ติงหนังพระนเรศรวร ตอนองค์ประกันหงสา

ดังที่ทราบกันดีว่าหนังเรื่องนี้กำกับโดยท่านมุ้ย ม.จ.ชาตรี เฉลิมยุคล
หลายปีก่อนนี้เคยดูเรื่องสุริโยทัยที่ท่านได้กำกับเช่นกัน
ครั้งนี้ได้มาชมหนังของท่านอีกครั้ง
ก็ค่อนข้างฟันธงครับว่าหนังสองเรื่องนี้ของท่านขาดการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอยู่พอสมควรเลย
อย่างหนังเรื่อง สุริโยทัย ถ้าคุณผู้อ่านจำได้ มีฝรั่งซื้อไปดัดแปลง ตัดต่อ คือ Francis Coppola
ผมก็ได้ดู version นี้เช่นกัน แต่ดูไม่หมด ดูแค่ช่วงกลางๆถึงตอนจบ
ผมพบว่าฝรั่งคนนี้ได้เติมเต็มสิ่งที่ผมกล่าวไปได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว
โดยเฉพาะฉากพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนช้างศึกนั้น ตัดต่อทำใหม่แล้วบีบคั้น ดึงอารมณ์ได้มากทีเดียว
ได้เห็นการเน้นความรู้สึกของตัวละคร ความเสียใจ ความโกรธแค้น ถ่ายทอดได้ครบถ้วน
ผิดกับ version ดั้งเดิม ที่ดูเฉยๆมาก ไม่รู้สึกสะเทือนใจอะไรเลย รบเสร็จก็จบ ...
ถ้ามีโอกาสลองไปหาดูนะครับ

ทีนี้มาดูเรื่องพระนเรศวรกันบ้าง ดูแล้วหงุดหงิดใจหลายครั้งเลย ดังนี้

1.
หลายๆฉากที่ไม่จำเป็นและทำให้อารมณ์ของหนังมันสะดุดก็ดันใส่มา
หลายๆฉากที่ดูแล้วมันไม่เนียน ดูตลกๆ
ตัวอย่าง
1.1 ช่วงที่มณีจันทร์ต้องจากไปอยู่ตำหนักพระสุพรรณกัลยา อันนี้
ให้ตัวละครเถียงกันไปมา แล้วให้มณีจันทร์วิ่งหนี ต้องให้องค์ดำกะเพื่อนไปปลอบ
ฉากนี้ไม่จำเป็นเลยครับ น่าจะหาวิธีเล่าแบบอื่น เสียเวลาไปหลายนาที
แล้วที่ยิ่งตลกคือ ตอนมณีจันทร์วิ่งหนีไปวัดร้างน่ะ ไปทำท่าเอามือเท้ากำแพง
แล้วกลับหลังหันมานั่งกอดเข่า ดูไม่เนียนเลยครับ acting ไม่ถึงขั้น ตลกมาก
ผมว่าน่าจะตัดต่อใหม่ให้หลังจากวิ่งหนีจากวัดไป แล้วก็ตัดมาถ่ายตอนนั่งกอดเข่าร้องให้ไปเลย
แล้วให้ซูมกล้อง close up เข้าที่หน้าด้วย ให้เห็นว่ากำลังร้องไห้ แล้วมีเสียงแว่วขององค์ดำ แล้วมณีจันทร์ก็เงยหน้าขึ้นมอง พร้อมกับกล้องก็เปลี่ยนไปถ่ายที่องค์ดำ ประมาณนี้
แต่ในหนังกลับถ่ายมุมกว้างให้เห็นทั้งตัว แล้วก็คุยกันทื่อๆ ซึ่งดูไม่ได้อารมณ์เลย
อย่ามาบอกว่านักแสดงยังเด็กนะเลยเล่นไม่เนียน มันอยู่ที่ผู้กำกับครับ จะสั่งอย่างไร

แต่ผมว่าตัดไปเลยจะดีกว่า ไม่เห็นต้องเล่าเลยว่ามณีจันทร์จะไปอยู่กับพระสุพรรณกัลยา แล้วมาร้องไห้โวยวาย ตัดไปก็ไม่เห็นจะกระทบกับเนื้อหาตรงไหน จริงมั้ย ?

