ดื่มกาแฟอย่างไร ไม่เสียสุขภาพ

   เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา กาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนถูกโจมตีว่า
ทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน
ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้หรือทารกน้ำหนักน้อย
เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันเปิดเผยว่า
การดื่มกาแฟเพียงวันละ 1-2 ถ้วยนั้นปลอดภัย และอาจให้ผลดี ถ้าดื่มให้เป็น

         
มีรายงานผลการวิจัยจากฟินแลนด์และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า
คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงการเกิดเบาหวานประเภท 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม
ความเสี่ยงที่ลดลงเป็นสัดส่วนกับปริมาณกาแฟที่ดื่ม
และกาแฟไร้คาเฟอีนให้ผลน้อยกว่า
ส่วนชาไร้คาเฟอีนและเครื่องดื่มอื่นๆที่มีคาเฟอีนไม่ให้ผลเหมือนกาแฟ 

         
นอกจากนี้กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ
ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ
และสำหรับนักกีฬาเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน 

สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง
แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น
แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า
ให้
ดื่มเพียงครั้งละ 2 - 3 ออนซ์ (60 - 90 มล.) แต่บ่อยขึ้น
กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาทีและจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง
และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย


ของดีในกาแฟ

         
เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้
ชาสมุนไพรและไวน์แดงอีก
ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ
แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากันขึ้น
กับชนิดของกาแฟ

กาแฟ
พันธุ์โรบัสต้า (Robusta)
มีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอี
นมากกว่าพันธ์อราบิก้า (Arabicas) ถึง 2 เท่า
ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีการคั่วกาแฟ และปริมาณกาแฟที่ละลายแต่ละถ้วย  
รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาและปริมาณกาแฟที่ใช้ด้วย

ข้อควรระวังในกาแฟ

         
คอกาแฟอย่าเพิ่งย่ามใจกับข้อมูลด้านดีๆ
เพราะองค์ประกอบหลักของกาแฟคือสารคาเฟอีนซึ่งเป็นเป็นสารกระตุ้น
จึงมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจพอสมควร โดยทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
เพิ่มความดันโลหิต และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง
งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า  
การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดคาเฟอี
นช้า ทำให้คาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น
แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดคาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

         
ส่วนผลของกาแฟต่อสุขภาพผู้หญิงก็ยังไม่มีผลวิจัยชัดเจน
ว่าจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ซีสต์ในเต้านมหรือกระดูกพรุนหรือไม่
การเดินสายกลางจึงดีที่สุด ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดคาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย
แต่นักวิจัยเตือนว่า
กาแฟสกัดคาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลตัวร้ายได้
เพราะในกระบวนการสกัดคาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูล
อิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย
นอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้วยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 17:55:00 น.
Counter : 312 Pageviews.  

โรคนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ





































โรคนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ



"นอนกรน"
ไม่ใช่แค่ต้นเหตุที่รบกวนการนอนหลับของคุณและเพื่อนร่วมห้อง
แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับด้วย



 หากโครงสร้างภายในลำคอมีขนาดใหญ่เกินไป
หรือกล้ามเนื้อมีการผ่อนคลายมากเกินไปในขณะนอนหลับ
ช่องทางเดินอากาศจะถูกอุดกั้นไปบางส่วน ทำให้ทางเดินอากาศแคบลง
ลมหายใจเข้าออกจึงแรงกว่าปกติ โครงสร้างภายในลำคอจึงเกิดการสั่นสะเทือน
ก่อให้เกิดเป็นเสียงกรนขึ้น

ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจ
จากการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ


