ก่อนแม่จะสิ้นลม...









































...บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยืยนมาหลังวันเกิด
ในเดือนที่แล้ว

เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว
ไม่ใหญ่โตนัก ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็กๆ
ที่สมภารเจ้าอาวาสอดีตนักเรียน โรงเรียนเดียวกับผม
ท่านเอาเงินที่ญาติโยมศรัทธาถวายท่านมาปลูกสร้างเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้ชราได้มา
พักอาศัย ยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง มีโยมผู้หญิงวัยกลาง
คนไร้ญาติและสิ่งเกาะเกี่ยวทางโลกมาบำเพ็ญธรรมโดยไม่บวชชี
ท่วงท่าเจรจาพาทีดูสำรวมราบเรียบ
พร้อมเด็กวัดลูกชาวบ้านแถบนั้นแวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ดูแลผู้ชราทั้ง
หญิงชายที่ถูก ทอดทิ้งรวม 13 ชีวิต
ค่าจ้างคนดูแล น้ำไฟ
เสื้อผ้ายารักษาโรค ข้าวปลาอาหาร
สมภารใจดีอดีตนักเรียนช่างกลที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
เหมาจ่ายคนเดียว โดยไม่เคยพิมพ์ฏีกา เรี่ยไรใคร ...

พูดคุยกับท่านหลายเรื่องจนตอนจะลากลับผมควักเงิน 500 บาท
ใส่ซองถวายท่านเป็นค่าใช้จ่าย


ท่านจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ชวนผม
เดินลงจากศาลาไปที่บ้านพักคนชราแห่งนั้น เปิดนรกบนดินอีกขุมหนึ่งให้
คนบาปอย่างผมมีดวงตาเห็นธรรมโดยไม่ต้องฟังเทศน์เทียบชาดกบทใดๆ หญิงชรารูปร่างเล็กผิวสองสีบอบบางทอดกายเหยียดตรงบนเตียง
เล็กๆ แต่สะอาด มีผ้าห่มผืนบางๆ ห่มปิดทรวงอกที่ยังกระเพื่อมเบาๆ
ราวเครื่องยนต์ใกล้ดับอย่างเหนื่อย หน่าย แม่เฒ่าพยายาม
ยกขึ้นประนมไหว้เมื่อท่านสมภารพาผมมานั่งอยู่ข้างขอบเตียง
กังวานน้ำเสียงแห่งพุทธบุตรผู้เมตตาเปล่ง
วาจาถามไถ่อาการและให้ศีลให้พรเบาๆ แต่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์
หยาดน้ำตาแห่งความ ปิติ ท่วมท้นดวงตาสี ขาวขุ่นแล้วค่อยๆ
ซึมเซาะรินไหลไปตามร่องขอบตาที่เหี่ยวย่นบนใบหน้า
เวทนาบังเกิดจนผมต้องเบือน หน้าหนี ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน
13 คนชราของที่นี่
เรื่อง ราวทั้งหลายในอดีต
ยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน... ...

แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน

60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ใน
ระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง
ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกิน ค่าแรงรายวันโดย แม่เฒ่ารับจ้าง
ทอผ้าอยู่ในโรงงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น สามารถ
สร้างหลักฐานจนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ
แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวังจะฟูมฟักลูก 3 คนให้ อยู่อบอุ่น
กินอิ่มโดยไม่ต้อง
ลำบากช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยง
ลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซวนไล่ เรียงตามลำดับ

เช้า
วันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบสามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่
ตื่นมาร่ำลา

หมอที่
โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆ ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด

แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิด
เป็นร้านค้าโชห่วยขายของสารพัดชนิดอดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน
ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัว อบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี
ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหักดั่งหนึ่งคนละสายเลือด ลูกชายคนโตแต่งงานไป
กับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด ในชีวิตของแม่เฒ่า
ไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชายแต่ง
งานสมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่
สะใภ้ต้องการ ...ปีต่อมา
ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคนแม่เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของ
สอง คูหาสามชั้นให้เป็นสมบัติ
ของลูกด้วยความยินดีโดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย สองปีถัดมาลูกสาวคน
สุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด
แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า รับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา










...สัตว์โลกทั้งหลายล้วนเวียนว่ายก่อเกิดเพื่อมา
ชดใช้กรรมเก่า

สะใภ้คนที่สองเริ่มจุด
ประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว
แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือนซักผ้าทำกับข้าวจัด สำรับคับค้อน
ตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือ
ก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้ว
จึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน
สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิดที่ซื้อมาทำกับข้าว
ต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนัก ราคา
สินค้ากับเงินทอนที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด
แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์ ...

