เสริมมงคลชีวิต

เสริมมงคลชีวิต ด้วยการงดเนื้อสัตว์วันละ 1
มื้อ
อานิสงส์ 10
ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์


1.  เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ
พรหมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. 
จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3.  สามารถตัดขาดความอาฆาต
ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเคียดแค้นได้
4. 
ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5.  อายุมั่นขวัญยืน
6. 
ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
7. 
ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
8.  ย่อมระงับกรจองเวร 
สลายอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9.  สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งพระนิพาน 
ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10.  ทันที่ที่ละสังขารจากโลกนี้ 
จิตญาณจะมู่งสู่สุคติภพ

     คัดลอกบทความดีๆๆ  จาก
        
หนังสือพัฒนาจิต  ชีวิตพัฒนา
         เรียบเรียงโดย  หวัง  ซื่อ ไฉ่
        
ขอขอบพระคุณที่ให้ยืมบทความดีๆๆเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานคะ  สาธุ





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 24 เมษายน 2553    
Last Update : 24 เมษายน 2553 17:36:22 น.
Counter : 323 Pageviews.  

ความอยาก











พระ
พุทธภาษิตที่ว่า “ความอยากย่อมชักลากนรชนไป”













ความอยาก
สามารถฉุดกระชากลากแต่ละคนให้คิด ให้พูด ให้ทำ
อะไรต่อมีอะไรที่ร้ายแสนร้ายเพียงใดก็ได้ ลักขโมยเล็กๆ น้อยๆ
ก็เกิดจากความอยากได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ
การปล้นสดมภ์จึงเข่นฆ่าแทบจะล้างผลาญกันให้หมดบ้านหมดเรือนหมดประเทศก็เกิด
จากความอยากได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

จนถึงต้องสังหารผลาญ
ชีวิตเพื่อให้สมอยาก การอยากได้ทรัพย์สินเงินทองที่
ฉุดลากให้ไปเป็นผู้ร้ายลักขโมย แม้ถึงทำลายชีวิตกัน
ก็ไม่เสมอด้วยความอยากมีอำนาจยิ่งใหญ่ ความอยากนี้มีโทษเกินกว่าจะคาดคิดได้
ความอยากนี้ก็เป็นที่รู้ที่เห็นกันเสมอมา

ความ
อยากมีวาสนาเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านในเมืองนั้น ต้องทำอะไรต่อมีอะไรมากมาย ผิด
ร้ายเพียงใดก็ทำกัน
บ้านเมืองจะดีขึ้นหรือเลวลงเพียงใด
เป็นเรื่องไม่สำคัญเท่าความอยากของคน

ความอยากยิ่งใหญ่เพียงใด
ก็ยิ่งทำความเร่าร้อนรุนแรงเพียงนั้น

ให้เกิดขึ้นในหัวใจผู้อยาก
ขณะเดียวกันก็อาจทำความเดือดร้อนให้เกิดแก่สังคมเกิดแก่ประเทศชาติศาสนามาก
มาย แต่ก็น้อยนักที่จะเห็นโทษของความอยาก

ความอยากจึงเต็มไปทุก
ชีวิตจิตใจชักลากนรชนไปดังพระพุทธภาษิต
โดยที่ผู้ถูกความอยากชักลากอยู่นั้นหาได้เป็นสุขไม่
แต่ก็หาได้รู้ไม่ว่าความไม่เป็นสุขที่ต้องได้รับอยู่นั้นเกิดแต่ความอยาก
ความอยากที่ไม่เคยหยุดไม่เคยเพียงพอ.

