พบแล้วตัวการทำให้เกิดหัวล้าน ทั้งหมดเป็นเรื่อง ของพันธุกรรม
































ผมร่วง หัวล้าน
เป็นเรื่องที่ไม่ต้องโทษอะไรนอกเสียจากว่าพ่อแม่ให้มา
โดยการศึกษาครั้งใหม่ในอังกฤษพบว่าชายที่หัวล้านนั้นได้กรรมพันธุ์จาก
ผู้ให้กำเนิดทั้งสอง


การ
ศึกษาก่อนหน้านี้หลายชิ้นมักชี้ว่า
การที่ผู้ชายหัวล้านนั้นเป็นผลมาจากพันธุกรรมข้างแม่ แต่ล่าสุดจาก
การศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติแจ้งว่า ได้พบการผ่าเหล่าของพันธุกรรม
ซึ่งเมื่อผนวกเข้ากับความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ค้นพบก่อนหน้านี้
ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ชายจะหัวล้านเพิ่มขึ้น 7 เท่า
ทีมศึกษานำโดยนักวิทยาศาสตร์จากคิงส์คอลเลจในกรุงลอนดอน
วิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างเป็นชายกว่า 1,100 คน และ
พบว่าความแปรผันทางพันธุกรรมของโครโมโซม 20
ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการที่ผู้ชายหัวล้าน


สื่อในอังกฤษรายงานคำอธิบายของผู้ร่วมวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่า
เป็นเวลานานมาแล้วที่รับทราบกันว่า
มียีนหลายตัวที่เข้ามาเป็นสาเหตุของการทำให้ผู้ชายหัวล้าน
แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้ว่ายีนอื่นๆนั้นคือยีนใด
“ถ้าหากคุณมีทั้งปัจจัยเสี่ยง
ในความแปรผันที่พบกับโครโมโซม 20 และโครโมโซมเอ็กซ์ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก
ก็แน่ใจได้ว่าคุณกำลังอยู่ในกลุ่มที่จะเป็นผู้มีปัจจัยเสี่ยงที่จะหัวล้าน
เพิ่มขึ้น 7 เท่า”
เบรนท์ ริชาร์ดส์
จากมหาวิทยาลัยแม็คจิลล์ กล่าว.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทย
รัฐ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 18:36:17 น.
Counter : 319 Pageviews.  

~~~วิธีป้องกันตัวจากความอ้วน~~~





























แทนที่จะรอให้อ้วนแล้วค่อยมาลด สาวๆ
ควรจะล้อมคอกก่อนที่วัวจะหายด้วยการป้องกันความอ้วนไว้ก่อน


ไม่โกรธก็ไม่
อ้วน

      ในตัวเรามีฮอร์โมนที่ชื่อว่า "คอร์
ซิโทน"
ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายสะสมไขมันไว้ตามหน้าท้อง
สะโพก และร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนนี้มากขึ้นในเวลาที่เราโกรธ
ถ้าเป็นสาวขี้โมโห เดี๋ยวโกรธเดี๋ยวงอน
ร่างกายก็จะมีเวลาสะสมไขมันบ่อยครั้งขึ้น
คนขี้โมโหส่วนใหญ่จึงมักจะหนีไม่พ้น ต้องการเป็นน้องอวบ ถ้าไม่อยากเสียสวย
ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องหัดทำใจเย็นๆ คิดซะว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
ยิ่งใจเย็นก็ยิ่งสลิม

วางช้อนก่อนเคี้ยว
     
สมองของเราจะส่งสัญญาณว่าอิ่ม หลังจากที่ทานอาหารไปได้ 20 นาที ในช่วง 20
นาทีนี้จึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะกินให้ช้าที่สุด
และวิธีที่ดีมากวิธีหนึ่งคือการวางช้อนลงทุกครั้งหลังจากตักอาหารเข้าปาก
