Group Blog
 
All Blogs
 

Bua’s Moving Computer

เวทมนตร์ของHowlทำให้ปราสาทเคลื่อนที่กลายเป็นบ้านใหม่
บ้านเรากลายเป็นบ้านใหม่ไม่ต้องหวังพึ่งเวทมนตร์ แต่พึ่งแรงของคนงานที่ย่ำเข้าออกผ่านประตูวันละหลายๆรอบ หลายสัปดาห์ หลายเดือน ไม่มีใครนับว่ามีรอยเท้ากี่รอยมีแต่นับวันนับเดือนกันว่าผ่านไปเท่าไหร่แล้ว เมื่อไหร่บ้านเราจะเสร็จเสียทีมากกว่า
ถ้า Howl เป็นเจ้าของปราสาทเคลื่อนที่ เราเองก็คงเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ ไม่น้อยหน้ากันเท่าไหร่หรอก
คอมพิวเตอร์ที่พ่อถอยมาสดๆร้อนๆเมื่อหลา...ย...ย เดือนก่อน ตอนนี้คลายความสดและความร้อนไปเยอะ ความพิเศษของมันนอกจากหน้าตาแบนๆตามสมัยนิยมแล้วยังคอมพิวเตอร์ที่เดินไปเดินมาได้ด้วย
อย่าเพิ่งคิดเลยเถิดว่าคอมพิวเตอร์บ้านนี้มีขาเหมือนปราสาท Howl เนื่องเพราะความจำเป็นระดับครอบครัวที่เราตัดสินใจขยายบ้านจึงต้องอัปเปหิคอมฯจากห้องนั่งเล่นเดิมไปไว้ห้องทานข้าว พอทุบห้องก่อตึกเสร็จเป็นอันว่างานทางฝั่งตะวันออกก็ต้องย้ายมาฝั่งตะวันตก คอมพิวเตอร์ที่เพิ่งหยั่งรากลงดินยังไม่ถึง 3 เดือนดีก็ต้องสบัดดินเก่าเพื่อไปลงดินที่ใหม่กว่า
และการย้ายที่ของคอมพิวเตอร์มันก็ช่างวุ่นวายน้อยเสียเมื่อไหร่
ในเมื่อเราไม่มีเวทมนตร์อย่าง Howl ไม่มีผู้ช่วยเป็นปิศาจไฟหน้าตาน่ารักอย่าง Calucifer มีก็แต่กำลังแขนกำลังขาที่พอมีแรงก็ยกย้ายกันไป ฝ่าด่านอรหันต์ของบรรดาเครื่องไม้เครื่องมืออาวุธประจำกายของพี่ๆช่างสิบหมู่ หิมะในบ้านเป็นฝุ่นสีขาวสีแดงที่โปรยปรายลงมาครอบครองทุกซอกหลืบที่มีในบ้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งในท้องของ Moving Computer ทิชชูหลายทบกวาดเอาก้อนฝุ่นออกมา (ประมาณว่าทำ Detox แบบแห้ง) ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยมแต่ก็น่าจับกว่าเก่าเป็นไหนๆ
หมดปัญหา(และหมดแรง)ในการย้ายคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาอันยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งกว่าเมื่อเราพบว่าไม่สามารถใช้ Hi-speed Internet อันแสนจะภาคภูมิใจได้ดั่งใจนึก ปัญหาที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้เราไม่สามารถหาข้อมูลทำงานใดๆรวมไปถึงการเช็คเมล อัพเดทข้อมูลในพันธ์ทิพย์ หรือแม้แต่ฝากข้อความในกระดานสนทนา ฯลฯ งานนี้แม้แต่ Howl คงช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ วันทั้งวันเลยได้แต่มุดเข้ามุดออกแถวๆฮาร์ดดิสก์ ถอดสายไฟ ขันน็อต เสียบแลนการ์ด ถอดแลนการ์ด ขันน็อต ถอดสายไฟ วนเวียนอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายฟ้าก็ประทาน Howl ในร่างช่างคอมฯมาเตือนสติว่า “แลนการ์ดไม่เป็นไรครับแต่โมเด็มเสีย”
อืม...ช่างคุ้มค่ากับการถ่อไปถึงเซ็นทรัลลาดพร้าวเพื่อแลนการ์ดหนึ่งอันจริงๆ
คุณ Howl คนดีสัญญาว่าพรุ่งนี้จะเอาโมเด็มมาลองเปลี่ยนให้ คิดเล่นๆว่าถ้าพรุ่งนี้โมเด็มปกติเราควรซื้ออะไรดี
Moving Computer เครื่องใหม่ดีมั้ย

