ประโยชน์ของเต้าเจี้ยว-เต้าหู้ยี้



         เต้าเจี้ยวกับเต้าหู้ยี้
คือถั่วเหลืองหมักทั้งคู่ โดยเต้า เจี้ยวมักจะผลิตคู่กับซีอิ๊ว ส่วนผสมคือ
ถั่วเหลืองเป็นหลัก มีแป้ง เชื้อรา น้ำเกลือ และเครื่องปรุงรสต่างๆ
ผสมให้เข้ากันนำไปบรรจุในโอ่งปิดฝาแล้วตากแดด
ปล่อยให้เกิดปฏิกิริยาการหมักเป็นเวลาประมาณ 3-6 เดือน





         เมื่อครบกำหนด หากทำซีอิ๊ว
ก็จะดูดส่วนที่เป็นของเหลวสีน้ำตาลปนแดงออกมา
นำไปผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 65-88 องศาเซลเซียส
จากนั้นกรองเอาตะกอนถั่วออก แล้วบรรจุขวด
แต่หากผลิตเต้าเจี้ยวโดยไม่เอาน้ำซีอิ๊วก็จะได้เต้าเจี้ยวที่มีราคาค่อนข้าง
สูงมาก

เต้าเจี้ยว ในท้องตลาดมี 2 ชนิด
คือ เต้าเจี้ยวเม็ดและเต้าเจี้ยวบด โดย
เต้าเจี้ยวเม็ดทำจากถั่วเหลืองที่แกะเปลือกแล้ว และปริมาณถั่วจะน้อยกว่าน้ำ
ส่วนเต้าเจี้ยวบด ทำจากถั่วเหลืองที่แกะเปลือกออกหรือไม่ก็ได้
แต่ในการหมักจะต้องใส่น้ำและถั่วเหลืองให้มีปริมาณใกล้เคียงกัน






สำหรับเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น หรือ มิโสะ
แตกต่างจากเต้าเจี้ยวจีนตรงสี
ข้นดำ เนื้อถั่วบดละเอียด รสและกลิ่นแรงกว่า เพราะใช้เวลาหมักนานเป็นปี
นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงพื้นฐานของอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ เครื่องจิ้มต่างๆ
รวมทั้งซุปทุกชนิด คล้ายกะปิ และปลาร้าในอาหารไทยของเรา

        
โดยทั่วไปเรานิยมนำเต้าเจี้ยวมาปรุงรสชาติอาหารต่างๆ เช่น ผัดผัก แป๊ะซะ
เพราะนอกจากจะได้รสชาติดีแล้ว ยังเพิ่มโปรตีนในอาหารด้วย

        
นอกจากนี้มีการนำเต้าเจี้ยวไปทำเป็นเครื่องจิ้มที่เรียกว่า หลน เช่น
หลนเต้าเจี้ยว หรือ น้ำจิ้มข้าวมันไก่ เป็นต้น

 
ส่วนเต้าหู้ยี้
นิยมใช้ปรุงผัดผัก สุกี้ยากี้ เป็นเครื่องจิ้ม
และกินกับข้าวต้ม ที่ขายกันอยู่ในท้องตลาดมี 2 ชนิด คือ สีเหลืองและสีแดง
โดยผู้ผลิตอาจเติมสารที่ให้กลิ่น สี และรสชาติเฉพาะตัวลงไป



