ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน ...














































ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง
เพิ่ง
สำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ก็
ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน

เพื่อเห็นแก่แม่..
บัณฑิต
ใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ใน
กรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับ
พระ
วิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน

พระหนุ่มการศึกษาสูงมา
จากตระกูลผู้ดี
มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า
กว่าจะปรับตัว
ได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ'นิ่ง'
ก็ทำ
เอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

ปัญหาที่ทำให้พระ
ทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ
พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวด
รู้
ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึก
เหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า
ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออก
บิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
เห็นที่วัดใช้ตะเกียง
น้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า
ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า
ล้าสมัย
ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี

ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า
ท่าน
รองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน
กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็น
เหน็บชา

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง
ก็ทำท่าจะ
ล้างอย่างขอไปที
ล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมือง
นอกต้อง
มาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

โอ้ชีวิต!ความสำรวยหยิบ
โหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้
ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูล
สูง
มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญ
ศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่าง
รู้สึกว่า
ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู
นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ
กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่
ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอย
หลัง
รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียน
นอกก็สังเกตเห็นว่า
ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
ซ้ำ
นานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง

วันๆไม่เห็นท่านทำ
อะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง
(เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้)
สอนก็ไม่สอน
การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสีย
ทุกอย่าง

เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับ
โน่นลดนี่สารพัด
ที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทน
ตะเกียงด้วย

อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว
ไม่
ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อย
ของวัดทั้งหลายเหล่านั้น
พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส
มีปฏิ
สัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้
สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น

และ
แนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน
อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วย
ตนเอง
ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้น
เป็นวันพระสิบห้าค่ำ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลาง
ลานทราด้วย
ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน
ให้พระ
หนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง
แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน

อ่าน
จบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
แล้วชี้ให้
ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
ที่นอนอยู่ใต้ม้า
หินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ

"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้
เรือนตัวนั้นหรือไม่
เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว
ฉัน
เห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น
เดี๋ยวก็ย้ายมา
นอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน

แต่พวกเธอรู้ไหม
เจ้า
หมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหน
มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่า
แต่
ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง
นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน
สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี

คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่
ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
เลยต้อง
วิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้ง

วันเจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิด
ไม่ว่า
เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น
หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้น
แต่อย่างใดไม่

แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่น
ต่างหาก"

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
ได้
เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว


ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตา
ภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย
นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู

ยิ่ง
นั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

นับแต่
วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

จาก
คนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย

จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อม
ตน

จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

แม้
เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว
ท่านก็ยังไม่ยอมสึก

"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรค
จน
กว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"

โยมแม่ได้ฟัง
แล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย
แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า
"หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่



















Free TextEditor







































































































 

Create Date : 16 เมษายน 2553    
Last Update : 16 เมษายน 2553 19:50:46 น.
Counter : 386 Pageviews.  

"ยิ้มให้ความทุกข์...แล้วเราจะมีความ สุขที่สุดในโลก" มาดูเร็ว

















































ว้า
วววว!!.....


พบกับ"หนอนหนังสือ"อีกแล้ว
วันนี้จะพาเพื่อน ๆ มารู้จักกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ให้ข้อคิดดี ๆ กับเรา
อย่างใครที่มักจะมีความทุกข์บ่อย ๆ ลองอ่านหนังสือเรื่อง "ยิ้มให้ความทุกข์...แล้วเราจะมีความสุขที่สุดใน
โลก"
รับรองว่าคุณจะมองไม่เห็นความทุกข์อีกเลย
อย่าลืมซื้ออ่านกันนะค่ะ......!!!

เรื่อง                   ยิ้ม
ให้ความทุกข์...แล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลก
เขียน
โดย                   ใบข้าว
พิมพ์ครั้ง
ที่                 1
ปีที่พิมพ์                   
อักขระบันเทิง
ประเภท                   
รวมบทความจิตวิทยาประยุกต์
กลุ่มเป้าหมาย            
นักอ่านทั่วไป
ISBN                       978-974-8134-57-4
BARCODE          
9789748134574
SIZE                      5 x
7.25
จำนวนหน้า                 176 
หน้า
ราคา                   150 บาท