เพราะถ้าถือส้อมเอาไว้ คุณก็จะอดไม่ได้ที่จะตักโน่นตักนี่ไปเรื่อยๆ
จากนั้นก็พยายามเคี้ยวช้าๆ คำหนึ่งควรเคี้ยวอย่างน้อย 15-20 ครั้ง
นอกจากจะเพื่อถ่วงเวลให้กินนานๆ แล้ว
ยังจะดีต่อระบบย่อยทำให้ย่อยง่ายขึ้นด้วย

ถูกแสงแดดเสียบ้าง
     
แดดอ่อนๆ ตอน 7-9 โมงเช้า กับตอนเย็นตั้งแต่ 5 โมงเย็นเป็นต้นไป
มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เพราะมันจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนโรโทนิน
ซึ่งจะช่วยลดความอยากน้ำตาล ทำให้สาวๆ ไม่อยากกินของหวาน
แค่นี้ก็ล้อมคอกไม่ให้ความอ้วนมารุกรานแล้ว

พักผ่อนให้เพียงพอ
     
การนอนไม่ได้เป็นแค่การพักผ่อนที่ดีที่สุดเท่านั้น ถ้าสาวๆ
นอนไม่พอจะเกิดผลกระทบกับความผอมของคุณ 2 เรื่อง คือ

     
ระหว่างที่เรานอน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน "เลพติน" ออกมา
ง่ายขึ้น ฮอร์โมนตัวนี้เป็นฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายรับรู้ว่าอิ่มแล้ว
หยุดกินได้แล้ว สาวๆ ที่หลั่งเลพตินได้น้อยจึงกินไปเรื่อยแบบลืมตัว
เพราะสมองไม่ยอมอิ่ม
      คนที่นอนไม่พอ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน ghrelin
ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้อยากอาหารออกมา
นี่คือเหตุผลว่าทำไมสาวนกฮูกที่ชอบนอนดึกมักจะหิว ถ้าคืนไหนนอนไม่พอ
อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลางีบกลางวันสักครึ่งชั่วโมง
ก็จะช่วยให้ร่างกายเป็นปกติขึ้น

เปิดเพลงเร็วและดัง
     
การวิจัยทางจิตวิทยาเขาบอกว่า ถ้าเราฟังเพลงช้าๆ คลอเบาๆ ระหว่างทานอาหาร
เราจะรู้สึกผ่อนคลายและทานมากกว่าปกติ แต่ถ้าได้ยินเพลงเร็วๆ ประมาณ
120-130 จังหวะต่อนาที สมองจะกระตุ้นร่างกายให้ทำอะไรเร็วขึ้นโดยอัติโนมัติ
ทำให้กินน้อยลงแต่เร็วขึ้น ถ้าใช้วิธีนี้ทุกครั้งที่กินมื้อที่ไม่จำเป็น
อย่างมื้อเย็น หรือเวลากินของว่าง ก็จะป้องกันความอ้วนได้

อย่าวางอาหารล่อตา
     
คนช่างกินกับของกินมาเจอกัน ไขมันก็มีเฮเท่านั้นเอง
จึงต้องกันไว้ดีกว่าแก้ด้วยการไม่วางอาหารไว้ล่อน้ำลายตัวเอง ของที่สาวๆ
มักจะวางไว้กลางบ้านมักจะเป็นพวกของขบเคี้ยว อย่างคุ้กกี้ พาย ขนมปัง
ลูกอมหรือมันฝรั่งทอด ซึ่งแต่ละอย่างก็เป็นชนวนความอ้วนทั้งนั้น
ถ้าคุณมีขนมพวกนี้อยู่แล้ว หรือมีคนซื้อมาฝากก็ไม่จำเป็นต้องโยนทิ้งหรอกค่ะ
แต่ควรจะหาขวดโหลแบบทึบแสงที่เรามองเข้าไปข้างในไม่เห็นมาใส่
จะได้ไม่ตบะแตกไง

เปิดไฟเวลาทานอาหาร
     
มีผลการวิจัยบอกว่าการกินข้าวในที่ที่แสงสลัวจะทำให้เราทานได้มากขึ้น
เพราะในแสงสลัวคนเราจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายอารมณ์(
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหนุ่มๆ ชอบนั่งจีบสาวใต้แสงเทียน) สาวๆ
จึงควรจะเปิดไฟให้สว่างจ้าเข้าไว้
ให้เห็นไปเลยว่าไขมันซ่อนอยู่ในจานเด็ดจานไหนบ้าง
จะได้ห้ามใจตัวเองไม่เผลอไปตักเข้า...



