        
การผลิตเริ่มจากนำถั่วเหลืองมาทำเป็นเต้าหู้แข็งแล้วตัดเต้าหู้ให้เป็นก้อน
นำไปแช่ในน้ำเกลือผสมกรดมะนาว 1 คืน รุ่งขึ้นนำไปฆ่าเชื้อโดยอบในตู้อบที่
100 องศา นาน 10-15 นาที ทิ้งไว้ให้เย็นที่อุณหภูมิห้อง แล้วเรียงในถาด
ใส่เชื้อรา บ่มให้เจริญเติบโต 3-7 วัน
ชิ้นเต้าหู้จะมีเส้นใยของเชื้อราขึ้นโดยรอบ
นำไปหมักในน้ำเกลือโดยเรียงเต้าหู้ในถังหมักเป็นชั้นๆ ใส่น้ำเกลือ
และเครื่องเทศอื่นๆ เช่น พริกแดง ขิง ผงพะโล้
หรือเติมข้าวแดงเพื่อทำให้เป็นเต้าหู้ยี้ชนิดสีแดง
ปิดฝาหมักไว้เป็นระยะเวลาเดือนครึ่งที่อุณหภูมิห้อง
เมื่อครบกำหนดเวลาจะได้เต้าหู้ยี้ตามต้องการ


เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ต่างก็ได้จากถั่วเหลืองหมัก จึงอุดมด้วยโปรตีน
และเกลือแร่ เหล็ก และโพแทสเซียม ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก
มีธาตุเหล็กช่วยบำรุงโลหิต และมีวิตามินเอ บี1 บี2 ดี อี เค และไนอะซีน






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 0:28:47 น.
Counter : 2845 Pageviews.  

อาหารแช่แข็ง (Frozen Food)

ปิ๊ง!  จากชาวบ้านขั้วโลกเหนือ



นายคลา
เรนซ์  เบิร์ดอาย
  (Clarence  Birdseye)  นักธรรมชาติวิทยา 
ทำงานกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา  และต้องประจำอยู่พื้นที่แถบอาร์กติก 
(ขั้วโลกเหนือ)  ซึ่งเป็นดินแดนหนาวเหน็บ 
เขาเห็นชาวบ้านจับปลามาได้เกินกิน  ก็จะเอาปลาที่เหลือสดๆ  นั้นใส่ถัง 
นำไปแช่แข็งในน้ำทะเลแข็ง  ซึ่งมีความเย็นต่ำกว่า  0  องศาเซลเซียส 
ปรากฏว่าเมื่อชาวบ้านนำปลาที่แช่แข็งมาปรุงอาหารก็ได้รสชาติดีเหมือนกับปลา
สดๆ





(หมายเหตุ  อาหารแช่
แข็งต้องอยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า  -18  องศาเซลเซียส 
และต้องทำให้อาหารเย็นทันทีอย่างรวดเร็ว
 
เพื่อทำให้น้ำในเซลล์เนื้อสัตว์แข็งตัว  ก่อนการเป็นผลึกน้ำ 
ซึ่งผลึกน้ำนั้นมีคม  สามารถบาดเนื้อสัตว์ได้  น้ำทะเลกว้างใหญ่ 
จึงมีปริมาณความเย็นมากมายทำให้เนื้อสัตว์แข็งตัวได้อย่างรวดเร็วในทันที)



เบิร์ดอายนำหลักการจากธรรมชาติมาพัฒนา 
ด้วยการใช้อุปกรณ์พื้นๆ  คือ  พัดลม  น้ำเค็มเป็นถังๆ 
และน้ำแข็งจำนวนมากมาบรรจุในถังตามกรรมวิธีแช่แข็ง 
ให้ได้เงื่อนไขและอุณหภูมิที่ต่ำกว่า  0  องศาเซลเซียสถึง  -20 
องศาเซลเซียส  เย็นจัดเช่นเดียวกับน้ำทะเลแข็ง



         
ในที่สุดเขาก็สามารถค้นพบวิธีเก็บอาหารแบบแช่แข็งได้สำเร็จ 
ให้อาหารคงสภาพ  คงลักษณะ  คงรูปร่าง 
สีสันและรสชาติเหมือนของสดใหม่เมื่อนำมาละลายแล้ว 
เขาได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อวันที่  30  สิงหาคม  ค.ศ.  1930








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 0:27:30 น.
Counter : 1370 Pageviews.  