       -
เพศชายมีโอกาสเป็นมากกว่า
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อจากผลของฮอร์โมน
ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณคอหย่อนยานลง
       - อายุมากขึ้น
ทำให้กล้ามเนื้อหย่อนยาน มีการสะบัดของเนื้อเยื่อและอุดตันง่ายขึ้น
       -
ความอ้วน ทำให้มีการสะสมไขมันและอุดตันบริเวณลำคอ
       -
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
       - ยานอนหลับ
และยาคลายเครียด ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
       - บุหรี่
ทำให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินหายใจได้บ่อย
       -
โครงสร้างของกระดูกใบหน้า กรามสั้น ลิ้นอยู่ทางด้านลำคอมาก
มีโอกาสที่โคนลิ้นอุดตันทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในขณะหลับ

การนอนกรน แบ่ง
ได้เป็น 2
ประเภท

       1.นอนกรนอย่างเดียว ไม่มีภาวะของการหยุดหายใจ
เนื่องจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบนขณะหลับ
ผู้ป่วยจะนอนกรนค่อนข้างสม่ำเสมอ ไม่มีการสะดุด

       2.นอนกรน
ร่วมกับภาวะหยุดหายใจ เนื่องจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบนขณะหลับ
ลักษณะการกรนจะค่อนข้างดัง และมีอาการสะดุด มีเสียงดังสลับค่อยเป็นช่วงๆ
หรืออาจสะดุ้งตื่นกลางดึก สำลักน้ำลาย นอนหลับไม่สนิท

ผลที่เกิดขึ้นจากการนอนกรน หรือ
ภาวะหยุดหายใจจากการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ


       1.ผลกระทบทางสังคม ได้แก่ รบกวนผู้ที่นอนด้วย
อาจนำไปสู่การหย่าร้าง ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง อุบัติเหตุจากการหลับใน
เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ อุบัติเหตุจากการทำงานกับเครื่องจักร เป็นต้น

       2.ผลกระทบต่อสุขภาพ
จากการที่ทางเดินหายใจถูกอุดกั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นอุดตัน
ทำให้อากาศไม่สามารถผ่านเข้าสู่ปอดได้ ระดับออกซิเจนในเลือดจะลดต่ำลง
และไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญๆ เช่น สมอง ปอด หัวใจ ไม่เพียงพอ
สมองจึงออกคำสั่งให้ร่างกายตื่นขึ้น
เพื่อให้กล้ามเนื้อตึงขึ้นและช่องทางเดินอากาศเปิดโล่งขึ้น
การอ้าปากให้กว้างขึ้นก็จะช่วยให้การหายใจเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งกระบวนการ
เช่นนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทั้งคืน ทำให้นอนหลับไม่สนิท
ปวดศีรษะหลังตื่นนอน อ่อนเพลียตลอดทั้งวัน อารมณ์หงุดหงิดง่าย ความจำแย่ลง
และอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ อีก เช่น สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง ความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และอัมพฤกษ์อัมพาต

       ภาวะ
ดังกล่าว หากเกิดขึ้นในเด็กจะเป็นปัญหาต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการทางสมอง
รูปร่างของใบหน้าอาจเปลี่ยนแปลง และปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ปัสสาวะรดที่นอน


แนวทางการประเมิน
ก่อนทำการรักษา


       ผู้
ป่วยที่มีปัญหาการนอนกรน แพทย์จะซักประวัติเกี่ยวกับการนอนและอาการกรน
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น ตลอดจนปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การสูบบุหรี่
การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้ยา

       จากนั้นแพทย์จะตรวจ
ร่างกายเพื่อประเมินตำแหน่งและความรุนแรงของโรค มีการตรวจทางจมูก ลำคอ
โคนลิ้น รูปร่างใบหน้า วัดรอบคอ น้ำหนัก ส่วนสูง ความดันโลหิต
มีการส่องกล้องเพื่อดูปฏิกิริยาการหดตัวของอวัยวะในลำคอและโคนลิ้นขณะหายใจ
เข้า และส่งตรวจเอกซเรย์กะโหลกศีรษะเพื่อประเมินตำแหน่งที่มีการอุดตัน
และขั้นตอนที่สำคัญ คือ
ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจเนื่องจากระบบทางเดินหายใจส่วนบนอุด
ตันขณะหลับ แพทย์จะส่งตรวจการนอนหลับ