ปล.ซื้อไอติมม็อคค่าอัลมอนต์หนึ่งควอทแล้วกินไปถึงหนึ่งในสามส่วน ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง...แต่อร่อยมาก
ปล.อีกที Howl กับ Calucifer เป็นคาแรกเตอร์ในอนิเมชั่นอลังการ “Howl’s Moving Castle” ของสตูดิโอจิบลิ ในความเห็นส่วนตัวแล้วอาจจะอิ่มไม่เท่ากับ “Spirited Away” แต่เรื่องความอร่อยแล้วถือว่าไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะเพลงประกอบและความหล่อของคุณ Howl (ให้เสียงโดยคิมูระ ทาคูยะ อา...หล่อไม่แพ้กัน) ถ้าไม่โชคร้ายจนเกินไปหวังว่าคงได้เข้าโรงซักโรงในประเทศไทย แต่ศตวรรษไหนมิอาจทราบได้




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2548 19:17:21 น.
Counter : 358 Pageviews.  

ฝนหลงกับเด็กแห่งท้องถนน

นอกหน้าต่างบ้านเราวันฟ้าหม่นฝนตกกระหน่ำ
นี่มันฤดูอะไรกัน?
ต้นเดือนลอยกระทงแต่ฝนยังตกเหมือนอาลัยอาวรณ์พื้นโลกอย่างนั้น มันเศร้าอะไรนักหนา
ฝนพรมลงมาอาบน้ำให้โลก ชำระเอาสิ่งสกปรกที่เกาะตามซอกแผ่นดินให้ละลายหายไป
ฝนตกทำให้บรรยากาศสดชื่นบริสุทธิ์ก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้โลกอยากเช็ดตัวให้แห้งแล้ว หยุดตกก่อนดีมั้ย

ฤดูร้อนเหมาะกับทะเล ฤดูหนาวเหมาะกับภูเขา ฤดูฝนหลงอย่างนี้คิดไม่ออกจริงๆว่าเหมาะกับที่ไหนในโลก
บางทีผู้คนบนโลกออกไปตากอากาศกันมากเกินไปฟ้าจึงส่งฝนมาเป็นอุปสรรคเพื่อบอกเป็นนัยๆว่าฤดูฝนเหมาะกับบ้านและเราควรอยู่บ้านบ้าง แต่ฝนลืมไปหรือเปล่าว่ามีคนที่ไม่มีบ้าน ไม่มีหลังคาคุ้มกบาล ไม่มีผ้าไว้กันลมฝนที่พัดกระหน่ำเนื้อเปลือยๆอย่างไร้ความปรานีอยู่ร่วมโลกอีกมากมาย

นอกหน้าต่างรถวันฟ้าหม่นฝนกำลังโปรยปราย
ตามท้องถนนเวลาฝนตกรถติดเด็กไร้บ้านจะกรูออกมาครอบครองพื้นที่ว่างระหว่างรถที่จอดติดอยู่ข้างกันเป็นแนวยาว ในมือเล็กๆมีหนังสือพิมพ์ มีพวงมาลัย มีมะลิร่วงบานๆ มีเรียงเบอร์ มีสินค้านานาชนิดที่พอจะหิ้วติดไม้ติดมือมาเร่ขายแบบถึงลูกถึงคนได้ ไม่ใช่ว่าการขายแบบมือเคาะกระจกส่งของถึงที่จะเป็นสิ่งที่น่าปรารถนานักแต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะซื้อเพราะสงสารมากกว่า ห้าบาทสิบบาทที่ยื่นให้มันอาจจะเปลี่ยนเป็นอาหารสักมื้อหรืออาจจะหล่นอยู่ก้นถุงของหัวหน้าพ่อค้าเด็กอีกที เศษสตางค์ที่คนใจดีโปรยลงบนมือเล็กๆเหล่านั้นสำหรับเด็กแห่งท้องถนนแล้วอาจจะฉ่ำชื่นใจกว่าสายฝนหลงฤดูที่โปรยลงมาเป็นไหนๆ

