเรื่อง ความเศร้าหมองย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ หลวงพี่ : รู้ไหม ความเศร้าหมองย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ หมายถึงอะไร? รู้ตัวไหมว่าเราเศร้าหมองแล้ว.. รู้ตัวไหม? ตอบ : รู้ค่ะ/ครับ หลวงพี่ : เออ..นึกว่าไม่รู้ก็บ้าแล้ว (หัวเราะ) ความเศร้าหมองมันออกมาจากแววตา คนอื่นเขาก็รู้ว่าเราเศร้าหมอง แววตามันจะบอกถึงความเศร้าหมอง ความผ่องใส ความสบายใจ ความครุ่นคิด ความสงบ บางคนกำลังอยู่ในความสงบ แววตาก็บ่งบอกถึงความสงบ เวลาที่ตั้งอยู่ในตบะอันแก่กล้า แววตาก็จะบอกถึงตบะอันแก่กล้า ... ไหนดูตาซิ (หัวเราะ) ดูตาซิยายไม่มา (หัวเราะ) ... เวลาเกิดความเศร้าหมองแล้วเธอทำอย่างไรให้มันหมดสิ้นไป เธอก็ต้องเรียกสติกลับมาหา งั้นสติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง มันคือผลของการปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติแล้ว สติของเรายังไม่ถึงพร้อมที่จะทำลายความเศร้าหมองในใจของเราได้ ถือว่าการปฏิบัติของเรายังไม่ถึงผล ผลของการปฏิบัติเขาวัดกันที่สติ คำว่า สติ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าทุกคนไม่มีสติ มีสติ แต่สติระลึกชอบมันไม่เกิด พอเราระลึกในสิ่งที่ไม่สบายใจปั๊บ ไอ้นั่นแหละเราระลึกไม่ชอบแล้ว การฝึกให้เรามีสติระลึกชอบยากไหม ยาก.. ถึงยากเธอก็ต้องฝึก เพราะมันเป็นที่พึ่งอย่างเดียว ที่ทำให้เราหลุดพ้นจากความเศร้าหมอง ใช่ไหม..ต้องฝึก.. บางคนกว่าจะมีสติระลึกชอบได้ก็ข้ามวันไปแล้ว..ถึงจะทำใจได้ เสียเวลาหมดไปเป็นวัน บางครั้งก็นึกว่าหายไปแล้ว หลายๆ วันโผล่มาอีก (หัวเราะ) เขาไม่ได้วัดกันที่สมาธิ เขาวัดกันที่สติ เพราะผู้ที่มีสติสมบูรณ์ ย่อมเป็นผู้ปราศจากความเศร้าหมอง ทีนี้สติสมบูรณ์มันมีอยู่หลายขั้น ขั้นเบื้องต้นเขาเรียกสติสมบูรณ์กับทาน สติสมบูรณ์กับศีล เพราะถ้าเราสติไม่สมบูรณ์ การให้ทานของเราก็สร้างความเศร้าหมองได้นะ หรือแม้กระทั่งเรื่องศีล ถ้าศีลของเรายังไม่สมบูรณ์ ก็สร้างความเศร้าหมองเกิดขึ้นในใจเราได้เหมือนกัน เธอก็ต้องค่อยๆ ทำจากสิ่งที่เป็นของง่ายๆ ไปก่อน สร้างสติให้สมบูรณ์ไปทีละเรื่องๆ เรื่องไหนเรายังไม่ได้ ทำให้ได้ก่อน นั่นคือการฝึก เพราะทุกครั้งที่เราฝึก ใจเรามีสติสมบูรณ์มันต้องประกอบไปด้วยสมาธิ มันถึงจะเกิดปัญญา ต้องคิดไว้อย่างหนึ่งว่าความเศร้าหมองเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การที่เรามีจิตเศร้าหมองเป็นทุกข์ใหญ่หลวง เมื่อจิตเราเศร้าหมองปั๊บมันจะทำลายทั้งหมด ทำลายกระทั่งสวรรค์ พรหม นิพพาน จิตเศร้าหมองจะทำให้เราไปอบายภูมิ เวลานั้นเหมือนเราตกนรก เวลาเราเศร้าหมองนะ..