อักขระชวนชิม



ผล
ของการกระทำสิ่งต่างๆ ไม่สำคัญเท่าการได้ลงมือทำหรอกนะ
มัน
ก็เหมือนกับการนั่งรถไป ไม่สำคัญหรอกว่า รถไฟขบวนนั้นจะพาเราไปที่ไหน
แต่
มันสำคัญตรงที่ว่า เราเลือกที่จะขึ้นรถไปขบวนนั้นหรือเปล่า
(จาก
บทความ
ไม่มีอะไรยากเกินไป...ถ้าเราได้ลงมือทำ)


คนเราไม่สามารถที่จะกดรีโมทให้เลี้ยวซ้ายได้
หากเขาได้เลือกแล้วที่จะเลี้ยวขวา
แม่เราจะรู้ว่า
ทางขวาที่เขากำลังจะไปนั้นคือหุบเหว แต่พูดยังไง เขาก็ไม่มีวันเชื่อ
ตราบ
ใดที่เขา...ยังไม่เห็นหุบเหวนั้นเองกับสองตา
(จากบทความ จง
เป็นเพื่อนที่รับฟัง...อย่าดันทุรังให้คำปรึกษา)


เรื่อง
ราวคนเล่าเรื่อง



ใบข้าว
เป็นนักเขียนสาววัย 26 ปี...ก่อนหน้านี้เคยทำงานประจำ
แต่ปัจจุบันออกมาใช้ชีวิตอิสระแบบไม่ผูกมัดกับใคร
ยกเว้นการเขียนหนังสือที่เธอยึดเอาไว้เป็นเพื่อนตายคนหนึ่งในชีวิต
เคยมีผลงานออกมาแล้วก่อนหน้านี้กับสำนักพิพม์อื่นในนามปากกา
นัต
ตี้


ยิ้มให้ความทุกข์...แล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลกเป็น
ผลงานเล่มแรกของเธอภายใต้ชายคาของอักขระบันเทิง
ด้วยรวมแง่คิดดีดีสำหรับคนที่อยากเป็นตัวอขงตัวเอง...ไม่อวดเก่ง..แต่อวดรัก





 โดย :ดุ๊กดิ๊ก (ทีม
งาน T





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 16 เมษายน 2553    
Last Update : 16 เมษายน 2553 19:49:01 น.
Counter : 334 Pageviews.  

ไวต่อความสุข ...
















































ชะตา
ชีวิตบางครั้งก็พลิกผันอย่างตั้งตัวไม่ติด


หาญมี
อาชีพเป็นพ่อค้าเร่ขายของตามตลาดนัด วันดีคืนดีก็ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑
ถึง ๒๐ ล้านบาท เมื่อได้เงินมา
เขาเอาครึ่งหนึ่งเข้าธนาคารเพื่อเป็นทุนในระยะยาว ที่เหลือให้ลูกสาว ๓
คนคนละ ๑ ล้านบาท อีก ๒ ล้านบาทนำไปซื้อรถกระบะ
และเตรียมซื้อที่ดินปลูกบ้าน ส่วน ๕ ล้านบาทที่เหลือ
เขาฝากไว้ในธนาคารสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน 

เจอลาภก้อนโต แถมยังจัดการได้ดีมีหลักเกณฑ์

หาญน่าจะเป็นคนที่มีความสุขอย่างยิ่ง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
เพราะทันทีที่ข่าวแพร่สะพัด ญาติ ๆ ก็มารุมล้อมขอเงินจากเขา บางคนได้ไป ๔-๕
หมื่น บางคนก็ได้ไปเป็นแสน แต่หลายคนไม่พอใจ หาว่าให้น้อย
พากันต่อว่าต่อขาน หนักกว่านั้นก็คือบางคนขู่ว่าจะฆ่าทิ้งทั้งผัวทั้งเมีย
หาญเครียดหนักจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ลูกสาวพาส่งโรงพยาบาล
หมอล้างท้องทันจึงรอดตาย 

ชีวิตจริง
เรื่องนี้สอนว่า ถูกรางวัลที่ ๑ มิใช่โชคดีเสมอไป


ใคร
ว่าได้เงินหลายสิบล้านแล้วชีวิตจะมีความสุข ก็หาไม่
บางครั้งกลับทำให้ทุกข์กว่าเดิม หาญไม่ใช่คนแรกหรือคนเดียวที่พูดว่า "เป็นพ่อค้าเร่ หาเช้ากินค่ำ
ยังมีความสุขกว่าเป็นไหน ๆ" 