แล้ว
วันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่


หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโตเพื่อนกินกันแค่สองผัวเมีย
แล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันล่ะยี่สิบบาทไปหากินเอาเองด้วย
เหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึก ๆ
ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเป็นส่วนเกิน แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ
คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี
สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก
หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาด
แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย
แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ
แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์
สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอ กลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน
จะคุยกับลูกชายไอ้นั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำ เหมือนหนามตำโดน
โคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัดแม่เกรงใจเมีย
แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโตที่ห้อยแขวนพระ
เครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส
และไม่แม้แต่จะชายตา มองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย เก้ๆ
กังๆ อยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโต อย่างเหงาๆ
โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ ระหว่างทางก็แวะ
ทักทายคนรู้จักเพื่อ รักษามารยาท
แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้าง

ระหว่าง
ทาง ลูก
สาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึงเธอยื่นคำขาดกับแม่
เฒ่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมว่าถ้า
ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหาเพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัวและพ่อค้าวานิ
ชเข้าพบผัวของเธอเพื่อขอ อำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อยๆ
และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควร
จะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย
แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้อง
ทำอย่างไรแม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน
...เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคนแม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้มทั้งๆ
ที่ ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็น
เจ้าคนนายคนจึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจนหนักหนา
สาหัสขนาดนั้น

ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชาย
คนที่ สองกระทบธุรกิจของสองผัวเมียจนทรวดเซ
ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่าที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด
ปัญหาและวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลง
สองผัวเมียเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง และแทบทุก
ครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล
โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปก ป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด









.. 12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3
ทุ่มของคืนโลกาวินาศ

ท้องฟ้ามืดครึ้มไป
ด้วยพยับเมฆ สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ
ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง
ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับ
ปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว ...แม่เฒ่าจำได้ว่า
วัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด
แม่เฒ่ารับเงิน แล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า
สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะ
กล่องช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด
ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้านช่วย
กันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ๆ เคยวาง
เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่าที่
กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่า "ไม่เห็น"
ก่อนปักธูปลงกระถาง เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน
ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย
ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน ก่อนที่ทั้ง
คู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์
ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร แม่เฒ่าให้การไม่รู้
ด้วยซื่อบริสุทธิ์โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว

กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ
แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา
ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ
แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำ "ให้ตำรวจอบรมแม่
เฒ่า"

ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้านโดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้าน
ด้วยความหนาวเหน็บ

สายฝนยงสาดซัดกระหน่ำหนัก
เหมือนฟ้าแตก


ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่า
ที่บ้านบ้านซึ่ง ประตูเหล็กถูกปิดสนิท ...แม่เฒ่าลง
จากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้านแล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีดกับภาพเบื้องหน้าที่พื้น
หน้าบ้าน เสื้อผ้าเก่า ๆ ยัดแน่นอยู่ในถุงถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ
บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า กระถางธูปและรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด
หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำ ของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น
แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความ รันทดทะลักล้นปนน้ำฝน
ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้อง
จากสายฝนสุดชีวิต สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ
เข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทอง ของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการบอกลา
แล้วลัดเลาะฝ่าความมืดและสายฝนไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคน
เล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่
จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้า ร้องระงม สลับกับ
เสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาท

บรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติติดตามมาทวงคืนให้แม่เฒ่าต้องชดใช้อย่างบอบช้ำ
ยับเยิน
รถกระบะเก่าๆ
คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระ ของสมภารเจ้าวัด
ตอนตีสามเศษๆ

คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซ
อยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย


ด้วยใจเมตตา
เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่ จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช
แม่เฒ่ามักคุ้นกับ สมภารวัดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่
นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตจึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิง
เหมือน ร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนะทั้งสาม
...ฟ้าเริ่มขมุกขมัวใกล้ค่ำลงทุกขณะ ผมจำเป็นต้องบอกลาท่านสมภารและ แม่เฒ่าเจ้าของเรื่องราวน่าสลด
นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้ แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัด
เหมือนๆ กับที่ทั้งสามคนก็ไม่เคย ออกติดตามถามหาจะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่
ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัดแต่ ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่ เงาของลูกทั้ง 3

ผมจากลาออกมาทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา..