กิน"ถั่วงอกดิบ"ชะลอความแก่

ต้าน
สารพัดโรค ให้ประโยชน์เต็มๆ

         
ใครที่ไม่อยากแก่เชิญฟังทางนี้ค่ะ...
          คุณๆ
ทราบกันหรือไม่ว่าถั่วงอกดิบที่เรารู้จักและรับประทานกันอยู่ทุกวันนี้บ้าง
กินกับก๋วยเตี๋ยว บ้างกินกับขนมจีนนั้นมีสารอาหารตัวหนึ่งที่
ช่วยชะลอความแก่ได้ดีทีเดียว (ถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นเหม็นเขียวนิดๆ ก็ตาม)

         
นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณต่างๆ อีกมากมาย
เชื่อว่าหากทราบแล้วหลายคนต้องหันมารับประทานถั่วงอกกันมากขึ้นแน่ๆ





"ถั่ว
งอกช่วยชะลอความแก่ได้จริงเพราะมี สารซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส (SUPEROXIDE 
DISMUTASE : SOD) หรือ เอสโอดี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง
สามารถช่วยชะลอความชราได้"


 
พญ.ลลิตา ธีระสิริ
แพทย์ประจำศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีให้
ความรู้พร้อมอธิบายว่า
นอกจากสารเอสโอดีจะช่วยชะลอความแก่แล้วยังช่วยป้องกันร่างกายจากโรคเสื่อม
ทั้งหลาย เช่น โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง เบาหวานอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคข้อ
ต้อกระจกและผิวหนังเหี่ยวย่น
อีกด้วยการรับประทานถั่วงอกแบบสดจะได้ผลดีกว่าแบบปรุงสุก
เพราะสารเอสโอดีหากโดนความร้อนจะถูกทำลาย
แต่ถ้าเราไม่ชอบรับประทานแบบดิบก็สามารถนำมาปรุงอาหารรับประทานได้เพราะนอก
จากในถั่วงอกจะมีสารเอสโอดี
แล้วยังมีสารอาหารตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น
ในถั่วงอกมีคาร์โบไฮเดรต ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก
มีโปรตีนสูงมากกว่าในเนื้อสัตว์
แถมในเนื้อสัตว์ก็มีไขมันเยอะด้วยจึงสามารถช่วยลดน้ำหนักได้
เพราะถั่วงอกมีแคลอรีต่ำ มีเส้นใยพอสมควร





อย่าง
ไรก็ตาม
คุณหมอลลิตาแนะนำว่าถ้าเราปลูกถั่วงอกรับประทานเองจะเหม็นเขียวน้อยกว่าใน
ท้องตลาดและวิธีการปลูกถั่วงอกก็ปลูกได้ง่ายมากสมัยเรียนชั้นประถมคงจำกัน
ได้ว่าเราดีใจมากเวลาปลูกถั่วงอกแล้วมันโต


         
วิธีการปลูกถั่วงอกง่ายๆ มีดังนี้ เริ่มจากคัดเลือกถั่วเขียวใหม่ 1 กำ
นำมาปลูกถั่วงอกได้ 1 จาน ใช้กระดาษชำระวางบนถาด
จากนั้นโรยเมล็ดถั่วเขียวแล้วใช้กระดาษชำระโปะไว้อีกชั้นหนึ่งคอยรดน้ำ
เพียงแค่ 3 วันถั่วงอกก็จะโตสามารถนำรับประทานแบบสดๆ
ได้ให้คุณประโยชน์เต็มๆ
แต่ใครที่มีปัญหาเรื่องมียูริกเกินหรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรคไตต้องระมัดระวัง
อย่ารับประทานมากเกินไปเพราะจะมีผลเสียต่อร่างกายได้

ฉะนั้น
ใครที่ไม่อยากแก่ก่อนวัยหมั่นรับประทานถั่วงอกบ่อยๆ
นอกจากจะทำให้หนุ่มสาวขึ้นแล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้วย






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 0:26:10 น.
Counter : 1014 Pageviews.  

