ระวัง! เอดส์ลูกผสมตัวใหม่ร้ายกว่าเดิม อีก 5 ปีระบาดหนัก





































ภาพปะกอบทางอินเตอร์เน็ต
ภาพปะกอบทางอินเตอร์เน็ต











ระวัง!
เอดส์ลูกผสมตัวใหม่ร้ายกว่าเดิม อีก 5 ปีระบาดหนัก



เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้จัดอภิปรายเรื่อง "เชื้อเอดส์สาย
พันธุ์ใหม่มีจริงหรือไม่"
ทั้งนี้ ศ.ดร.พ.ญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์
หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า เอดส์สายพันธุ์ใหม่มีจริงคือสายพันธุ์ อีบี สายพันธุ์อีซี
ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ที่มีอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว
คือสายพันธุ์อี และบี มาผสมกับสายพันธุ์ซี ที่เป็นสายพันธุ์ที่มีร้อยละ 50
ของสายพันธุ์ที่พบทั่วโลก ส่วนใหญ่พบในประเทศแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า
และขณะนี้มีโรคเอดส์สายพันธุ์ลูกผสมกว่า 20 สายพันธุ์ทั่วโลกแล้ว
ซึ่งมีความกังวลว่าจะรุนแรงกว่าเดิม


"ในด้านการแพทย์ความรุนแรงไม่แตกต่างกัน
แต่ทางด้านนักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจทางด้านระบาดวิทยาว่า
มีการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ระลอกใหม่
ซึ่งการเกิดเชื้อไวรัสลูกผสมเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง พบได้ทั่วโลก
ทั้งนี้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเชื้อไวรสัลูกผสมจะรุนแรงหรือไม่ แต่
ถ้าผู้ป่วยที่มีสายพันธุ์อื่นได้รับเชื้อสายพันธุ์ซีเข้าไปซ้ำกันจะทำให้มี
การป่วยซ้ำ จำนวนเชื้อไวรัสเพิ่มมากขึ้น อาการของโรคแย่ลง
การดื้อยาก็มีโอกาสสูง ดังนั้นจึงควรระวังไวรัสลูกผสมของสายพันธุ์ ซี"
ศ.ดร.พ
.ญ.รวงผึ้ง กล่าว


ศ.ดร.พ
.ญ.รวงผึ้ง กล่าวว่า จากกลุ่มตัวอย่างที่เก็บตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 200
รายในปี 2548 พบว่า ผู้ติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 96 เป็นสายพันธุ์อี
ที่เหลือร้อยละ 4 คือสายพันธุ์อื่นๆ ในส่วนนี้ ร้อยละ2
เป็นสายพันธุ์บีร้อยละ 1 เป็นสายพันธุ์ อีบี ร้อยละ 0.5 เป็นสายพันธุ์อีซี
ซึ่งคาดว่าในปีต่อไปสายพันธุ์อีซีจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้จากกลุ่มตัวอย่างพบว่า พื้นที่ที่ผู้
ป่วยสายพันธุ์อีซีอาศัยบริเวณภาคตะวันออก อาทิ ชลบุรี และระยอง สายพันธุ์
อีบี อาศัยแถบภาคใต้และอีสาน


ศ.ดร.พ.ญ.รวงผึ้ง เปิดเผยว่า
ขณะนี้อัตราการดื้อยาของประเทศไทยประมาณร้อยละ 1 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด
แต่ในอีก 5
ปีข้างหน้าประเทศไทยจะเหมือนกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่ขณะนี้มีอัตราการดื้อ
ยาร้อยละ 20 ซึ่งเป็นแนวโน้มของทั่วโลก
ดังนั้นถ้าผู้ป่วยไม่รักษาวินัยในการทานยาต้านไวรัสอย่างเคร่งครัด
จะทำให้เกิดการดื้อยาเร็วขึ้นกว่าระยะเวลาการดื้อยาตามปกติ


"ความกังวลเกี่ยวกับการให้ยาต้าน
ไวรัสอีกประการคือ เมื่อสามารถยืดระยะเวลาการมีชีวิตอยู่
จะทำให้โอกาสในการแพร่เชื้อและได้รับเชื้อเอดส์เพิ่มมากขึ้น
อีกทั้งยังทำให้เกิดไวรัสลูกผสมสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งทางการแพทย์กังวล
ว่าจะรุนแรง และความสามารถในการแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าเดิม"
ศ.ดร.พ
.ญ.รวงผึ้ง กล่าว




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คม
ชัดลึก






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:23:05 น.
Counter : 301 Pageviews.  