ความ
อยากที่สำคัญประการหนึ่ง
และมีอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง คือ ความ
อยากทำลายผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความอิจฉาริษยา โกรธใคร เกลียดใคร
อิจฉาริษยาใคร ก็อยากจะทำลายให้ย่อยยับ

ความอยากนี้จะฉุดลากให้ผู้มีความอยากอันเกิดแต่ความโกรธเกลียดความอิจฉา
ริษยาโลดแล่นไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
อย่างไม่กลัวที่จะต้องเผชิญกับอะไรทั้งนั้น

มุ่งมั่นไปตาม
อำนาจของความมุ่งร้าย
ที่มีความโกรธเกลียดความอิจฉาริษยาเป็นกำลังของความอยาก
ผลักดันและฉุดกระชากลากถูลู่ถูกังไปทุกวิถีทาง
อย่างไม่รู้จักท้อแท้เหน็ดเหนื่อย ไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษใดๆ ทั้งสิ้น

ความอยากเท่านั้นมีกำลังเหนือความรู้คิดที่ถูกที่ควรทั้ง
หลายทั้งปวง ความอยากเท่านั้นที่ผูกมัดไว้ และลากถูไป
ไม่ปล่อยให้มีอะไรอื่นมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ



ที่มา : ทำบุญแผ่นดินไทย ๒๕๕๐ ณ วัดญาณสังวราราม วรวิหาร
ในพระบรมราชูปถัมภ์
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 24 เมษายน 2553    
Last Update : 24 เมษายน 2553 16:00:50 น.
Counter : 335 Pageviews.  

ไม่ต้องหวาน เหมือนแรกเริ่ม แต่ขอ...












ไม่
ต้องหวานเหมือนแรกเริ่ม....แต่ขอให้เป็นเหมือนเดิมตลอดไป


         
มีทฤษฏีของความรักข้อหนึ่ง...
          เขาบอกเอาไว้ว่า
"ผู้ชายจะ
รักผู้หญิงจากร้อยมาถึงศูนย์"
          ขณะที่
"ผู้หญิงจะ
รักผู้ชายจากศูนย์ถึงร้อย"
          ...นั่นเป็นทฤษฏี "รัก
ในแนวดิ่ง"



อธิบายได้ว่า...ผู้ชายมัก
จะมอบหัวใจและทุ่มเทให้กับความรักอย่างเต็มที่ในช่วงแรกเท่านั้น
หากเมื่อวันเวลาผ่านไป ความรัก (โดยเฉพาะการแสดงออก)
กลับลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ กระทั่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
(หรือบางที...แม้แต่กล้องจุลทรรศน์ส่องมองแล้วก็ยังไม่อาจเห็น)
ตรงกันข้ามกับผู้หญิง...ที่มักจะค่อยๆ
มอบหัวใจและทุ่มเทให้กับความรักในระดับบันไดเลื่อนขาขึ้น คือจะค่อยๆ
มากขึ้น...และมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสบตาก็รู้ไปถึงความในใจ
(หรือบางที...แค่คุยโทรศัพท์กัน ไม่ได้เห็นหน้ากัน
ก็ยังสัมผัสได้ถึงความห่วงใยทางน้ำเสียง)




ทฤษฏีข้อนี้ไม่เคยได้รับ
การพิสูจน์อย่างจริงจังในทางวิชาการ แต่ในทาง "ความเชื่อ"
นั้น...เรา...โดยเฉพาะผู้หญิงส่วนใหญ่นั้นเชื่อว่า "จริง"
แต่สำหรับฉันนั้น...ฉันยึดเอาทฤษฏี "รักในแนวระนาบ"
เป็นที่ตั้งในหัวใจ รักแบบไม่ต้องแสร้งหวาน รักแบบไม่ต้องพยายามเอาใจ
รักแบบเป็นปกติที่ห่วงใยแล้วเอาใจใส่ และรักเหมือน "เพื่อน...ที่จะ
จับมือกัน ไว้ไปจนสุดปลายทางของชีวิต"




เพื่อนของฉันบางคน
เคยถามอย่างไม่เข้าใจในแนวคิดของฉัน เธอสงสัยว่า "รักในแนวระนาบ" จะ
ให้ความสดชื่นกับหัวใจได้อย่างไร ในเมื่อมันราบเรียบ สม่ำเสมอ
ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์
ซึ่งความรักแบบนี้ไม่น่าตอบโจทย์ให้กับหัวใจของผู้หญิงได้




เพราะยังไง 
"คน
รัก"
ก็คือ...คนรัก 
มันสะกดและให้ความหมาย  
ต่างกันจาก คำว่า
"เพื่อน"
"แล้วกับเพื่อน
...เธอไม่ใช้คำว่า "รัก" หรือไง"

