วิธีเลือกซื้อ "นม"

ควร
สังเกตดูวันที่ผลิตและวันหมดอายุ

"นมสเตอริไรส์" คือ
นมสดที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงเป็นเวลานาน
ซึ่งจากกระบวนการขั้นตอนการผลิตและการบรรจุของนมสเตอริไรส์นี้
จะทำให้วิตามินที่สำคัญบางตัวอย่างเช่น วิตามิน บี 1 วิตามินบี 2
และวิตามินซี สูญเสียไปด้วย ดังนั้นนมสเตอริไรส์จึงไม่เหมาะกับเด็กๆ
ที่กำลังเจริญเติบโต และห้ามใช้เลี้ยงเด็กทารก
เพราะจะทำให้เด็กเป็นโรคขาดอาหารได้โดยทั่วไปนมชนิดนี้มักบรรจุในกระป๋อง
โลหะที่ปิดสนิท จึงสามารถเก็บได้นาน 1-2 ปีทีเดียว
เวลาซื้อท่านควรสังเกตดูวันที่ผลิตและวันหมดอายุของนมที่ก้นกระป๋องด้วยนะคะ

และหลังจากที่เปิดใช้แล้วควรเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อนมจะได้ไม่เสื่อมคุณภาพ
เร็ว




         
ปัจจุบันนมสเตอริไรส์ที่ขายอยู่ในท้องตลาดจะมีหลายชนิดด้วยกัน

ชนิดที่ 1 ได้แก่นมสดพร้อมดื่ม
         
ซึ่งเป็นนมสด 100 % และที่ข้างกล่องหรือกระป๋องจะเขียนว่า
"นมสดสเตอร์ริไรส์" ดื่มได้ทันที

ชนิด
ที่ 2 คือ นมข้นไม่หวาน
         
ซึ่งเป็นนมสดที่ระเหยเอาน้ำออกไปบางส่วน จึงทำให้นมข้นขึ้น
และไม่ได้เติมน้ำตาลลงไป
นมชนิดนี้นิยมใช้สำหรับเติมใส่เครื่องดื่มพวกน้ำชาหรือกาแฟ
ซึ่งหากผสมน้ำลงไป 1 เท่าตัวก็จะได้นมสดที่ดื่มได้ทันทีเช่นกัน
ในบางยี่ห้อจะมีการเติมน้ำมันปาล์มลงไปเรียกว่า
"นมข้นแปลงไขมันชนิดไม่หวาน" ดังนั้นก่อนเลือกซื้อ
อย่าลืมดูที่ฉลากข้างกระป๋องด้วยนะคะ
และแนะนำว่าท่านควรซื้อชนิดที่เติมไขมันจะดีกว่าค่ะ
เพราะจะมีคุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมที่ไม่เติมไขมัน

ส่วนชนิดที่ 3 ได้แก่นมข้นหวาน
         
ซึ่งจะมีรายละเอียดต่างหาก "นมข้นหวาน"
คือนมสดที่มีการระเหยเอาน้ำออกไปบางส่วน จึงทำให้นมมีลักษณะข้นขึ้น
แล้วเติมน้ำตาลลงไป หรืออาจจะใช้วิธีละลายนมผงขาดมันเนย
ผสมกับไขมันเนยหรือน้ำมันปาล์มเข้าไป แล้วเติมน้ำตาลลงไปประมาณ 45-55 %
แล้วแต่ยี่ห้อของนมค่ะ
ดังนั้นนมข้นหวานจึงเป็นนมที่มีน้ำตาลสูงมากจึงห้ามใช้เลี้ยงทารก
หรือใช้เพื่อเสริมคุณค่าทางอาหารแทนนมกับเด็ก
ซึ่งปัจจุบันทางคณะกรรมการอาหารและยาหรืออย.
ได้บังคับให้ผู้ผลิตทุกรายเขียนข้างกระป๋องด้วยอักษรสีแดงว่า
"ห้ามใช้เลี้ยงทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี"

         
ขณะเดียวกันก็บังคับให้ผู้ผลิตเติมวิตามินที่สำคัญอย่างเช่น วิตามินเอ
วิตามินดี และวิตามินบีหนึ่งลงไปด้วย
เพื่อให้นมข้นหวานมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้น
แต่ก็ยังมีพ่อแม่บางคนที่ไม่ทราบ และยัง





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 9:19:51 น.
Counter : 486 Pageviews.  