ครีมกันแดด - รังสี UV














สงแดด และรังสี UV เป็นสิ่งที่เราๆ
นักดำน้ำไม่สามารถหลกเลี่ยงได้ และยิ่งการอยู่ในน้ำเย็นๆด้วย แล้ว
ทำให้พวกเรา ไม่รู้สึกร้อนเหมือนถูกแดดเผา
หลายๆคนโดยเฉพาะผู้ชายเลยไม่ค่อยระวังตัวและทาครีม กันแดดกัน อย่างเพียงพอ
บางคนอาจจะคิดว่าอันตรายจากรังสี UV จะเห็นชัดในเฉพาะกลุ่มคนที่มีผิวสีอ่อน
อย่างโซนยุโรป แต่จริงๆแล้ว
ในเมืองไทยก็เริ่มมีการพบมะเร็งผิวหนังมากขึ้นแล้วนะครับ คงเป็นเพราะโลก
เราร้อนขึ้น รังสีแรง ขึ้นแหงๆ
T_T การป้องกันตัวเองจากอันตรายของรังสี UV จึงสำคัญมาก
ก่อนอื่นเรามารู้จักรังสี UV กันก่อนดีกว่า





จากรูปจะเห็นว่ารังสีที่ส่องลงมายังพื้นผิวโลก
แบบเต็มนั้นมี 2 ชนิด นั่นคือ UVA และ UVB ซึ่งมีค่าความถี่ แตกต่างกัน
ผลกระทบต่อผิวหนังของมนุษย์ก็ไม่เท่ากัน
เรามาดูการเจาะทำลายเซลล์ผิวของรังสี ทั้ง 2 ชนิดกันง่ายๆดังนี้









รังสี UVA:
รังสีคลื่นยาวที่เจาะลึกลงสู่ใต้ผิว ผ่านไปยังผิว หนังชั้นหนังแท้
ทำให้เกิดอันตรายต่อโครง สร้างเนื้อเยื่อ เส้นใย อิลาสตินและคอนลาเจน ส่งผลให้ผิวหนังดำคล้ำหม่นหมอง เหี่ยวย่น
และก่อให้เกิดมะเร็ง ผิวหนังได้ในระยะยาว

รังสี UVB: รังสีคลื่นสั้นที่จะถูกดูดซับ
และกระจายตัวอยู่ บริเวณผิวชั้นบน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนังอย่างเฉียบพลัน
เพราะ จะทำให้ผิวหนังปรากฏอาการไหม้แดด
เซลล์ผิวมีลักษณะที่หนา ผิดปกติ และอาจกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ในที่สุด

ดัง
นั้นสารกันแดดที่ดีจึงจำเป็นต้องกรอง หรือดูดซับหรือสะท้อน รังสีได้ทั้ง 2
ชนิด




สารกันแดดที่ดีควรเป็นอย่างไร?
1.
ควรมีคุณสมบัติปกป้องผิวได้ดีทั้งรังสี UVA และ UVB
2.
เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในส่วนของโลกที่ได้รับรังสี UV ค่อนข้างสูง
จึงควรใช้ครีมกันแดด จริงๆอยากบอกว่า ทุกวันอย่างน้อยที่
ค่า SPF15 ขึ้นไป
3. เพื่อปกป้องเต็มประสิทธิภาพ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์
ป้องกันแสงแดดที่มีคุณสมบัติป้องกัน ได้ทั้งเหงื่อ และน้ำ
4.
สารกันแดดภายในผลิตภัณฑ์ควรมีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ
เพื่อความปลอดภัยต่อผิว
5. เนื้อผลิตภัณฑ์ควรละเอียดเบา
ทาแล้วแนบเนียนผิว ไม่มีส่วนผสมของสาร PABA ซึ่งหลายๆคนเกิดอาการ
ระคายเคืองได้ง่าย