แม่จำลูกได้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนโต
จะทุกข์จะสุขก็คือลูกของแม่
แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูกทุกคนเป็นการตอบแทน

ลูกเอ๋ย...เมื่อลูกยังเป็นทารกทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่มน้ำ
นมจากเต้า สองมือน้อยๆ ของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหวๆ









วันนี้แม่สิ้นแรงแทบสิ้นใจจะมีมือของลูกคนไหน
เอื้อมมาปิดตาให้แม่ก่อนสิ้นลม.....”






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 18:33:03 น.
Counter : 351 Pageviews.  

เสริมราศีด้วย"ขนม"

เสริมราศีด้วยขนม
















วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีการเสริมราศี
ด้วยการทานขนมมาฝากกัน....



ราศีมังกร
คนธาตุดิน
ไม่ต้องการรสชาติโดดเด่น และเน้นความประณีต ประดิดประดอย



ราศีกุมภ์
คนธาตุลม
ไม่ค่อยชอบอะไรง่าย ๆ สนใจเค้ก ขนมปัง ประเภทเบเกอรี่มากกว่าขนมไทย ชอบดื่ม
น้ำส้ม น้ำเสาวรส น้ำแอปเปิ้ล ฯลฯ



ราศีมีน
คนธาตุไฟ
ไม่ค่อยร้อนเท่าไร ต้องเลือกขนมฟองมุก ขนมเล็บมือนาง และประเภทข้าวเม่า
ข้าวตัง เสริมการมีมนุษยสัมพันธ์คนรอบข้าง และชอบน้ำผัก ผลไม้เพื่อสุขภาพ



ราศีเมษ
คนธาตุไฟ
เหมาะกับขนมประเภทเย็น ๆ พวกกะทิ อย่างลอดช่อง ซาหริ่ม ลอยแก้วต่าง ๆ
ส่วนเครื่องดื่มผลไม้ตามฤดูกาล



ราศีพฤษ
คนธาตุดิน
รักชอบในศิลปะแบบโบราณ ขนมไทยต้องกึ่งแห้งกึ่งเปียก เช่น ขนมชั้น เปียกปูน
ขนมกรวย ขนมถ้วย เครื่องดื่มอย่างน้ำมะตูม น้ำตะไคร้ เก๊กฮวย



ราศีเมถุน
คนธาตุลม
เอาแน่เอานอนยาก จะทานขนมที่หายาก เช่น ขนมกระจัง ขนมหน้านวล
หรือขนมตามวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ เครื่องดื่มประเภทค็อกเทล
น้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์นิดหน่อย



ราศีกรกฎ
คนธาตุน้ำ
ที่ใจเย็น ใจดี นุ่มนวล ขนมประเภทหวานมัน อย่างข้าวเหนียวสังขยา
ขนมประเภทแกงบวช เครื่องดื่มน้ำหวานธรรมดา ชา กาแฟทั้งร้อน ทั้งเย็น



ราศีสิงห์
คนธาตุไฟ
ค่อนข้างเอาแต่ใจ ขนมต้องการสีสันสดใส เช่น สีแดง ส้ม ทอง ประเภททองหยิบ
ทองหยอด ฝอยทอง จ่ามงกุฎ ข้าวเหนียวแดง ดื่มน้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์นิดหน่อย
หรือน้ำสมุนไพรชาดอกคำฝอย จับเลี้ยง



ราศีกันย์
คนธาตุดิน
ค่อนข้างใจเย็นและมั่นคง เลือกขนมคู่บารมีต้องมีสีขาว หรือสีนวลงามตา
อย่างขนมผิง ขนมหน้านวล วุ้นกะทิ เครื่องดื่มประเภทเพื่อสุขภาพ รังนก โสม
น้ำสมุนไพรเป็นสิริมงคล



ราศีตุลย์
คนธาตุลม
ไม่ค่อยยินดียินร้ายอะไร เลือกทาน ขนมฝักบัว สำปันนีอ่อน ช่อม่วง
ชอบน้ำผักผลไม้คั้นสด ๆ



ราศีพิจิก
คนธาตุน้ำ
ชอบขนมประเภทน้ำ และมีกะทิเป็นส่วนประกอบ ประเภทแกงบวช ขนมครองแครง
ไข่เต่า ปลากริม บัวลอย หรือโรตีสายไหม
เครื่องดื่มต้องมีรสเปรี้ยวอย่างน้ำมะนาว สับปะรด
น้ำมะขามเสริมความเป็นตัวเอง และความมั่นใจ



ราศีธนู
คนธาตุไฟ
เหมาะกับขนมมงคลพิธีต่าง ๆ เครื่องดื่มประเภทของสูง เช่น น้ำมะพร้าว
น้ำตาลสด ชา กาแฟใส่นม



รู้อย่างนี้แล้ว
ลองเลือกทานขนมให้เข้ากับราศี จะได้เป็นการเสริมดวงไปในตัว.