สูดอากาศสกปรก เสี่ยงเป็นไส้ติ่งอักเสบ

































เพื่อน ๆ
ที่นี่คงจะทราบกันดีนะคะ
ว่าการที่เราสูดเอาอากาศที่เป็นพิษเข้าสู่ร่างกายนั้น
อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้
แต่ก็ยังไม่มีใครทราบว่าจะไม่ดีต่อร่างกายอย่างไร



มาวันนี้มีผู้ทำการวิจัยเรื่องนี้
ออกมาแล้วค่ะ ซึ่ง
นัก
วิจัยมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ ศึกษาพบพิษภัยของอากาศ
สกปรกเป็นครั้งแรกว่า อาจทำให้คนเราเป็นไส้ติ่งอักเสบได้

เพราะได้พบเป็นที่ผิดสังเกตว่า พออากาศไม่ดีทีไร
มักมีผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบเข้าโรงพยาบาลกันชุก



คณะนักวิจัยได้เสนอรายงานผลการศึกษา
ต่อที่ประชุมวิทยาลัยทางเดินอาหารวิทยาแห่งอเมริกัน กล่าวว่ามลพิษทางอากาศอาจจะก่อให้เกิดเนื้อเยื่ออักเสบทั่วไปขึ้น
ได้
































ซึ่งไส้ติ่งนั้นเป็นติ่งเล็ก ๆ
ที่อยู่ติดกับลำไส้ใหญ่ ซึ่งยังไม่รู้ว่ามันทำหน้าที่อะไร
แต่มีหลักฐานบางอันส่อว่า มันอาจจะเป็นรังของ
แบคทีเรียที่ทำคุณให้ มีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและต่อต้านการอักเสบ
เมื่อมันเกิดอักเสบขึ้นมา จะทำให้โป่งบวมมีหนองเต็มและอาจแตกได้



คณะนักวิจัยได้จับยอดของคนไข้ไส้ติ่ง
อักเสบที่เข้าโรงพยาบาลระหว่าง พ
.ศ. 2542 - 2549 รวมกันไม่ต่ำกว่า 45,000 ราย
มาศึกษาสังเกตพบว่าในวันที่อากาศมีปริมาณก๊าซโอโซนมากที่สุด
จะมีผู้ป่วยสูงกว่าช่วงวันปกติร้อยละ 15
เช่นเดียวกับวันที่มีอากาศ
สกปรกสาเหตุอย่างอื่น เช่น มีกำมะถัน หรือพวกเขม่า
แม้ว่าจะไม่เห็นผลโจ่งแจ้งเท่ากัน



ก่อนหน้านี้ก็เคยมี
การศึกษาพบว่า มลพิษทางอากาศอาจทำ ให้เจ็บป่วยได้
เนื่องจากเกิดการอักเสบขึ้นได้ แต่ผลการศึกษาหนนี้
ทำให้ได้คำอธิบายที่แจ่มแจ้งที่สุด



เพราะฉะนั้นก็อยากให้เพื่อน ๆ
ที่นี่พยายามหลีกเลี่ยงการสูดเอาอากาศที่เป็นพิษเข้าสู่ร่างกายนะคะ
โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ที่นี่คนไหนที่มีบ้านใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรม
หรืออยู่ใกล้ถนนที่มีรถราผ่านไปมามากมายทั้งวันต้องระวังให้มาก ๆ นะคะ
ทางที่ดีก็ลองหาต้นไม้กระถางเล็ก ๆ มาปลูกดูก็ดีเหมือนกันค่ะ น่าจะช่วยได้


ที่มา : ไทยรัฐ







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 19:17:27 น.
Counter : 400 Pageviews.  

สารปรอท ... พิษร้ายใกล้ตัวคุณ















































ผู้ป่วยจากโรค Minamata ที่มสารปรอทเป็นตัวการ
ผู้ป่วยจากโรค Minamata
ที่มสารปรอทเป็นตัวการ










ข่าวการปนเปื้อนสารปรอทในหูฉลามเป็น
ข่าวทีได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
ไม่ว่าผลการพิสูจน์ปริมาณสารปรอทใน
'
หูฉลาม'
จะเป็นอย่างไร ในฐานะผู้บริโภค
ลองมาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพิษของสารปรอทกันสักหน่อย



สารปรอท เป็น 1
ใน 4 สารพิษอันตรายที่อาจพบได้ภายในที่อยู่
อาศัยของเรา
อัน
ได้แก่ ก๊าซคาร์บอร์นมอนอกไซค์ ควันบุหรี่ เชื้อรา สารปรอท
โดยแหล่งของสารปรอทในบ้านมักมาจากการปนเปื้อนในอาหาร
โดยเฉพาะในปลาทะเลตัวใหญ่ เช่น
ฉลาม ปลาทูน่า เนื่องจากปลาใหญ่เหล่านี้ จะมีช่วงชีวิตที่ยืนยาว
และกินปลาเล็ก ๆ เป็นอาหาร