SPF
และ PA .. คืออะไรค่ามาตรฐานกรองกั้นรังสี ?
ก่อนอื่นต้องทำ
ความเข้าใจก่อนว่าค่า SPF คือค่าบอกระดับการป้องกันรังสี UVB เท่านั้น
แต่ตอนหลัง มีการสิจัยแล้ว พบว่ารังสี UVA ก็ทำร้ายผิวเราพอกัน
แต่ก็ไม่มีการตั้ง rate วัดระดับการป้องกันขึ้นมาแน่นอน ต่อมาจึงกำหนด
ให้ใชคำว่า PVA ขึ้นมา สรุปแล้วก็คือ
SPF หรือ Sun Protection Factor
เท่ากับค่าแสดงประสิทธิภาพของการปกป้องผิวจากแสงแดด
และกรองกั้นอันตรายจากรังสี UVB ที่เป็นสาเหตุของความไหม้
เกรียม ผิวหนังไหม้แดดจากสภาพผิวปกติ เช่น
ถ้าสภาพผิวปกติสามารถอยู่ท่ามกลางแสงแดดได้นาน 15 นาที
ถึงจะเกิดอาการไหม้แดด ดังนั้น การใช้ครีมป้องกัน แสงแดดที่มีค่า SPF 15
จะสามารถปกป้องผิวให้ อยู่ท่ามกลางแสงแดดได้นานเพิ่มขึ้นเป็น 15 เท่า คือ
จาก 15 นาที เป็น 225 นาที หรือ 3 ชม. 45 นาที
และควรทาซ้ำอย่างต่อเนื่องในกรณีที่ร่างการผลิตเหงื่อออกมามาก
PA หรือ Protection UVA คือ
ค่ามาตรฐานจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อแสดงประสิทธิภาพการปกป้องผิว
จากอันตรายของรังสี UVA
ที่เป็นสาเหตุของความหมองคล้ำและเหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย โดยการระบุค่า PA
ถ้ามี จำนวน + มาก แสดงถึงประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องผิวจากรังสี UVA
เช่น PA+++ คือประสิทธิภาพสูงสุด ในการปกป้องผิวจากรังสี UVA
ที่ใช้ในเครื่องสำอาง


เลือกค่า SPF
เท่าไหร่จึงเหมาะ?

จากมารตฐานโดยทั่วไปแล้ว
หากทากันแดดในชีวิตประจำวันแล้วล่ะก็ SPF 15 ถือว่าเพียงพอครับ ส่วนคนดำน้ำ
อย่างเราๆก็ควรเพิ่มเป็นอย่างน้อยที่ SPF 30 แต่เห็นสาวๆส่วนใหญ่จะพก SPF
50 กันเสียเยอะอันนี้ก็ แล้วแต่ทุน เพราะยิ่งค่า SPF สูง ราคาก็จะยิ่งสูง
และก็จะยิ่งล้างออกยาก โอกาสเกิดอาการแพ้ก็เยอะตามไปด้วย

ปริมาณในการทาครีมกันแดด?
เคย
อ่านเจอในรายงานวิจัยของหมอ เขาบอกว่าค่า SPF
ที่ระบุในขวดวัดจากปริมาณการทาในแต่ละส่วนที่ ค่อนข้างเยอะ คือ 2 ml
ต่อพื้นที่ผิว 19 ตารางcm
เอาว่าทาเราทาได้ตามนั้นจริงๆก็เหมือนอาบครีมกันแดด แล้วครับ
ดังนั้นค่าการป้องกันที่เราทาๆกัน อยู่จริงๆ แล้วได้แค่ SPF 2
กว่าๆเท่านั้นเอง ปริมาณการทา ครีมกันแดดแบบได้ผลควรทาอย่างน้อย 1
อุ้งมือเต็มๆ สำหรับทาทั่ตัว หรือควรทาดังนี้



ภาพจากเวบ
//www.archderm.ama-assn.org/issues/v138n6/ffull/dlt0602-3.htm


ครีมกันแดดแบบกันน้ำ...กัน
น้ำจริงหรือ?

