สมุนไพรชะลอตีนกา
























คุณๆ
ผู้หญิงทั้งหลาย


ไม่ว่าจะ
เป็นสาวน้อยหรือสาวมาก.ก มักต้องเคยส่องกระจกมองตัวเอง
แล้วร้องยี้เมื่อพินิจพิจารณาใบหน้าของตนเอง
ล้วพบแขกที่ไม่ได้รับเชื้อเชิญเล้ย นั่นก็คือร่องรอยตีนกาเป็นริ้วๆ
บริเวณหางตาบนใบหน้างามๆของคุณ คงไม่ดีเป็นแน่
หากปล่อยให้ร่องรอยนี้เกิดขึ้นโดย ไม่ได้ยับยั้งไว้
เรามีวิธีชะลอรอยตีนกา...ให้มาเยือนคุณช้าลงได้ค่ะ


ริ้วรอย
รอยดวงตา หรือมีตีนกามากมายก่อนวัยอันควรนั้น
เกิดขึ้นก็เพราะคุณไม่ได้ระวังหรือถนอมผิวส่วนนี้ให้ดีเพียงพอ
รอบดวงตานั้นบอบบาง ทำให้เกิดริ้วรอยและรอยย่นได้ง่ายค่ะ
โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่แต่งหน้าเป็นประจำ
ยิ่งต้องระวังผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้บริเวณดวงตาของคุณค่ะ
เพราะเมื่อใช้แล้วอาจมีสารตกค้าง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ดวงตาคุณเกิด
ริ้ว
รอยได้นั่นเองค่ะ

นอกจากนี้การตากแดดมากเกินไป กินอาหารไม่ถูกต้อง
การสูบบุหรี่ ความเครียด
และวัยที่เพิ่มขึ้นก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยเช่นกัน





























วิธี
ฟื้นฟูผิวรอบดวงตาด้วยสมุนไพร


สูตรที่ 1
ใช้มะขามเปียก 1 กำมือ เอารกออกแล้วล้างน้ำให้สะอาด
ผสมกับน
มสด 2 ช้อนโต๊ะ ขยำให้เข้ากัน(ถ้าข้นให้เติมน้ำลงไป)
นำมากรองด้วย
ผ้าขาวบาง หลังจากนั้นเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน

แล้วนำครีมมะขามที่ได้มาทาให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหางตา
ทาให้
นานหน่อย ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที จึงล้างออก ครีมมะขามสูตรนี้
สามารถ
เก็บใส่ภาชนะที่สะอาดแล้วเก็บในตู้เย็นได้ประมาณ 1 เดือนเชียวค่ะ


สูตรที่ 2
นำใบบัวบกสดๆ มาปั่นหรือตำ จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำ
แล้วใช้สำลี
ชุบน้ำบัวบกที่ได้มาพอกหรือทาบนหน้าประมาณ 15 นาที
แล้วล้างออก
ทำทุกวันก่อนนอน
ใบบัวบกช่วยชะลอความแก่เพราะไปกระตุ้นการสร้าง
คอลลาเจนและอีลาสติน
ซึ่งช่วยชะลอรอยเหี่ยวย่นได้ค่ะ


นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ช่วยบำรุงผิวหนังได้ดีที่สุดคือ
1. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่านอนดึก
เพราะการนอนดึกเป็นตัวทำร้ายผิวหนัง
ที่น่ากลัวที่สุดค่ะ
2.
รับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วน โดยเฉพาะพวกผักผลไม้
รับประทานให้
มากๆ เข้าไว้
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
4.
ทำอารมณ์และจิตใจให้รื่นเริงสดใส พยายามอย่าเครียดและวิตกกังวล
5.
หลีกเลี่ยงแสงแดด ควันบุหรี่และมลภาวะเป็นพิษ


หาก
คุณปฏิบัติตนเช่นนี้อย่างเคร่งครัด คุณก็จะสวยสมวัยหรือดูอ่อนกว่าวัย
ไป
ด้วยซ้ำ รอยตีนกาน่ะเหรอะ...คงอีกนานกว่าจะเดินทางมาถึงตัวคุณ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 20 เมษายน 2553    
Last Update : 20 เมษายน 2553 0:58:14 น.
Counter : 319 Pageviews.  

ภาวะสมองเสื่อม กับไข่ไก่



























เห็น
ว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ....