จึงมี
โอกาสที่จะมีสารปรอทสะสมอยู่ในตัวมันค่อนข้างมาก (
เรียกขบวนการนี้ว่า biomagnification) สารปรอทในทะเล
มาจากการปนเปื้อนสารปรอทจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหิน
นอกเหนือจากในปลาทะเลแล้ว ในบ้านของเรายังมีแหล่งของสารปรอทที่ทุกบ้านมีคือ
เทอร์โมมิเตอร์
ที่ใช้วัดอุณหภูมิของร่างกาย
หรือใน
เครื่องวัดความดันชนิดปรอท





















ปัญหา
เรื่องพิษจากสารปรอทไม่ใช่เรื่องใหม่
เหตุการณ์ครั้งรุนแรงเนื่องจากพิษของสารปรอท เกิดในประเทศญี่ปุ่น
บริเวณอ่าวมินามาตะ อันเป็นต้นตอของชื่อโรคที่เกิดจากสารปรอทเป็นพิษที่ชื่อ
Minamata disease
อาการพิษจากการรับสารปรอทมากเกินไป สามารถแบ่งออกได้เป็นแบบ เฉียบพลัน
กับแบบเรื้อรัง


แบบเฉียบพลันจะมี
อาการดังนี้
กระหายน้ำ การรับรสเปลี่ยนไป ปัสสาวะน้อยลง
น้ำลายออกมากกว่าปกติ เกิดแผลในปาก ความดันโลหิตต่ำ มีอาการบวมภายในลำคอ
และทำให้เกิดภาวะหายใจลำบาก อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง ถ่ายเหลวมีเลือดปน
และนอนไม่หลับกระวนกระวาย



แบบเรื้อรัง
คือค่อยๆได้รับสารปรอทและสะสมในร่างกาย มีอาการดังนี้
ปากเป็นแผล อักเสบเรื้อรัง
มีเส้นสีน้ำเงินที่ขอบเหงือก
เหงือกบวมและเลือดออกง่าย ฟันโยก มือสั่น น้ำลายออกมาก การรับรสเปลี่ยนไป



อาการพิษจากสารปรอท ทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรง
ในหญิงตั้งครรภ์และในเด็กเล็ก
ที่บริโภคอาหารปนเปื้อนสารปรอทเข้าไป โดยพบว่า สารปรอท จะไปทำลายระบบประสาทของเด็ก
ทำให้กลายเป็นเด็กปัญญาอ่อน ความสามารถในการเรียนรู้ลดลง เกิดอาการชัก
ตาบอด หูหนวก ได้ ซึ่งพยาธิสภาพเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นแบบถาวร
ไม่สามารถรักษาให้กลับมาดีได้เหมือนเดิม

































ดังนั้น สิ่ง
สำคัญที่สุดคือป้องกันการได้รับสารปรอทเข้าสู่ร่างกาย
โดยหลีกเลี่ยงการบริโภคปลาทะเลตัวใหญ่ๆ ปริมาณมากๆ
เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์ และในเด็ก แต่ทั้งนี้
มิได้จะแนะนำให้งดอาหารทะเล หรือปลาไปเลย เนื่องจาก
ในปลายังมีสารอาหารอื่นๆที่เป็นประโยชน์กับร่างกายมาก
เพียงแต่ไม่บริโภคมากจนเกินไปเท่านั้น นอกจากนี้
อาจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องมือวัดไข้จากปรอท เป็นแบบอื่นๆ เช่น
อุปกรณ์วัดไข้ระบบดิจิตอล
หรือเครื่องวัดอุณหภูมิของร่างกายทางช่องหูซึ่งเริ่มมีจำหน่ายในประเทศไทย
บ้างแล้ว



ในสหรัฐอเมริกา
ได้มีการรณรงค์เพื่อการไม่ใช้ปรอทในการวัดไข้
ในหลายเมืองมีการออกกฎหมายห้ามการจำหน่ายอุปกรณ์ที่มีสารปรอท
เนื่องจากพบว่า ในปรอทที่ใช้วัดไข้ 1 อันจะมีสารปรอทอยู่ประมาณ 1 กรัม
ซึ่งปริมาณสารปรอท 1 กรัมนี้ ถ้าปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำที่มีขนาดประมาณ
20
เอเคอร์ จะทำให้ปลาที่อาศัยอยู่ในนั้น
มีสารปรอทมากกว่าปกติอยู่นานถึง 1
ปี