น้ำแอปเปิล...เสริมความจำ

บรรดาผู้ที่ติดตามข่าวคราวทางสุขภาพคง
เคยได้ยินประโยคที่ว่า An apple a day keeps the doctor away
ซึ่งเปรียบสรรพคุณของแอปเปิลว่า การรับประทานแอปเปิลเพียงวันละผล
สามารถทำให้ห่างไกลจากหมอหรือไม่ต้องไปหาหมอ
ทั้งนี้เนื่องมาจากมีงานวิจัยหลายชิ้น กล่าวถึงประโยชน์มากมายของแอปเปิล
ทั้งบำรุงหัวใจ ลดโคเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด
ลดความอยากอาหารและต้านอนุมูลอิสระ
ซึ่งอาจช่วยลดการถูกโรคร้ายทั้งหลายคุกคาม และล่าสุดพบว่าการดื่มน้ำแอปเปิล
ยังอาจช่วยเสริมความจำ และป้องกันภาวะสมองเสื่อม
หรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้

          
จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองของ University of Massachusettse Lowell
(UML) เผยว่าการดื่มน้ำแอปเปิลอาจช่วยเพิ่มการสร้างของสารสื่อ
ประสาทในสมองที่มี ชื่อว่า อะซีทิลโคลีน (Acetylcholine)
ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำ
จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ ปกติแล้วสารสื่อประสาททั้งหลาย
รวมทั้งสารอะซีทิลโคลีน
เป็นสารเคมีที่ถูกสร้างและหลั่งมาจากเซลล์ประสาทเพื่อส่งต่อไปยังเซลล์
ประสาทข้างเคียง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกัน
ในการควบคุมการทำงานของทุกส่วนในร่างกาย ตั้งแต่การนั่ง นอน ยืน เดิน
รับประทาน รู้สึกและสัมผัส รวมถึงการนึกคิด

          
ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยเผยว่า
โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมอง
จนก่อให้เกิดความบกพร่องทางความทรงจำ การตัดสินใจหรือการใช้เหตุผล
โดยมักมีอาการหลงลืม สับสนหรืออารมณ์แปรปรวน
ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุนั้น
จะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าปกติมาก
อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่มปริมาณของสารอะซีทิลโคลีน
ก็สามารถช่วยเพิ่มความทรงจำ
ลดการหลงลืมและสามารถชะลอภาวะเสื่อมของสมองในผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์ได้
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่เผยว่า
ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างพวกบลูเบอร์รี แอปเปิลนั้น
ก็มีส่วนช่วยชะลอภาวะความจำเสื่อมในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์
และยังให้ผลดีกว่าพวกอาหารเสริม
หรือวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทั้งหลาย

          
โดยงานวิจัยนี้ได้ศึกษาในหนูทดลองปกติวัยผู้ใหญ่ วัยชรา
และหนูทดลองสายพันธุ์พิเศษ ที่มีการตัดต่อพันธุกรรม
จนสามารถเกิดอาการของโรคอัลไซเมอร์ แบบเดียวกับที่เกิดในคน
โดยแบ่งให้รับประทานอาหารปกติ อาหารที่ขาดสารอาหารจำเป็น
หรืออาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็น แต่รวมกับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแทนน้ำ
เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าหนูปกติ วัยชรา และหนูที่เป็นอัลไซเมอร์
ซึ่งรับประทานอาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็น
จะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในเนื้อสมองลดลง
แต่ปริมาณของสารนี้กลับเพิ่มสูงขึ้น ในหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นร่วมด้วย
อีกทั้งเมื่อนำหนูเหล่านี้ไปทดสอบเกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ
พบว่าหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้น จะมีพฤติกรรมการเรียนรู้
และความจำที่ดีกว่าหนูที่ไม่ดื่มน้ำแอปเปิล





จึงเป็นไปได้ว่าการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นอาจช่วยเสริมความจำ
โดยมีผลการเพิ่มปริมาณของสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน
ที่ช่วยกระตุ้นความทรงจำ เพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการเรียนรู้
อีกทั้งช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง อันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น
และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งน้ำแอปเปิลเข้มข้น
ที่ให้หนูกินในแต่ละวัน สามารถเทียบได้กับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแก้วละ 8
ออนซ์ วันละ 2 แก้ว หรือเท่ากับการรับประทานแอปเปิลวันละ 2-3 ลูก  



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก นิตยสาร HealthToday






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 0:24:45 น.
Counter : 545 Pageviews.  

