หญ้าปักกิ่งกับการรักษาโรคมะเร็ง



         
ยาปัจจุบ้นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาแพง ยังพบว่าผลข้างเคียงสูง
สมุนไพรจึงเป็นอีกทางเลือกของผู้ป่วยโรคมะเร็ง 

         
หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murdania
loriformis (Hassk) Rolla Rao et Kammathy อยู่ในวงศ์ Commelinaceae
เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แต่ไม่ใช่พืชในวงศืหญ้าทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก สูง
ประมาณ 7-10 ซ.ม. และอาจสูงได้ถึง 20 ซ.ม. ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว
ความยาวไม่เกิน 10 ซ.ม. ดอกออกเป็นช่อที่ ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น
กลีบดอกมีสีฟ้าปนม่วง ใบประดับกลม ยาวประมาณ 4 ม.ม. ร่วงง่าย เป็นพืชที่
ชอบดินร่วนหรือดินปนทราย งอกงามในที่มีแดดรำไร ไม่ต้องการน้ำมาก
เพาะปลูกโดยการเพาะชำหรือเพาะเมล็ด
ปลูกได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องมีเนื้อที่มาก

         
ตามสรรพคุณของตำรายาจีน
จะใช้หญ้าปักกิ่งรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและกำจัดพิษ โดยจะใช้ทั้ง
ต้นหรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นหรือใบ) ที่มีอายุ 3-4 เดือน
(ตั้งแต่เริ่มออกดอก)

จุด
ประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

1. การใช้หญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง
โดยมีสรรพคุณว่า

               -
เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน
บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น
               -
เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด
2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็ง
              
- เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง
พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
               -
ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเสบมีหนองหรือน้ำเหลืองไหล
เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าแผลแห้ง ไม่มี หนองและน้ำเหลือง

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา:
         
- สารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี 1 บี)
แสดงฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ (SW 120)
โดยมีค่า ED50?16 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร
          - สารจี 1 บี
แสดงผลปรับระบบภูมิคุ้มกัน
          -
สารสกัดแอลกอฮอล์ของหญ้าปักกิ่งไม่ได้ช่วยยืดอายุ
แต่ผลทางพยาธิวิทยาพบว่าสามารถลดความ
รุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนูได้
จึงคาดว่าสารสกัดดังกล่าวอาจใช้ป้องกันการเกิด มะเร็งได้
          -
สารสกัดหญ้าปักกิ่ง
มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่น
AFB1
          - สารสกัดหญ้าปักกิ่งมีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์
DT-diaphorase ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่ ก่อให้เกิดมะเร็ง

ความเป็นพิษ
          - ความเป็นพิษเฉียบพลัน
น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโต
ชีวเคมีในเลือด และพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญในหนูขาว ค่า LD50
เมื่อให้โดยการป้อนในหนูขาว มากกว่า 120 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว
ซึ่งเทียบเท่า 300 เท่าของขนาดที่ใช้รักษาในคน จัดว่า ค่อนข้างจะปลอดภัย
         
- ความเป็นพิษเรื้อรัง พบว่า น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่งขนาดที่ใช้รักษาในคน
มีความปลอดภัยเพียงพอ หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน

ขนาดและวิธีใช้แบบดั้งเดิม
          - ดื่มน้ำคั้น 2 ช้อนโต๊ะ (30
มิลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นก่อนอาหาร ขนาดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่
น้ำหนักตัวเฉลี่ย 60 กิโลกรัม ถ้าเป็นเด็กควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง
         
- ถ้าใช้สำหรับการปรับระบบภูมิคุ้มกัน จะรับประทานยาไม่เกิน 4-6 สัปดาห์
และควรหยุดยาดังนี้
          รับประทานติดต่อกัน 5-6 วัน หยุดยา 4-5
วันเช่นนี้จนกว่าครบกำหนด
          วิธีเตรียม
นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม หรือจำนวน 6 ต้น
ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และโขลกในครกที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4
ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร) กรองผ่านผ้าขาวบาง
          ผลข้างเคียง
ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส
          ข้อควรระวัง
หากใช้เกินขนาด จะมีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน

ข้อ
ควรคำนึงในการดื่มน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งสด

          -
หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรคลุมดิน ให้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จาก
ดินมาที่ต้นและใบของ หญ้าปักกิ่ง
การนำหญ้าปักกิ่งมารับประทานสดต้องแน่ใจว่า ได้ล้างหลายครั้งจนสะอาดปราศจาก
เชื้อจุลินทรีย์ เพราะถ้าล้างไม่สะอาดเพียงพอ
เมื่อดื่มน้าคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง ก็จะเป็นการดื่มเชื้อ
จุลินทรีย์เข้าไปในร่างกายผู้ป่วย ซึ่งย่อมมีภูมิต้านทานต่ำ
จึงอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติ
          -
หญ้าปักกิ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายหญ้าอื่นๆหลายชนิด เช่น หญ้ามาเลเซีย ฯลฯ
ซึ่งไม่มีประโยชน์
ทางยาเคยมีผู้บริโภคที่ซื้อหญ้าปักกิ่งตามท้องตลาดมาบริโภคด้วยราคาแพงแต่
ไม่ใช่ชนิดที่ต้องการ
ดังนั้นก่อนจะซื้อมาบริโภคจะต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งที่ต้องการจริง
         