       การตรวจการนอน
หลับ เป็นการตรวจโดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อตรวจปัจจัยต่างๆ
ที่มีผลจากการนอน คือ ตรวจคลื่นสมองเพื่อวัดระดับความลึกของการนอน
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจระดับออกซิเจนในเลือดแดง
ตรวจการผ่านเข้าออกของลมหายใจทางปากและจมูก
ตรวจการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทรวงอกและกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ใช้ในการ
หายใจ และตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อ

       ในห้องปฏิบัติ
การบางแห่งอาจมีการวัดระดับเสียงกรน และบันทึกภาพวิดีโอไว้ด้วย
การตรวจการนอนหลับนี้จะตรวจในช่วงกลางคืน ใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการ
ตรวจการนอนหลับ


       -
ควรอาบน้ำสระผมให้สะอาด หลีกเลี่ยงการใช้ครีมนวดผมหรือน้ำมันต่างๆ
เพราะจะช่วยให้เครื่องตรวจจับติดแน่นดียิ่งขึ้น หากเป็นชาย
ควรโกนหนวดและเคราด้วย

       -
ทำตัวเป็นปกติตามตารางเวลาที่เคยปฏิบัติ เช่น การออกกำลังกาย
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการรับประทานยา
หรืออาจถามแพทย์ก่อนว่าคุณควรทำเช่นนั้นหรือไม่ในคืนที่เข้ารับการตรวจ

ข้อมูลจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจการนอน จะช่วยประเมินว่า

       -
ผู้ป่วยนอนกรนมากน้อยเพียงใด เป็นการนอนกรนชนิดธรรมดา
หรือเป็นโรคนอนกรนชนิดที่มีการหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย

       -
ทราบตำแหน่งที่ทำให้เกิดภาวะนอนกรนหรือนอนกรนร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ซึ่งอาจพบได้บริเวณจมูก ลำคอ หรือโคนลิ้น

       -
ถ้ามีการหยุดหายใจร่วมด้วย
จะทราบว่าเกิดจากการอุดตันของระบบทางเดินหายใจส่วนบน
หรือเกิดจากความผิดปกติของสมอง หรือทั้ง 2 กรณี
และความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับใด



การ
รักษาผู้ป่วยโรคนอนกรนและภาวะหยุดหายใจจากการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ
ทำได้หลายวิธี ได้แก่

1. การดูแล
สุขภาพและสิ่งแวดล้อมโดยผู้ป่วยเอง
ได้แก่

       -
ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมกับส่วนสูง
       -
ออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง กล้ามเนื้อแข็งแรง
แต่อย่าให้เหนื่อยล้าจนเกินไป
       -
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่
       -
หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท
       -
นอนตะแคง
เพื่อให้เนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อนและโคนลิ้นไม่อุดกั้นทางเดินหายใจ
       -
รักษาโรคภูมิแพ้ เพื่อไม่ให้เนื้อเยื่อภายในจมูกบวม

2. การใช้เครื่องอัดอากาศ
เข้าสู่ทางเดินหายใจขณะนอนหลับ


       เครื่อง
อัดอากาศหรือเครื่องเป่าลม มีชื่อว่า CPAP (Continuous Positive Airway
Pressure) มีลักษณะคล้ายหน้ากากออกซิเจน ซึ่งจะส่งกระแสลมผ่านจมูกไปสู่ลำคอ
ทำให้ทางเดินหายใจขยายกว้าง ลดภาวะอุดตันขณะนอนหลับ