Free TextEditor







































































































 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 18:31:52 น.
Counter : 311 Pageviews.  

ขยะความคิด – ขยะอารมณ์ ???





























สิ่ง
ที่ไม่ดี..ไม่สวยงาม...
ที่เราใช้แล้ว...ชำรุด
..ทรุดโทรม..ใช้การไม่ได้อีกต่อไป...
>>>…เรียกว่า...
“ขยะ”...

ถ้าพูดถึงขยะ..
หลายคนคงเข้าใจดีแล้วว่า...
>>>…
ในขยะที่เหลือใช้แล้ว...ที่คนส่วนใหญ่นำไปทิ้ง...
>>>…เพราะ
เห็นว่า “ไม่มีคุณค่า – ไม่มีประโยชน์”

แต่ในสิ่งที่เรามองเห็น
ว่า...
>>>…ไม่มีคุณค่า - ไม่มีประโยชน์ สำหรับเรา..
>>>…
อาจมีคุณค่า..สำหรับผู้เก็บของเก่า...
>>>…ซึ่งสามารถแปร
เปลี่ยน..เป็นเงินได้...

แต่สำหรับขยะทางความคิด...
และขยะทาง
อารมณ์นั้น...
>>>…หามีประโยชน์แต่อย่างใดไม่...
>>>…
ยิ่งกลับจะเป็นอันตราย...ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างด้วย...

เพราะผู้
ที่ชอบเก็บสะสมขยะทางความคิด..ขยะทางอารมณ์..
>>>…เมื่อเก็บ
สะสมไว้มาก ๆ ...
>>>…ก็จะทำให้เกิดมะเร็งร้ายในจิตใจ –
ในอารมณ์ความรู้สึกได้..

เราจึงไม่ควรที่จะเก็บหรือรักษาสิ่งเหล่า
นั้นไว้ในจิตใจเลย..
>>>…แต่สมควรอย่างยิ่ง..
>>>…
ที่จะหมั่นตรวจ ..หมั่นเก็บกวาด..
>>>…นำขยะทางความคิด-ขยะทาง
อารมณ์...ออกไปทิ้งเสีย..โดยพลัน..

เพราะขยะทางความคิด..
>>>…
ได้แก่..ความคิดที่ไม่ดี...ไม่ถูกต้อง..ไม่ดีงาม..
>>>…ผิดจาก
ทำนองคลองธรรม..เป็นมิจฉาทิฎฐิ..(เห็นผิด)..
>>>…คิดในแง่ร้าย
...ชอบมองแง่ลบ...
>>>…มีความคิดเห็นเชิงลบ..ไม่สร้างสรรค์...

>>>…คิดสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์..ให้โทษแก่ตนเองและผู้อื่น...

สิ่ง
เหล่านี้ถือว่า...
เป็นขยะทางความคิด..
>>>…ซึ่งถ้าสะสม
ไว้มาก ๆ ..
>>>…ก็จะก่อตัวเป็นมะเร็งร้ายทางความคิดได้..
>>>…
และจะทำให้จิตใจขุ่นมัว...มืดมน..
>>>…ทำลายสติปัญญา..เกิด
ความโง่เขลาทางจิตใจ...

ส่วนขยะทางอารมณ์..
>>>…
ได้แก่..อารมณ์โลภ โกรธ หลง อิจฉา-ริษยา..
>>>…อารมณ์เบื่อ
..อารมณ์เซ็ง...
>>>…อารมณ์เหงา..อารมณ์เศร้า..และอื่น ๆ
อีกมากมาย...
>>>…ถือว่า..เป็นขยะทางอารมณ์..
ถ้าใครมีมาก
...สะสมไว้มาก...ไม่ยอมสละออก..
ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา..
