แจ๊ค นั่นอะไรลูก?














































แจ๊ค นั่นอะไรลูก?
ชายแก่เลยวัย 70
คนหนึ่งคุยกับลูกชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยม
หลังจากแต่งงานย้ายครอบครัวออกไปไม่กี่ปี

ชายแก่ :
แจ๊ค (ชื่อลูกชาย) นั่นอะไรลูก? พ่อเห็นลางๆ
แจ๊ค :
อ๋อ วัวน่ะพ่อ

เวลาผ่านไป 2-3 นาที
ชายแก่ :
แจ๊ค นั่นอะไรลูก?
แจ๊ค : วัวตัวเดิมนั่นแหละพ่อ
ยังไม่ไปไหนเลย

ผ่านไปอีก 2-3 นาที
ชายแก่ :
แจ๊ค นั่นอะไรอีกล่ะลูก?
แจ๊ค :
(เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด) วัวพ่อวัว !! วัวตัวเดิมที่เพิ่งถามนั่นแหละ

เวลา
ผ่านไปอีก 2-3 นาที
ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก?
แจ๊ค
:
(เริ่มทนไม่ไหว) เอ๊ะ !! พ่อนี่ยังไงนะ ถามซ้ำๆ ซากๆ อยู่ได้
ผมจะบอกครั้งสุดท้าย แล้วนะว่า วัว...!!

ผ่านไปอีก 2-3 นาที
ชาย
แก่ :
แจ๊ค นั่นอะไรน่ะลูก?
แจ๊ค : โอ๊ย !!!
พ่อเลอะเลือนแล้ว คุยกันไม่รู้เรื่อง ผมไม่คุยกับพ่อแล้ว

แล้วแจ๊คก็ผละจากพ่อไปอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุด

 เวลา
ผ่านไป จวบจนตอนเย็น ได้เวลาอาหารค่ำ เมื่อไม่เห็นผู้ เป็นพ่อลงมา
แจ๊คจึงเดินขึ้นไปตามที่ห้อง ณ ที่นั่น เขาได้พบชายแก่นั่งเหม่อลอย ข้างๆ
มีไดอารีเก่าๆ เล่มหนึ่งที่เพิ่ง เขียนบันทึกในวันนี้เสร็จ
แจ๊คถือวิสาสะเข้าไปอ่าน ความว่า...

ครั้ง
หนึ่งเมื่อ 40 กว่าปีก่อนมาแล้ว

เรามีลูกชายคนหนึ่ง
ที่เรารักมากที่สุด เราตั้งชื่อเค้าเองว่า...แจ๊ค ในวันที่
อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง เราพาแจ๊คออกไปเดินเล่น
ตอนนั้นแจ๊คกำลังพูดได้เก่งทีเดียว เราพาเค้าไปนั่งที่สวนหลังบ้าน
พอดีมีวัวผ่านมา... แจ๊คถามเราว่า พ่อ นั่นอะไร...วัวไงลูก เราตอบ
เวลาผ่านไป อีกไม่ถึงนาที แจ๊คก็ถามคำถามเดิมเรา อีก เราก็ตอบเช่นเดิมอีก
เป็นอย่างนี้อยู่ถึง 25 ครั้ง
....เราไม่เคยเบื่อหน่ายเลยที่จะตอบคำถามเดิมๆ เหล่านั้น เรากลับ
รู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ลูกสนใจเราอย่างไม่เบื่อหน่าย...

แต่ในวันนี้ ณ ที่แห่งเดิม

คน 2
คน ที่เคยถามคำถามเดียวกัน หากแต่ว่าเราเป็นฝ่ายถาม แจ๊คเป็นฝ่ายตอบ...
เพียง 5 ครั้งเท่านั้น ลูกก็ตวาดเสียงดังใส่เรา หาว่าเราเลอะเลือน
รังเกียจแม้แต่จะคุยกับเราต่อไป...