แน่ล่ะ...เป็นใครก็คงเถียงฉัน 
เพราะคำว่า
"รักเพื่อน"
กับ
"รักแฟน"
มันย่อมต่างกันอยู่แล้ว




แต่ถ้าหากว่ารักแฟนแล้ว
ต้องเกรงใจกันในทุกเรื่อง ต้องปิดบังความเป็นตัวของตัวเอง
ต้องแกล้งทำเป็นพูดเพราะ ต้องทะเลาะกันบ่อยๆ
เพียงแค่เรื่องเขาไม่ว่างรับโทรศัพท์ของเรา




แบบนี้...ฉันว่า "ความ
รัก"
ก็คงไม่ต่างอะไรจากการ "ซื้อของ"
เพียงแต่เราเปลี่ยนจากการ "ใช้เงิน" แลกเปลี่ยนมาเป็นใช้ "หัวใจ"
ที่ถ้าหากเขาไม่มีอะไรให้เรา เหมือนที่เราให้เขา เราก็จะมองว่ามัน ผิดกฎ
ซึ่งนั่น...ไม่ใช่กฎของฉัน




กฎของฉันมีเพียงข้อเดียว
คือ "เหมือนเดิม" มันอาจจะแปลก หากเทียบกับผู้หญิงทั่วไป
แต่ฉัน...เป็นผู้หญิงประเภทที่ชอบผู้ชายตรงกับใจ
แรกเจอกันอาจจะมีถ้อยคำหวานบ้าง เพื่อให้รู้ว่าเรารู้สึก "พิเศษ"
ต่อกันมากกว่าเพื่อน
แต่ก็ไม่ใช่ถ้อยคำหวานแบบที่เห็นได้กลาดเกลื่อนในนิยายรักโรแมนติก
แต่ในระยะทางที่คบหาดูใจกัน การเปิดเผยความเป็นตัวของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอ ความชอบ และความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ
โดยเฉพาะข้อเสียที่เราและเขามี นั่นต่างหากที่สำคัญสำหรับฉัน




และสำคัญ...ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น...ตลอดไป
ถ้าฉันรับในทุกข้อดีและข้อเสียของเขาได้ และเช่นกันที่เขารับฉันได้
ฉันจะรักเขาเหมือน "เพื่อน...ที่จะจับมือกันไว้ไปจนสุดปลายทางของ
ชีวิต"




"แล้วกับเพื่อน
...เธอไม่ใช้คำว่า "รัก" หรือไง"

          "แต่คำว่า
"รักเพื่อน" กับ "รักแฟน" มันต่างกันนะ"
เพื่อนแย้งฉัน
กลับมา




          "ใช่
ฉันไม่เถียงหรอกว่าเพื่อนกับแฟนต่างกัน
เพราะเพื่อนไม่ได้เป็นคนที่ฉันจะอยู่บ้านหลังเดียวกันไปตลอดชีวิต
แต่เพื่อน...ก็เป็นคนที่ฉันจะคบไปตลอดชีวิต ดังนั้น...ไม่ว่าเพื่อนหรือแฟน
แม้จะมีความพิเศษต่างกัน แต่ฉันก็ใช้คำว่า "รัก"
ในความหมายเดียวกันนั่นแหละ รัก...ที่จะรักกันไปตลอดชีวิตไง"




เพราะอย่างนี้...แม้ว่า
ฉันกับแฟนจะไม่ค่อยมีเวลาให้กัน
แม้ว่านับครั้งไม่ถ้วนที่อีกฝ่ายจะไม่ได้รับสายเพราะงานยุ่ง
แม้ว่าเราจะบอกกันตรงๆ เมื่อเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายใส่มามันไม่เข้ากับบุคลิก
แม้ว่าเขาจะเป็นคนปากร้าย แม้ว่าฉันจะเป็นคนเอาแต่ใจ ฯลฯ




แต่เพราะเราเป็นตัวของตัวเองมาเสมอ
...และเราก็รักกันเสมอ
เราจึงไม่เคยรักกันบนความ
"คาดหวัง"
และ
สำหรับฉัน...
การ
รักใครสักคนได้โดยไม่ต้องมีความคาดหวังใดใด...
นั่นเป็นความรักที่หัวใจของฉัน ปรารถนา
อย่างที่สุดแล้ว







Free TextEditor












































































 

Create Date : 24 เมษายน 2553    
Last Update : 24 เมษายน 2553 15:32:20 น.
Counter : 322 Pageviews.  