ที่
เราเรียกว่า... “มะเร็งร้ายทางอารมณ์”
ที่จะค่อย ๆ
กัดกร่อน...ทำร้ายจิตใจของเราทุก ๆ ขณะ ๆ
ที่อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นใน
จิตใจเรา...


คนเรามีขยะทางความคิด – ทางอารมณ์เหมือนกันทุกคน..

แต่แตกต่างกันที่ว่า...
>>>…เมื่อขยะทางความคิด –
ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น..
>>>…เราจะมีวิธีการนำขยะเหล่านั้นออก
จากจิตใจได้อย่างไร ???

การเรียนรู้ที่จะนำขยะทางความคิด -
ทางอารมณ์ออกจากจิตใจ
สามารถทำได้ง่าย ๆ ก็คือ...
๑. ไม่ยอมเก็บ
๒.
ไม่ยอมสะสม

ดังนั้น..ทุกครั้งที่ขยะทางความคิด –
ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น..
>>>…เราต้องรีบปฏิเสธโต้กลับมันทันที
>>>…คือ..
ไม่ยอมรับ ไม่สะสม ไม่เก็บ
>>>…และรู้เท่าทันมันอย่างเข้า
ใจ..
>>>…ก็จะสามารถสละมันออกจากจิตใจได้..


บทความ...โดย..ชายน้อย...



























Free TextEditor







































































































 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 15:34:48 น.
Counter : 327 Pageviews.  

คนวัยทำงานเสี่ยงเป็นโรคปลอกประสาท อักเสบสูง
































แพทย์เผยวัยทำงานมีโอกาสป่วยเป็นโรคปลอก
ประสาทอักเสบ หรือโรคเอมเอสสูง ผลของโรคจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีแรง
สูญเสียการทรงตัว การมองเห็น ชี้ผู้หญิงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชายถึง 2
เท่า คาดปัจจุบันมีคนเป็นกว่า 2,000
ราย



รศ
.พญ.สุว
รรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ ประธานชมรมเอ็มเอสไทย

เป็นประธานเปิดตัวชมรมเอ็มเอสไทยอย่างเป็นทางการ
โดยจัดกิจกรรมเปิดตัวเปิดใจชมรมเอ็มเอสไทย
นำผู้ป่วยและญาติเข้าร่วมสัมมนาจัดกลุ่มกิจกรรมสัมพันธ์
และแลกเปลี่ยนข้อมูลการดูแลผู้ป่วยเอ็มเอส (Multiple
Sclerosis : MS) 
หรือโรคปลอกประสาท
อักเสบ
ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังของระบบประสาทส่วนกลาง สาเหตุจากปลอกหุ้มเส้นประสาทในระบบประสาทส่วนกลางได้รับ
ความเสียหายหรือถูกทำลาย

ความรุนแรงของโรคเอ็มเอสขึ้นกับระดับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมองหรือไข
สันหลัง



ด้าน รศ
.พญ.นารา
พร ประยูรวิวัฒน์ ประสาทวิทยา ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า

โรคเอ็มเอสส่วนใหญ่พบในคนวัยทำงานช่วงอายุ 20 - 40
ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า พบในไทยครั้งแรกเมื่อปี 2513 ปัจจุบันคาดว่าความชุกของโรคอยู่ที่
2
คนต่อ
แสนราย หรือประมาณ 2,000
ราย แต่เนื่องจากแพทย์ยังวิเคราะห์โรคนี้ได้ยาก
เนื่องจากอาการแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดรอยโรค เช่น เกิดที่เส้นประสาทตาจะรบกวนการมองเห็น
ถ้าเกิดที่ไขสันหลังและสมองจะทำให้วิงเวียนศีรษะ ควบคุมการทรงตัวยาก































"อาการเริ่มต้นที่สังเกตได้ คือ เหน็บชาตามแขนขา
ตัวทรงตัวผิดปกติ ไม่มีแรง มองภาพซ้อน กล้ามเนื้อเกร็ง
บางรายอาจมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย"


รศ
.