ตกนรก ต้องพยายามนะ การฝึกทำสมาธิหนึ่ง การปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ไม่ว่าเธอจะทำจากสายไหน ชอบที่จะปฏิบัติในทางใด ทั้งหมดจะลงกันที่สติอย่างเดียว เพราะสติคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเพื่อน พอมันเกิดปั๊บมันจะนำพาไปสู่อะไร..สู่ความคิดปรุงแต่ง ถ้าความคิดปรุงแต่งเกิดจากสติที่ระลึกไม่ชอบ มันก็จะปรุงแต่งทำให้เธอเกิดอะไร.. เกิดกิเลส เกิดตัณหา.. นำพาไปสู่อะไร.. การสุมแห่งไฟเผาเชื้อที่เธอเคยมี ทำให้ความคิดของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและเศร้าหมอง สติจึงเป็นพระเอกเลย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนสิ่งอื่นใด พอสติเกิดปั๊บรู้ตามปุ๊บ มันรู้เท่ากัน มันรู้ทันทีที่เกิดสติ พอสติเกิดปั๊บนึกอะไรปุ๊บรู้ทันทีว่านึกอะไร ไอ้ตัวนี้แหละถ้าเธอยังรู้ไม่ครบเธอก็จะทำให้สติที่เธอเคยนึกสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมานั่นแหละเป็นโทษทันที มันจะพยายามคิด..คิดไปเรื่อย ๆ ไม่มีจุดหมายปลายทาง อย่างมีอะไรมากระทบเธอปั๊บ ถ้าเธอมีสติรู้ปุ๊บ นี่..มันเป็นกรรม จิตที่จะไปคิดเรื่องว่า..ทำไมต้องอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาต้องพูดอย่างนั้น ทำไมเขาต้องแสดงกับเราแบบนี้ การปรุงแต่งแบบนี้ไม่เกิด เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่เกิดมันเป็นกรรม นี่แหละเขาเรียกว่าสติระลึกชอบ พอระลึกชอบว่าความจริงมันเป็นอย่างนี้ปั๊บ มันก็จะยุติความเศร้าหมองที่มันคอยคิด ยิ่งคิดมันก็ยิ่งเศร้า ยิ่งคิดหาเหตุเท่าไหร่มันก็ยิ่งคอยเรื่อยๆๆ ไป มันไม่จบ อย่างน้อยเราก็ต้องรู้เท่าทันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะกรรม เป็นสิ่งที่เราได้กระทำมาในกาลก่อน กรรมจึงเป็นของที่ละเอียด ยากที่ใครจะเข้าถึงเหตุถึงผลได้อย่างชัดเจน แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่อาจจะทำให้การยับยั้งในจิตใจของเรานั้นอยู่นิ่งๆ แล้วก็กลับมาหาดูตัวเองพบในภายหลัง หมายถึงว่า ถ้าเรารู้ว่ากรรม มันก็จะหยุดคิด พอมันหยุดคิดปุ๊บ สิ่งที่เรารู้ตามมาก็คือว่า รู้ว่าเราควรจะต้องทำใจอย่างไรให้สงบ ทำใจอย่างไรให้มันเกิดความผ่องใส (หัวเราะ).. ใช่ไหม.. ยากตรงนี้ .. การปฏิบัติไม่ได้ยากเรื่องอื่น เธอจะทำมาอย่างไรก็ตามที ผลมันจะต้องมาลงตรงนี้ให้ได้ ว่าสติของคุณเกิดแล้ว สามารถยับยั้งความเศร้าหมองของคุณได้จริง นี้คือเครื่องวัดของการปฏิบัติ จริงหรือไม่จริงเธอก็ลองพิจารณาดูที่เราพูดว่ามันจริงไหม เราปฏิบัติกันนี่ เราพยายามนะ ทำสมาธิคล่องตัว เราเป็นผู้ที่เข้าใจในธรรมอย่างนั้นอย่างนี้อย่างนู้น แต่เวลามันมีอะไรมาปะทะเกิดขึ้นปั๊บ สติเราเป็นอย่างไร มันนึกถึงเรื่องอะไรก่อน ถ้าเธอนึกถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วเธอปรุงแต่งตามต่อไป ทำให้เกิดความเศร้าหมองล่ะก็ ถือว่าเธอยังปฏิบัติไม่ผ่าน แต่ถ้ามันมีสติขึ้นนึกถึงปั๊บ นึกถึงอะไร..