1.2 ฉากองค์ดำแสดงฝืมือการต่อสู้บนสะพาน เอ้อ ผมว่ามันขัดๆยังไงๆอยู่
ไม่ทราบรู้สึกเหมือนกันมั้ย มันแปลกๆ ... คืออาจเป็นเพราะขาดการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการฝึกการต่อสู้ก็ได้
น่าจะเพิ่มฉากบรรยายพระปรีชาสามารถขององค์ดำหน่อยเมื่อครั้งฝึกวิชาน่ะ

1.3 จะว่าไปช่วงที่องค์ดำถูกอุบายลอบจับบนสะพาน อันนี้ผมว่าไม่ต้องมีก็ได้นะ
คือให้หนังกล่าวถึงก็พอว่ามีแผนประทุษร้ายองค์ดำ พอรู้ว่ามีภัยกลํ้ากลายมาถึง
องค์ดำก็ประชุมวางแผนหนีจากหงสาวดีก็พอ
ตัดไอ้ช่วงบนสะพานนั่นออกไปเลย ยิ่งฉากน้องบุญทิ้งนัดเจอมณีจันทรนี่ดูขัดๆมากเลย คือตัวละครยังเด็กอยู่เลยนะ ตามเนื้อเรื่องเหมือนจะบอกว่าเป็นหนุ่มสาวแล้ว ก็ควรจะเปลี่ยนตัวแสดงไปเลย
อารมณ์สะดุดมาก

อาจจะเถียงว่าหนังนี้เน้นพระนเรศวร ก็เลยต้องมีฉากที่เกี่ยวข้องกับพระนเรศวร แต่ว่าจะใส่เข้าไปก็ทำให้เนียนๆกว่านี้หน่อยสิ



2.
หลายๆครั้งที่น่าจะเน้นอารมณ์ความรู้สึก บีบคั้นอารมณ์คนดู ก็ไม่ได้ทำ
กลับถ่ายทอดออกมาอย่างไม่มีรสชาดเสียอย่างนั้น

2.1 ฉากที่พม่ายกพลผ่านประตูเมืองเข้ามา ฆ่าฟันราษฏร
ฉากนี้ต้องดู Drama มากกว่านี้ครับ ในหนังนี่ดูเป็นสารคดีป่าเถื่อนไปเลย
คิดว่าต้องเสริมเพลงบรรเลงประกอบให้ดูเศร้าๆหน่อย ว่าคนสยามพินาศเพราะคนสยามด้วยกัน ...
ให้มันดูสะท้านใจหน่อย

2.2 ต่อมาเลย คือฉากที่พระมหินทราธิราช ต้องคุกเข่าเบื้องหน้า บุเรงนอง
ฉากนี้ดันถ่ายมุมกว้างอีกแล้ว คือเห็นกษัตริย์ฝ่ายเรา กับบุเรงนอง แล้วฝ่ายเราก็เดินไปคุกเข่าให้เขา คือถ่ายเหมือนทำสารคดี ... อย่างกับสาธิตการกราบไหว้แบบไทยอย่างนั้น
ต้องเน้นครับ เน้น เน้นมากๆ การที่ประมุขสูงสุดผู้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของราชอาณาจักรต้องคุกเข่าต่ออริราชศัตรูที่เราเกลียดชัง
มันชอกชํ้าครับ
เป็นผมคิดว่าน่าจะถ่ายซูม close up ไปที่เข่าของพระมหินทร์ครับ เข่าที่เดิมอยู่ในท่ายืน แล้วค่อยๆทรุดตํ่าลง จนสัมผัสพื้นน่ะ ทำ slow motion เลยครับ เน้นๆ อาจจะวนซํ้าหลายๆ shot
แล้วก็ฉายซํ้าคราวนี้กล้องถ่ายด้านหน้าให้เห็นครึ่งตัวบน ค่อยๆทรุดตัวลงครับ เน้นๆ ลองหลายๆมุม
แล้วก็อาจจะ close up ที่พระพักตร์ครับ ให้นักแสดงถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครขณะนั้นมา
ตอนที่เข่าสัมผัสพื้นนี่ให้มี sound ประกอบ เป็นเสียงทุ้มๆก็ดี อาจเป็นเสียงกลองเบาๆ มันจะสื่ออารมณ์บางอย่างแก่ผู้ชม ลองนึกภาพก็ได้
ขณะเดียวกันกล้องก็อาจจะตัดไปยังขุนศึกขุนนางฝ่ายเราว่ามีอารมณ์เสียใจอย่างไร
พร้อมเพลงบรรเลงเศร้าๆประกอบ ให้รู้สึกเศร้าสะเทือนใจ เพราะนี้เรายอมศิโรราบแก่ศัตรูเชียว ต้องเน้นให้ดีกว่านี้ ...

