พฤติกรรมของคนดี



พฤติกรรม
ของคนดี (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)


ลักษณะของบัณฑิต


พูดแต่ในสิ่งที่ดี
๒ คิดแต่ในสิ่งที่ดี
๓ ทำแต่สิ่งที่ดีเสมอไป


พฤติกรรมของบัณฑิต

๑.
ชอบทำแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์
๒. ชอบชักชวนคนอื่นในทางดี
๓.
ชอบเสนอแนะสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับคนอื่น ๆ
๔.
มีความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างดีที่สุด
๕. มีศีลธรรมประจำใจ
๖.
น้อมรับคำตักเตือน ไม่ดื้อ ไม่โกรธ เมื่อมีคนมาสอน
๗. อ่อนน้อม ถ่อมตน
ไม่มีความลำพอง ถือตัวถือตน เย่อหยิ่ง
๘. ไม่ปกปิดความผิดของตัวเอง
๙.
บอกกล่าวความดีของคนอื่นให้คนอื่น ๆ ได้รู้กัน


แหล่งที่มาจาก : พลังจิตดอทคอม





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 16:42:35 น.
Counter : 343 Pageviews.  

กระจกเงาของพ่อแม่>>> ว.วชิรเมธี



กระจกเงาของพ่อแม่>>>
ว.วชิรเมธี


บุตรธิดา คือ กระจกเงาของพ่อแม่



หากคุณเอาดอกไม้ใส่มือให้เด็ก
     
     เขาจะกลายเป็นคนจิตใจงดงาม

หากคุณเอาความรักใส่มือให้เด็ก
     
     เขาจะกลายเป็นคนเปี่ยมเมตตา

หากคุณเอาเหตุผลใส่มือให้เด็ก
     
     เขาจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์

หากคุณเอาหนังสือใส่มือให้เด็ก
     
     เขาจะกลายเป็นปัญญาชน

หากคุณเอาธรรมะใส่มือให้เด็ก
     
     เขาจะกลายเป็นคนดี

หากคุณเอานิสัยแห่งการให้ใส่มือให้เด็ก
     
     เขาจะกลายเป็นคนมีจิตสำนึกสาธารณะ

หากคุณเอาสมบัติผู้ดีใส่
มือให้เด็ก
           เขาจะกลายเป็นสุภาพบุรุษ/สุภาพสตรี

หาก
คุณเอาดนตรีใส่มือให้เด็ก
           เขาจะกลายเป็นคนอารมณ์ดี

หาก
คุณเอาธรรมชาติใส่มือให้เด็ก
           เขาจะกลายเป็นคนรักความสงบ

หาก
คุณเอาความก้าวร้าวใส่มือให้เด็ก
           เขาจะกลายเป็นอันธพาล

หาก
คุณเอาความตามใจใส่มือให้เด็ก
     
     เขาจะกลายเป็นลูกบังเกิดเกล้าจอมอหังการ

หากคุณเอาเงินใส่มือ
ให้เด็ก
           เขาจะกลายเป็นคนมักง่าย

หากคุณเอาปืนใส่มือ
ให้เด็ก
           เขาจะกลายเป็นฆาตกร

หากคุณเอาวัตถุแพงๆ
ใส่มือให้เด็ก
           เขาจะกลายเป็นคนยึดติดวัตถุนิยม

หาก
คุณเอาความรักสบายใส่มือให้เด็ก
     
     เขาจะกลายเป็นคนหยิบโหย่งอ่อนแอ

หากคุณเอาความไม่รับผิดชอบใส่
มือให้เด็ก
            เขาจะกลายเป็นคนสูญเสียสามัญสำนึก

หาก
คุณเอาความริษยาใส่มือให้เด็ก
           
เขาจะกลายเป็นคนที่ขาดความสงบสุขในชีวิต

หากคุณเอาแต่วิชาชีพใส่มือ
ให้เด็ก
            เขาจะกลายเป็นคนสมองโตแต่ใจตีบ

ในฐานะที่
เป็นพ่อและแม่
           ทุกวันนี้คุณเอาอะไรใส่มือให้เด็กๆ ของคุณ ?