ถ้าปรอทที่ใช้วัดไข้แตก ปรอทที่ไหลออกมา สามารถระเหิดเป็นไอ
และทำให้เกิดอันตรายกับระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการหายใจไม่อิ่ม
แน่นหรือแสบหน้าอก และปอดอักเสบได้
มีข้อปฏิบัติที่ควรทำดังนี้






















ก่อน
อื่นต้องออกจากห้องนั้นโดยเร็วที่สุด แล้วจึง
เปิดหน้าต่างให้บริเวณนั้นถ่ายเทได้สะดวกอย่างน้อย 2 วัน และห้ามใช้ไม้
กวาด กวาดสารปรอทที่ไหลออกมา เนื่องจากจะทำให้ปรอดแตกออกเป็นเม็ดเล็ก
และติดอยู่กับไม้กวาด อันนำไปสู่การกระจายไปที่อื่นๆ ทั่วบ้านของท่าน
รวมถึง
ห้ามใช้เครื่องดูดฝุ่น ดูดสารปรอท
เนื่องจากจะมีสารปรอทตกค้างในเครื่องดูดฝุ่น
และความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้ปรอทระเหิดเข้าสู่ทางเดินหายใจ



วิธี
กำจัดที่ดีคือ
สวม
ผ้าปิดปากปิดจมูก และใช้กระดาษแข็งกวาดสารปรอทมารวมกัน
และตักใส่ภาชนะหรือกระป๋องที่มีฝาปิดมิดชิด
และนำไปทิ้งในขยะที่เป็นถังขยะอันตราย




หากปรอท
แตกและมีสารปรอทเข้าไปทางปาก
ให้รีบ
บ้วนออก รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล อาจจำเป็นต้องล้างท้อง
หรือรับประทานยาที่ทำให้เกิดอาเจียน
และอาจให้ยาเพื่อช่วยเร่งให้เกิดการขับสารปรอทออกทางปัสสาวะ



ทั้งหมดนี้
เป็นเรื่องเกี่ยวกับสารปรอท สารพิษใกล้ตัวคุณที่จำเป็นต้องระวัง
การบริโภคอาหารทะเลแต่พอเหมาะ การหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือที่มีปรอท
หรือใช้ด้วยความระมัดระวัง จะทำให้ท่าน ปลอดภัยจากการเกิดพิษจากสารปรอทได้



ที่มา : BangkokHealth









Free TextEditor







































































































 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 19:14:53 น.
Counter : 778 Pageviews.  

โลหิตจางจากการขาดเหล็ก














































































โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในผู้ใหญ่
หมายถึงภาวะที่มีระดับเฮโมโกลบินในเลือดต่ำ ชายต่ำกว่า ๑๓.๕ กรัม/เดซิลิตร
หญิง ต่ำกว่า ๑๑.๕ กรัม/เดซิลิตร


และลักษณะรูปร่าง
ของเม็ดเลือดแดงเปลี่ยนไปจากปกติ สาเหตุมักจะเกิดจาก


  • การบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กน้อยเกินไป เช่น
    ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ธัญพืช หรือบริโภคน้อยเกินไป

  • การดูดซึมธาตุเหล็กไม่ดี
    เนื่องจากบริโภคผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีน้อยเกินไป
    การดูดซึมผิดปกติแบบเรื้อรัง หรือการผ่าตัดลำไส้
    บริโภคอาหารประเภทรำข้าวมากเกินไป ทำให้ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก

  • การสูญเสียธาตุเหล็กจากร่างกายอย่างมาก
    เพราะมีการเสียเลือดเฉียบพลันเช่น อุบัติเหตุ คลอดลูก
    หรือการเสียเลือดเรื้อรัง เช่น มีประจำเดือนมาก
    หรือมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร

  • ภาวะที่ร่างกายต้องการธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ภาวะตั้งครรภ์
    โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกถี่หรือตั้งครรภ์แฝด วัยรุ่น และวัยเด็ก


ดังนั้นบุคคลต่อไปนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะขาด
ธาตุเหล็กหรือเป็นโรคโลหิตจาง อาการที่ชัดเจนของโลหิตจางคือ ซีดเหลือง
เหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดศรีษะ เบื่ออาหาร ใจสั่น หายใจลำบาก