2.3 ฉากชนไก่ชนะมังสามเกลียด (โอรสของนันทบุเรง และเป็นหลานของบุเรงนอง)
ที่เคยอ่านมาคือนี่เป็นชนวนความเกลียดแค้นริษยาของมังสามเกลียดที่มีต่อองค์ดำทีเดียว
ควร Close up ที่ดวงตาของมังสามเกลียดครับให้แสดงความโกรธเกลียดออกมา
Close up ที่ดวงตาขององค์ดำด้วย สบสายตากัน เพราะทั้งคู่คือศัตรูคู่อาฆาตกันทีเดียว

มาถึงตอนนี้ผมชักสงสัยว่าผู้กำกับท่านนี้เค้าไม่ชอบถ่าย close up หรือเปล่าเนี่ย ...
ชอบถ่ายภาพมุมกว้างหรือเปล่า
คุณลองสังเกตนะ จริงๆ
เนื่องจากผมเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปนะ ก็เลยสังเกตเรื่องพวกนี้เป็นพิเศษ การ close up ที่หน้านี้เป็นเทคนิคในการเน้นอารมณ์ได้ดีทีเดียว

2.4 ช่วงองค์ดำเสด็จหนีจากหงสาวดี
ก่อนหน้านั้นในหนังกล่าวว่าบุเรงนองหวังให้องค์ดำสืบทอดปกครองหงสาวดี จึงอยากให้องค์ดำรักหงสาวดี เหมือนเป็นแผ่นดินของตน แต่สุดท้ายองค์ดำหนีไป
อยากให้เพิ่มฉากแสดงของบุเรงนองว่าบุเรงนองรู้สึกผิดหวังในใจอย่างไร รำพึงรำพันออกมาเลย
แม้ในหนังจะเผยให้เห็นเล็กน้อยเมื่อตอนพระสุพรรณกัลยาสนทนากับบุเรงนอง เรื่องจะย้ายองค์ดำออกจากหงสาวดีแล้วก็ตาม
แต่ผมคิดว่าก็น่าจะยังเพิ่มฉากของบุเรงนองซึ่งรู้สึกผิดหวังและเสียดายองค์ดำด้วย น่าจะ work และสมบูรณ์มากขึ้น



3.
แต่หลายๆฉากก็ทำได้ดีอย่างนึกไม่ถึงทีเดียว
3.1 ฉากพระมหินทราธิราช ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระมหาจักรพรรดิ
ผมชอบมากทีเดียว คือเป็นการขึ้นครองราชย์ต่อ ในระหว่างประเทศกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน กำลังรบกันอย่างดุเดือดมาก
ในหนังถ่ายให้เห็น พระมหินทร์ประทับบนพระที่นั่ง ทรงสวมพระมงกุฎ มีขุนนางเข้าเฝ้าเบื้องล่าง
ที่สำคัญได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังสนั่นเป็นระยะ พร้อมทั้งมีเศษอิฐเศษปูนร่วงจากเพดาน ขณะกำลังสวมมงกุฏ เยี่ยมมากกกกกกก เป็นการถ่ายทอดให้เห็นว่าทรงขึ้นครองบัลลังก์อย่างท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายของสถานการณ์ในขณะนั้น ต้องทรงแบกภาระอันหนักอึ้งมากทีเดียวที่ต้องป้องกันภัยอันตรายราชอาณาจักรจาก อริราชศัตรูข้าศึกศัตรูที่เก่งกล้าสามารถ
นี่เป็นจินตนาการของผู้กำกับที่เยี่ยมมาก ขอชมครับ ชอบฉากนี้จริงๆ