ข้อคิดดีๆ เพื่อ "ความรุ่งเรือง"



ตักบาตรพระล้านครั้ง ไม่เท่ายื่นอาหารให้พ่อแม่
เพียงครั้งเดียว

ความดีของลูก   คือความสุขของพ่อ แม่ 
ความเลว
ของลูก   คือความทุกข์ของพ่อแม่

หลง ผัว  หลงเมีย   จนลืมพ่อแม่
นับว่าแย่ มาก

อยากรวย  ให้ทำงาน   อยากสวยให้รักษาศีล  อยากดี 
ให้หมั่นเจริญภาวนา

คนฉลาด  กำลังทำงาน   ส่วนคนโง่ 
 กำลังดูฤกษ์ยาม

หนึ่งวินาที  คบบัณฑิต   ดีกว่าหนึ่งปี   คบคนพาล

อย่า
ประมาทเมื่อพบงาน ง่าย  อย่าท้อใจเมื่อพบงานยาก

ถ่อมตนคนรัก
อวดนักคนชัง (อวดดี...ไม่ใช่การอวดที่ ดี)

เสริมเสน่ห์ตนเองด้วยรอย
ยิ้ม  ดีกว่าคอยพึ่งพิงสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์

ไม่ควรไว้ใจในคนที่ชอบทำ
บาป  (ถ้าทำบาปแลกบุญ   จะขาดทุนร่ำไป)

คนจนยิ่ง จน  เพราะทำรวย 
 คนรวยยิ่งรวย   เพราะทำ จน

เรายอมแพ้คน   เพื่อเอาชนะกิเลส 
 ดีกว่ายอมแพ้ กิเลส  เพื่อเอาชนะคน

ยามไปซื้อ ของ 
อย่าอวดเงินทองให้ใครเห็น

คำสรรเสริญควรให้ไป   คำติ ชม 
ควรเก็บไว้เพื่อส่องตน

ระวัง   อย่าให้สูญเสียคนดี 
 เพราะคนชั่วแทนที่ไม่ ได้

คนโง่   แสวงหาพระเครื่อง ผู้ฉลาด
แสวงหาพระ ธรรม

ทำแบบ เจ็ก  จากเล็กไปใหญ่   ทำแบบไทย 
 จากใหญ่ไปหาเล็ก















มารยาทงามนี่แหละ   จะพลอยทำให้วาสนา ดี

เพื่อนบ้านที่อยู่
ใกล้  ดีกว่าพี่น้องในไส้ที่อยู่ไกล

ประดับกายด้วยความดี
มีราศีกว่าประดับ เพชร

กินเหล้าเพื่อเข้า สังคม  คือค่านิยมที่ผิด

ความ
ร่ำรวยหากขอกัน ได้  โลกนี้ก็คงจะไม่มีคนจน

ทรัพย์เกิดไม่ได้ 
 ด้วยเพียงแต่ใจคิด ฝัน

ตัวอย่างที่ดี   มีค่ามากกว่าคำ สอน 
การปฏิบัติดีมีค่ามากกว่าการขอพร

คนขยันคือคนโชค ดี 
ความขยันจึงเป็นพรอันประเสริฐ

ถึงแม้การเลือกเกิดเราจะไม่มี สิทธิ์ 
แต่การเลือกทางชีวิตเป็นสิทธิ์ของ เรา

แสวงหาลาภจากการ งาน 
ดีกว่าบนบานบวงสรวง

อย่าเชื่อคนโดยไร้คิด   อย่าหลงมิตรเพียงคำ ยอ

ที่
ทำดีไม่ได้ ดี  เพราะทำดียังไม่มากพอ   (ทำดีวันละนิด ดีกว่าคิดว่าจะทำ)

