การพัฒนาสเต็มเซลล์ที่บริสุทธิ์







































วิวัฒนาการ
ทางเทคโนโลยีที่สูงขึ้นทำให้เราเชื่อว่าหากเราสามารถทำให้สเต็มเซลล์นั้น
บริสุทธิ์ได้


ก็จะไม่มีส่วนที่เรียกว่า HLA*
(Human Leukocyte Antigen)
ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีเครื่องมือที่สามารถทำได้แล้ว ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสเต็มเซลล์ที่บริสุทธิ์ต่อ
ไป
ซึ่งการทำให้บริสุทธิ์นี้แนวโน้มที่จะใช้สเต็มเซลล์จากคนอื่นมารักษาผู้ป่วย
(Allogeneic) ก็จะมีโอกาสมากขึ้น

แต่ทั้งนี้นักวิจัยเองก็จำเป็นต้องศึกษามากขึ้น







































เพื่อ
ให้มั่นใจว่าหากเราทำให้บริสุทธิ์แล้วนั้น มีความบริสุทธิ์มากเพียงใด


แน่ใจว่าจะไม่ส่งผลให้เกิด Graft VS Host Disease (GVHD)
ตามมาโดยเฉพาะแบบที่เกิดหลังจากการปลูกถ่ายไปนานมากแล้ว
เพราะว่าที่ผ่านมาก็มีรายงานว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการ
ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากผู้อื่น
(Allogeneic)
เมื่อตอนปลูกถ่ายใหม่ไม่พบความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น
แต่เมื่อผ่านไปปีกว่าจึงพบว่าเกิดมี Antibody ต่อต้าน HLA
ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะมาจากการที่มี HLA คงเหลืออยู่ถึงแม้ว่ามีเพียงเล็กน้อย
แต่เมื่อเซลล์มีการแบ่งตัวที่มากขึ้น HLA
จากคนอื่นก็จะเพิ่มมากขึ้นจนเพียงพอที่จะเกิดการไม่ยอมรับเนื้อเยื่อที่ปลูก
ถ่ายได้เช่น

การเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์

หากเป็นในส่วนของ Mesenchymal stem cell นั้นก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่หากเป็น Hematopoietic stem cell นั้นเราพบว่าใน In vitro
ศักยภาพที่ลดลงจากการเพิ่มจำนวนเนื่องจาก เซลล์จะไประยะ G0 ที่
น้อยมากเมื่อเทียบกับ In vivo

กรณีการ
เกิดมะเร็งจากการใช้สเต็มเซลล์


ข้อนี้คงตอบยากมาก
และคงจะหาสิ่งที่มาพิสูจน์ว่าสเต็มเซลล์ที่เป็น Adult stem cell
นั้นก่อให้เกิดมะเร็งรึไม่ ในระบบ Cell cycle
ของร่างกายเองก็มีจุดตรวจความผิดปกติ 2 จุดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น G1/S
checkpoint และ G2/M checkpoint
แต่ถึงอย่างไรผมเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ
อย่างเช่นเซลล์ที่มีปัญหาและอยู่ที่อยู่ระยะ Lating phase G1 เอง
ก็สามารถที่จะหลุดรอดจาก G1/S checkpoint และไปถูกทำลายที่ G2
/M checkpoint แทน
ดังนั้นก็เชื่อว่าต้องมีเซลล์ที่มีปัญหาและหลุดรอดจาก G2/M
checkpoint ไปได้และเกิดเป็นมะเร็ง
แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องทำการศึกษาผลตรงนี้ต่อไปเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด
อีกที






























สิ่ง
หนึ่งที่ผมอยากทิ้งท้ายไว้ก็คือ ตามสถิติประชากรไทยมีเพียง 1.31%


เท่านั้นที่ถือว่าเป็นผู้มีรายได้มากกว่า 500,000 บาทต่อปี
นั่นหมายความว่าคนไทยกว่า 55 ล้านคนที่เขาก็ควรที่จะมีสิทธิในการรักษา
ในการใช้ยา ในการใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างสเต็มเซลล์เช่นเดียวกัน
ดังนั้นในความจริงที่ว่าเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีค่า
ใช้จ่ายต้นทุนที่สูงมาก