4. ข้อสงสัย

4.1 องค์ดำเมื่อไปเป็นองค์ประกันนั้นทรงมีพระชนมายุ 9 ชันษา แน่นอนว่าต้องเลือกนักแสดงเด็ก อายุราวๆนี้
แต่เมื่อตอนหนีจากหงสาวดีในตอนท้าย เวลาน่าจะผ่านไปพอสมควร องค์ดำน่าจะทรงเจริญวัยขึ้น รูปร่างหน้าตาย่อมเปลี่ยนไป แต่ในหนังยังใช้ตัวแสดงเดิม ใช้เด็กคนเดิมอยู่ ?
ไม่ทราบว่าครั้งองค์ดำออกจากหงสาวดีนั้น ทรงมีพระชนมายุเท่าใด ?

4.2 เมื่อบุเรงนองรบชนะอโยธยา ได้เรียกพระยาจักรีมาให้รางวัล แต่ก็สำเร็จโทษประหารพระยาจักรีโดยตอกมือเข้ากับหีบสมบัติแล้วถ่วงนํ้าตาย
ผมสงสัยว่าทำให้กำหนดให้พระมหินทร์ต้องแสดงท่าทีกระวนกระวายตกใจด้วย
ในเมื่อเสียกรุงเพราะพระยาจักรีก็ไม่น่าจะให้พระมหินทร์แสดงท่าทีแบบนั้น
น่าจะแบบว่า อืม มันสมควรตายแล้ว จะให้กระวนกระวายทำไมครับท่านผู้กำกับ
แล้วอีกอย่างคุณเกรซ (พระสุพรรณกัลยา) ทำท่าตกใจกำมือปิดปากนั่นตลกมาก แต่ถ้าจะให้ทำก็ทำได้ครบแต่กล้องต้องตัดให้ไว แว่บๆให้เห็นตกใจแล้วก็ตัดไปที่คนอื่นเลย แต่นี่ค้างไว้หลายวินาทีซะ ดูตลก กลายเป็น Fake ยังไงไม่รู้

4.3 สมัยกรุงศรีอยุธยา เราเรียกตัวเราเองว่า "ชาวสยาม" หรือเปล่า
เหมือนคุ้นๆว่าคำ "สยาม" นี้เราใช้เมื่อยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ? ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้ ?

4.4 พระพม่า (หมายถึงมหาเถรคันฉ่อง) เป็นพระทำไมสอนการสู้รบ ไม่สอนพระธรรมล่ะ ?? สอนสู้รบฟันดาบซะงั้น ไม่เข้าใจ ?


สุดท้ายนี้ ในแง่ของเรื่องราว ภาคแรกนี่เหมือนมันครึ่งๆกลางๆ คือจะเน้นเรื่องราวขององค์ดำก็ไม่เต็มที่ จะ Drama ก็ไม่ดีซะทีเดียว ยังมีช่องทางให้ดัดแปลง ตัดต่อให้ดีได้อีกเยอะครับ ไม่รู้จะมี version ตัดต่อใหม่หรือเปล่า ...
ขอชมว่าฉากสวย เครื่องแต่งกายดี เนื้อหาเชิงประวัติศาสตร์โอเค นักแสดงใช้ได้
แต่ผมอยากให้สันติสุขเล่นเป็นบุเรงนองนะ
ส่วนคุณเกรซในบทพระสุพรรณกัลยา ผมว่าดูเป็นผู้ใหญ่ไปนะ เพราะองค์ดำอายุ 9 ชันษาเอง พระสุพรรณกัลยาก็น่าจะทรงเป็นเยาว์วัยอยู่ น่าจะเป็นช่วงวัยรุ่นนะ ตัวแสดงน่าจะอายุน้อยกว่านี้ (ผมว่าคนที่เล่นเป็นพระสุพรรณกัลยาในละครเรื่อง "กษัตริยา" ที่ฉายช่อง 5 เมื่อหลายปีก่อน ก็ดีนะ เรื่องนี้สันติสุขเล่นเป็นบุเรงนองด้วย แล้วก็ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์แสดงเป็นมารดาขององค์ดำและพระสุพรรณกัลยา)
แล้วก็พระนางจันทรานี่สวยสุดในเรื่องแล้ว แต่ออกมาแป๊ปเดียวเอง ...