ขอบ
คุณที่มา:เว๊ปไซด์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:42:52 น.
Counter : 341 Pageviews.  

เป็นครั้งแรกที่ได้รู้...



























































เมื่ออายุ 1-10
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า เวลาพวกเราร้องเพลงพระคุณที่สามทีไร คุณครูร้องไห้ทุกที - อายุ 6


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า เราซ่อนผักคะน้าในแก้วนมสดได้ - อายุ 7


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า เวลานั่งรถไปเที่ยวต่างจังหวัด
เมื่อเราโบกมือให้ใครเขาก็จะโบกมือตอบ - อายุ 9











เมื่ออายุ 11 -20
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า หากเราจัดห้องนอนตามแบบที่เราชอบ
แม่ก็จะสั่งให้จัดห้องให้เรียบร้อย - อายุ 13


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า เมื่อคิดจะปลอบใจใครสักคน
ก็ต้องรู้จักปลอบใจตัวเองด้วย - อายุ 14


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า การแปรงผมตัวเองเป็นความสุขในชีวิตอย่างหนึ่ง -
อายุ 15


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า
เราไม่น่าเลือกรักใครที่หน้าตาหรือการแต่งตัวเท่านั้น - อายุ 18








เมื่ออายุ 21-30
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน คำพูดเลวร้ายก็ยังตามหาเราเจอ - อายุ 22


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า
บางครั้งความเงียบสงบก็เป็นเครื่องรักษาได้ดีกว่าคำพูดปลอบใจ - อายุ 24


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า เราเรียนรู้ผู้ชายได้จาก 3 สถานการณ์ :
เมื่อฝนตกหนัก, เมื่อกระเป๋าสตางค์หาย
และเมื่อมอเตอร์ไซด์ล้มขณะที่เรานั่งซ้อนท้าย - อายุ 27








เมื่ออายุ 31-40
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า การนึกเนื้อร้อง "ใครหนอรักเราเท่าชีวี" ให้ได้
เป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของความเป็นพ่อแม่ - อายุ 32


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า
ความเหนื่อยยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องยอมรับ - อายุ 35


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า เราต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้
ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครเชื่อว่าเราเจอเรื่องร้ายๆ อะไรมาบ้าง - อายุ 39








เมื่ออายุ 41-50
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า เด็กๆกับปู่และย่า เป็นพันธมิตรกันโดยธรรมชาติ
ขณะที่พ่อแม่ไม่ใช่ - อายุ 41


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า เพียงแค่การ์ดเล็กๆ 1 ใบ
ก็สามารถทำให้ใครบางคนเป็นสุขใจได้ - อายุ 44


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า การทำงานมีความหมายกับชีวิตแค่ไหน - อายุ 46


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า ถึงจะยากที่จะยอมรับ
ดีใจที่แม่เคร่งครัดกับเรามาตลอดวัยรุ่น - อายุ 47









เมื่ออายุ 51-60
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า คนเรายิ่งรู้สึกผิดเท่าไร ก็ยิ่งกล่าวโทษคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น -
อายุ 50


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า ดูแลผักสวนครัวในบ้านดีกว่ามียาเต็มตู้ยา - อายุ
52


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพ่อแม่เป็นอย่างไร
คุณก็จะคิดถึงท่านมากเมื่อท่านจากไปแล้ว - อายุ 54


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า การหาเลี้ยงชีวิต
แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการหาความสุขให้ชีวิต - อายุ 58








เมื่ออายุ 61-70
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า บางทีชีวิตก็ให้โอกาสที่สองกับเรา - อายุ 62


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า
เราไม่ควรใช้ชีวิตแบบแบกรับเอาทุกสิ่งที่ผ่านมาเสียหมด
แต่ควรโยนเรื่องบางเรื่องทิ้งไปเสียบ้าง - อายุ 64


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า ถ้าเราวิ่งตามหาความสุข ความสุขจะวิ่งหนีเราไป
แต่ถ้าเราทุ่มเทให้กับครอบครัวและงาน พบปะคนใหม่ๆ และทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ความสุขจะวิ่งตามหาเราเอง - อายุ 65


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า ทุกครั้งที่เราตัดสินใจทำอะไรๆ ไปด้วยความมีน้ำใจ
สิ่งนั้นมักเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง - อายุ 67