จึงไม่แปลกที่ผู้ที่จะได้ใช้จะต้องเป็นผู้
ที่มีฐานะดีมากคนนึง แต่ที่ผมหวังไว้ก็คือ
อยากจะเห็นการใช้สเต็มเซลล์ในผู้ป่วยทุกชนชั้นมากกว่าครับ
และสุดท้ายเราเป็นคนไทยเหมือนกันก็อย่าหลอกลวงคนไทยพี่น้องเรากันเองเลย
หันหน้าจับมือกันทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้กันเถอะครับ


*
คนจะมี HLA 6 ตำแหน่งซึ่งหากมี HLA ที่ไม่ตรงกันทั้ง 6
ตำแหน่งก็จะทำให้เกิดการไม่ยอมรับเนื้อเยื่อที่ใส่เข้าไป
(ยกเว้นกรณีการใช้เลือดจากสายสะดือที่ยอมรับความเหมือนกันได้ 4 ใน 6
ตำแหน่ง)









ขอขอบคุณ
สาระดีดี จาก
น.สพ.ศุภเสกข์ ศรจิตติ ผู้เขียน และวิชาการ.คอม








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 17:02:12 น.
Counter : 357 Pageviews.  

ค่าของใจสำคัญยิ่งกว่าความสมหวังทั้ง หลาย ....

















































ค่าของใจสำคัญยิ่งกว่าความสมหวัง
ทั้งหลาย



ใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ผู้มีปัญญาเห็นค่าของใจว่าสูงกว่าค่าของสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงพร้อมจะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง
เพื่อเพิ่มพูนความดีงามให้แก่จิตใจตน
สมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงเสียสละอย่างยิ่งยวดเพื่อค่าสูงยิ่งของใจ

คือ
เพื่อให้ทรงได้มาซึ่งใจที่พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง ทรงเสียสละราชสมบัติ
ทรงเสียสละพระมเหสี พระปิโยรสเพียงพระองค์เดียว
ทรงสละความสุขมากมายเหลือจะประมาณ
ซึ่งทรงอยู่เหนือมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก เพื่อความพ้นทุกข์ทางพระหฤทัย
นี้ก็เพราะทรงเห็นค่าของใจสูงกว่าของทุกสิ่งทุกอย่างดังกล่าวแล้ว

ผู้ไม่สมหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วเกิดความทุกข์เพราะ
ความไม่สมหวังนั้น

 มีวิธีคิดที่น่าจะนำไปใช้ให้
เกิดประโยชน์แก่จิตใจของตนอย่างที่สุด คือคิดว่า
ถ้านำความไม่สมหวังนั้นมาเป็นทางดำเนินทางดำเนินไปถึงความมีค่าเพิ่มพูนขึ้น
ของจิตใจ ก็จะได้ประโยชน์กว่า ถ้าสมหวังแล้วจิตใจไม่มีค่าขึ้น
คือไม่ดีขึ้นกว่าระดับเดิม

ความไม่
สมหวังจะทำให้ค่าของจิตใจเพิ่มขึ้นอย่างไร


มี
อธิบายดังนี้ ถ้าความไม่สมหวังเกิดขึ้น แล้วทำสติให้รู้ทัน
ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ผ่านไปแล้ว ควรไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น
อยากให้ไม่เกิดขึ้นเช่นนั้น แต่อยากให้เกิดเป็นอีกอย่างหนึ่ง
คือเป็นความสมหวัง เช่นนี้นับว่าเป็นการเพิ่มค่าให้แก่จิตใจ
คือทำให้จิตใจปล่อยวางได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นได้

แม้เพียงในเรื่อง
เดียวก็นับว่าเป็นการดีอย่างยิ่งของจิตใจ ทำให้จิตใจดีขึ้น เพิ่มค่าขึ้น
ดังนั้นเมื่อความไม่สมหวังเกิดขึ้นในเรื่องใด
แทนที่จะปล่อยใจให้ต่ำลงเพราะความเสียใจ
ก็ควรรีบคิดเสียในทันที่ว่าค่าของใจสำคัญกว่าความสมหวัง
ไม่ว่าในเรื่องยิ่งใหญ่เพียงใดทั้งนั้น
แล้วก็รีบทำใจให้ยินดีที่มีโอกาสยกระดับของจิตใจให้เพิ่มขึ้น