แต่สุดท้ายผมก็ยังมั่นใจว่าเป็นหนังที่สมควรจะไปดูจริงๆ คนสร้างตั้งใจมากครับ แม้จะมีข้อติติงบ้างก็ตาม

ไปดูเถอะครับ อย่าคิดว่าไม่ว่างเลยไม่ไป มันมีคุณค่าคู่ควรให้ไปดูครับ ถ้าหนังอย่างนี้ไม่คู่ควรแล้วชีวิตนี้คุณจะดูอะไรล่ะ
หาเวลาไปดูให้ได้นะ จะดูรอบดึกก็ยังได้ นานๆทีไม่เป็นไรหรอก
ดูแล้วให้ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของเรา
อย่างน้อยรายได้ของหนังก็เป็นการกุศล

ที่พูดมานี่ก็ในฐานะคนดูที่สังเกตอย่างละเอียดนะ มาวิจารณ์ให้ฟัง ผมไม่ได้เก่งอะไรขนาดจะให้กำกับหนัง แต่ผมก็สามารถวิจารณ์ได้ ว่าจุดบกพร่องอะไร
หากท่านใดต้องการ share ความเห็น ก็เชิญได้ครับ




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2550 11:41:12 น.   
Counter : 530 Pageviews.  

X-Men 3 The Last Stand ขอวิจารณ์หน่อย

Dec 29, 2006

วันนี้พึ่งดู dvd X-Men ภาคสาม โอ้คงช้าไปที่จะมาเล่าอะไรให้ใครฟัง แต่มีความรู้สึกขัดใจ ต้องระบาย จะมีสักกี่คนที่คิดเหมือนข้าพเจ้า สักกี่คนจะได้อ่าน หง่า......
เอ่อ นี่มันภาคสุดท้าย (ตามที่เค้าบอกน่ะ) มันต้องครบเครื่องนะในความเห็น
แต่ผมว่าผกก. (ผู้กำกับ) มันไม่ค่อยเก่งน่ะ หรือเป็นเพราะมันเป็นฝรั่ง เลยขาดการนำเสนอความคิดในเชิง ... จิตวิญญาณ ... มั้ง (ยังหาคำเรียกไม่ได้)
ไปมุ่งเน่นพวกฉากแอ๊กชันเอฟเฟ็กต์อะไรนั่น อันนี้ไม่ได้โจมตีชนชา่ติเค้าน่ะ แต่ส่วนใหญ่มักได้ยินอย่างนี้มาน่ะ
อ่าา ทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้จบด้านกำกับ เขียนบท หรืออะไร เพียงแต่ดูแล้วอยากวิจารณ์ก็เท่านั้น นะ นะ
สิ่งที่ข้าฯขอติติง ถ้าทำได้อยากให้ Remake มันซะเลย (นั่น ฮา ฮา) ขอพรรณนาดังนี้ขราบ


หนึ่ง
มีตัวละครนึงที่ดูทีแรกเหมือนจะเป็น key ของความขัดแย้ง, เป็นศูนย์กลางที่ขับเคลื่อนความวุ่นวายภายในเรื่อง
คือเด็กที่โกนหัว ที่เป็นต้นแบบวัคซีน คนที่ถ้า mutant เข้าใกล้แล้วจะหมดพลังน่ะครับ
คือเปิดตัวมานี่ขลังมาก (แต่ผมว่าเปิดตัวเร็วไป ไว้ค่อยพูดถึงประเด็นนี้อีกทีนะ)
คือเค้ามีอำนาจที่จะสยบอำนาจน่ะ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทรงอำนาจเพียงไร เมื่ออยู่เบื้องหน้าเค้าแล้วกลับดับสูญซึ่งพลัง
มันสุดดดดยอออด ไหมล่ะเนี่ย สยบทุกพลัง ทุกอำนาจ เหมือนกลืนไปในมหาสมุทร อะไรแบบนั้น
............
แต่หนังมันไม่ได้เน้นบทบาทของเค้าคนนี้ซักเท่าไร สังเกต เอาแต่แอบมองลอดหน้าต่างห้อง ทำท่าขวัญหนีดีฝ่อซะงั้น เวร เจงๆๆ ครับ