การกินเพื่ออนามัย


พยายามรักษาน้ำหนักตัวให้ได้มาตรฐาน ลดอาหารที่มีไขมัน ลดน้ำตาลมากๆ
กินอาหารที่มีกาก เช่น ผักและผลไม้ต่างๆ กินอาหารที่มีรสเค็มลง


คนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
นั้น มีหลักการกินอยู่ 5
ประการที่จะทำให้ร่างกายและจิตใจสมบูรณ์และมีความสุข คือ


1. พยายามรักษาน้ำหนักตัวให้ได้มาตรฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุพยายามให้น้ำหนักน้อยๆไว้ดีกว่ามาก
เกินไป
2. ลดอาหารไขมันลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันชนิดอิ่มตัว (เช่น มันสัตว์)
3. ลดน้ำตาลมากๆ
4.
กินอาหารที่มีกากหรือไฟเบอร์มากๆ
อันได้แก่ ผักทุกชนิด
และผลไม้ต่างๆ
5. กินอาหารที่มีรสเค็มให้น้อยลง
และ
ถ้าดื่มสุราก็ขอให้ดื่มเพียงพอดี ไม่มากเกินไป คือเรากินเหล้า
มิใช่เหล้ากินเรา





       
การรักษาน้ำหนักตัวพูดง่ายทำยาก แต่ความอ้วนมีอันตรายมาก
เป็นสาเหตุนำไปสู่โรคหลายอย่าง เช่น เบาหวาน หัวใจ และข้ออักเสบ

       
คนอังกฤษอายุ 40 ขึ้นไปเป็นโรคอ้วนเสียร้อยละ 50 นักวิจัยพบว่าผอมน้อยๆ
(SLIM) ดีกว่าอ้วนน้อยๆ เพราะคนผอมน้อยๆเป็นโรคเส้นเลือดตีบตัน
และมะเร็งน้อยกว่าคนอ้วนน้อยๆ คนที่ต้องการกินให้มีพลัง (energy)
มากเพื่อให้ทำงานได้มาก ก็จงงดเว้นการกินอาหารที่มีน้ำตาลและน้ำเชื่อม


       
กินอาหารที่มีกากมากๆ ลดอาหารมันๆ หรือไขมันลงให้มาก
ซึ่งโดยความจริงแล้วอาหารมันๆและไขมันนั้นอร่อยและน่ากิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเอาไขมันผสมกับน้ำตาลหรือแป้ง

       
อาหารที่มีกากมาก ถึงแม้จะมีแป้งมาก ก็ยังมีประโยชน์คือ ลดไขมัน (LIPIDS)
ในเลือดและช่วยป้องกันการท้องผูกด้วย แต่มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ
ทำให้ในกระเพาะและลำไส้มีลมมาก

        การลดไขมันลง
ทางการอเมริกันพยายามจะให้ประชาชนกินอาหารที่มีไขในต่ำ โดยดัดแปลงให้นม เนย
เป็นอาหารที่มีไขมันต่ำ ด้วยกรรมวิธีทางเคมี

เหตุสำคัญที่ต้องเอาไขมันออกจากอาหารก็เพราะกลัวจะเป็นโรค
หลอดเลือดหัวใจตีบ
เพราะเชื่อกันว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างการกินไขมันอิ่มตัว
และระดับพลาสมาในเลือดของโคเลสเตอรอลแบบ LDL ซึ่ง 2
อย่างนี้เกี่ยวข้องอย่างมากกับโรคหัวใจ แต่ 2
อย่างนี้ก็ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด ถ้าคุณสูบบุหรี่ด้วย
การเลิกบุหรี่สำคัญกว่า