โดย
ถือความผิดหวังนั้นเองเป็นบันได
จะถือว่าเป็นเหมือนการตกกระไดพลอยโจนก็ยังดี คือไหน ๆ
ก็ผิดหวังแล้วคิดเสียให้ได้ว่าผิดหวังนั้นแหละดี
ก็ไม่เป็นไรจะเป็นการตกบันไดพลอยโจนที่น่าจะยินดีทำทั่วกัน
ดีกว่าที่จะตกบันไดแล้วยังนำความเศร้าโศรกเสียใจมาเป็นอาวุธทิ่มแทงตนเองให้
เจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีกเป็นไหน ๆ

พึง
ใช้สติใช้ปัญญาพิจารณาให้ดีในเรื่องนี้

เพราะมิใช่
ไม่สำคัญ ความจริงเป็นเรื่องสำคัญของทุกคน
เพราะทุกคนต้องประสบความไม่สมหวังอยู่ตลอดเวลา ไม่ในเรื่องนั้นก็เรื่องนี้
หนักบ้าง เบาบ้าง ต่างกันเท่านั้น
การหาวิธีช่วยตนเองเพื่อป้องกันและเพื่อแก้ไขไม่ให้เกิดความทุกข์เพราะความ
ไม่สมปรารถนา จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ควรละเลย
ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งจึงสมควร

ใจที่สงบเป็นใจที่มีค่า

ความ
เสียดายเสียใจและความทุกข์ ความโกรธแค้น ขุ่นเคือง
ล้วนเป็นเหตุแห่งความไม่สงบของจิตใจทั้งสิ้น
แม้ดูใจตัวเองเพียงนิดเดียวก็จะแลเห็นว่า ความจริงมีอยู่เช่นนี้
เวลาเสียใจหรือเวลาโกรธจะไม่สงบ จะวุ่นวาย หวั่นไหว
พยายามเชื่อว่าใจที่สงบเป็นใจที่มีค่า

เชื่อเมื่อไรแล้วก็ให้เชื่อต่อไป

ว่า
ความเสียใจก็ตามความไม่สบายใจก็ตาม นั่นแหละทำให้ใจไม่สงบ ทำให้ใจลดค่าลง
เมื่อเชื่อเช่นนี้แล้ว
ก็ให้เชื่อต่อไปอีกว่าจะเกิดความผิดหวังอย่างมากมายเพียงใดก็ตาม
ถ้ารักษาใจให้สบายได้แล้ว นั่นแหละเป็นการยกระดับค่าของจิตใจตนให้สูงขึ้น
เป็นการปฏิบัติที่ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ปฏิบัติกันอยู่โดยทั่วไป 

ขอขอบคุณที่มา : วงล้อแห่งธรรม








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 6:19:23 น.
Counter : 433 Pageviews.  

ของหวานทำให้ฟันผุได้อย่างไร ?



















































น้ำตาล
ทำให้เกิดโรคฟันผุและโรคเหงือก


แต่ปริมาณยังสำคัญ
น้อยกว่าจำนวนครั้งที่รับประทานเข้าไป 
ฉะนั้นการประนีประนอมระหว่างการตามใจตัวเองกับการป้องกันฟันผุก็คือ 
พยายามลดการรับประทานขนมหวานให้เหลือเพียงวันละครั้งเดียว น้ำตาลธรรมดาหรือซูโครส (sucrose) เป็นอาหารโปรดของ
"แบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ" ซึ่งเราได้ยินเสมอ
ๆ ในโฆษณายาสีฟันยี่ห้อต่าง ๆ

สิ่ง
ที่เกิดขึ้นคือ 

เมื่อแบคทีเรียพบซูโครสในอาหารและ
เครื่องดื่มต่าง ๆจะสร้างสารเหนียวเรียกว่า เด็กซ์แทรน
(dextrans)
ซึ่งเกาะติดแน่นกับฟัน 
บคทีเรียนี้จะเติบโตและเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วจนมีขนาดใหญ่กลายเป็นแผ่นคราบบนตัวฟันหรือพลัก (plague)
แบคทีเรียชนิดอื่นจะเข้าไปอาศัยอยู่ในพลัก 
และเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นกรด  กรดจะทำลายเคลือบฟันจนหมดสิ้น 
ต่อจากนั้นก็จะทำลายแคลเซียมภายในฟันและทำให้ฟันโบ๋เป็นโพรง





