หาก
ใครได้ดูรายการ "ข้อเท็จจริง..วันนี้"
ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี
เกี่ยวกับเรื่อง "ภาวะสมองเสื่อง..กับไข่ไก่"
เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ...
จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น
จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด
ทางคุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย
เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย
แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การที่หลายๆ
คนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง






























คุณหมอ
ยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น
หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20
แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่


มัน
มากกว่าไอ้ส่วนที่ไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด คุณหมอบอกว่า
โรคอัลไซเมอร์นั้น ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย
หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การรับ
ประทานไข่ทุกวันๆละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก

คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น
ไม่มีปัญหาดังที่เราๆ เข้าใจกันแบบผิดๆ
คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค ขนาดอายุ
80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง
ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก
จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง


อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท
ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆ ชนิด
แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ
ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น

คุณหมอเสริมว่า
ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆ หนึ่ง
ในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆ เส้นใยยึดส่วนอื่นๆ ไว้ (หากไม่เคยสังเกต
ก็ลองเตาะไข่ดิบดู)
พร้อมกันนี้
ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียง
ใด ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่
ต่อคนสูงสุด ก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ

คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน
ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน
แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล....

การบริโภคไข่จะ
ช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย
ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่

คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี
เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ ในแต่ละวัน




















ขอ
ขอบคุณสาระดีดี..จาก







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 20 เมษายน 2553    
Last Update : 20 เมษายน 2553 0:55:07 น.
Counter : 367 Pageviews.  

หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม














































ใคร
ที่ชอบทานอาหารที่มีรสชาติเค็ม ทราบหรือไม่ว่า
อาจเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง
วันนี้เกร็ดความรู้มีการหลีกเลี่ยงอาหารเค็มมาบอกกัน...



- เปลี่ยนพฤติกรรมในการปรุงรส


- ใช้มะนาว พริก เครื่องเทศปรุงอาหารแทนเกลือหรือน้ำปลา


-
หากซื้ออาหารกระป๋องต้องอ่านสลากอาหารเพื่อดูปริมาณสารอาหารเลือกที่มีเกลือ
ต่ำ


- รับประทานอาหารสด เช่น
เนื้อสัตว์ ผัก หรือผลไม้ แทนการรับประทานอาหารที่ผ่านขบวนการถนอมอาหาร


- ไม่เติมเกลือหรือน้ำปลาเพิ่มในอาหารที่ปรุงเสร็จ


- หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เช่น หมูเค็ม เบคอน ไส้กรอก ผักดอง
มัสตาร์ด และเนยแข็ง


- อาหารตากแห้ง
เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม หอยเค็ม กุ้งแห้ง ปลาแห้ง


- เนื้อสัตว์ปรุงรส ได้แก่ หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง


- อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กซอง
ซุปซอง


- อาหารสำเร็จรูปบรรจุถุง เช่น
ข้าวเกรียบ ข้าวตังปรุงรส มันฝรั่ง


-
เครื่องปรุงรสที่มีเกลือมาก เช่น ซุปก้อน ผงชูรส ผงฟู


- อาหารหมักดองเค็ม เช่น กะปิ เต้าหู้ยี้ ปลาร้า ไตปลา
ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง แหนม ไส้กรอกอีสาน



รู้อย่างนี้แล้ว ลองหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม
เพราะจะได้ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตสูง.




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เด
ลินิวส์





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 20 เมษายน 2553    
Last Update : 20 เมษายน 2553 0:52:27 น.
Counter : 350 Pageviews.  

6 วิธี เสริมภูมิ..ต้านโรค

















































1. ลดความเครียด..อารมณ์เครียดจะ
ส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลงจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
จึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเครียด


2. นอนหลับให้เพียงพอ..การนอนไม่พอนั้นมี
ผลลดการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี
โดยการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม.เป็นเวลา 4
วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแอนติบอดี
ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่นอนหลับคืน
ละ 4 ชม. ถึง 50%



3.
ดื่มน้ำเปล่ามากๆ..
อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
น้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจ
ส่วนบน ที่จะช่วยป้องกัน และดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย


4. ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำ..นอก
จากช่วยให้กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยขับของเสียผ่านทางเหงื่อ
และเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดทำให้เซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิต้านทาน เช่น
แอนติบอดีและเม็ดเลือดขาว
เดินทางไปทำลายสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคที่บริเวณอวัยวะต่างๆ ได้เร็วขึ้น