       อย่าง
ไรก็ตาม CPAP ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องนี้ตลอดทั้งคืนและทุกคืน
แม้จะเป็นวิธีที่ปลอดภัย แต่ก็ก่อให้เกิดความรำคาญไม่น้อย ดังนั้น
ก่อนจะซื้อ CPAP ซึ่งมีหลายชนิดให้เลือกใช้ ควรปรึกษาแพทย์ ผู้ผลิต
หรือตัวแทนจำหน่าย ให้ดีเสียก่อน

       CPAP
จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อจมูกโล่ง หากมีโรคภูมิแพ้หรือปัญหาอื่นๆ
ที่ทำให้โพรงจมูกอุดตัน ควรรักษาให้หายก่อนที่จะใช้เครื่องนี้
หลังใช้เครื่อง CPAP อาจทำให้โพรงจมูกแห้ง
เครื่องฉีดละอองไอน้ำหรือเครื่องทำความชื้นอาจช่วยลดปัญหาได้

3. เครื่องมือที่ใช้ทาง
ปาก


       จะถูกใส่เข้าไปในปากเวลากลาง
คืน อาจช่วยให้เสียงกรนดังน้อยลงหรือเงียบเสียง
และช่วยรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับอย่างอ่อนๆ ได้
โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะจัดให้เหมาะสมสำหรับแต่ละคน

       เครื่อง
มือชนิดนี้มีหลายรูปร่างลักษณะ
บางชนิดยึดลิ้นให้อยู่ข้างหน้าเพื่อไม่ให้ลิ้นกระดกกลับไปอุดตันลำคอ
บางชนิดยึดแถวฟันให้เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
โดยการเคลื่อนย้ายโครงสร้างลำคอไปกับมันด้วย เพื่อให้ช่องทางเดินอากาศเปิด
บางชนิดยกลิ้นไก่และเพดานอ่อนขึ้นไป เพื่อไม่ให้ตกลงมาอุดตันลำคอ

       อาจมีการตรวจสอบการนอนหลับซ้ำอีกครั้ง
เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือติดตั้งเข้าไปอย่างถูกต้องกับลักษณะแนวฟัน
และฟันก็ยังมีสุขภาพดีอยู่ตลอด
ทันตแพทย์จะอธิบายวิธีการความสะอาดเครื่องมือที่ใช้
ซึ่งโดยทั่วไปจะล้างทุกเช้าด้วยนำเย็น เพื่อล้างน้ำลายออก
และแช่ในน้ำยาล้างอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

       เครื่อง
มือที่ใช้ทางปากไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
เช่นเดียวกัน ดังนั้น ต้องใช้ตลอดทั้งคืนและทุกคืน
อาจรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อยในตอนเช้าหลังจากใช้เครื่องมือนี้แล้ว
หากอาการระคายเคืองนี้ไม่หายไป ควรปรึกษาแพทย์

4. การผ่าตัด มีหลายวิธี ได้แก่

       -
การผ่าตัดตกแต่งบริเวณลำคอและเพดานอ่อน
เป็นการลดขนาดของเนื้อเยื่อบริเวณลำคอที่เกินความจำเป็น
ประกอบด้วยการผ่าตัดเนื้อเยื่อบริเวณต่อมทอนซิล เพดานอ่อน ลิ้นไก่
เพื่อให้อากาศผ่านได้สะดวก และไม่มีเนื้อเยื่อที่สะบัดขณะนอนหลับ
ทำให้อาการกรนลดลง การผ่าตัดชนิดนี้ต้องดมยาสลบ
และต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล จะมีอาการเจ็บหลังผ่าตัดได้ประมาณ 7-10 วัน

       - การตกแต่งบริเวณเพดานอ่อนโดยใช้แสงเลเซอร์
เป็นการผ่าตัดลดขนาดของเพดานอ่อนและลิ้นไก่ โดยใช้แสงเลเซอร์
สามารถผ่าตัดโดยใช้ยาชา และไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจต้องผ่าตัดมากกว่า 1 ครั้ง