- หญ้าปักกิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย
ต้องเป็นต้นที่มีอายุที่เหมาะสมดังนี้ คือ หญ้าปักกิ่งที่ปลูก โดยการชำกิ่ง
ต้องมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป ส่วนหญ้าปักกิ่งที่ปลุกด้วยการเพาะเมล็ด
ต้องมีอายุ มากกว่า 5 เดือนขึ้นไป
จากการศึกษาพบว่าหญ้าปักกิ่งที่มีอายุไม่ครบเวลาดังกล่าว จะไม่มีการ
สร้างสาร G1b ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ทางยา

         
ดังนั้นการซื้อหญ้าปักกิ่งมาบริโภคนั้น ต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งจริง
เก็บเกี่ยวในขณะที่มีอายุครบเกณฑ์ที่ กำหนดตามวิธีการเพาะชำนั้นๆ
จึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดดังประสงค์
มิฉะนั้นก็จะเป็นการบริโภคหญ้าดังกล่าว ที่สูญเปล่า
ไม่ได้คุณสมบัติตามต้องการและอาจจะได้รับพิษ
ถ้าในกรณีเลือกสมุนไพรชนิดอื่นมาบริโภค





ภาวะปัจจุบันของการพัฒนาหญ้าปักกิ่งที่ใช้เป็นยา
         
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรม ได้นำเอาหญ้าปักกิ่งมาพัฒนาเป็นยาเม็ด โดยยาทุก 2
เม็ด มีคุณค่าเท่ากับ ต้นหญ้าปักกิ่ง จำนวน 3 ต้น โดยกำหนดขนาดรับประทาน
ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย
โดยมีระยะเวลาการรับประทานขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้ คือ

         
1. ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือยาเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง
จะรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน
          2.
ใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำอีก หลังจากการรักษาแล้ว
โดยรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 1 ปี
และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง
          3.
ใช้เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง รับประทาน 7
วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกัน เป็นเวลานานไม่เกิน 6-8 สัปดาห์
โดยใช้เแพาะช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่น ขณะติดเชื้อไวรัส



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:17:04 น.
Counter : 884 Pageviews.  

นมพร่องมันเนย อีกหนึ่งอาหารคุณภาพต่ำ

          
นมพร่องมันเนยมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ
เตือนวัยรุ่นดื่มนมแทนน้ำอาจก่อให้เกิดโรคอ้วน นักโภชนาการแนะ
ดื่มนมถั่วเหลืองหรือโยเกิร์ตดีกว่า

นมพร่องมัน
เนยที่เห็นวางขาย ตามท้องตลาดนั้น ถึงแม้จะมีโปรตีน และแคลเซียม
เทียบเท่ากับนมธรรมดาก็ตาม แต่ก็ได้สกัดเอาไขมันบางส่วนจากเนื้อนมออกไป
ทำให้พลังงานที่ได้รับต่ำ ขณะเดียวกัน วิตามิน A D E K
ที่ละลายในไขมันก็จะหายไปด้วย
จึงไม่เหมาะสำหรับใช้เลี้ยงเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ
เพราะเด็กเล็กจำเป็นต้องได้รับวิตามินที่ละลายในไขมันได้ด้วย


นอกจากนี้นมพร่องมันเนยยังไม่มีสารที่ใช้พัฒนาสมอง
ทั้งนี้เพราะนมพร่องมันเนยผลิตจากนมวัว
ซึ่งสมองของลูกวัวนั้นจะหยุดพัฒนาหลังคลอด
จึงไม่จำเป็นต้องได้รับสารในการพัฒนาสมองจากนมของแม่วัว


           
พญ. อัจฉรา พรไพศาลสกุล นักโภชนาการ โรงพยาบาลผู้สูงอายุกล้วยน้ำไทย 2
ยืนยันว่า นมพร่องมันเนยมีส่วนประกอบของไขมันไม่เกิน 15 %
แต่ในส่วนของคุณค่าทางอาหารอื่นๆ ยังมีอยู่ครบ
ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนักมากกว่า
ถ้าหากดื่มในปริมาณที่มากเกินไปและไม่ได้ออกกำลังกาย อาจจะทำให้อ้วนได้
เพราะในนมยังมีไขมันหลงเหลืออยู่

“สำหรับ
ผู้ที่ดื่มนมไม่ได้
ก็สามารถรับประทานอาหารอย่างอื่นที่มีแคลเซียมหรือโปรตีนเป็นส่วนประกอบแทน
ได้ เช่น น้ำนมถั่วเหลืองเพราะมีไขมันพืชสามารถย่อยได้ดีกว่า
อีกทั้งสัดส่วนของโปรตีนและแคลเซียมไม่ต่างจากนมธรรมดามากนักสามารถดื่มแทน
กันได้ และที่สำคัญน้ำนมถั่วเหลืองยังมีสารเลซิติน
ที่ช่วยเสริมสร้างบำรุงสมอง ซึ่งต่างจากนมพร่องมันเนยที่ไม่มีสารดังกล่าว”
พญ.
อัจฉรา กล่าว