5.
รับประทานอาหารให้ครบถ้วนเพียงพอตามหลักโภชนาการ..
โดยเฉพาะ
อาหารเสริมภูมิต้านทาน อย่างเช่น ผัก ผลไม้ ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี
วิตามินอี วิตามินบี และแร่ธาตุบางชนิด ได้แก่ ซีลีเนียม และสังกะสี
ซึ่งมีผลเพิ่มการสร้างเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้เบต้าแคโรทีน
วิตามินซี และอี ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ต่างๆ
ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระอันเป็นตัวการก่อมะเร็งได้อีกด้วย


เบต้าแคโรทีน
 มีมากในผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือส้มจัด ผักใบเขียวจัด เช่น ผักบุ้ง
ฟักทอง แครอท มะละกอ มะม่วงสุก มะเขือเทศ


วิตามินซี  พบในผักใบสีเขียวต่างๆ
และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม


วิตามินอี 
พบในน้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา ถั่วเปลือกแข็ง
เมล็ดพืชต่างๆ ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว


วิตามินบี  พบในผักใบเขียว นม เนื้อสัตว์
ถั่วต่างๆ ตับ ไข่ และธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ


ซีลีเนียม  พบใน
อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ และธัญพืช


สังกะสี  พบในเนื้อวัว นม และถั่วต่างๆ


กระเทียม 
เป็นเครื่องเทศที่มีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทานโดยสารอัลลิซิน (allicin)
และซัลไฟด์ (sulfides)
ในกระเทียมจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน
มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย


กรดโอเมก้า 3 
เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดขา และแอนติบอดี
พบมากในปลาทะเล เช่น แซลมอน หรือทูน่า และธัญพืชบางชนิด เช่น ถั่ววอลนัท
เมล็ดปอ รวมทั้งพืชผักใบเขียว


โยเกิร์ต
ที่มีจุลินทรีย์และโตแบคทีเรีย (kactibacterua)
เช่น
แลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส (lactobacillus adidophilus)
ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
โดยจะยับยั้งการเกิดจุลินทรีย์ตัวร้ายในระบบย่อยอาหาร เช่น แบคทีเรีย รา
หรือยีสต์
รวมทั้งยังกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดีให้กำจัดเชื้อโรคได้
อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


6. หลีกเลี่ยงอาหาร..หรือ
พฤติกรรมที่ส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลง..เช่น เลี่ยงการกินอาหารหวานจัด
ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เกินวันละ 2 แก้ว ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไป
ด้วยวิธีง่ายๆ ใกลตัวเราเหล่านี้ ก็จะสามารถคงไว้ซึ่งสุขภาพที่แข็งแรง
ปราศจากโรคร้ายต่างๆ และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขไปนานๆ ค่ะ..

























ขอ
ขอบคุณสาระ ดีดี จาก










Free TextEditor







































































































 

Create Date : 20 เมษายน 2553    
Last Update : 20 เมษายน 2553 0:49:21 น.
Counter : 288 Pageviews.  

SEX กับโรคหัวใจ













































เพศ
สัมพันธ์กับโรคหัวใจ


เพศสัมพันธ์เป็นความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์
การมีข้อจำกัดในการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจาก ความเจ็บป่วย
อาจก่อให้เกิดความเสื่อมโทรม ของสุขภาพร่างกาย และจิตใจของทั้งผู้ป่วย
และคู่สมรส และอาจมีผลกระทบ ต่อการดำรงชีวิตครอบครัว ส่วนตัว
และสังคมส่วนรวม


จากการศึกษาและการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจ
มีปัญหาเพศสัมพันธ์ 30 – 40% โดยเกิด
จาก


1.
ผลกระทบโดยตรงจาก
โรคหัวใจเองที่พบบ่อย คือ เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกขณะออกแรง
ทำให้เกิดความกลัว ไม่กล้ามีเพศสัมพันธ์

2.
มี
ความรู้สึกผิด ๆ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์

3.
มี
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรค ทำให้ความรู้สึกเรื่องเพศลดลง


การ
มีเพศสัมพันธ์เป็นของ ต้องห้าม หรืออันตราย หรือไม่ ต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ


การมีเพศ
สัมพันธ์ของผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ใช่สิ่งต้องห้าม ไม่ใช่อันตราย
แต่เป็นสิ่งที่ควรระวังเท่านั้น

ถ้าผู้ป่วยมีความรู้เรื่องโรคของตน
เองรวมทั้งมีสภาพจิตใจที่ปกติประกอบกับความร่วมมือของคู่สมรส