เมื่อ
อ่านจบแจ๊ครู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ

 พ่อเลี้ยงเขามา
อย่างดี แต่วันนี้สิ่งที่เขาทำให้ท่านคือ การตวาดเสียงดัง ไม่
พูดด้วยแล้วก็เดินหนีไป เขาตระหนักว่า
เขาได้ทำสิ่งผิดพลาดซึ่งเขาเองแทบไม่รู้ตัว
แล้วคุณล่ะ
วันนี้คุณได้ทำอะไรดีๆ ให้ท่านเหล่านั้นหรือยัง?...

จาก
ธรรมะดิลิเวอร์ลี่








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 18:00:28 น.
Counter : 360 Pageviews.  

ลืมวันพระ ลืมของดี ลืมความสุข
















































วัน
พระนี้ ท่านลองไปดูตามวัดซิว่า มีคนเข้าวัดไหม
ไม่มีหรอกเขาไปเที่ยวกัน
ลืมวันพระ ลืมของดี ลืมความสุข
มีแต่ความทุกข์ไม่ลืม ความสุขกลับลืม
แต่
อยากได้ความสุขไม่ต้องการทุกข์
แต่ท่านวิ่งไปหากองทุกข์
วิ่งไปหาหนี้สิน
วิ่งไปหาหายนะ วิ่งไปหาบุญแต่กรรมมันบัง

++++++++++++++++++++++

อยาก
นั่งกรรมฐานเพียง ๓ วัน
เดินจงกรมยังไม่ได้กลับแล้ว
ไม่มีความเห็นจริงเลย
คนเรามันแย่ลงไป จึงหาความสุขในยุคปัจจุบันไม่ได้

เรามาอยู่ร้อนนอนทุกข์กันแท้ๆ ไม่มีเหาก็หาเหาใส่หัว
ไม่มีอะไรก็
หาอะไรใส่ตัว ก็ไม่เป็นไรจะไม่ขอกล่าวต่อไป
แต่ความละเอียดอ่อนของชีวิต
นี้ทุกคนหายาก

+++++++++++++++++++++++

ความดีจึงหายากมาก
ทำได้ยากมาก
แต่ความชั่วทำได้ง่าย ลอยละล่องไปตามสายธารและสายชล
เหมือน
ล่องเรือไปตามสายน้ำฉะนั้น
แต่ทำความดีเหมือนพายเรือขึ้นมันฝืนใจ
ความ
ดีนี้มันฝืนใจเราท่านทั้งหลายเอ๋ย
มันไม่มีปล่อยไปตามอารมณ์ตามใจตัวของ
ท่านหรอก
ความดีต้องฝืนใจ ท่านฝืนใจได้
ท่านมีขันติความอดทนฝืนใจ
ได้แล้วท่านจะพบธรรมะ
เป็นดวงใจใสสะอาดในตัวท่าน
ฝืนใจไม่ได้
ปล่อยไปตามอารมณ์ตามใจตนของตนแล้ว
ท่านจะพบแต่หายนะ
ท่านจะไม่พบความรู้ที่แน่นอน
และความจริงที่เป็นอยู่ของชีวิตอย่างแน่
นอน
ท่านจะได้ของที่เลวร้ายติดตัวตลอด


----------------------------

ขอขอบ
คุณเนื้อหาดีดี
โดย: หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม








Free TextEditor































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:56:20 น.
Counter : 371 Pageviews.  