        ในผู้ชายที่รูปร่างท้วมนั้น
อันตรายมากกว่าไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลชนิดหนัก (LDL)
ชายรูปร่างผอมซึ่งเป็นคนร่างกายสมบูรณ์และไม่สูบบุหรี่จะกินไขมัน (เนย)
บ้างก็ได้

        บรรพบุรุษ ปู่ย่า
ตาทวดของเราไม่ค่อยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ทั้งๆที่ท่านไม่ต้องคอยเลือกกินแต่ไขมันไม่อิ่มตัว
การกินอาหารแคลอรีสูงแต่ไฟเบอร์ต่ำ
จะพาเราไปสู่มะเร็งมากกว่าอาหารอย่างอื่น

       
ลดน้ำตาลและน้ำเชื่อม นอกจากแคลอรีสูงแล้ว ถ้ากิน 2
อย่างนี้เพิ่มไปในอาหารแล้วก็จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและเกิดโรคอ้วน
เราชอบเอาน้ำตาลปนไขมันแล้วทำเป็นขนมหลายอย่าง เช่น เค้ก

       
โรคฟันผุคงจะหมดไปจากโลกนี้ ถ้าของหวานอันเต็มไปด้วยน้ำตาลหมดไป
ลูกอมต่างๆที่ประกาศในทีวีทุกวันนี้ทำให้หมอฟันงานล้นมือ

       
ควรกินอาหารจำพวกแป้งที่มีไฟเบอร์สูง เพราะไฟเบอร์ช่วยทำให้ท้องไม่ผูก
และอาจช่วยได้แต่ไม่แน่นักคือ การป้องกันมิให้เป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่
และโรคติ่งทั้งหลายที่งอกจากลำไส้ใหญ่






เป็นการยากที่จะบอกว่าคนเรา ต้องการไฟเบอร์วันละกี่กรัม
เราได้แต่เพียงบอกว่า อาหารที่เรากินทุกวันนี้ต้องมีไฟเบอร์ด้วย คือ ผัก
ผลไม้ ที่เรากินนี้ควรกินทั้งๆที่มีเครื่องหุ้มตามธรรมชาติ (natural
wrappings) เช่น ส้ม
เมื่อปอกแล้วไม่ควรไปดึงเอาเส้นขาวๆที่ติดอยู่ออกทิ้งเพื่อให้ดู “สะอาด”
เราควรกิน และกินกากส้มด้วย (เท่าที่จะกินได้)
กากหรือไฟเบอร์เหล่านี้ยังมีข้อดีอีกคือทำให้เราอิ่มโดยไม่ต้องกินแป้ง
น้ำตาล อื่นๆที่ไม่ควรกินอีก

        ลดเกลือลง
เรื่องเกลือยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ บางท่านว่า
ความดันจะไม่เกิด ถ้าเราลดเกลือลงบ้าง ให้เหมือนที่ปู่ย่า ตายาย เรากิน
แต่ดูก็ปฏิบัติยาก ข้อที่นักวิจัยเห็นพ้องต้องกันคือ
เกลือที่เรากินกันทุกวันนี้ในขนาด 10-15 กรัมต่อวันนั้น
มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ จึงไม่มีผลร้ายประการถ้าเราจะลดเกลือลงบ้าง

       
ไม่ว่าเราจะป้องกันโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ มะเร็ง นิ่วในถุงน้ำดี
หรือท้องผูก เรามีทางปฏิบัติที่ปลอดภัยและค่อนข้างแน่นอนคือ
กินอาหารที่มีไขมันต่ำ แคลอรีต่ำ ไฟเบอร์สูง น้ำตาลต่ำ
ซึ่งเหมือนๆกับที่บรรพบุรุษที่มีสุขภาพดีของเรากิน






Free TextEditor































































 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 0:21:02 น.
Counter : 663 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.