ไม่มีใครใจกว้างขนาดเปิดประตูต้อนรับเด็กๆที่เปียกปอน กำแพงที่แท้จริงไม่ใช่ประตูรถเคลือบสีสวยแต่มันเป็นกำแพงที่อยู่ในหัวใจของเราเองที่ได้ก่ออิฐฉาบปูนจนสูงเสียดฟ้า ต่อให้มีปีกบินก็ไม่อาจจะข้ามพ้น

นอกหน้าต่างบ้านเราวันฟ้าหม่นฝนซา
กลิ่นหอมของมะลิร่วงเปียกฝนค่อยๆจางลง มะลิร่วงกำลังแห้ง หนังสือพิมพ์เริ่มคายน้ำที่อุตส่าห์อุ้มไว้ในเยื่อกระดาษจำนวน16แผ่นมาเกือบ2ชั่วโมง ลมเย็นไร้ละอองฝนแทรกผ่านช่องเปิดของหน้าต่าง เนื้อตัวเหนียวหนับแล้ว แอบย่องไปหลังบ้าน โอ่งมังกรเจ้าเก่าอ้าปากกินน้ำฝนจนเต็มปรี่ ฝนอาบน้ำให้โลก ถึงคราวที่ฝนจะอาบน้ำให้เราบ้าง น้ำฝนเย็นเจี๊ยบทำเอาสะดุ้งสะเทือนไปทั้งตัว นึกถึงเด็กแห่งท้องถนนตัวชุ่มฝนที่กำลังหนาวปากสั่น เมื่อไหร่ตัวจะแห้งในเมื่อไม่มีผ้าขนหนูเหมือนเรา

ไม่ต้องถึงขนาดเปิดประตูให้เขาเข้ามาหลบฝนหรอก หากมีใครสักคนที่ยื่นผ้าให้เด็กๆสักผืน คุณค่าของมันอาจจะมากกว่าเศษสตางค์ แรงมหาศาลของน้ำใจอาจจะพังกำแพงที่มองไม่เห็นนั้นก็เป็นได้




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2548 19:16:43 น.
Counter : 177 Pageviews.  