ความสุขใกล้ตัว













































อ่านสั้นนิดเดียวแต่ได้ใจความดีมากๆ

ความ
สุข สิ่งที่ใคร ๆ ต่างไขว่ขว้า
คุณอยากได้กล้องถ่ายรูปแบบดิจิตัลสักตัวหนึ่ง
หลังจากหาข้อมูลมาหลายวันทั้งจากหนังสือพิมพ์และคนรู้จัก
ก็ตัดสินใจได้ว่าจะซื้อยี่ห้อและรุ่นอะไร คุณใช้เวลา ๒-๓
วันในการหาร้านที่ขายถูกที่สุด
แล้วคุณก็พบร้านหนึ่งซึ่งขายต่ำกว่าราคาทั่วไปถึง ๒๕ % คุณตัดสินใจควักเงิน
๗ , ๕๐๐ บาท แล้วพากล้องใหม่กลับบ้าน
ด้วยความปลื้มใจที่ได้ทั้งของดีและราคาถูก แต่เมื่อกลับถึงบ้าน
ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง
แต่กลับพบว่าเขาเพิ่งซื้อกล้องยี่ห้อและรุ่นเดียวกับคุณ
แต่ซื้อได้ถูกกว่านั้น คือจ่ายไปเพียง ๕ , ๐๐๐ บาทเท่านั้น
คุณจะรู้สึกอย่างไร ? ยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่ ? ถ้าคุณยิ้มไม่ออก
ก็น่าถามตัวเองว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็คุณเพิ่งได้ของใหม่มา
แถมจ่ายน้อยกว่าคนทั่วไป อีกทั้งสินค้าก็มีคุณภาพและถูกใจคุณเสียด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่คุณน่าจะดีใจมิใช่หรือ ?
แต่ทำไมคุณถึงเสียใจหรือถึงกับโมโหตัวเอง
เป็นเพราะคุณไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านใช่หรือไม่ ?
คุณมีกล้องดีที่น่าพอใจ แต่ทันทีที่คุณไปเปรียบเทียบกับกล้องของคนอื่น
ความรู้สึกไม่พอใจก็เข้ามาแทนที่ คนเราไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีก็เพราะเหตุนี้


จึงมีผู้กล่าวว่าการเปรียบเทียบเป็นหนทาง
ลัดไปสู่ความทุกข์


เคยสังเกตหรือไม่ว่า
มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักคิดว่ารถของคนอื่นดีกว่ารถของตัว
แฟนของคนอื่นสวย(หรือหล่อ)กว่าแฟนของตัว ลูกของคนอื่นเก่งกว่าลูกของตัว
และอาหารที่คนอื่นสั่งมักน่ากินกว่าจานของตัว ถ้าคุณเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
ชีวิตจะหาความสุขได้ยาก แม้จะได้มามากเท่าไร ก็ไม่พอใจเสียที
อย่าว่าแต่ของที่ซื้อมาด้วยเงินของตัวเลย แม้ของที่เราได้มาฟรี ๆ เช่น
ได้โทรศัพท์มือ ถือมาฟรี ๆ ๑ เครื่อง ที่จริงน่าจะดีใจ
แต่เมื่อรู้ว่าคนอื่นได้รับแจกรุ่นที่ดีกว่าและแพงกว่า
จากเดิมที่เคยยิ้มจะหุบทันที
แถมยังจะทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ได้รับแจกด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นใช่ไหม ? ทั้งๆ ที่ตนมีโชคแล้ว
แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนโชคไม่ดีเหมือนคนอื่น

ความ
ทุกข์ของผู้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไปมองคนอื่นมากเกินไป

เราจึงไม่เคยพอใจกับสิ่งที่มีหรือเป็นเสียที แม้ว่าจะสวยหรือหุ่นดีเพียงใด
ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ ผมไม่สลวย ผิวคล้ำไป
แถมวงแขนก็ไม่ขาวนวลเหมือนดารา แต่เมื่อใดที่เราหันมาพอใจกับสิ่งที่ตนมี
มองเห็นแง่ดีของสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่
ความสุขจะเพิ่มพูนขึ้นมามากมายทันที จิตใจจะเบาขึ้น และชีวิตจะหายเหนื่อย
เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องวิ่งไล่ล่าหาซื้อสิ่งของต่าง ๆ มากมาย
เพียงเพื่อจะได้มีเหมือนคนอื่นเขา

พอใจใน
สิ่งที่เรามี

ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น

เห็นคุณค่าของสิ่งที่
มีอยู่กับตัว

นี้คือเคล็ดลับสู่ชีวิตที่เบาสบายและสงบเย็น


----------------------
โดย
พระไพศาล วิสาโล







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:35:42 น.
Counter : 319 Pageviews.  