พญ.นาราพร กล่าวว่าผู้
ป่วยที่มีอาการดังกล่าวควรพบแพทย์เพื่อขอรับการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก
หรือเอ็มอาร์ไอ
เพื่อใช้วัดรอยโรคที่ซึ่งเป็นระบบประสาทส่วนกลางที่เกิดเนื่องจากมีการทำลาย
ปลอกหุ้มเส้นประสาท



รศ
.พญ.นาราพร กล่าวอีกว่า
การไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ทำให้ไม่สามารถบอกวิธีป้องกันได้

เพียงแต่แพทย์แนะนำให้สร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกายให้สม่ำเสมอ
อย่าให้ร่างกายเป็นโรคที่ติดเชื้อนานเกินไป เช่น หวัด สุขภาพจิต
อย่าเครียดไปตามสภาวะแวดล้อม เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานร่างกายอ่อนแอ
การรักษาให้หายขาดเป็นไปได้ยาก ต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอ
ผู้ใกล้ชิดมีผลอย่างมาก ต้องเข้าใจผู้เป็นโรคดังกล่าวด้วย


เห็นมั้ยค่ะว่าคนสมัยนี้มีโรคภัยคุกคามมากมายจริง ๆ
เพราะฉะนั้นเราจะละเลยเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ
ไม่ได้เลยนะคะ เพราะไม่อย่างนั้นมันอาจจะลุกลามใหญ่โตได้นะคะ



ที่มา : Bangkok Health







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 15:31:48 น.
Counter : 328 Pageviews.  

ไท้เก็กช่วยสู้เบาหวาน





























การ
ออกกำลังกายที่เรียกว่า "ไท้เก๊ก"
องชาวจีนนับสิบล้านคนทั่วโลกสามารถช่วยให้ร่างกายต่อสู้
กับโรคร้ายอย่างเบาหวานได้


โดยผลการวิจัยของทีม
วิจัยแห่งมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ที่นำโดยนายเวนดี้ บราวน์
จากออสเตรเลียและทีมวิจัยของไต้หวันที่นำโดยนายหยาง เขวิ่น เต๋อ
ซึ่งแยกกันศึกษาและเผยแพร่เมื่อวันที่ 1 เมษายน มีผลออกมาตรงกันคือ "ไท้เก๊ก"
สามารถช่วยทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น
โดย
การศึกษาของทั้งสองกลุ่มได้จัดให้กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานกลุ่มหนึ่งออกกำลัง
กายด้วยวิธีรำไท้เก๊กสัปดาห์ละหลายชั่วโมงเป็นเวลา 3 เดือน พบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานเหล่านี้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
ขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นๆ


บทสรุปของผลการวิจัยโดยทีมของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์
ระบุว่า


เหตุผลที่ออกมาเป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะการ
ออกกำลังกายด้วยวิธีรำไท้เก๊กนี้อาจจะง่ายต่อการเรียนรู้มากกว่าการเข้าโรง
ยิมเพื่อออกกำลังกาย และไม่ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีราคาสูงหรือยุ่งยากซับซ้อน

ทั้งนี้ เบาหวานชนิดที่ 2
เป็นภาวะดื้อต่ออินซูลิน
และร่างกายไม่สามารถผลิตหรือสร้างอินซูลินขึ้นมาอย่างเพียงพอ
โดยทั่วโลกมีผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานอยู่ราว 250 ล้านคนคน
ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยตาบอด ไตวาย ความดันโลหิตสูงและเป็นโรคหัวใจ

















Free TextEditor







































































































 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 15:30:22 น.
Counter : 400 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.