ครีมกันแดดที่มีขายโดยทั่วไปจะเขียนว่า Water/sweat
Resistant ซึ่งหมายความว่าทนทานต่อเหงื่อ และน้ำ ไม่ใช่
"กันน้ำ" อย่างที่เราคิดว่าโดนน้ำแล้วไม่หลุด
(ไม่งั้นจะล้างออกได้ไงล่ะครับ) กการทาครีมกันแดดให้ได้ผล ควรทาก่อนออกแดด
20 นาที และทา่ซ้ำทุก 2 ชม. หรือบ่อยกว่านั้น
ยิ่งลงดำน้ำด้วยแ้ล้วต้องรีบเช็ดหน้า แล้วทาซ้ำทันที
ทุกๆ Dive

ทาครีมกันแดดแล้วสิวขึ้น หน้าหมอง?
เพื่อนๆผมหลายคนไม่ชอบทาครีมกันแดด เพราะทาแล้วเหนียว
หน้ามัน และมีสิวขึ้น นั่นเป็นเพราะ
1 คุณอาจแพ้สารกันแดดบางตัว
อันนี้ควรปรึกษาหมอครับ
2. ล้างครีมกันแดดไม่หมด
งงไหม..ไหนบอกไม่กัน
น้ำ แต่กลับล้างไม่หมด T_T
เนื่องจากครีมกันแดดจะหลุดลอกออกบางส่วนหลังเราดำน้ำ
ทำให้ปริมาณค่าการกันแดดลดลง แต่สารบางตัวในครีม
ไม่สามารถล้างให้หมดจดได้ด้วยสบู่ธรรมดา ดังนั้นการ
ที่มีสารเหล่านี้ตกค้างอยู่บนหน้า จึงทำให้เกิดสิวอุดตันได้
(สิวที่เป็นผื่นๆ ไม่มีหัวนั่นล่ะครับ)


การล้างครีมกันแดดให้หมดจด
การล้างครีมกันแดดให้หมดไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับสาวๆ เพราะ
Cleansing แบบ Oil base ทั้งหลายของพวก เธอสามารถล้างครีมกันแดดได้หมด
แต่ผู้ชายอย่างเราๆคงลำบากหน่อย เพราะให้พกโฟมล้าง หน้านี่ก็ฝืนจะแย่แล้ว
ต้องให้พก Cleansing อีกคงไม่ไหว
แนะนำให้ซื้อพวกเจลสำหรับล้างผลิตภัณฑ์กันแดด โดยเฉพาะ มาใช้ครับ
ส่วนใหญ่ยี่ห้อครีมกันแดดที่ล้างออกยากๆก็ผลิตเจ้าพวกนี้ออกมาขายคู่กัน


สารกันแดดตัสไหนกัน UVA และ UVB
ได้ครบ?

ดูง่ายๆที่หลังขวดครับ
หรือถ้าเริ่มชำนาญหน่อยแนะนำให้เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ
titanium
dioxide และ zinc oxide เพราะทั้งสองตัวเป็นสารกันแดดที่มีอนุภาคใหญ่
ไม่ซึมเข้าผิว และสะท้อน UV ได้ดี สารกันแดดยังมีอีกหลายตัวครับ ลองดูเลย



ทีนี้เราก็สามารถเลือกซื้อครีมกันแดดได้อย่าง
เหมาะสม แล้วอย่าลืมทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ไปดำน้ำนะครับ ^_^
ใครอยากได้ข้อมูลดีๆเรื่องครีมกันแดด หรืออยากดูรีวิวว่าครีมกันแดดตัวไหนดี
เข้าไปที่นี่เลยครับมีครบ ขอบคุณ มากครับ








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:20:48 น.
Counter : 255 Pageviews.  

กิน "บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" อย่างฉลาด














































เกือบ
จะไม่มีคนไทยรายใด ที่ไม่รู้จัก "บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป"
ซึ่งส่วนมากมักจะเรียกชื่อตามตราหรือยี่ห้อ
เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยติดอันดับตลอดมา

หากจะนำตัวเลขยอดของคนไทย กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ออกมาเปิดเผยแล้ว หลายคนจะตาค้าง คาดไม่ถึง เพราะจากรายงานระบุว่า
ในแต่ละวัน คนไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 6-7 ล้านซอง ตกคนละประมาณ 50
ล้านซองต่อปี

กลุ่มที่กินมากที่สุดเห็นจะเป็น เด็ก และ วัยเรียน
วัยรุ่น โดยเฉพาะ เด็กหอพัก

เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา
นักโภชนาการจัดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารด้อยคุณค่า ไม่สมดุล
มีแต่แป้งและผงชูรส ต่อมาทานกระแสการบริโภคที่มาแรงของคนไทยไม่ได้
จึงร่วมมือกันนำมาพัฒนาให้มีคุณค่ามากขึ้น โดยการเสริมสารอาหาร 3
ชนิดในเครื่องปรุง คือ วิตามินเอ ไอโอดีน และธาตุเหล็ก
แล้วส่งเสริมการบริโภคให้ถูกหลักโภชนาการ

การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จ
รูปโดยเพียงแค่เติมน้ำร้อนแล้วกินเลยนั้น ถือได้ว่ากินไม่ถูกต้อง
โดยเฉพาะกินแบบนี้ติดต่อกันจนเป็นนิสัย ที่เห็นยิ่งไปกว่านั้นคือ
ฉีกซองกินทั้งดิบๆ เป็นขนม กินเล่น การกินลักษณะนี้ติดต่อกันเป็นประจำ
จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ เพราะเท่ากับว่าได้กินเฉพาะแป้ง

ตอน
เลือกซื้อต้องสังเกตบนซองว่า มีสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ อยู่ด้วย
เมื่อนำมาปรุงจะต้องเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผักลงไปทุกครั้ง
ที่สำคัญต้องไม่ลืมฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงในบะหมี่ทุกครั้งที่ปรุง
ใส่น้ำให้พอดี ซดน้ำให้ได้มากที่สุด หมดชามยิ่งดี
ถ้าจะนับดูแล้วจากที่เราจะได้สารอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตเพียงอย่างเ
ดียว เรากลับได้วิตามินและแร่ธาตุจากผักใบเขียว โปรตีนจากเนื้อสัตว์
และไขมันจากน้ำมันเจียวที่มีอยู่ในซองบะหมี่ด้วย
เรียกได้ว่ามือนี้เราได้รับประทานบะหมี่ที่มีสารอาหารครบทั้ง 5
หมู่เลยทีเดียว




















Free TextEditor








































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:06:48 น.
Counter : 313 Pageviews.  

บริสุทธิ์ 5 อย่างเพื่อชีวิตยืนยาว




















































บริสุทธิ์ 5 อย่างเพื่อชีวิตยืนยาว

1. น้ำบริสุทธิ์
ให้ร่างกายได้น้ำเพียงพอ
ได้น้ำที่สะอาด จะเป็นน้ำกลั่น น้ำกรองก็ได้ ขอให้สะอาดก็พอ

2. อาหารบริสุทธิ์
หลีกเลียงอาหารที่ปรุงแต่งมาก ผ่านกระบวนการมาก เพราะจะผ่านสารเคมีมากมาย
อาหารที่ดีที่สุดประจำวัน ก็ ข้าว ทานกับข้าวนี่ละ แต่ให้หลากหลายเปลี่ยนไป
บ้าง อย่ากินซ้ำกันนานๆเพราะอาหารแต่ละอย่างมีทั้งคุุณและโทษ
เพราะฉะนั้นเลือกทานอาหารที่สด ทานให้หลากหลายไม่ซ้ำซาก

3. อากาศบริสุทธิ์
หาเวลาไปพักผ่อนต่างจังหวัดบ้าง ให้ร่างกายได้พัก
พร้อมที่จะฟื้นฟูแล้วกลับมาทำงานหนักได้ต่อ

4. จิตใจบริสุทธิ์
แต่ละวันให้เวลากับตัวเองได้สวดมนต์ หรือนั่งสมาธิ
ด้วยวิธีไหนก็ได้ที่ทำให้ใจสงบ ผ่อนคลาย
ถ้าจิตใจสบายร่างกายก็จะแข็งแรงขึ้น จะมากจะน้อยนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

5. ร่างกายบริสุืทธิ์ คื่อการออกกำลังกาย
แต่ควรให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายตัวเอง
ถ้ามีอายุแล้วควรตรวจเช็คร่างกายให้ดีก่อน
และเลื่อกประเภทที่เหมาะกับเรามากที่สุด และดูว่า แค่ไหนถึงจะพอดีกับตัวเอง























ขอ
ขอบคุณสาระดีดี จาก











Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:05:25 น.
Counter : 298 Pageviews.  