อยากแก้ไข : เอ่อ ไอ้หนูนี่มันต้องมีคาแร็กเตอร์ประมาณศาสดา ... ทำนองนั้น ประมาณนิ่งๆ สงบๆ แต่ไร้เดียงสา นึกออกไหม แล้วในหนังเปิดตัวเค้าเร็วไป น่าจะปิดเป็นความลับ คือบอกก่อนแค่ว่ามีวัคซีน แต่วัคซีนจากไหนเนี่ยปิดไว้ จนกระทั่งฐานทัพถูกบุกโดยแม็กนีโต้นี่ล่ะ แล้วพอฝ่ายร้ายบุกถึงตัว ค่อยสัมผัสพลังอำนาจของเด็ก ว่าพลังของตนไร้ซึ่งความหมายต่อเด็กคนนี้ .... ทำให้มันดูลุ่มลึก ขลังๆหน่อย
ยิ่งให้ Jean ที่แข็งแกร่งที่สุดใน Mutant มาเผชิญหน้าด้วย นี่จะเยี่ยมขนาดไหน จะตราตรึงขนาดไหน
ฝ่ายหนึ่งเกรี้ยวกราดดั่งเปลวเพลิง (ฉายาฟินิกซ์นี่) อีกฝ่ายสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนนํ้า .... โอ โอ


สอง :
หนังจุดประเด็นการรักษา Mutant ซึ่งมีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ฝ่ายผู้ร้ายมันก็แน่นอนไม่เห็นด้วย เดาออกทั้งนั้น
แต่ฝ่ายดี ก็มีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ที่สังเกตชัดๆคือ Storm นั่นคลับคล้ายคลับคลาพูดมาเต็มๆ ว่าเราไม่ได้ป่วยอะไรแบบนี้

อยากแก้ไข : น่าจะเพิ่มการต่อสู้ทางความคิดในประเด็นนี้นะ คือฝ่ายตัวเอกน่ะชูแนวคิดอยู่ร่วมอย่างสันติกับมนุษย์ปกติ งั้นทำไมไม่เลิกเป็น Mutant ไปเลยล่ะ จะเก็บความสามารถไว้ทำไม คือเข้าใจว่าความสามารถที่มันช่วยเหลือมนุษยชาติผดุงความยุติธรรมได้ แต่ก็ต้องมีคนคิดว่าอยากเก็บพลังไว้ จะครองโลกอ่ะป่าว หา ? อะไรแบบนี้
คืออยากให้ใส่การโต้แย้งทางความคิดนี้ด้วย โธ่ ไปเน้นบู๊ๆอยู่ได้

อีกจุดคือสาวชื่อ Rogue ครับ คนที่พอถูกตัวจะถูกดูดพลังน่ะอาจถึงตายได้ คนนี้นี่เปิดประเด็นมานานแล้วว่า เธอทุกข์ใจในสิ่งที่เธอเป็น เพราะเธอไม่สามารถสัมผัสกับชายคนรักของเธอได้ ดูเหมือนเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่คนดูสนับสนุนให้เธอเลิกเป็น Mutant หนังน่าจะแสดงให้เห็นความรู้สึกที่ฝังใจของเธอ ให้มันดูคับแค้นใจ ความว้าเหว่ของเธอ ให้แสดงออกมา ... แต่ก็ไม่ได้เห็น
ทั้งที่มันเป็นประเด็นที่ดีเลยนะ คือคนที่มีพลังพิเศษแต่กลับปรารถนาใฝ่ฝันต้องการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญ โอ้ ....