เมื่ออายุ 71-80
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า ทุกๆ คนสามารถสวดมนต์ได้ดี - อายุ 72


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า การเชื่อในความดีและมีความจริงใจ
ให้ผลตอบแทนกลับมาจริงๆ - อายุ 73








เมื่ออายุ 81-90
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า ถึงแม้ในเวลาที่เจ็บปวด เราก็ไม่ต้องรู้สึกอ้างว้างก็ได้ - อายุ
82


เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า สัมผัสเป็นสิ่งที่มีความหมายมาก - อายุ 85








และสุดท้าย...
เป็นครั้งแรกที่
ได้รู้ว่า ฉันมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมากเหลือเกิน - อายุ 92






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:19:12 น.
Counter : 323 Pageviews.  

ความหมายของการอยู่ร่วมกัน
































ความหมายของ
การอยู่ร่วมกัน

ความ
หมาย การอยู่ร่วมชีวิตกับใครสักคน...

ในการอยู่ร่วม "ชีวิต"

ใช่
หรือไม่อาจมีที่บ้างเห็นต่าง และคิดไม่ตรงกัน

แต่ความต่างนั้นก็ใช่
จะเป็นความขัดแย้ง หรือทำให้ไม่อาจอยู่ร่วม

ด้วยสิ่งมีชีวิตใดใด
ล้วนมีองค์ประกอบมากมายในความเป็นชีวิต

และองค์ประกอบเหล่านั้นล้วน
มีหน้าที่ของตัวเอง

เพื่อประสานสัมพันธ์กันเพื่อให้
ชีวิตนั้นดำรงอยู่

เช่นกันที่แต่ละชีวิตนั้นมาอยู่ร่วมกันไม่ว่า
สถานะใด

ล้วนต้องปรับ ผสาน เอื้ออาทร ต่อกัน เพื่อความผาสุก

ต้นไม้
หลากหลายที่ให้ดอกพันธุ์ที่งดงาม
ใช่หรือไม่ที่บางทีเราต้องแลกด้วยการตัดแต่งกิ่งใบ

และเก็บกวาดยาม
ที่ร่วงหล่นลงมิใช่ทิ้งไว้ให้รกเรื้อ

ดอกใบจะสวย งดงามเพียงไร ...

ส่วน
หนึ่งย่อมมาจากการดูแล รดน้ำ ใส่ปุ๋ย จากเรา
ในความสัมพันธ์ของการอยู่
ร่วมก็คงเช่นเดียวกัน

มีบ้างบางขณะในความเป็นไปที่ความไม่ชอบใจ
ความขุ่นข้อง อาจเกิดขึ้นได้

เหมือนต้นไม้ที่ถูกรบกวนด้วย
แมลงหรือโรคอื่นใด ที่อาจทำลายให้เหี่ยวเฉาหรือไม่อาจเติบโตได้

เรา
จะปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น

หรือลงมือ ค้นหาสาเหตุ
และทำลายต้นเหตุนั้น...

ใส่ใจบำรุงต้นไม้ให้กลับมาดี ...

ตัด
ทอนสิ่งที่รกใจ ที่ขุ่นข้อง ออกไปจากการอยู่ร่วม

ใส่ใจในความดีงาม
ที่มีอยู่อย่าเพียงเอาแต่ความสวยงาม

โดยไม่ใส่ใจดูแล
และตระหนักในคุณค่าของกันและกัน

ให้การมีอยู่เป็นความงดงาม ..
ไม่ใช่หนามแหลม

"ชั่วชีวิตมนุษย์...สิ่งที่บันดาลให้หดหู่ รันทด
มิใช่การจำพราก หากเป็นการอยู่ร่วม เพราะหากไม่เคยอยู่ร่วม
ไหนเลยมีการจำพรากได้ ..."





























Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:17:49 น.
Counter : 357 Pageviews.  