       นอกจากนี้
ยังมีการผ่าตัดพับลิ้นไก่ขึ้นสู่ด้านบนบริเวณเพดานอ่อน
การผ่าตัดเพื่อดึงกล้ามเนื้อลิ้นและเลื่อนกระดูกซึ่งเป็นที่เกาะติดของกล้าม
เนื้อลิ้นมาทางด้านหน้า และการผ่าตัดเลื่อนขากรรไกรบนและล่างมาทางด้านหน้า
เพื่อให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น

       ผลกระทบหลังการผ่า
ตัดที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
อาหารหรือของเหลวไหลผ่านลงไปในโพรงจมูกระหว่างกลืนอาหาร
เสียงเปลี่ยนไปชั่วคราวหรือถาวร มีเลือดออก การอักเสบ การติดเชื้อ
ลิ้นแข็งหรือตึง และอาจทำให้อาการกรนหายไป
แต่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับยังคงอยู่

5. การใช้คลื่นวิทยุ

       เป็น
เครื่องมือพิเศษ
ลักษณะคล้ายเข็มที่ทำหน้าที่ส่งผ่านคลื่นวิทยุเข้าสู่เนื้อเยื่อที่อุดกั้น
ทางเดินหายใจ ได้แก่บริเวณลิ้นไก่ เพดานอ่อนทั้ง 2 ข้าง
และเนื้อเยื่อที่คลุมด้านหน้าและหลังของต่อมทอนซิล
พลังงานจากคลื่นวิทยุจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่ควบคุมอุณหภูมิไว้ไม่
ให้สูงมากนัก ซึ่งจะไม่ทำลายเซลหรือเนื้อเยื่อ แต่จะทำให้เนื้อเยื่อหดตัวลง


       การรักษาด้วยคลื่นวิทยุสามารถรักษาได้ทั้งเสียงกรน
และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ได้ผลประมาณ 75-85% ใช้วิธีฉีดยาชาเฉพาะที่
ไม่ต้องดมยาสลบ ใช้เวลาเพียง 15-30 นาที ไม่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
ยกเว้นการทำบริเวณโคนลิ้น อาจจำเป็นต้องสังเกตอาการ 1 คืน
ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บแผลเล็กน้อย 2-3 วัน อาจมีอาการระคายคอและคัดจมูกบ้าง
ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ทำการรักษา

       ผู้ป่วยส่วนใหญ่จำ
เป็นต้องได้รับการรักษาด้วยคลื่นวิทยุซ้ำ 2-3 ครั้ง ห่างกันแต่ละครั้ง 1-2
เดือน อาการต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้นทีละน้อย โดยเริ่มรู้สึกดีขึ้นหลังทำประมาณ
4 สัปดาห์ และอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนได้ผลสูงสุดที่ 6-8 สัปดาห์

หากคุณนอนกรน
เป็นไปได้ว่าอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย
ดังนั้น
ควรปรึกษาแพทย์หู คอ จมูก
เพื่อ
ขอคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป



การไม่มีโรคคือลาภ อันประเสริฐ








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 17:53:50 น.
Counter : 353 Pageviews.  

บ้านรกทำให้เด็กฉลาดน้อย






























ทราบ
หรือไม่ว่า
การที่บ้านรกสามารถทำให้เด็กฉลาดน้อยกว่าเด็กที่อยู่ในบ้านที่เป็นระเบียบ
วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...



จาก
ข้อมูลของสถาบันจิตศาสตร์ในลอนดอน ซึ่งทำการศึกษาเด็กฝาแฝดชาวอังกฤษเกือบ
8,000 คน ทั้งที่เป็นแฝดแท้และแฝดเทียม โดยทั้งหมดมีอายุระหว่าง 8-10 ขวบ
ได้ข้อสรุปว่า เด็กที่อาศัยอยู่ในบ้านที่คับ
แคบ ข้าวของวางระเกะระกะ และมีเสียงดังอึกทึกครึกโครม
มีแนวโน้มที่จะมีความเฉลียวฉลาดน้อยกว่าเด็กที่โตในบ้านที่เป็นระเบียบ