หาญ
เคยรู้สึกไม่พอใจกับชีวิตพ่อค้าเร่จน ๆ


เขาฝันจะ
เป็นเศรษฐีเงินล้าน แต่ครั้นได้เป็นจริง ๆ
เขากลับพบว่าชีวิตพ่อค้าเร่มีความสุขกว่าเยอะ
แต่เขามาค้นพบความจริงข้อนี้เมื่อความสุขดังกล่าวได้หลุดลอยไปแล้ว 

ใช่หรือไม่ว่าคนเรามักเห็นคุณค่าของสิ่งใดก็ต่อเมื่อสิ่ง
นั้นสูญหายไปแล้ว


แต่ตอนที่สิ่งนั้นยังอยู่กับเรา
เรากลับไม่สนใจไยดี ชีวิตที่อิสระ ปราศจากอันตราย ไร้ความกังวลใจ
คบกันด้วยน้ำใจยิ่งกว่าผลประโยชน์ เป็นชีวิตที่มีความสุข
แต่ผู้คนมักจะคิดได้ก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นอดีตไปแล้วอย่างที่เกิดกับหาญ 

กัญญากลุ้มใจที่ตัวเองไม่ได้เลื่อนเป็นผู้จัดการเสียที

เธอ
หมกมุ่นกับเรื่องนี้จนไม่มีเวลาให้กับลูก ๆ
แล้ววันหนึ่งเธอก็พบว่าลูกชายจากไปอย่างไม่มีวันกลับเพราะอุบัติเหตุ
เธอเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงตอนนั้นเองที่เธอตระหนักว่า
เมื่อครั้งลูกชายยังมีชีวิตอยู่นั้นนับเป็นช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของเธอ
เป็นช่วงที่เธอน่าจะมีความสุข แต่เธอมาระลึกได้เมื่อสายไปแล้ว 

จะไม่ดีกว่าหรือหากเราชื่นชมความสุขเหล่านั้น
ขณะที่มันยังอยู่กับเรา

ที่จริงยังมีอีกหลายอย่าง
ที่รอการชื่นชมจากเรา ขอเพียงแต่เราใส่ใจเท่านั้นเอง
ปัญหาก็คือเรามักไม่ค่อยใส่ใจ
เพราะชอบไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นที่อยู่นอกตัวหรือยังอยู่อีกไกล
การวางจิตวางใจแบบนี้ทำให้เราทุกข์ได้ง่าย ๆ
ทุกข์เพราะสิ่งที่อยากได้ยังมาไม่ถึง
ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รับความชุ่มชื่นใจจากสิ่งที่มีอยู่แล้วกับตัว 

ลองมาสำรวจดูว่าชีวิตของเราตอนนี้มีอะไรบ้างที่ควรชื่นชม

ถ้านึกไม่ออก ก็ลองไล่เลียงดูว่า สิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้
อะไรบ้างที่หากสูญไปจะทำให้เราทุกข์หรือย่ำแย่ ถึงตอนนี้เราจะพบว่ามีมากมาย
ทั้งรูปธรรมและนามธรรม เช่น สุขภาพดี อวัยวะครบ ๓๒ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง
คนรัก มิตรสหาย วิชาความรู้ กินอิ่มนอนอุ่น มีอาชีพการงาน
มีเวลาเป็นของตัวเอง ฯลฯ แม้แต่ข้าวของเครื่องใช้
ตอนนี้เราอาจไม่เห็นค่าเพราะอยากได้อันใหม่ที่ดีกว่า
แต่ลองนึกดูว่าหากมีใครขโมยสิ่งเหล่านั้นไป เราจะรู้สึกอย่างไร
เราไม่ควรนึกเสียดายต่อเมื่อมันสูญหายไปแล้ว
แต่ควรจะชื่นชมหรือเห็นคุณค่าของมันขณะที่ยังอยู่กับเรา 

การรู้จักชื่นชมสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่

จะ
ทำให้เราตระหนักว่าทุกวันนี้เราก็มีความสุขมากมายอยู่แล้ว
ความสุขไม่ใช่สิ่งที่ต้องชะเง้อหาจากอนาคต และไม่ต้องรอให้ถูกรางวัลที่ ๑
ก่อน แท้จริงความสุขมีอยู่กับเราแล้วทุกขณะ อย่างน้อย ๆ
เราก็ยังโชคดีกว่าคนอื่นอีกมากมายที่ไม่มีอย่างที่เรามี 