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 15:52:17 น.
Counter : 270 Pageviews.  

แนวทาง 10 ประการ ในการเอาชนะความทุกข์






























แนวทาง 10 ประการ ในการเอาชนะความทุกข์


1.
เวลาพบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ มันชวนให้ท่านโกรธหรือเดือดร้อนใจขึ้นมา
จงอย่าพึ่งพูดอะไรออกไป หรือจงอย่าพึ่งทำอะไรลงไปแต่จงคิดให้ได้ก่อนว่า
นี่คือสิ่งที่คนทุกคนในโลกนี้ ไม่ปรารถนาจะพบเห็น แต่ทุกคนก็ต้องพบกับมัน
สิ่งนี้คือสิ่งที่ ท่านจะเอาชนะมัน ด้วยการสลัดมันให้หลุดออกไปจากใจก่อน
ถ้าท่านสลัดมันออกไปจากใจได้ ท่านก็จะเป็นอิสระ และไม่เป็นทุกข์
เมื่อท่านไม่เป็นทุกข์ เพราะมันก็หมายความว่า ท่านชนะมัน

2. เมื่อคิดได้ดังนั้น จนจิตมองเห็น สภาวะที่ใส
สะอาด
ในตัวมันเอง จงหวนกลับไปคิดว่า
แล้วเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ไม่กี่นาที ท่านก็จะรู้วิธีที่จะแก้ปัญหานั้น
อย่างถูกต้องที่สุดและฉลาดเฉียบแหลมที่สุด
โดยที่ท่านจะไม่เป็นทุกข์กับเรื่องนั้นเลย


3.
เวลาที่พบกับความพลัดพรากสูญเสีย ก็จงหยุดจิตไว้อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว
และจงยอมรับว่า นี่คือ สภาวะธรรมดา ที่มีอยู่ในโลก
มันเป็นของที่มีอยู่ในโลกนี้มานานแล้ว ท่านจะไปตื่นเต้น
เสียอกเสียใจกับมันทำไม มันจะเป็นอย่างไร ก็ให้มันเป็นไป ไม่ต้องตื่นเต้น
และจงคิดให้ได้ว่า ในที่สุดแล้วท่านจะต้องพลัดพรากและสูญเสีย
แม้กระทั่งชีวิตของท่านเอง
วิธีคิดอย่างนี้
จะทำให้ท่านไม่เป็นทุกข์เลย

4.
เวลาประสบกับเรื่องที่ไม่ดี จงอย่าคิดว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา?
ทำไมเรื่องอย่างนี้จึงต้องเกิดขึ้นกับเรา ? จงอย่าคิดอย่างนั้นเป็นอันขาด
เพราะยิ่งคิดเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งจะเป็นทุกข์เท่านั้น ความคิอย่าง
นั้นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา


5. คงคิดอย่างนี้เสมอว่า ไม่
เรื่องดีก็เรื่องเลวเท่านั้นแหละที่จะเกิดขึ้นกับเรา

ไม่ต้องตื่นเต้นกับมันจงยอมรับมัน กล้าเผชิญหน้ากับมัน
และทำจิตให้อยู่เหนือมัน
ด้วยการไม่ยึดมั่นในมันและไม่อยากจะให้มันเป็นไปตามใจของท่าน
แล้วท่านก็จะไม่เป็นทุกข์

6.
ขอเฝ้าสังเกตดูความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ ถ้าจะไม่สบายใจ
จงหยุดคิดเรื่องนั้น ทันทีถ้าสบายใจอยู่ ก็จงเตือนตัวเองว่า อย่าประมาท
ระวังสิ่งที่มันจะทำให้เราไม่สบายใจจะเกิดขึ้นกับเรา ให้ท่าน
พร้อมรับ
เป็นอย่างนี้ด้วยจิตที่เปิดกว้างอยู่เสมอ


7.
ถ้าจะเกิดความสงสัยอะไรขึ้น สักอย่างหนึ่ง ก็จงตอบตัวเองว่า อย่า
เพิ่งสงสัยมันเลย
จงทำจิตใจให้สงบ
และเพ่งให้เห็นความสะอาดบริสุทธิ์ ภายในจิตของตัวเอง อย่างชัดเจน
และสรุปว่า ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่า การเข้าถึงสภาวะแห่งความสงบ
และเป็นอิสระเสรี ภายในจิตของท่านได้