เพราะสภาพแวดล้อมที่รกรุงรัง ไม่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้เท่าที่ควร
ผิดกับบ้านที่เป็นระเบียบเรียบร้อย จะหยิบจะจับอะไรก็ง่ายดาย
ประมาณว่าของหายก็รู้ ดูก็งามตา



ก่อนหน้านี้ก็มีการศึกษาในลักษณะ
เดียวกัน และได้ผลสรุปคล้ายคลึงกัน
แต่งานวิจัยนี้ถือเป็นงานชิ้นแรกที่ระบุชัดเจนว่าสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยที่
มีอิทธิพลมากกว่ายีน
เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเป็นเด็กฝาแฝดทั้งแฝดแท้และแฝดเทียม ซึ่งหมายความว่าเด็กบางคู่มียีนชุดเดียวกัน ขณะ
ที่บางคู่ก็มียีนครึ่งหนึ่งเหมือนกัน



รู้
อย่างนี้แล้ว บ้านไหนที่มีเด็ก ก็อย่าทำบ้านรกจนเกินไป
จะได้เป็นการเสริมสร้างเด็กให้ฉลาดขึ้นด้วย




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เด
ลินิวส์





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 0:00:30 น.
Counter : 330 Pageviews.  

น้ำยาทำความสะอาด กับ โรคหืด












ทราบหรือไม่ว่า
น้ำยาทำความสะอาดสามารถทำให้ลูกเป็นหืดได้
วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน....


  
นักวิจัยจากเคอร์เทิน ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ เทคโนโลยี ประเทศออสเตรเลีย ทำ
การศึกษาโดยให้ผู้ปกครองของเด็กเล็กกรอกแบบสอบถามและทดสอบอาการแพ้ของเด็ก
เพื่อตรวจระดับ VOCs
ซึ่งเป็นสารระคายเคืองที่มากับน้ำยาทำความสะอาดภายในบ้าน
พบว่า
เด็กจำนวน 88 คน ที่ได้รับไอระเหยจากสารเคมีจำพวกนี้ในบ้าน
มีอาการของโรคหืด



        
ส่วนเด็กเล็กที่สูดดมไอระเหยที่มากับสารเคมีในน้ำยาขัดเงา
น้ำยาเพิ่มความสดชื่นภายในห้องและพรมใหม่ในปริมาณที่มาก
มีโอกาสเป็นโรคหืดถึง 4 เท่า



   สรุปว่า
มลภาวะนอกบ้านอาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้ลูกเป็นโรคหืด
แต่สภาพภายในบ้านก็อาจเป็นตัวการสำคัญได้เช่นเดียวกัน


 
รู้อย่างนี้แล้ว เวลาจะทำความสะอาดบ้านก็ควรระมัดระวัง
จะได้ห่างไกลจากโรคหืด





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 22 เมษายน 2553    
Last Update : 22 เมษายน 2553 23:54:53 น.
Counter : 277 Pageviews.  

สตรอเบอร์รี่ดอยต้านมะเร็ง



























ดร.ณรงค์
ชัย พิพัฒน์ธนวงศ์ นักวิจัยจาก ม.เกษตรศาสตร์ วิเคราะห์พบว่า
สตรอเบอร์รี่พันธุ์พื้นเมือง หรือ พันธุ์ป่า ชื่อว่า Wild varieties
เป็นพืชที่มีสารยับยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็งและโรคอื่นๆได้อีกหลายชนิด
ซึ่งต่างประเทศสนใจซื้อไม่อั้น


มะเร็ง
...โรคร้าย ตัวนี้ กระทรวงสาธารณสุข แฉข้อมูลว่าในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา
ได้คร่าชีวิตคนไทยด้วยความทุกข์ ทรมาน
ไม่มีใครที่ถูกมันเกาะกินแล้วจะหลุดรอด แม้แต่แพทย์ พยาบาล
บุคคลในวงการแพทย์ .....ก็สังเวยชีวิตกับมันจนนับไม่ถ้วน...!!!