เมื่อ
มีคำขอโทษ   ความโกรธย่อมจางเร็ว

วาจาอ่อนหวานลูกหลานใกล้ ชิด 
วาจาเป็นพิษญาติมิตรห่างไกล

กินเพื่ออิ่ม    ก็จะมีปัญหา น้อย 
แต่ถ้ากินเพื่ออร่อยก็จะมีปัญหามาก



จากทำดีดอทเนต




Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 17:45:28 น.
Counter : 347 Pageviews.  

เคล็ดลับอายุยืนจากพระไตรปิฎก





















แม้ ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปไกลแค่ไหน
แต่ถ้าลองตรองให้ดี สุดท้ายเราจะพบความลับที่น่าสนใจว่า
“สิ่งที่คิดว่าใหม่ทั้งหลาย
แท้จริงเป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่าคิดมาแล้วทั้งสิ้น”


อาจกล่าว ได้ว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นใหม่ในโลกนี้
ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เคยกำเนิดเกิดขึ้นมาก่อนแล้วทั้งนั้น
ชั่วแต่ว่าเราจะนำภูมิปัญญาและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์มา
ประยุกต์ใช้ได้มากเพียงน้อยเพียงใดเท่านั้น


แม้แต่ประเด็นทันสมัยอย่าง การชะลอความชรา ที่
ผู้คนในปัจจุบันกำลังให้ความสนใจ
และนักวิทยาศาสตร์ได้ทุ่มเททุนทรัพย์มากมายเพื่อค้นคว้าวิจัย
ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้แนะวิธีไว้ให้
ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วทั้งสิ้น


ในสมัยพุทธกาล
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ได้ประทานโอวาทแก่พระเจ้า ปเสนทิโกศล
ในเรื่องธรรมะที่ทำให้อายุยืนว่า
คนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา รู้จักประมาณในการบริโภค
ย่อมมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า ครองอายุอยู่ได้นาน”


พระ เจ้าปเสนทิโกศลฟัง แล้วไม่รอช้า
มีรับสั่งให้มหาดเล็กท่องจำพุทธโอวาทนี้ได้
และคอยกล่าวขึ้นมาขณะที่พระองค์เสวยทุกมื้อ
ไม่ช้าไม่นานผลดีก็บังเกิดแก่พระองค์
ทำให้ร่างกายแข็งแรงจนหาผู้ใดเทียบได้ยาก
นอก
จากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ด้วยว่า


“อานนท์ ผู้อบรมอิทธิบาท ๔
มาอย่างดีและทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้ หากปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง ๑
กัลป์ (คือ ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้”


หนังสือ สูตรลับ Anti-aging
จากพระไตรปิฎก
ของนายแพทย์กฤษ ดา ศิรามพุช แพทย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์อายุรวัฒน์ สรุปไว้ว่า อิทธิบาท 4
น่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องอายุยืนโดยตรงเลยทีเดียว
เพราะเมื่อพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะและวิมังสา
ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเป็นสุขดังนี้


ฉันทะ
ทำให้มีความพึงพอใจในการกระทำต่างๆ คนเราถ้าชอบใจ พอใจสิ่งใดแล้ว
ก็ย่อมจะรู้สึกว่าการนั้นไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
ทำงานไปก็เหมือนได้พักผ่อนสบายใจ

วิริยะ
คือ ความเพียร ความสม่ำเสมอในการปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามแนวทางที่ถูกที่ควร

จิตตะ คือ ความจดจ่อใส่ใจ
ซึ่งจะทำให้เกิดสมาธิและความสงบขึ้น ชีวิตจึงไม่ร้อนรน
ว้าวุ่นไปตามกระแสของโลก

วิมังสา
คือ การใคร่ครวญ ให้เหตุผลและสติปัญญานำทางชีวิต

จะเห็นได้
ว่าธรรมทั้งสี่ประการนี้
นอกจากจะทำให้อายุยืนแล้วยังเป็นหลักที่จะนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตด้วย