การ
มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยของผู้ป่วยโรคหัวใจ


1.
ร่วมกับคู่สมรสของตนเอง และคู่สมรสร่วมมือด้วย
2.
สถานที่ที่คุ้นเคย มิดชิด
3.
เวลา
ที่เหมาะสม คือ
เวลาเช้ามือหลังจากร่างกายได้หลับนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่มาแล้ว
ถ้าเป็นเวลาค่ำก็ ควรเป็นหลังอาหารมื้อเย็น อย่างน้อย 2 ชั่วโมง และไม่ดื่มจนเมามาย

4.
มีการปลุกร้าอารมณ์กันก่อนให้เต็มที่เพื่อเป็นการเตรียม
หัวใจให้ค่อย ๆ ปรับตัว

5.
ท่าของการร่วมเพศ
ควรเป็นท่าสบาย ๆ ธรรมชาติไม่ให้ผู้ป่วยอึดอัดเจ็บปวดหรือออกแรงมาก
คู่สมรสควรจาช่วยให้หรือออกแรงมากกว่า

6.
ร่วมเพศทางช่อง
ทางของคนปกติ

7.
อย่าลืมกินยารักษา
โรคหัวใจตามคำแนะนำของแพทย์ บางครั้งสำหรับบางคนแพทย์จะแนะนำ ยากิน
หรือยาอมใต้ลิ้น ก่อนการร่วมเพศ
แต่เนื่องจากความต้องการทางเพศอาจไม่แน่นอนว่าเมื่อใด
อย่างน้อยท่านควรกินยาตามมื้อที่กำหนดไว้เสมอ ๆ


อาการผิดปกติ
ระหว่าง หรือหลังการร่วมเพศ


มีความจำเป็นที่ท่านควรสังเกตอาการของตนเองขณะหรือหลังการ
ร่วมเพศ เพื่อที่จะช่วยเหลือตนเอง หรือแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อรักษา
และการป้องกันอาการผิดปกติที่อาจก่อให้เกิดอันตราย อาการต่าง ๆ
ดังต่อไปนี้มักเกิดหลังการร่วมเพศใหม่ ๆ


1.
หัวใจเต้นเร็ว หรือรู้สึกใจสั่นอยู่นานกว่า 10 นาที
2.
หายใจ
หอบเร็ว หรือหายใจลำบาก อยู่นานกว่า 10 นาที

3.
มีอาการเจ็บแน่นกลางอกเหมือนอย่างที่เคยเป็น
แต่รุนแรงกว่า

4.
นอนหงายไม่ได้
เพราะมีอาการต่าง ๆ ดังที่กล่าวข้างต้น

5.
อ่อนเพลียมาก
เวียนหัวจะเป็นลม เหงื่อออกมากตัวชื้น


ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดอาการผิดปกติ

1.
นอนพักอยู่กับเตียง อย่าเพิ่งรีบลุกเดิน
หรือถ้าจำเป็นก็ค่อย ๆ เคลื่อนไหว ถ้าพอจะมีออกซิเจนอยู่กับบ้าน ก็ใช้ดมเลย

2.
ใช้ยาอมใต้ลิ้น หรือยาพ่นใต้ลิ้น ถ้าอาการต่าง ๆ
เหล่านั้นไม่ดีขึ้น อม หรือพ่นซ้ำอีกในทุก 5 –
10
นาที ถ้าซ้ำสองสามครั้งแล้วไม่ดีขึ้น
ควรรีบไปโรงพยาบาลใกล้เคียง หรือ โรงพยาบาล ที่เคยไปรับการรักษา

3.
ในโอกาสพบแพทย์ที่รักษาโรค ควรขอคำแนะนำ

สรุป

การมีเพศ
สัมพันธ์ของผู้ป่วยโรคหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด
ถ้าร่างกายยังแข็งแรงพอสมควร คู่สมรสร่วมมือดีและขอคำแนะนำจำแพทย์แล้ว
โอกาสที่จะเกิดอันตรายน้อยมาก และโอกาสถึงตายเกือบไม่มี
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยไม่ควรมีเพศสัมพันธ์บ่อยเกินไป คนอายุ 40 ปีขึ้นไปควรมีเพศสัมพันธ์ประมาณสัปดาห์ละ
ไม่เกิน 1 - 2 ครั้ง


ขอย้ำอีกครั้งว่า
ความปลอดภัยของท่านขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
การร่วมมือของบคู่สมรส และความไม่ประมาท























ขอ
ขอบคุณ สาระดีดีจาก









Free TextEditor







































































































 

Create Date : 20 เมษายน 2553    
Last Update : 20 เมษายน 2553 0:47:48 น.
Counter : 360 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.