ชีวิตกึ่งสำเร็จอ้วน

ภาคแรก
งานมหกรรมคนธรรมดาที่ชอบฟังเพลงธรรมดาชอบอ่านหนังสือธรรมดาชอบดูคอนเสิร์ตธรรมดาและชอบแสดงออกธรรมดา...ธรรมดา
ถ้ามีใครตั้งชื่องานยาวยืดราวกับชื่อกรุงเทพฯเยี่ยงนี้แล้ว อันตัวงานที่เป็นเนื้อหนังมังสาแท้ๆนั้นมักจะถูกกักบริเวณอยู่ในกรอบเมฆเหนือศีรษะเสมอๆ
นอกจากความยาวอันเกินกว่าจะเรียกร้องความสนใจของมนุษย์ภายใน15วินาที(ความยาวของสปอตโฆษณา)แล้ว ความธรรมดาก็มักจะถูกมองข้ามเรื่อยมา
อุปมาเรื่อยเปื่อยไปก็เหมือนคนอ้วนที่มักจะเป็นฝ่ายพระรอง ขณะที่ใครผอมกว่า ขายาวกว่ามักได้รับเกียรติว่า “สวย” “เซ็กซี่” “น่าร้ากกก” นั่นแหละ
แต่สำหรับงานชื่อยาวพอดีๆที่มีความหมายตรงๆตัวว่า งานอ้วน เฟสติวัลครั้งที่5 ฝ่ายพระเอกตัวผอมจึงถูกลดวรรณะมาเป็นพระรองบ้าง (ด้วยความสะใจเล็กๆของชาวอ้วนทั่วราชอาณาจักรคนธรรมดาฯ”
ว่าแล้ว คนอ้วนคนหนึ่งที่กำลังว่างงานก็หยิบปากกาสีแดงวงวันที่ในปฎิทินรุ่น “กรุณาฉีกแรงๆ” ด้วยอาการนุ่มนวล เนิบนาบ
วันที่ 5-6 เดือนลอยกระทง ปี05 “ไปเป็นกุลีชั่วคราวงาน Fat Festival5”
...
งาน Fat festival ครั้งที่ 5 จัดที่ “แดนเนรมิต” สวนสนุกอันกว้างใหญ่ของเราสมัยที่ส่วนสูงยังไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของห้างแมคโคร มาวันนี้สวนสนุกที่ว่าเจ๋งมาก เท่ไปเลย กลายเป็นสวนโกคาร์ทโล่งๆ เมื่อพิจารณาด้วยระดับสายตา 150 ซม.ของเราแล้ว “แดนเนรมิต” ดูเล็กลงไปอย่างถนัดตา นึกไม่ออกว่างานมหกรรมดนตรี ซีดีและหนังสือทำมือปีนี้จะยัดเอาบู้ธจำนวนมากมายมหาศาลเข้าไปอยู่ในงานได้ยังไง แล้วก็มาถึงบางอ้อ..เหรอเมื่อคิดได้ว่า ปีนี้จำนวนบัตรเข้างานก็ลดลงครึ่งต่อครึ่งและเพื่อป้องกันชนกลุ่มน้อย(แต่มากันเยอะมาก)จากประเทศแซ้บจึงจำต้องขายบัตรในราคา 200 บาท...คิดได้อีกที คุณอ้วนคุณทำถูกแล้วล่ะ

แม้จะได้เหยียบย่างเข้ามาในดินแดนที่คุณอ้วนเนรมิตให้กลายเป็นแดนไฮเนเก้นสีเขียวอันเป็นเอกลัษณ์ แต่เงิน 200 ในกระเป๋ายังอยู่ดี เพราะอานิสงค์ของคุณพระศรีรัตนบัตรที่บ่งว่า “กูมาขายหนังสือหน่าเว่ย” หลังจากติด Wristband เครื่องหมายแสดงว่า “กูเข้างานได้หน่าเว่ย” เราก็สามารถระรื่นหลั่นล้าในงานได้ดั่งใจ ไม่ต้องโดนค้นกระเป๋า ไม่โดนคุณตำรวจเขม่น ไม่ไอ้นู่นไม่ไอ้นี่ สบายใจแฮ

ไม่ได้จบเอกการขาย ไม่ถนัดทางบัญชี แต่สองวันนี้ทั้งขายทั้งจดมือพันกันเป็นปลาหมึก ทั้งที่ตอนแรกก็ไม่มีใครกะเกณฑ์ว่าคนนี้ขายอะไรคนนี้จดอะไร แล้วแต่ว่าเราจะนั่งตรงไหน นั่งใกล้กระเป๋าก็ขายกระเป๋า ใกล้หนังสือก็ขายหนังสือ ใกล้แมกกาซีนก็ว่าไป คนนู้นหยิบใส่ถุงคนนี้ควานหาตังค์ทอน บางทีพริตตี้โชว์พุงเดินผ่านก็ชักกระดี้กระด้า มีเรื่องคุยกันสนุกสนานเฮฮาปาจิงโกะ วันแรกขายไปขายมาได้ตั้งสองหมื่นห้า สุดยอดไปเลย