สติ












































สติ แปลว่า ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้
หมาย
ถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำ
คำที่พูดไว้แล้วได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ไม่เผลอไผล ฉุกคิดขึ้นได้
ระงับยับยั้งใจได้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท














สติ เป็นธรรมมีอุปการะมาก
คือ
ทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้น
เป็นเหตุให้ฉุกคิด ยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม
และกระตุ้นให้นึกถึงชีวิตจนทำให้เสียสละทำความดีงามต่างๆ ได้
แต่หากขาดสติแล้วจะเป็นเหตุให้ทำอะไรผิดพลาด พลั้งเผลอ และเสียหายร่ำไป










สติ เป็นคุณธรรมที่เกิดเองไม่ได้
ต้อง
ทำให้เกิดขึ้นด้วยการฝึกฝนรวบรวมจิตใจให้นิ่งแน่วด้วยวิธีต่างๆ เช่น
ทำสมาธิ สวดมนต์ ภาวนา








อ้างอิง
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี
สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด,
วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:16:31 น.
Counter : 322 Pageviews.  

ความสุข.....ที่ไม่ต้องซื้อหา













































ความ
สุขง่ายๆที่ไม่ต้องซื้อหา
ความสุขที่ไม่ต้องซื้อหา
สามารถพบได้จากภายในกายใจเรานี้เอง
ความสุขจากความสงบง่ายๆ
โดยอาศัยการหายใจเข้า หายใจออก
คือ.....อานาปานสตินี่เอง...

อานา
ปานสติ....คือ 'การมี
สติกำหนดลมหายใจเข้าออก'
...
มีสติกำกับ
รักษาจิต
อย่าให้เผลอในขณะที่ทำ ทำใจให้รู้อยู่กับลมเข้า ลมออกเท่า
นั้น
ไม่คาดหมายผลที่จะพึงได้รับมีความสงบ เป็นต้น...

ทำความรู้สึกอยู่
กับลมเข้า ลมออกธรรมดา อย่าเกร็งตัวเกร็งใจจน
เกินไป
จะเป็นการกระเทือนสุขภาพทางกายให้รู้สึกเจ็บนั่นปวดนี่โดย
หาสาเหตุไม่
เจอ ซึ่งความจริงสาเหตุก็คือ...การเกร็งตัวเกร็งใจจนเกิน
ไปนั่นเอง....

การ
มีสติรับรู้อยู่ธรรมดา.....'ใจเมื่อได้รับ
การรักษาด้วยสติ จะค่อยๆ
สงบลง ลมก็ค่อยๆละเอียดไปตามใจที่สงบตัวลง'
...ยิ่ง
กว่านั้นใจก็สงบ
จริงๆ
ลมหายใจขณะที่จิตละเอียดจะปรากฏว่า...ละเอียดอ่อนที่สุด จน
บางครั้ง
ปรากฏว่า ลมหายไป คือ...ลมที่ไม่มีในความรู้สึกเลย ตอนนี้จะ
ทำให้นัก
ภาวนาตกใจ กลัวจะตายเพราะลมหายใจไม่มี....

เพื่อแก้ความกลัวนั้น
ควรทำความรู้สึกว่า...แม้ลมจะหายไปก็ตาม..เมื่อ
จิตคือผู้รู้ยังครอง
ร่างอยู่ ถึงอย่างไรจะไม่ตายแน่นอน ไม่ต้องกลัว....
อันเป็นเหตุเขย่าใจ
ตัวเองให้ถอนขึ้น จากความละเอียดมาเป็น จิตธรรมดา
ลมหายใจธรรมดา
ซึ่งทำให้เกิดความเสียใจในภายหลัง...