ทำไมฝนตกจึงรู้สึกเหงา














































ทำไมเวลาที่ฝนตกเรามักจะคิดถึงคนที่เรารัก เราผูกพัน
และ
บางครั้งก็รู้สึกเหงาด้วย


เมื่อก่อน ท้องฟ้า
แผ่นดิน และผืนน้ำเป็นเพื่อนรักกัน
ทั้งสามอยู่ใกล้ชิดกัน
จนกระทั้งโลกได้กำเนิดพืชและสัตว์ขึ้น

แผ่นดินและผืนน้ำก็มัวแต่ดูแล
เอาใจใส่พืชและสัตว์
จนละเลยและไม่สนใจท้องฟ้า ท้องฟ้าเริ่มน้อยใจ
และ
ถอยตัวห่างออกไป ออกไป ห่างออกไปทุกที ทุกที

จนถึงวันที่มีนกน้อยตัว
แรกออกโบยบิน
แผ่นดินและผืนน้ำจึงได้รู้ว่าท้องฟ้าได้จากไปไกลแสนไกล
แผ่น
ดินและผืนน้ำพยายามส่งเสียงเรียกท้องฟ้า

แต่ท้องฟ้าอยู่ไกลมาก
เลยไม่ได้ยิน
นกตัวนั้นจึงอาสาที่จะไปบอกท้องฟ้า
นกก็บินขึ้นสูง
สูงขึ้น สูงขึ้น และส่งเสียงเรียก

แต่เสียงนกนั้นเบาเกินไป
ไปไม่ถึงท้องฟ้า
แต่นกก็สัญยาว่าต่อไปนี้นกทุกตัวจะบินขึ้นสูงสู่ท้องฟ้า
เพื่อนำข่าว

จากแผ่นดินและผืนน้ำไปบอก
แผ่นดินและผืนน้ำรู้สึก
เศร้าใจที่เพื่อนห่างออกไปไกล
และคิดถึงเพื่อนเหลือเกิน

ผืนน้ำ
พยายามที่จะม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นครั้งแล้วครั้งเล่า
แผ่นดินพยายามยก
ตัวสูงจนตั้งตระหง่าน
แต่นั้นก็ยังสูงไม่พอ ยังไม่ใกล้ท้องฟ้า

พระ
อาทิตย์ซึ่งเฝ้าดูมาตลอด
ก็บอกกับทั้งสองว่า "
เราอาจจะช่วยพวกท่านได้ "
พระอาทิตย์จึงอาสาช่วย

โดยการ
ส่องแสงลงมายังแผ่นดินและผืนน้ำ
ทำให้ระเหยกลายเป็นไอ
ลอยไปรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ
ลอยขึ้นไปบอกกล่าวกับท้องฟ้า

เล่า
เรื่องต่างๆเป็นรูปตามที่แผ่นดินและผืนน้ำ
ได้เจอมา
และบอกแผ่นดินและผืนน้ำคิดถึงมาก
อยากให้ท้องฟ้าลงมาสนิทแนบชิดเหมือน
เมื่อก่อน

ท้องฟ้าได้รับรู้เรื่องราว
ก็รู้สึกเสียใจแต่ก็กลับลงไปไม่ได้
" ฉันกลับลงไปไม่ได้หรอก
เพราะฉันเติบโตขึ้น และสูงขึ้นเกินไป
ลงไปไม่ได้แล้วฉันได้แผ่ขยายตัว
เองจนกว้างขวาง ที่ฉันทำได้ก็เพียงแต่เฝ้ามองดูอยู่ไกลๆ
และโอบกอดแผ่น
ดินและผืนน้ำไว้อย่างอ่อนโยนเท่านั้น "


และถึงแม้จะมีนกบิน
มาส่งข่าว
แต่ฉันก็ยังคิดถึงแผ่นดินและผืนน้ำ
และอยากจะบอกทั้งสองว่า
ฉันเองนั้นคิดถึงเพื่อนมากกมายเพียงใด
ก้อนเมฆก็ตอบว่า "
อยู่บนนี้ก็เหงาๆเหมือนกัน บางที่ก็อยากจะกลับลงไปข้างล่างบ้าง "

ท้อง
ฟ้าเลยบอกกลับลงไปว่า
" ฉันเหงาเหมือนกัน แต่ว่าฉันลงไปไม่ได้
แต่เจ้าลงไปได้นี่
ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งเจ้าลงไปและความคิดถึงของฉันก็
หนักมากพอที่จะส่งพวกเจ้าลงไปหมดทั้งท้องฟ้า

จากนั้นก้อนเมฆทั้งหมด
ก็รวมตัวกัน และรวมเข้ากับความคิดถึงอันมากมายของท้องฟ้า
แล้วตกลงมาเป็น
หยาดฝน ส่งผ่านความรัก ความคิดถึงลงมายังแผ่นดินและผืนน้ำ

จึงไม่
แปลก ถ้าเมื่อใดที่ฝนตกแล้วเราจะรู้สึก
คิดถึงคนที่เรารัก
คนที่เราผูกพัน และบางครั้ง ท้องฟ้าก็ส่งความเหงาลงมาด้วย

























Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 16:39:21 น.
Counter : 579 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.