๑. สัปปายการี
ให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่สบายและเกี้อกูลแก่สุขภาพ เช่น
ทำงานในที่อากาศปลอดโปร่ง ไม่เครียดกับงาน

๒. สัปปาเย มัตตัญญู
ต้องรู้จักพอดีในสิ่งที่สบายนั้นด้วย
ไม่ใช่ว่าสบายมากจนกลายเป็นนอนหงายขี้เกียจอยู่ทั้งวัน

๓. ปริณตโภชี
รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ไข่ขาว ผักผลไม้
หลีกเลี่ยงสิ่งที่ย่อยยาก เช่น เนื้อแดง

๔. กาลจารี
ใช้ชีวิตให้เหมาะสมในเรื่องเวลา ไม่เคร่งเครียดบังคับตัวเองมากเกินไป
รู้จักจัดเวลาให้พอดี ไม่หักโหมเกินกำลัง

๕.พรหมจารี
ถือพรหมจรรย์ตามความเหมาะสม รู้จักปล่อยวางบ้าง
อย่าเคร่งเครียดเบียดตัวเองจนตกขอบ ปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ
ถือศีลกินเจตามสมควร และหมั่นขัดเกลาจิตใจให้กิเลสเบาบางลง



เมื่อพระ ให้ศีลให้พรมักจะลงท้ายด้วย “อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
เพราะพรสี่ประการนี้เป็นสมบัติอันประเสริฐ เลิศยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ
นายแพทย์กฤษดากล่าวว่า ในเรื่อง อายุ พระ
ท่านไม่ได้หวังให้เรามีอายุยืนนานแต่เพียงอย่างเดียว
หากแต่ท่านมุ่งหวังให้เรามีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ
เพื่อให้อายุที่ยืนยาวนี้มีส่วนสร้างปัญญาหาทางพ้นทุกข์ให้แก่ตัว
ไม่มัวเมากับสิ่งเร้าภายนอกทั้งหลาย



ส่วน วัณโณ หรือ ผิวพรรณนั้น
มีรากฐานสำคัญมาจากการเป็นผู้มีศีล ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด
หากมีศีลเป็นวัตรประจำใจ ผิวพรรณย่อมดีอยู่เสมอ เพราะเมื่อปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ ทุกข์ร้อนจะไม่มากล้ำกราย เลือดลมจึงเดินสะดวก
ทำให้ผิวพรรณผ่องใส


สำหรับสุ ขัง การที่บุคคลจะมีสุขได้นั้น
จำต้องมีองค์ประกอบหลักๆคือ มีปัจจัยสี่พร้อม รวมทั้งมีสติและปัญญา
รู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา ไม่ปรุงจิตให้ขึ้นลงตามสิ่งที่มากระทบ
และหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ในทางที่ถูกที่ควร
ส่วน ท้ายสุด พะลัง(พลัง)
มีอยู่สองอย่าง คือ กำลังกายและกำลังใจ
ที่ต้องหมั่นฝึกฝนเตรียมพร้อมไว้รับมือกับความเปลี่ยนแปลง
ด้วยการหมั่นออกกำลังกายและหมั่นฝึกจิตให้เข้มแข็งอยู่เสมอ

แม้ เราจะ พยายามต้านทานความชราไว้เพียงใด
แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน
การใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอทั้งกายและใจ
จะช่วยให้เราเป็นผู้มีอายุยืนอย่างมีความสุข
และสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างยาวนานที่สุด



เคล็ดลับ ชะลอวัยของนายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช


เลี่ยง
อาหารที่อร่อยลิ้นจนเกินไป



เลี่ยงของทอดของมัน
น้ำตาลและแป้งขาว

อย่ากิน
อาหารแบบเดิมซ้ำๆ จะนำโรคมาให้
อย่า เสียดายจนตายด้วยปาก
อย่า
อยากเหล้ายาและกาแฟจะแก่เร็ว
กินให้น้อย พลอยสดใส ไม่มึนหัว






บทความจากนิตยสารซีเคร็ต








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 17:38:57 น.
Counter : 339 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.