8.
ความรู้จักในการรักษาจิตให้ สงบและสะอาด อยู่เสมอ นี่แหละ
คือ สติปัญญาความรู้แจ้งธรรม ความเป็นจริง ความทุกข์จะ
เกิดขึ้นในใจของท่านไม่ได้เลย


9.
จงเข้าสมาธิความสมควรแก่เวลาที่เอื้ออำนวย ไม่ต้องปรารถนาจะเห็น หรือจะได้
จะเป็นอะไรจากการทำสมาธิ และเมื่อ จิตสงบเย็นแล้ว
จึงเพ่งพิจารณาชีวิตสิ่งแวดล้อม และปัญหาที่ตัวเองกำลังประสบอยู่แล้ว
สรุปว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ควร ยึดมั่นถือมั่นเลย

10. จงทำกับปัญหาทุกอย่าง ให้ดีที่สุด ใช้ ปัญญา
แก้ไขมัน ไม่ต้องวิตกกังวลกับมัน ถึงเวลาแล้ว จงเข้าสู่สมาธิ ได้เวลาแล้ว
จงออกมาสู้กับปัญหาอย่างนี้เรื่อยไป และจงปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน
แล้วจิตของท่านก็จะบรรลุถึงความสะอาดบริสุทธิ์
ได้อย่างสมบูรณ์สูงสุดในสักวันหนึ่งซึ่งไม่นานนัก







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 13:16:20 น.
Counter : 287 Pageviews.  

ช่วยเหลือคนจน หรือควรทำบุญ



ช่วยเหลือคนจน
หรือควรทำบุญ

หลวงพ่อตอบปัญหา
โดย พระภาวนาวิริยคุณ




คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ อยากทราบว่า สังคมของเรา
ขณะนี้เรามีคนจนอยู่มาก เราควรจะช่วยเหลือคนจน หรือทำบุญกับพระสงฆ์ดีเจ้าคะ





คำตอบ: พูดง่ายๆ
คำถามของคุณโยมนี้ กำลังจะถามว่า
การ
สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล น่าจะดีกว่าการสร้างวัด ใช่หรือไม่
คำถามประเภทนี้คล้ายๆ จะถามว่า เสื้อ
กับกางเกง อันไหนสำคัญกว่ากัน
ความจริงมันสำคัญ
ด้วยกันทั้งคู่นะ ใส่เสื้อไม่ได้นุ่งกางเกงนี่ยุ่งเหมือนกัน
นุ่งกางเกงไม่ใส่เสื้อ ก็ยุ่งอีกเหมือนกัน โดยรวมก็คือ
ในเรื่องของการทำบุญกับวัด การสร้างวัดต่างๆ
หรือในเรื่องของการสังคมสงเคราะห์ ก็คือการทำทานกับคน ทำบุญกับคน นั่นเอง สองอย่างนี้ต้องทำคู่กันไป





ถ้า
ถามว่า โรงเรียน คือ สถานที่สำหรับทำอะไร คำตอบ โรงเรียน คือ
สถานที่ที่จะสอนให้คนเราฉลาด...ฉลาดเรื่องอะไร...ฉลาดในเรื่องเทคโนโลยีด้าน
Material พูดอย่างง่ายๆ คือ
ฉลาดในเรื่องของเทคโนโลยีทางด้านวัตถุ หรือฉลาดในเรื่องของการทำมาหากิน





ส่วนวัด คือ สถานที่ที่จะสอนให้คนเราฉลาดเหมือนกัน
แต่ฉลาดในเรื่องด้านจิตใจ หรือฉลาดในด้านเทคโนโลยีทางใจ





ถ้าถามว่า โรงพยาบาล มีไว้ทำอะไร ตอบสั้นๆ
โรงพยาบาลมีไว้สำหรับรักษาทางกายเป็นหลัก
ส่วนวัดก็มีหน้าที่คล้ายๆโรงพยาบาล คือ รักษาโรคทางใจ ซึ่งจากที่กล่าวมา
เรามาพิจารณากันดูนะ