  • ในเด็กมักจะมีปัญหาด้านพัฒนาการสติปัญญา
    การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ขาดสมาธิในการเรียนรู้

  • ส่วนผู้ใหญ่มักมีอาการอ่อนเพลียและนำไปสู่การเจ็บ
    ป่วยเรื้อรัง



































สาเหตุการขาดธาตุเหล็กใน
แต่ละกลุ่ม ได้แก่


  • ทารก และเด็กที่หย่านมช้า
    หรือดื่มนมวัวไม่ได้ให้นมแม่ในขวบปีแรก บริโภคเนื้อสัตว์น้อย

  • เด็กวัยเรียน ขาดความหลากหลายของอาหาร
    รับประทานแต่ขนมขบเคี้ยวแทนอาหารหลัก รับประทานเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้น้อย

  • วัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเพศหญิง
    ผู้ที่เป็นแบบมังสวิรัติแบบเคร่ง หรือผู้ที่ต้องจำกัดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
    รับประทานอาหารไม่สมดุล ขาดอาหารมื้อเช้า
    รับประทานอาหารสำเร็จรูปและอาหารกระป๋องเป็นประจำ

  • หรือผู้สูงอายุที่มีอาการเบื่ออาหาร
    ฟันเคี้ยวลำบาก และมีการเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น ติดเชื้อ ตับอักเสบ


ธาตุเหล็กในอาหารมี ๒ ชนิดคือ
ธาตุเหล็กในเนื้อแดง และธาตุเหล็กในพืช
การดูดซึมของธาตุเหล็กในเนื้อแดงดีกว่าในพืช
และอาหารที่มีวิตามินซีสูงจะช่วยดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี

ถ้าเราบริโภคธาตุเหล็กไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกาย
สร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อยทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ดังนั้น
ถ้าทราบว่าเราเป็นโรคโลหิตจาง หรืออยู่ในภาวะกลุ่มเสี่ยง
จำเป็นต้องเปลี่ยนอาหารที่บริโภคให้มีสัดส่วนพอดี
มีธาตุเหล็กและวิตามินซีเพิ่มขึ้น















































เคล็ดลับการกินเพื่อ
ป้องกันโลหิตจาง
๑.
กินอาหารตามมื้อปกติอย่างสมดุลและเพียงพอ
โดยเฉพาะมื้อเช้าอาหารสัดส่วนสมดุล
ได้แก่


  • อาหารข้าว แป้ง ธัญพืช และขนมปัง
    ควรเป็นชนิดซ้อมมือหรือโฮลวีท และเสริมธาตุเหล็กร่วมกับวิตามินซี
    รับประทานวันละ ๘-๑๒ ทัพพี

  • ผัก
    และผลไม้ควรรับประทานเป็นประจำทุกมื้อ โดยเฉพาะผักใบเขียว
    และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะม่วง มะละกอ แคนตาลูป เมลอน
    มะเฟือง สตรอว์เบอรี่ กีวี สับปะรด ส่วนผักที่มีวิตามินซีสูงได้แก่
    พริกหวาน ผักบุ้ง คะน้ำ ตำลึง พริก มะเขือเทศ บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ บีทรูท
    ถั่วหวาน มันฝรั่ง มันเทศ ผักกาด เป็นต้น ดังนั้น
    จึงควรรับประทานผักและผลไม้ร่วมด้วยทุกวัน เพื่อช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก
    โดยรวมกันให้ได้ประมาณครึ่งกิโลกรัมต่อวัน ง่ายๆ เช่น ให้มีผักในมื้ออาหาร
    ๒-๓ ทัพพี และผลไม้มื้อละ 1 อย่าง ควรมีความหลากหลายของชนิดอาหาร

  • เนื้อสัตว์ ปลา และอาหารทดแทนเนื้อสัตว์
    เนื้อแดงเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีที่สุด และดูดซึมง่าย
    ควรเลือกเนื้อแดงไม่ติดมัน เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ตับ
    เครื่องในสัตว์ ปลาทะเล เช่น ปลาซาร์ดีน ทูน่า เป็นต้น ถั่วต่างๆ และไข่
    โดยเฉพาะผู้ที่เป็นมังสวิรัติควรรับประทานถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ให้เพียงพอ
    วันละ ๑-๒ ถ้วยตวง