สาม
Jean Grey
เ่อ่อ เธอคนนี้คือที่สุดของพลัง .... แต่หนังก็แสดงตัวเธอเป็นตัวบ้าพลังไปเลย เฮ้อออ

อยากแก้ไข :
คือเธอเป็นคนที่มีสองบุคลิก สองด้าน มืดและสว่าง ในตัว นี่เป็นจุดที่ต้องขับเน้นออกมาครับ
ว่าภายในจิตใต้สำนึก (ใช้คำนี้หรือเป่า ?) ทั้งสองด้านมีการต่อสู้กันอย่างไร มีความขัดแย้งภายในไหม ทำไมมีพลังอำนาจมหาศาล จะเก็บสะกดไว้ทำไม อะไรแบบนี้นะ

ต่อมา ฉากที่ปะทะศาสตราจารย์ Xavier นะ โชว์ประสานตากันอยู่ได้ จนบ้านถล่ม ศาสตราจารย์ละลายไป ... แค่นั้น ...
คือมันต้อง Visualize ให้เห็นภาพหน่อยว่า การปะทะกันเชิงพลังจิตเนี่ยมันจินตนาการได้อย่างไรบ้าง
ฝ่ายหนึ่งจะแทรกเข้าไปในจิตของอีกฝ่ายเนี่ย น่าจะเป็นยังไง ลองวาดภาพออกมา
คือนี่เป็นฉากเดียวมั้งที่เป็นการต่อสู้เชิงพลังจิต ไม่ใช่ทางกายภาพ (ต่อย ตี ฟัน แทง ระเบิด ไฟ ฯลฯ)
แต่หนังดันทำแต่โชว์จ้องตากัน จนบ้านถล่ม ไม่ไหวเลย หนังอื่นๆที่โชว์จินตนาการแนวๆนี้มีเยอะแยะ วู้


สรุป :
จากที่ได้ดู โอเค มันเป็นหนัง Action ที่ดูเพลินๆ Effect เยี่ยม ตื่นตาตื่นใจ อันนี้ยอมรับ
แม้ฉากตะลุมบอน มันจะมวยวัดไปหน่อย มุมกล้องธรรมดา
ขาดจินตนาการเชิงนามธรรม เน้น Effect เกิน
ในเรื่องการนำเสนอแก่นของเนื้อหา "อยู่ร่วมกันโดยสันติ" นี้มันไม่บริบูรณ์ มันไม่ถ่ายทอดอะไรหลายๆอย่าง ดูไม่ลุ่มลึก
อาจเป็นเพราะหนังมันทำจากการ์ตูน เลยไม่รู้จะไปหาผกก.เก่งๆมาทำได้ที่ไหน เค้าคงไม่อยากมาทำ หรือเปล่า ?

อาจเถียงว่า "นี่มันหนังบู๊นะเฟร้ย เอ็งจะมาเอาเนื้อหาอะไรฟระ"
เอ่อ คุณดู Spiderman สิ บทบู๊นี่เค้าไม่พรํ่าเพรื่อ เนื้อหาก็แน่นนะ แล้วมันก็ดูสนุก ได้สาระในตัวด้วย
ภาคแรกเค้านำเสนอ ... "พลังอำนาจ ต้องคู่กับภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ"
ภาคสอง ... "เมื่อคุณมีภาระหน้าที่ คุณต้องเสียสละบางอย่าง แม้มันจะเป็นความสุขส่วนตัว (รวมทั้งความรัก)" อันนี้ถ้านึกไม่ออก มันบอกตอนไหน ลองนึกดู จำได้ไหมแฟนพระเอกเกือบทิ้งพระเอกไปแล้วน่ะ เพราะมัวไปปราบผู้ร้ายน่ะ

ดูหนังแล้วมันซึมซับแก่นประเด็นได้เลยนะ Spiderman นี่ คนสร้างเก่งมาก


อ่า ความเห็นที่ผมมีก็บรรยายมาเท่านี้ ผู้ใดเห็นเป็นอย่างไร เชิญได้




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2549   
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2550 11:41:31 น.   
Counter : 416 Pageviews.  


ตงฉินครองเมือง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add ตงฉินครองเมือง's blog to your web]