แบคทีเรีย
ที่ทำให้เกิดกรดนี้


จะเริ่มต้นทำงานเพียงไม่กี่
วินาทีหลังจากการรับประทานน้ำตาลเข้าไปและเมื่อเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วการ
สร้างกรดก็มักจะดำเนินต่อไปอีกนาน 
ดังนั้นฟันผุจึงมักเกิดขึ้นภายหลังจากรับประทานขนมหวานเข้าไปนานแล้ว 
นี่เป็นคำอธิบายว่า  ทำไมการรับประทานขนมหวานบ่อย ๆ
ถึงทำให้ฟันผุ

นอกจากพลักจะ
เป็นศัตรูสำคัญของฟันแล้ว 

ยังทำอันตรายต่อเหงือก
และกระดูกที่ยึดฟัน  เริ่มด้วยการสะสมพลักบนตัวฟันและรอบ ๆ แนวเหงือก 
แบคทีเรียที่อยู่ในพลักจะทำให้เกิดสารเคมีที่ทำให้เกิด
ความระคายเคืองแก่เหงือกและทำให้เลือดออก
 
เมื่อเวลาผ่านไปแบคทีเรียที่อยู่ใกล้ส่วนนอกของฟันมากที่สุดจะตาย
กลาย
เป็นหินปูนที่เกาะรอบตัวฟัน  ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยชั้นของพลัก 
ที่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตอยู่อีกทีหนึ่ง
ต่อมาเส้นใยที่เชื่อมต่อเหงือกกับฟันจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เต็มไปหมด 
ในที่สุดก็จะทำลายกระดูกฟันที่ยึดฟันทำให้ฟันโยก 
ในภาวะนี้ฟันจะผุและติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย  อาการที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือ 
เหงือกบวมและเลือดออกง่าย

พลักเป็น
โรคที่ซ่อนตัวอยู่  เนื่องจากโปร่งใสและไม่มีสี


นอก
จากกรณีที่เป็นชั้นหนามาก ๆ จึงมองเห็นเป็นแผ่นสีขาว ๆ
เมื่อทันตแพทย์กำจัดพลักและหินปูนที่เกาะตามไรฟันออกหมดแล้ว 
เราอาจป้องกันไม่ให้เกิดได้อีกโดยแปรงฟันเป็นประจำ 
กล่าวคือกำจัดแผ่นคราบที่เกาะอยู่รอบนอกฟันทุกซี่อย่างน้อยที่สุดวันละหนึ่ง
ครั้ง  ถ้าจะให้ดีควรเป็นเวลาก่อนเข้านอน 
ทันตแพทย์แนะนำให้แปรงฟันให้ทั่วอย่างถูกวิธี 
และใช้เส้นใยไนล่อนที่เรียกว่า เดนทอลฟลอสส์ (dental
floss)
หรือไหมขัดซอกฟันทำความสะอาดตามซอกฟัน 
เท่านี้คุณก็จะยิ้มได้อย่างสดใส









ขอ
ขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย: fortunecity






Free TextEditor








































































































 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 6:16:19 น.
Counter : 514 Pageviews.  

บาดแผลหายได้อย่างไร ?






















































ขณะที่
เรากำลังใช้มีด  บางครั้งอาจจะเผลอทำมีดบาดตัวเอง  แต่ทันทีทันใดนั้น 
ร่างกายของเราก็จะเริ่มซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดขึ้นทันที 
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?


 ภายในเวลาไม่กี่
นาที  ปลายเส้นเลือดที่ขาดก็ถูกหยุดด้วย เกล็ดเลือด (
platelets )
และเส้นใยโปรตีนที่เรียกว่า ไฟ
บริน ( fibrin )

เลือดที่ออกมาอยู่ในแผลก็จะแข็งตัวกลายเป็นสะเก็ดคลุมแผลอยู่ร่างกายเริ่ม
ส่งเลือดมายังบริเวณบาดแผลเพิ่มขึ้น 
เม็ดเลือดขาวที่มากับกระแสเลือดก็จะคอยฆ่าพวกเชื้อโรคที่บุกรุกเข้ามา 
คอยจับทำลายพวกเซลล์ที่ตายแล้วและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ

ขณะเดียวกัน  เซลล์ชั้นนอกสุดของผิวหนัง ( epidermal cell )
ก็จะแบ่งตัว 

และเคลื่อนที่จากขอบแผลทั้งสองข้าง
เข้ามาบรรจบกันใหม่ตรงกลายภายใต้สะเก็ดเลือด 
บาดแผลก็จะถูกคลุมด้วยชั้นเซลล์เหมือนเดิม  เส้นเลือดในบริเวณนั้นจะเจริญ
แทง
เข้ามายังบาดแผลเพื่อนำออกซิเจนและอาหารมาเลี้ยง





