๒.
รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี ๑๒ และโฟเลท
เนื่องจากจำเป็นต่อกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง
ได้แก่ ตับ
เนื้อไก่ เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว หอย และข้าวซ้อมมือ
ซึ่งมักจะเป็นแหล่งอาหารของธาตุเหล็กอยู่แล้ว นอกจากนี้ในพืชยังมีโฟเลทสูง
เช่น หน่อไม้ฝรั่ง บรอกโคลี กระเจี๊ยบ บีทรูท ผักใบเขียว ผักกาด แขนงผัก
เป็นต้น
๓.
หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่มีผลยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น
แคลเซียมและคาเฟอีน
ดังนั้น
ไม่ควรรับประทานยาแคลเซียมเม็ดพร้อมกับธาตุเหล็ก
ขณะเดียวกันควรงดเครื่องดื่มชา กาแฟ และหากจะดื่มนมควรดื่มหลังอาหาร
๔.
ระวังอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง
เช่น ขนมเค็ก อาหารทอด
ช๊อกโกแลต ของหวาน ไม่ควรบริโภคมาก เพราะจะมีผลให้ขาดสารอาหารอื่นๆ ได้
เนื่องจากรับประทานในมื้อหลักได้น้อยลง
๕.
ถ้าเป็นมังสวิรัติจำเป็นต้องบริโภคอาหารทดแทนเนื้อสัตว

ซึ่งเป็นแหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก เช่น ธัญพืชเสริม เหล็ก ถั่วต่างๆ
ผักใบเขียวก็เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี และควรบริโภคผลไม้และน้ำผลไม้ให้มาก
เพื่อจะได้วิตามินซี ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
สรุปร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีนั้น
ผู้ที่อยู่ในภาวะโลหิตจางควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น ไก่
เนื้อ หมู หรือปลา รวมถึงผลไม้ที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี
ขณะเดียวกันให้เลี่ยงอาหารที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น แคลเซียม และ
คาเฟอีน โรคโลหิตจางสามารถป้องกันและรักษาได้
อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกอาหารที่มีธาตุเหล็ก วิตามินบี ๑๒
และกรดโฟลิกได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอหรือไม่รวมทั้งรู้จักเลี่ยงอาหารที่
ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก
เพียงเท่านี้ภาวะโลหิตจางก็ไม่สามารถคุกคามคุณได้























Free TextEditor







































































































 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 19:07:45 น.
Counter : 498 Pageviews.  

~~~วิจัยกินช็อกโกแลตดำ-ลดโรค เพลีย~~~












































 บี
บีซีรายงานว่า การกินช็อกโกแลตดำในปริมาณพอเหมาะเป็นประจำจะ
ช่วยลดอาการอิดโรยเหนื่อยล้า
หรือโรคฟาทีก ซินโดรม ได้ เพราะอาจมีส่วนช่วยกลไกการผลิตฮอร์โมนในสมอง


    
นักวิจัยวิทยาลัยแพทย์ฮัลล์ ยอร์ก ประเทศอังกฤษ นำโดย ศาสตราจารย์สตีฟ
อัตคิน ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ พบว่า
เมื่อกินช็อกโกแลตดำที่มีปริมาณโกโก้สูงกว่าช็อกโกแลตทั่วไป
ผู้ป่วยในกลุ่มทดลองนำร่องมีภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง หรือ ซีเอฟเอส ลดลง
ซึ่งภาวะดังกล่าวคือ อาการที่กล้ามเนื้ออ่อน
ล้า หลังผ่านการออกกำลังทางกายมาอย่างหนัก

   
ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า
ช็อกโกแลตดำอุดมด้วยโพลีฟีนอลที่ช่วยลดความดันเลือดได้
โดยไปช่วยปรับระดับฮอร์โมนซีโรโทนินในสมอง
ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง แต่เตือนว่า
ควรรับประทานในขนาดที่เหมาะสม
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาโรคอ้วนตามมา แนวคิดการทดลองดังกล่าวเกิดจากผู้ป่วย
ระบุว่า รู้สึกดีขึ้นหลังเปลี่ยนจากกินช็อกโกแลตนมไปเป็นช็อกโกแลตดำ แพทย์จึงศึกษาเปรียบเทียบการกินช็อกโกแลตดำ
และช็อกโกแลตปกติ วันละ 45 กรัม เป็นเวลา 2 เดือน ในผู้ป่วย 10 คน
แล้วพบว่ากลุ่มที่กินช็อกโกแลตดำอ่อนเพลียเหนื่อยล้าน้อยกว่าอีกกลุ่ม


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์
ข่าวสด






Free TextEditor








































































 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 18:37:25 น.
Counter : 448 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.