ถ้ากำหนดเฉพาะลมหายใจเป็น
อารมณ์อย่างเดียวไม่สนิทใจ จะตามด้วย
การบริกรรม...พุทโธ...ก็ได้ ไม่ผิด
ผู้ชอบบริกรรมเฉพาะธรรมบทใดบทหนึ่ง
เช่น พุทโธ ก็ได้ตามอัธยาศัยชอบ
ไม่ขัดแย้งกัน...สำคัญที่ให้เหมาะกับจริต

และ
ขณะภาวนา...ขอให้มีสติรักษา อย่าปล่อยให้ใจส่งไปตามอารมณ์ต่างๆ
ก็เป็น
การถูกต้อง....ในการภาวนา
คำว่า...'จิต
ใจ มโน'
....หรือ
ผู้รู้เป็นอันเดียวกัน....คือเป็นไวพจน์ของกันและ
กัน....ใช้แทนกันได้
เช่น กิน-รับประทาน เป็นต้น...เป็นความหมายอันเดียวกัน
ใช้แทนกันได้
ตามปกติใจเป็นสิ่งละเอียดมาก ยากจะจับตัวจริงได้....

ใจ...เป็น
ประเภทหนึ่ง ต่างหากจากร่างกายทุกส่วน แม้อาศัยกันอยู่ก็มิได้เป็น
อัน
เดียวกัน ร่างกายที่ตั้งอยู่ได้ย่อมขึ้นอยู่กับใจเป็นผู้รับผิดชอบ......
ถ้า
ใจออกจากร่างไปเมื่อใด ร่างกายก็หมดความหมายลงทันที โลกเรียกว่า
...'ตาย
'...แต่ความรู้คือใจนี้ ต้องไม่ตายไปด้วยร่างกายที่สลายตัวไป...

เมื่อ
อยากทราบความจริงจากใจ จำต้องมีเครื่องมือพิสูจน์...เครื่องมือพิสูจน์
ได้แก่
...'ธรรม' เท่านั้น นอกนั้นไม่มีสิ่งใดจะสามารถพิสูจน์ได้...
'การภาวนา
'...เป็นเครื่องพิสูจน์โดยตรง ผู้มีสติดี...มีความเพียรมาก มีทางพิสูจน์
ของ
ใจ ให้เห็นชัดเจนได้เร็วยิ่งขึ้นผิดธรรมดา...

คำว่า...'เครื่องมือธรรม' นั้นโปรดทราบว่า
ส่วนใหญ่คือ....'สติปัฏฐาน 4'
และ
'สัจธรรม 4'
เป็นต้น...ส่วนย่อยแต่จำเป็นทั้งในขั้นเริ่มแรกและขั้นต่อไป ได้แก่
อานา
ปานสติ หรือ พุทโธ...เป็นต้น เป็นบทๆไป ที่ผู้ภาวนานำมากำกับใจแต่ละ
บท
แต่ละบาท เรียกว่า...'เครื่องมือพิสูจน์ใจ'
ทั้งสิ้น.....

เมื่อใจพร้อมกับเครื่องมือ คือ
ธรรมบทต่างๆได้รวมกันเป็นคำภาวนา มีสติเป็น
ผู้ควบคุม
ให้ระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ หรือธรรมบทใดก็ตามโดยสม่ำเสมอ...ไม่ให้
จิต
เผลอออกไปสู่อารมณ์ภายนอก....

ไม่นาน...กระแสของใจที่เคยสร้างอยู่
กับอารมณ์ต่างๆ จะค่อยๆรวมตัวเข้ามาสู่
จุดเดียว คือ...ที่กำลังทำงาน
โดยเฉพาะได้แก่ คำภาวนา.....ความรู้จะค่อยๆ เด่น
ขึ้นในจุดนั้น
และแสดงผลเป็น..'ความสงบสุข' ขึ้นมา
ให้รู้เห็นได้อย่างชัดเจน...ฯ

~พระธรรมวิสุทธมงคล
(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)~
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 14:26:16 น.
Counter : 363 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.