คาด
ว่าในปี พ.ศ.2551 ผู้ป่วยโรคมะเร็งจะสูงถึง
120,000 ราย
โดยเฉพาะอายุน้อยกว่า 40 ปี
สาเหตุมาจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ด้วยสารเคมี....หรือ
บริโภคอาหารมีสารพิษปนเปื้อน มูลนิธิโครงการหลวง
จึงมีการแสวงหาพืชหลากหลายชนิดพร้อมทำการวิจัยเพื่อ
หาสารที่เป็นประโยชน์และมีสรรพคุณในการป้องกัน
กำจัดและยับยั้งโรคภัยไข้เจ็บ ต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ






























ดร.ณรงค์
ชัย พิพัฒน์ธนวงศ์ นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัเกษตรศาสตร์ วิเคราะห์พบว่า
ในบรรดาพันธุ์พืชชนิดต่างๆมี สตรอเบอร์รี่พันธุ์พื้นเมือง หรือ พันธุ์ป่า
ชื่อว่า Wild varieties


เป็นพืชที่มีสารยับยั้งการ
ขยายตัวของเซลล์มะเร็งและโรคอื่นๆได้อีกหลายชนิด (Wild Strawberries :
Anticancer cell proliferation property plant) 
สตรอเบอร์รี่สายพันธุ์ป่า....พบใน อเมริกา กลางและใต้
กับยุโรปตอนเหนือและกลางทวีป ส่วนเอเชียมีกระจายทั่วไปใน เขตไซบีเรีย
อัลมาเนีย และทางตอนเหนือของ ซีเรีย
ทีมงานวิจัยนำมาทดลองปลูกบนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร
แล้วทำการผสมพันธุ์ให้ มีความต้านทานต่อโรคพืช และ แมลง
กระทั่งได้รับความสำเร็จสายพันธุ์นิ่ง.....เลยให้ชื่อว่า “สตรอเบอร์รี่ดอย”

ลักษณะโดยรวมใบบางยาวรี ผิวใบค่อนข้างเรียบ
ขอบมีรอยหยักแหลมสีเขียวอ่อน กว่าสายพันธุ์อื่นๆ ต้นมีขนาดเล็ก


เจริญเติบโตในแนวตั้ง ผลเล็ก ช่อดอกมีความยาวปานกลาง
บางครั้งอาจติดช่อสั้นๆ ผลขนาดเล็กเมล็ดสีดำอยู่เปลือกผิวโดยรอบ
จากการวิจัยพบว่า รากที่มีความฝาด ใช้รักษาอาการท้องร่วง ใบแปรรูปเป็นชา
ชงดื่มรักษาโรคบิด ส่วน ผลพบว่ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งประกอบไปด้วย
วิตามินซี สาร anthocyanins fiavonoids และ
phenolic acids สามารถลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งประเภท HT-29 กับ
HCT-116 ได้

และ....ยังมีข้อมูลยืนยันจาก และ
Lewer ของ U.S Department of Agriculture
ว่า.....สารสกัดจากผลสตรอเบอร์รี่ดอย เมื่อนำไปทดลองใช้กับ
ผู้ป่วยมะเร็งปอด (A549) สามารถหยุดยั้งการขยายตัวของเยื่อบุเซลล์
มะเร็งปอด ชะงักถึง 34%

เหตุผลนี้
จึงทำให้ สตรอ-เบอร์รี่ดอย มีออเดอร์ส่งออกไปต่างประเทศ..
.แบบเท่าไหร่ๆรับไม่อั้น...!!!










ขอ
ขอบคุณเนื้อหาข่าว และรูปภาพ คุณภาพดี โดย:
INN NEWS






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 22 เมษายน 2553    
Last Update : 22 เมษายน 2553 23:48:03 น.
Counter : 260 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.