Fat Festival ปีที่แล้วห้อยบัตร Staff อาบแดดล้อมคอกให้ Exotic Percussion กระหน่ำกลองสองวันขี้หูเต้นระบำวันละสองรอบ หมดเงินไปกับน้ำ น้ำ และน้ำ การระบายฉี่ออกทางผิวหนังถือว่าเป็นเรื่องปกติ การเข้าห้องน้ำในงานที่มีผู้คนรวมตัวกันหลายหมื่นไม่เป็นผลดีต่อชีวิตนัก
ปีนี้ไม่ได้อาบแดดเพราะฝนเทลงมา ฝนเม็ดโตที่ร่วงพรูลงมาตามแรงโน้มถ่วงโลกต้อนทุกชีวิตให้ไปสุมอยู่ตามบู้ธต่างๆที่พอจะมีร่มกันฝน ด้วยความที่หลังคาบู้ธส่วนใหญ่ขึงด้วยร่มไม้สีเขียวบางๆการยืนใต้ร่มทั้งอย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการยืนกลางแจ้ง กลุ่มวัยรุ่นชายหญิงเนื้อตัวเปียกปอนอัดเบียดกันในบู้ธขนาด2X2ตร.ม.กลายเป็นภาพชินตาชวนให้นึกถึงมุขหนังไทยยามฝนตกต้องหลบในกระท่อมประมาณนั้น

วันแรกของงานคุณอ้วนจึงฉ่ำชุ่มอุ้มน้ำฝนด้วยประการฉะนี้
ปล. ความซวยมาเยือน กระเป๋าอินเดียทำพิษสีตกใส่เสื้อและกางเกง เกลียดจริงๆ

ภาคสอง
เนื่องจากเมื่อวาน (5) หลายคนถามถึง “โตเกียวไม่มีขา” ไม่ขาดปาก วันนี้พี่อั้นกับเพชรเลยสนองนโยบายขนหนังสือที่ว่าและเล่มอื่นๆมาให้เพียบ ถึงจะจัดหนังสือช้ากว่าเมื่อวานแต่ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางอย่างรวดเร็ว โชคดีที่น้ำฝนไม่กลืนหนังสือที่เราอุตส่าห์ยัดใส่ลังซ่อนไว้ใต้โต๊ะพร้อมกางผ้าใบคลุมไว้อีกชั้น มีแค่บางเล่มที่บวมน้ำไปบ้างก็ถือว่าไม่เสียหายมากมาย

แดดแรงส่องบู้ธเหมือนจะบอกเราว่า “วันนี้พี่ไม่ตกจ้ะ” แต่อย่ากระนั้นเลย ท้องฟ้าทางตะวันออกกลุ่มเมฆสีเทากำลังซ่องสุมกำลังอยู่อย่างเงียบๆ แมงปอสามสี่ตัวบินว่อนรับลมเย็น ท้องฟ้าทางตะวันตกสดใสมองเห็นเมฆสีขาวเหมือนไอติมรสกะทิไผ่ทอง เราภาวนากันว่าขออย่าให้ฝนตกเลย หรือถ้าตกพี่ช่วยตกเพลาๆได้มั้ย อ่ะ...ถ้าพี่ไม่เพลาๆ ตกเป็นตูนๆก็ได้ หมายถึงถ้าพี่จะตกหนักก็ขอให้หนักแป๊ปเดียว สงสารคนเดิน สงสารคนขาย สงสารศิลปินที่เค้าต้องขึ้นเล่นดนตรี ฯลฯ บ้างเหอะ นะ นะ

แต่ดูเหมือนว่าแรงภาวนาของเราจะส่งไปไม่ถึงพี่เมฆสีเทาที่ตอนนี้เคลื่อนตัวมาปกคลุมเหนือกบาลทั้งหมื่นแล้ว เป็นไปตามคาด ฝนเทลงมาอีกครั้ง เราเก็บหนังสือกันรวดเร็วก่อนที่จะยืนเบียดหลบฝนกันเหมือนเมื่อวาน วันนี้เราได้เห็นแฟชั่นใหม่ของงานที่ฮิตกว่า สูทและขนมิ้งค์ นั่นคือ เสื้อกันฝนและร่มหลากสี สำหรับพวกเราแก๊งค์ไม่กลัวฝนที่ไม่เตรียมอะไรมาต้านลมและฝนกันเลยใช่ว่าจะยอมเปียกเอาเท่ห์หรอกนะ แต่เรายึดความประหยัดเป็นที่ตั้ง ว่าแล้วก็กระชากถุงดำมาเจาะรูทำเสื้อกันฝนแบบDIYมาใส่กัน ประสิทธิภาพของมันไม่ต่างจากเสื้อกันฝนราคาแพงแม้ว่าดูๆไปแล้วเหมือนเพกวินผ่านศึกไปหน่อยก็ตาม