การรู้จักชื่นชมสิ่งต่าง ๆ ที่เรามีอยู่

รวม
ทั้งสิ่งที่อยู่รอบตัว จะช่วยให้เราเป็นคนไวต่อความสุข แม้สิ่งดี
ๆเพียงเล็กน้อยก็สามารถบันดาลใจให้เป็นสุขได้ ปัญหาของคนทุกวันนี้ก็คือ
ไวต่อความทุกข์มากกว่า
ใช่หรือไม่ว่าเรามักจะจดจำคนที่ตำหนิติเตียนเราได้ดีกว่าคนที่ชมเรา
ใครที่เอาเปรียบเรา เราจะจำเขาได้แม่นกว่าคนที่เอื้อเฟื้อเรา
คนที่เกลียดเราจะประทับแน่นในใจเราได้นานกว่าคนที่ชอบพอเรา
ช่วงเวลาที่มีความสุขกายสบายใจจะไม่แจ่มชัดในความทรงจำเท่ากับช่วงเวลาที่มี
ความทุกข์หรือเจ็บป่วย เวลาได้เงินจะสุขไม่เท่ากับทุกข์เมื่อเสียเงิน
แม้เป็นเงินจำนวนเท่ากัน 

เป็นเพราะ
เราไวต่อความทุกข์หรือสิ่งที่เป็นลบ

เราจึงรู้สึก
ว่าแถวที่เราต่อคิวมักจะเคลื่อนช้ากว่าแถวอื่นเสมอ ทั้ง ๆ
ที่หลายครั้งแถวของเราเคลื่อนเร็วกว่าแถวอื่น
แต่เหตุการณ์อย่างนั้นเราจะจำได้น้อยกว่าเวลาที่แถวของเราเคลื่อนช้า
คนที่ไวต่อความทุกข์จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย
แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นเพราะเขาด้านชาต่อสิ่งดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตต่างหาก 

อยากให้ชีวิตมีความสุข นอกจากทำความดีแล้ว
ต้องฝึกใจให้ไวต่อความสุขและรู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ
ที่เรามีอยู่ในตอนนี้ให้มาก ๆ


ไม่มีใครในโลกนี้ที่
ได้ ๒๐ ล้านบาทมาเปล่า ๆ ฟรี ๆ ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง(หรือหลายอย่าง)
ดังนั้นก่อนที่อยากจะได้อะไร
ถามตัวเองดูบ้างว่ามีอะไรบ้างที่อาจจะต้องเสียไปเพื่อแลกกับสิ่งนั้น
และเราพร้อมหรือยังที่จะเสียสิ่งเหล่านั้นไป








ขอบคุณที่มา : รินใจ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 16 เมษายน 2553    
Last Update : 16 เมษายน 2553 19:43:42 น.
Counter : 364 Pageviews.  

เส้นเชือกสู่พระเจ้า...
















































กาล
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว


มีสามีผู้หนึ่งซึ่งหลงรัก
ภรรยาของตนเป็นยิ่งนัก พวกเขาไม่เคยแยกจากกัน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง
ภรรยาของเขาต้องกลับบ้านไปเยี่ยมบิดามารดาของหล่อน แล้วเมื่อเวลากลางคืน
เขาคิดถึงหล่อนมากเหลือเกิน
จนเขาได้วิ่งตามหล่อนไปที่บ้านของบิดามารดาหล่อน สถานที่แสนจะมืดมิด
และเวลาก็ดึกดื่น จนทั้งบ้านปิดหมดแล้ว ประตูก็ปิด กำแพงก็สูงยิ่งนัก
เขามิอาจเข้าไปในบ้านได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปรอบบ้าน
ท้ายที่สุดก็พบเชือกเส้นใหญ่

เชือกเส้นนั้น
ผูกติดอยู่บนกำแพง
ปลายห้อยมาถึงพื้น
เขาจึงโหนเชือกแล้วปีนขึ้นสู่ชั้น 2 เขาจึงได้เห็นภรรยาของเขา
ภรรยาของเขาประหลาดใจเป็นยิ่งนัก และกล่าวว่า “ท่าน
เข้ามาได้อย่างไร?”
ฝ่ายสามีก็ตอบว่า “ฉันปีนเชือกที่เธอผูกไว้ให้ฉันขึ้นมา
นั่นเป็นวิธีที่ทำให้ฉันมาเยี่ยมเธอได้ เธอไม่ทราบหรอกหรือ?
ฉันนึกว่าเธอทราบว่าฉันจะมา เธอจึงผูกเชือกไว้ให้ฉัน!”