เซลล์
ที่เรียกว่า


ไฟโบรบลาสต์ (
fibroblast )
จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว 
เพื่อสร้างเนื้อเยื่อมาเสริมบริเวณบาดแผลให้เต็มโดยการผลิต คอลลาเจน ( collagen )
ซึ่งเป็นเส้นใยที่มีความเหนียว  ทำให้บาดแผลมีความแข็งแรง 

ขณะเดียวกันไฟโบรบลาสต์จะหดตัว

ทำ
ให้บาดแผลสองข้างชิดกันเข้ามามากขึ้น  ปลายเส้นประสาทที่ขาดก็จะค่อย ๆ
สอดเข้าไปในแผลเพื่อให้ความรู้สึกบางส่วนของบริเวณนั้นกลับคืนมา  เส้นเลือดต่าง ๆ
ก็จะงอกเข้าหากันจนประสานกันเป็นร่างแหอยู่ภายในบาดแผล
ในที่สุด 
สะเก็ดเลือดบนแผลก็หลุดออกไป  ผิวหนังก็กลับมาประสานกันเหมือนเดิม 
เนื้อเยื่อภายใต้นั้นก็จะหนาแน่นไปด้วยไฟโบรบลาสต์และเส้นใยคอลลาเจน 
ซึ่งจะค่อย ๆ เรียงตัวให้อยู่ในแนวที่รับความตึงเครียดได้ดีที่สุด 
เพื่อให้บาดแผลที่หายแล้ว มีความแข็งแรงเหมือนเดิม









ขอขอบคุณ
เนื้อหาดีดี โดย: fortunecity








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 6:14:57 น.
Counter : 455 Pageviews.  

ระวัง! รังนกปลอม













































ของถูกๆใครก็ชอบ แต่บางอย่างถ้าถูกมากระวังจะเจอของปลอม

ผลิตภัณฑ์ประเภทรังนกมีจำหน่ายอยู่มากมายหลายแบบ

ทั้งรังนกแห้ง รังนกกึ่งสำเร็จรูป รังนกสดพร้อมปรุง
และเครื่องดื่มรังนกที่นิยมนำมาเป็นของขวัญ
ของฝากและของเยี่ยมผู้ป่วยซึ่งเป็นสินค้าที่เป็นความต้องการของตลาดทั้งใน
และต่างประเทศ แต่เนื่องจากผลิตภัณฑ์รังนกเป็นผลผลิตจากธรรมชาติที่หาได้ยาก
จึงไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด แถมรังนกแท้ยังมีราคาแพง
จึงมีผู้ผลิตบางรายเกิดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้
หันมาทำรังนกปลอมขึ้นมาขายตบตาผู้บริโภค

รังนกปลอมผลิตจากยางไม้ชนิดหนึ่ง

ชื่อ
ยางคารายา มีสีขาว สีเหลืองอมชมพูจนถึงสีน้ำตาลเข้ม
มีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ไม่ละลายน้ำแต่ดูดซับน้ำ
ซึ่งคล้ายคลึงกับรังนกแท้มาก
บางครั้งถ้าสังเกตด้วยตาเปล่าก็จะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนคือรังนกแท้
และอันไหนคือรังนกปลอม เพราะหาความแตกต่างได้ยาก

แต่มีวิธีการ
สังเกตอยู่นิดหนึ่งว่า ถ้าเป็นรังนกแท้ราคาจะสูงซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสม
เพราะรังนกหายาก แต่ถ้าเป็นรังนกปลอมราคาจะถูกและส่วนมากจะมีขายตามรถเข็น
แผงลอยหรือตามบาทวิถี ซึ่งมีอยู่มากในกรุงเทพฯ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย
ผู้บริโภคจึงต้องมีความระมัดระวังในการเลือกซื้อ
ถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ ได้มาตรฐาน
มีฉลากระบุผู้ผลิตจำหน่าย
หรือเป็นร้านเก่าแก่ที่ขายรังนกโดยตรงและที่สำคัญจะต้องมีเครื่องหมาย อย.
กำกับเพื่อให้ปลอดภัยที่สุด










ที่มา : นิตยสาร แม่บ้าน






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 6:13:42 น.
Counter : 343 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.