เคมีบำบัดมะเร็ง
































บทบาทของเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง



บทบาท
ของเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ 1.
การรักษาเพื่อมุ่งให้หายขาด โดยมีวงจำกัดอยู่เฉพาะมะเร็งบางชนิด
และบางระยะของโรคเท่านั้น

          1.1
ใช้เคมีบำบัดรักษาเพียงอย่างเดียว เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งลูกอัณฑะ เป็นต้น

          1.2
ใช้เคมีบำบัดร่วมกับการผ่าตัด ได้แก่
-
การใช้เคมีบำบัดก่อนการผ่าตัดเพื่อให้ผ่าตัดได้ง่ายขึ้น
หรือสามารถเก็บอวัยวะบางอย่างไว้ได้ เช่น มะเร็งเต้านม
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งกระดูก เป็นต้น
-
การใช้เคมีบำบัดหลังการผ่าตัดเพื่อให้มีโอกาสหายมากขึ้น เช่น มะเร็งเต้านม
มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระดูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

         
1.3 ใช้เคมีบำบัดร่วมกับรังสีรักษา โดยแบ่งเป็น 3 แบบ คือ
ใช้เคมีบำบัดก่อนให้รังสีรักษา การใช้เคมีบำบัดพร้อม ๆ กับการใช้รังสีรักษา
และใช้เคมีบำบัดหลังการให้รังสีรักษา





















ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต
ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต











2.
การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ

ใช้ในกรณีที่เป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายเป็นส่วนใหญ่
และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
แต่จะเป็นการยืดอายุผู้ป่วยให้สบายขึ้นชั่วคราวเท่านั้น



ผลข้างเคียงและอาการพิษของเคมีบำบัด
(ยาเคมีบำบัดแต่ละตัวไม่จำเป็นต้องมีผลข้างเคียงเหมือนกัน)

1.
พิษต่อไขกระดูก ยาจะไปกดไขกระดูกทำให้การสร้างเม็ดเลือดผิดปกติ เลือดจาง
เม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ
โดยเฉพาะการติดเชื้อ

2. พิษต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ
ทำให้ผนังหลอดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และอาจขาดเลือดมาเลี้ยงบางส่วน


3. พิษต่อระบบหายใจ อาจทำให้ทางเดินหายใจและเนื้อเยื่อปอดอักเสบ

4.
พิษต่อระบบทางเดินอาหาร อาจส่งผลกระทบต่อการอักเสบตลอดทางเดินอาหารจากปาก
หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ ไปจนถึงทวารหนัก
นอกจากนี้การอักเสบอาจเกิดเป็นแผล มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก
ท้องเดิน พิษต่อตับและตับอักเสบได้

5. พิษต่อระบบทางเดินปัสสาวะ
ทำให้เกิดการอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด เนื้อไตเกิดการเปลี่ยนแปลง
และอาจเกิดไตวายชนิดเฉียบพลัน

6. พิษต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
ทำให้บริเวณปลายประสาทเกิดการอักเสบ ปลายมือและปลายเท้าเกิดอาการชา
กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย
และเมื่อพิษซึมเข้าสู่ประสาทส่วนกลางจะมีอาการซึมและชัก

7.
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ จะส่งผลไปกดการทำงานของอัณฑะและรังไข่
ประจำเดือนอาจหายไประยะเวลาหนึ่งรวมถึงเป็นหมันชั่วคราว
สำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ 3
เดือนแรกอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของทารกในครรภ์ทำให้แท้งและคลอดก่อนกำหนด
หรือทำให้ทารกพิการได้
ด้วยเหตุนี้จึงห้ามหญิงมีครรภ์รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด โดยเฉพาะใน 3
เดือนแรก

8. พิษต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหยาบ มีสีคล้ำ ผมและขนร่วง

9.
พิษต่อหู ทำให้หูอื้อ หูหนวก

10. พิษเฉพาะที่
ซึ่งเคมีบำบัดชนิดที่ระคายเคืองต่อหลอดเลือดอาจเกิดการอักเสบ
และถ้าออกนอกเส้นเลือดอาจทำให้เนื้อเยื่อตาย และเป็นแผลได้

11.
พิษทั่ว ๆ ไป จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัวหรือปวดข้อ
มีไข้ เป็นต้น

12. กดการสร้างภูมิคุ้มกัน
ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ




ที่มา : ผศ.นพ.วิเชียร
ศรีมุนินทร์นิมิต ภาควิชาอายุรศาสตร์
























ขอ
ขอบคุณสาระดีดี จาก










Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 17:04:08 น.
Counter : 309 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.