โรงเรียนทางโลก ให้ความรู้ทางโลก
หรือให้เทคโนโลยีทางโลกนั้น...ให้ไปเถอะ...ดี แต่ต้องระวัง
เพราะว่าตั้งแต่โบราณแล้ว เขาได้พิสูจน์กันมากมายแล้วว่า
ความรู้ทางด้านวิชาการ หากว่าเกิดกับคนพาล มีแต่นำความพินาศ
นำความฉิบหายมาให้ เพราะว่า คนพาลจะเอาความรู้นั้น ไปใช้ในทางที่ผิด
อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวัง ยกตัวอย่าง ไปเรียนวิชาวิศวะฯมา
ถ้าเอามาก่อสร้างบ้านเรือน มาสร้างเครื่องยนต์ เครื่องจักร เครื่องใช้
มันก็ดี แต่ถ้าความรู้ชนิดนี้ มันไปตกอยู่กับมือโจร
ตกอยู่ในมือของคนที่ขาดศีลขาดธรรม
คนเหล่านั้นจึงนำเอาความรู้ทางด้านวิศวะฯไปทำระเบิดมาทำลายกัน

ตรงนี้เองจึงมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อว่า
ถ้าอย่างนั้นสร้างโรงเรียนเมื่อไหร่ ควรจะอยู่ใกล้วัด หรือว่า
โรงเรียนกับวัดอยู่ในที่เดียวกัน ซีกนี้ไว้สอนคน
สอนนักเรียนให้มีความรู้ทางโลก นั่นซีกโรงเรียนอีกซีกของบริเวณนั้น
สร้างวัด เอาไว้อบรมศีลธรรมให้ลูกหลานของเรา ถ้าอย่างนี้
ความรู้คู่กับศีลธรรม





แต่โบราณมาแล้ว สมัยปู่ย่าตาทวดของเรา
โรงเรียนกับวัดอยู่คู่กัน

เพราะฉะนั้น ลูกโตขึ้นมา เด็กโตขึ้นมา ก็ได้ทั้งความรู้แล้วก็ได้ทั้งความดี
คือ มีศีลธรรมมากำกับ หรือว่าทั้งเก่งทั้งดี





ปัจจุบันนี้พอโรงเรียนออกไปจากวัด ลืมเอาโบสถ์ติดไปด้วย
ทำให้ไม่มีอาคารสำหรับอบรมศีลธรรมให้โดยเฉพาะ แล้วเราก็มานั่งบ่นกันว่า
เด็กยกพวกตีกัน เพราะฉะนั้น โรงเรียนกับวัดต้องสร้างไปด้วยกัน





โรงพยาบาล….โรคที่เกิดกับมนุษย์มี 2 ประเภท





1.โรคประจำสังขาร คือ หนีไม่พ้น ได้แก่โรคแก่ โรคเจ็บ โรคตาย
โรคประเภทนี้ โรงพยาบาลถือว่า ไม่หนักหนาสาหัส รักษาได้อยู่แล้ว
เป็นของธรรมดา





2.โรคแส่หามาเอง คือ กินเหล้ามาก็ได้หลายโรค เที่ยวกลางคืน
เที่ยวคืนเดียวก็ได้อีกตั้งหลายโรคโกหกเขาก็ได้อีกหลายโรค ไปปล้น
ไปคดไปโกงเขา ก็ได้อีกหลายโรค โรคเครียด โรคอะไรอีกสารพัด ตามมา
เพราะแส่หามาทั้งนั้น โรคแส่หามาเองนี้ มาจากไหน...มาจากผิดศีล นั่นแหละ
จึงต้องมี
เมาไม่ขับความ
จริง
ไม่เมาเสียก็จบ แล้วก็ขับรถกันไป

แล้วจะแก้อย่างไรสำหรับโรคที่แส่หามาเอง ก็ไปที่วัด
สร้างวัดไว้ให้ดี นิมนต์หลวงพ่อ หลวงพี่ที่ชำนาญมาประจำไว้ที่วัดนั่นแหละ
ให้ท่านอบรมศีลให้ อบรมธรรมะให้ ศีลและธรรมที่ท่านให้จะกลายเป็นวัคซีนป้องกันโรค
แส่หามาเอง
เพราะฉะนั้น ทั้งสร้างโรงพยาบาล ทั้งสร้างวัด
ก็ต้องสร้างไปด้วยกัน