เสียงกลองดังมาจากไหนหนอ พี่พุฒวิ่งเล่นน้ำฝนผ่านมาบอกว่า Exotic Percussion กำลังเล่นอยู่ เจ๋งมากไปดูกันเถอะ เม็ดฝนบางลงแล้วเราเลยวิ่งไปดูกะเค้าตามกระแสแต่อนิจจากำแพงมนุษย์สูงท่วมหัวต่อให้กระโดดเหยงๆก็มองไม่เห็นเราเลยได้แต่ยืนฟังอยู่วงนอก ดีที่ปีที่แล้วได้ดูจนอิ่มก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นหรือเสียดายเท่าไหร่ แค่มาแชร์ความมันไปกับผู้คนรอบข้างพอประมาณแล้วกลับไปดูบู้ธของเราต่อดีกว่า

ขายหนังสือหลังฝนตก งานคุณอ้วนคราวนี้เผินๆเหมือนงานเกษตรแฟร์ ถนนเฉอะแฉะแต่ก็ยังมีคนเดินหนาตา เพชรใจดีมากมายอาสาเป็นตากล้องให้เรายืนถ่ายรูปคู่กับพี่อ้วน อาร์มแชร์ (เขินนะเนี่ย) พี่อ้วนน่าร้ากกก น่ารักจริงๆให้ตายสิโรบินสันสีลม เฮ้ออออออ!!!

“ปีหน้ากูจะเดินอย่างเดียว ไม่เอาแล้ว Staff”
วาจานี้ลั่นไว้เองต่อหน้าพยานมากมาย แต่คราวนี้ทั้งคนลั่นทั้งพยานก็ไม่เห็นจะหลุดบ่วงกรรมอย่างว่าไปได้ ไม่เป็น Staff ก็จริงแต่กลายมาเป็นคนขายซะอย่างนั้น แต่งานนี้สนุกดี ถึงจะเปียกไปหน่อยก็เถอะ อย่างน้อยก็ไม่มีใครตีกันให้งานกร่อย ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตใครเลย ได้ซีดี ได้ตุ๊กตาเมธีมาก็แค่นั้นเอง ไม่เสียดายอะไร ไม่รู้ว่าเพราะแก่แล้วไม่มีแรงเฮหรือว่าเบื่อขี้เกียจเดิน บางทีอาจจะทั้งสองอย่างแหละ ขายหนังสือ คุยกับคนซื้อ ทอนผิดทอนถูก เฮฮากับเพื่อนก็โอเคแล้ว (เข้างานก็ฟรี จะเอาอะไรอีก)

เก็บของกลับเมื่อฟ้ามืดและฝนซา เพิ่งจะรู้ว่าน้องที่ขายหนังสืออยู่ข้างกันคือ เจ้าของหนังสือ “ผจญโลกล้านไมล์กับวัย18” น้องช่างดูสุขุมใจเย็นอารมณ์นิ่งไม่ไหวติงต่อสภาวะอากาศและอารมณ์ของผู้คนเลยจริงๆ เป็นข้อดีที่หาได้ยากในหมู่วัยรุ่นฮอร์โมนแตกซ่านทั้งหลาย เราเก็บของเสร็จน้องยังนั่งขายต่อสุดยอดมากมาย

ภาคแถม
ไม่อยากจะลั่นวาจาอะไรแล้วงานนี้ สามปีสำหรับงานคุณอ้วนเราก็แขวนป้ายครบทุกตำแหน่งแล้วหนิ เหลือแค่ Artist เนี่ยแหละ
“ปีหน้ากูไม่เอาแล้วขายหนังสือ ไม่เดินแล้วด้วย กูจะเล่นดนตรี”
...ก็ดีนะ...





 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2548 19:15:24 น.
Counter : 161 Pageviews.  