หล่อนกล่าว
ว่า “โอ ไร้สาระ! ฉันไม่ทราบหรอกว่า
ท่านจะมาในเวลาเช่นนี้!”
ดังนั้นสามีจึงกล่าวว่า “หากเธอไม่เชื่อฉัน ก็ลงมาดูได้!”
จากนั้นเขาทั้งสองจึงลงไปดูเชือก แล้วก็เห็นว่ามันหาได้ใช่เชือกไม่
แต่เป็นงูตัวใหญ่ห้อยลงจากกำแพง อย่างไรก็ตาม ด้วยที่มันมืด
เขาจึงไม่สังเกตเห็น และด้วยความรักอันหน้ามืดตามัวของเขานี้นั้น
เขาจึงเข้าใจว่า เป็นภรรยาทำไว้ให้ แต่เขาเกือบได้ฆ่าตนเองไปเสีย!

ภรรยา
จึงกล่าวกับเขาว่า “โอ พระแม่เจ้า!
ท่านช่างรักฉันมากเหลือ! แต่ฉันจะให้อะไรกับท่านได้?
หากเพียงท่านรักพระเจ้ามากเท่า
ที่ท่านรักฉันด้วยความรักแบบเดียวกันนี้ ท่านก็คงจะหามันพบ
หากท่านรักการรู้แจ้งมากเพียงนี้ หากท่านรักพระเจ้ามาเพียงนี้
ท่านก็คงจะพบพระเจ้าและกลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว!
แต่ด้วยความรักที่ท่านให้ฉัน ท่านจะได้สิ่งใดมา? ไม่ได้อะไรเลย!”

ทันใดนั้น ผู้เป็นสามีก็เกิด ‘รู้แจ้ง’ ดวงตาเขาถูกเปิด แล้วด้วยงูตัวเดิม
เขาปล่อยตัวลงสู่พื้นอีกครั้ง แล้วก็วิ่งหนีไป
ไม่กลับมาพบภรรยาของเขาอีกเลย! หลังจากนั้น แน่นอน
เขากลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่และได้รับการรู้แจ้ง

เธอเห็นไหม
ทุกสิ่งอื่น ๆ ในโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เธอดูแลภรรยา ดูแลลูก
ดูแลสามี แต่เธอมิได้ดูแลตัวเธอเอง อย่างไรก็ตาม ‘ตัวเธอเอง’
เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!
จะมีอะไรดีกับการเฝ้าดูแลทั้งครอบครัวแล้วสูญเสียตนเองไป?

เราไม่
ควรทิ้งครอบครัวของเราไป เราควรดูแลครอบครัวของเราเช่นกัน
แต่เราต้องดูแลตัวเราเองต้องค้นพบตนเอง ค้นพบว่า เราคือใคร
และว่าเราถูกกำหนดให้ทำอะไรในโลกนี้ หากเธอไม่ทราบ หลังจากเธอตายไป
เธอก็จะไม่มีสิ่งใด

ขอขอบคุณที่มา  : ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
เน่ยหู ไทเป ฟอร์โมซา








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 16 เมษายน 2553    
Last Update : 16 เมษายน 2553 19:42:14 น.
Counter : 284 Pageviews.  

เมื่อเกิดมา...











































เมื่อเกิดมา...
เราต้องพบกับความทุกข์และความสุขบ้าง
ประปราย
มันเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อ
เกิดมา...
ชีวิตจะต้องดำรงอยู่อย่างสุขสบายหรือลำบาก
แตกต่างกันไป

เมื่อเกิดมา...
เป็นคนดีหรือชั่วไม่มีใครรู้ได้อย่าง
แท้จริง
ยกเว้นตัวเรา

เมื่อเกิด
มา...
ต้องมีการพบและการจากลา
เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลก

เมื่อเกิดมา...
มีทั้งความผิดหวังและสมหวัง
ปะปนกัน
ไป

เมื่อเกิดมา...
ไม่มีอะไรหรือ
ร่ำรวยเงินทอง
ก็คนเหมือนกัน

ไม่
ว่าคนเรา...
จะเกิดมาเป็นเช่นไร
แต่ค่าของคนเราไม่ได้วัดอยู่ด้วยภาย
นอก จิตใจต่างหากที่วัดคน.







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 16 เมษายน 2553    
Last Update : 16 เมษายน 2553 19:30:58 น.
Counter : 295 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.