ดังนั้น
คุณโยม...มีเงินมีทอง ก็มาช่วยกัน สังคมสงเคราะห์
จะไปสร้างโรงเรียนก็แบ่งไป สร้างโรงพยาบาลก็แบ่งไป
อีกส่วนหนึ่งเอามาสร้างวัด เอามาบำรุงวัด เอามาบำรุงสงฆ์
นั่นแหละจะเป็นความสุข ความเจริญของประเทศชาติบ้านเมืองไทยของเรา
รวมทั้งของโลกด้วย







ที่มา
: กัลยาณมิตร



โดย : พระภาวนาวิริยะคุณ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 12:24:54 น.
Counter : 329 Pageviews.  

ลูกต้องการอะไร











ลูก
ต้องการอะไร ?  เด็กต้องการอะไร ?


..... พ่อแม่ที่เคารพโปรดทราบ

๑.  ลูกต้องการความรัก 
โปรดให้ความรักความอบอุ่นกับลูก  อย่าทิ้งลูก  พ่อแม่รักลูกเท่ากัน 
แต่ห่วงใยลูกไม่เท่ากัน


๒.  ลูกต้องการความรู้ 
ทำไมลูกต้องซน  ค้นโน่นค้นนี่  จับโน่นแตกน่าจะเข้าใจลูกว่า 
ลูกต้องการความรู้  อยากจะรู้  โปรดเมตตากับลูก  สอนลูกดีๆ  พูดไพเราะ 
อย่าตีลูก  ถ้าถ้วยแตกซื้อใหม่ได้ 
แต่อยากเจริญพรถามว่า 
ลูกแตกไปซื้อได้ที่ไหน

๓.  ลูกต้องการอิสระเสรี
ไม่ชอบบังคับ
  เด็กมันต้องดุกดิก  เด็กนั่งเฉยๆ  ไม่ได้ 
อย่าบังคับลูกเกินไปฯ


รัก
ลูกให้เหมือนปลูกต้นโพธิ์  เมื่อใหญ่ต้นโต
จะได้
อาศัย 
ถึงคราวตายจะได้ฝากผี  เวลาดีเอาไว้ใช้สอยบ้างประไรมี รักลูกเหมือนปลูก
ต้นตาลโตไปจะไม่มีหลักฐานฯ

เลี้ยงลูก
ให้โต  ปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่ม  ให้โตด้วยวิชาการ  ให้มีหลักฐาน  มีงานทำ 
มีคู่ครองขอให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน 
อย่า
ให้โตด้วยข้าวสุก  หาความสนุกในสังคมฯ

ถ้าเป็นเด็ก  ขี้เกียจ  ขี้โกหก  ขี้ขโมย 
ต้องตี  ถ้าเป็นผู้ใหญ่  ขี้เหล้า 
เล่นการพนัน
  ต้องห่างไกลฯ

ถ้ามีลูกสาวกับลูกชายควรจะเอาใจใส่ให้มาก 
จงเอาใจใส่ลูกสาว  ให้เชี่ยวชาญชำนาญกว่าลูกชาย  เพราะถ้าไม่มีวิชาความรู้ 
ไม่เชี่ยวชาญเคหะศาสตร์  ไม่เข้าใจแม่บ้านการเรือน 
ไปได้สามีเขาก็จะแผลงฤทธิ์เอาฯ

อย่า  สอนลูกขณะกำลัง  ทาน
ข้าว

อย่า สอนลูกขณะกำลัง อ่านหนังสือทำการบ้าน

อย่า สอนลูกขณะที่
ลูก
กำลังจะนอน

จง สอนลูก หลังจากลูกสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้วฯ


ที่มา  :  อานิสงส์ของการสวดพระพุทธคุณ
โดย  : 
พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
หน้า 19-21






Free TextEditor








































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 12:13:06 น.
Counter : 349 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.