ความน่าเบื่อที่เคยชิน

ว่างงานมาเกือบ 3 เดือน
ระยะเวลาเกือบ 3 เดือนแทบจะดับความกระตือรือร้นได้หมดใจ
อะไรที่เคยอยากทำ คิดที่จะทำ พอไม่ได้ทำมันก็เริ่มขี้เกียจ และขี้เกียจจนอยู่ตัว
ผ่านเวลาไปเรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกที เราก็พบว่าตัวเองชินกันมันไปซะแล้ว
ถ้าจะลองคิดทบทวนดู วันหนึ่งๆเราทำอะไรบ้าง
นอน ตื่นสาย อาบน้ำ กินข้าว ดูทีวี เล่นเน็ต กินข้าว อาบน้ำ นอน
เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎจักรชิวิตที่ยาวกว่ายุงหน่อยเดียว
ความจริงประการที่หนึ่ง คือ เรารู้ว่ามันน่าเบื่อ เรารู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรที่ดีกว่านี้ เรารู้ว่าตัวเองขี้เกียจเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลง และเรารู้ว่าเราชินกับมันซะแล้ว
ความจริงประการที่สอง คือ ไม่ใช่แค่เราเองที่ชินกับความเบื่อของตัวเอง แต่สังคมรอบๆตัวเราก็พยายามให้เราชินกับเรื่องที่พบได้ตามพาดหัวหนังสือพิมพ์ประเภทเร้าอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่น

  • ชู้โหดรัวหมดโม่ฆ่าผัว นึกว่ากิ๊กใหม่
    • ฆ่าสยองสาวสวย!ม่านห้องน้ำห่อศพทิ้งริมมอเตอร์เวย์
    ควงปืนซิ่งปล้น ปริญญาโท สิ้นท่าโดดน้ำดับ
    • ฆ่าโหดสาวทั้งกลม หวดจนกะโหลกยุบ ตร.สงสัยผัวตัวแสบ
    นศ.สาวรักขมแขวนคอสยอง

ความจริงประการที่สามคือ คนเรายอมที่จะชินกับเรื่องพวกนี้ เราขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งแจกแจงว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน กับใคร อย่างไร ทำไม คนตายกันทุกวันไม่ว่าจะสาเหตุอะไรก็ตาม คนตายทุกวันจนเป็นเรื่องธรรมดา คนตายทุกวันกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ และสุดท้ายคนตายทุกวัน น่าเบื่อ แต่เราก็ชินกับมันซะแล้ว
ความน่าเบื่อกับความเคยชิน ย่อมเกิดแก่ทุกคนบนโลก มันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยตัวของมันเองก็ไม่มีความผิดบาปอะไร เราจะเบื่อกับพาดหัวข่าวเดิมๆ หรือจะชินกับมันจนเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็ไม่ผิดหรอก ถ้าเราเองไม่โดนความน่าเบื่อที่เคยชินครอบงำจนรู้สึกว่า “ฆ่าคนซักคนสองคนก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะคนมันตายทุกวันอยู่แล้ว” หรือว่า “ถ้าฉันตายไปซักคนก็ไม่เป็นไร ใครๆเค้าก็ฆ่าตัวตายกัน”
มันน่ากลัวนะ

กลับมาที่ตัวเองบ้าง
ความน่าเบื่อที่เคยชินของเราเองคือ การที่มีวัฎจักรชีวิตคล้ายยุงถึงแม้ว่าไม่ได้ออกไปฆ่าใครแต่ก็รู้สึกผิดบาปอยู่ลึกๆ บางทีเราควรจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง สลัดความเคยชินซะบ้างอย่างเช่น เลิกเล่นอินเตอร์เน็ตแล้วหันมาอ่านหนังสือพิมพ์ ทำตัวให้กระตือรือร้น บางทีไฟที่เคยมอดอาจจะลุกพรึ่บขึ้นมาอีกก็ได้

ว่าแต่เปิดหนังสือพิมพ์ก็ยังเจอแต่ข่าวเดิมๆเนี่ย ชักจะชินซะแล้วสิ









 

Create Date : 19 สิงหาคม 2548    
Last Update : 19 สิงหาคม 2548 14:46:19 น.
Counter : 239 Pageviews.  


toomanyversions
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add toomanyversions's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.