นึกถึงธรรมก่อน นึกถึงความจริงก่อน ความเศร้าหมองก็ดับ ก็เรียกว่า เมื่อใดสติมีธรรมเป็นใหญ่ คุ้มครองใจของเธอตลอดทุกเวลา ขึ้นชื่อว่าเธอจึงเป็นผู้มีสติสมบูรณ์ แต่เมื่อใดที่บางเวลาของเธอนั้น ธรรมนั้นไม่ได้เป็นใหญ่ แต่ความคิดของเธอเอง คือตัวตน ภาษาพระเรียกว่าทิฐิมานะเป็นใหญ่ ความคิดเห็นเหล่านั้น ก็จะทำลายความสุข มันก็จะกลับเป็นความเศร้าหมอง ความทะเยอทะยาน ที่เรียกว่า ตัณหา หลงเข้าไปสู่ความเป็นมนุษย์ ก็เป็นตัวเราเป็นของเรา เป็นเขาเป็นของเขา มันจะยาวเหยียดไปเลย เรียกว่าผูกเรื่องยาวไปเลย แก้ไม่จบ ถูกไหม.. ลองไปพิจารณานะ อย่าพึ่งเชื่อฉันนะ ก็ต้องพิจารณาว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงไหม ที่เราเศร้าหมองเป็นเพราะอย่างนี้ใช่ไหม.. บางเวลาที่เรารู้เท่าทัน เราสงบ ไม่เศร้าหมอง เป็นเช่นนั้นใช่ไหม.. เป็นเพราะว่าธรรมมันนำหน้าสิ่งที่เราคิด ใช่ไหม.. ถ้าธรรมคือความจริงที่ได้ปรากฏตามที่พระพุทธเจ้าสอน ปรากฏอยู่ในใจของเราเกิดขึ้นก่อน พอกระทบปั๊บมันนึกธรรมขึ้นปุ๊บ อย่างนี้เราไม่ทุกข์ เหมือนคนเจ็บไม่สบาย พอเจ็บปั๊บนึกถึงพระพุทธเจ้าปุ๊บ อย่างนี้ยับยั้ง.. ถ้าเจ็บปั๊บนึกถึงเมื่อไหร่กูจะหาย อย่างนี้อีกนาน ..ทำอย่างไรว้า เมื่อไหร่จะหายเจ็บ เมื่อไหร่จะหาหมอเจอ ก็ไปเรื่อยเปื่อย นี่มันก็ลามปามไปเรื่อย อย่างนี้ไม่ใช่สติระลึกชอบ สติระลึกชั่ว (หัวเราะ) ทำให้ใจเรามัวหมอง เธอเป็นนักปฏิบัติ เธอต้องเข้าใจว่า ผลของการปฏิบัติจริงๆ น่ะ เขาวัดกันที่ไหน อะไรจึงจะเป็นเรื่องประกาศตัวเราเองว่า เราเป็นผู้ถึงพร้อมแล้วซึ่งสติสมบูรณ์ในเรื่องแต่ละเรื่องอะไร สติสมบูรณ์ในเรื่องของผลแห่งทานว่าทำทานเราไม่เศร้าหมอง เรามีสติสมบูรณ์ไหม สติสมบูรณ์ในเรื่องของศีล เราสมบูรณ์ในศีลไหม สติสมบูรณ์ในเรื่องของปัญญา เราสมบูรณ์หรือยัง อันนี้เป็นเรื่องของตำรา เราพูดกันง่ายๆ ก็หมายถึงว่า ผลที่เกิดขึ้นในใจของเธอ..เธอทราบ คนบางคนมักจะพูดว่า ฉันปฏิบัติมาตั้งนาน รู้นะอะไรเป็นอะไร ขันธ์ห้าเป็นอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ของฉัน ฉันก็ท่องทุกวัน แต่ถึงเวลาจริง ๆ จอดไม่ต้องแจวเลย คิดต่อไม่ถูกเลย มึงก็อย่างนั้น กูก็อย่างนี้ มึงน่ะผิด กูทำอย่างนี้ถูกแล้วควรแล้ว เอาเถอะ ธรรมหายไปแล้วเหลือแต่ตัวกูของกู ของมึง เปรอะเต็มที่เลย เห็นไหม ...................................................................
Create Date : 31 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 31 มีนาคม 2553 13:16:03 น. |
Counter : 782 Pageviews. |
| |
|
|
|