            อย่างไรก็ตาม
สำหรับคนที่ต้องการดื่มนมพร่องมันเนยควรจะดื่มเป็นอาหารเสริมน่าจะดีกว่า
ไม่ควรดื่มเป็นอาหารหลักในช่วงเช้า
เพราะจะทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต พญ. อัจฉรา กล่าว

  ดร. วิศิฐ
จะวะสิต
รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล กล่าวว่า
ไม่เห็นด้วยที่วัยรุ่นยุคนี้ชอบดื่มนมแทนน้ำ โดยเฉพาะนมธรรมดา หรือ UHT
เพราะอาจทำให้คอเรสเตอรอลสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคอ้วน
สำหรับเด็กในเมืองนั้นถ้าต้องการดื่มนมพร่องมันเนยก็ได้
เพราะเด็กพวกนี้จะได้รับสารอาหารที่ขาดไปจากทางอื่นอยู่แล้ว แต่เด็กๆ
ที่อาศัยอยู่ในแถบชนบท หรือเด็กที่มีร่างกายผอมควรที่จะดื่มนมธรรมดา
ซึ่งจะได้คุณค่าทางอาหารครบถ้วน

  “โดยปกติแล้วคนที่ดื่มนมเพราะต้อง
การแคลซียมและโปรตีนจากนม
แต่ในส่วนคนที่ไม่สามารถดื่มนมได้เพราะไม่ย่อยนั้น
แนะนำให้บริโภคโยเกิร์ตทดแทน โดยเฉพาะที่เป็นถ้วยๆ
เพราะในโยเกิร์ตจะมีจุลินทรีย์ที่สามารถย่อยได้ดี
แต่โยเกิรต์จะมีราคาแพงกว่านมอยู่เกือบ 2 เท่า
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สามารถบริโภคปลาตัวเล็กได้ เพราะมีแคลเซียมไม่ต่างจากนม”

รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโภชนากร กล่าว

           
ทั้งนี้นมพร่องมันเนยหรือนม ขาดมันเนยนั้น
จะเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนัก และคนที่มีอายุมากกว่า 25
ปีขึ้นไป เพราะบุคคลในวัยนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมากนัก ดร.วิศิฐ
กล่าวเพิ่มเติม



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากDevil






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:15:04 น.
Counter : 467 Pageviews.  

"มะนาว" มีประโยชน์มากกว่าความเปรี้ยว





มะนาว
เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่เมื่อพูดถึงแล้ว ใคร ๆ
หลายคนคงนึกถึงรสชาติที่เปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟัน แต่ขณะเดียวกัน หากนึกถึงคุณประโยชน์ด้านต่าง ๆ ของมะนาวอาจพบว่ามีมากมาย
โดยนอกจากคุณแม่บ้านจะมีไว้ติดครัวเพื่อปรุงรสต้มยำหรือสารพัด
ยำให้แซบถูกปากแล้ว ในสรรพคุณทางยา “มะนาว” ยังสามารถใช้รักษาโรคต่าง ๆ
รวมทั้งเป็นเครื่องประทินความงามได้อย่างดีอีกด้วย





          
ลักษณะทั่วไปของมะนาวเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ทรงพุ่ม ตัวใบรูปร่างกลมรี
ขอบใบหยักเล็กน้อย ปลายและ โคนใบมน ดอกเล็กสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมอ่อน ๆ
ผลกลมเปลือกบางเรียบ มีน้ำชุ่มมาก รสเปรี้ยว เปลือกผลมีน้ำมัน กลิ่นหอม
รสขม สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดโดยเฉพาะดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี
ควรปลูกในฤดูฝน ช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ ต้องรดน้ำทุกวันและไม่ควรโดนแดดมาก
โดยมีความเชื่อตามตำราพรหมชาติฉบับหลวงกล่าวไว้ว่า
มะนาวเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน
กำหนดปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ)
เพื่อผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านจะได้มีความสุขสวัสดี

           มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลาย ชนิด เช่น
กรดซิตริก กรดมาลิค วิตามินซี ซึ่งได้จากน้ำมะนาว
ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอและซี
รวมทั้งมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาว มี
สรรพคุณทางยาคือ เปลือกผล
มีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด
วิธีทำ
ยา นำเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออก
ชงน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการ ส่วน น้ำมะนาว
รักษาอาการไอและขับเสมหะ
โดยใช้ผลสดคั้นน้ำจะได้น้ำมะนาวเข้มข้น
ใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อย ๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล
ปรุงให้รสเข้มข้นพอควร ดื่มบ่อย ๆ หรือนำน้ำมะนาวผสมดินสอพองใช้ทาบริเวณ
หัวโน จะทำให้เย็นและยุบลงเร็ว 


ประโยชน์ของน้ำมะนาวซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นที่รู้จักกันดีคือ

มีวิตามินซีสูงมาก รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดี นอกจากนี้ยังมี
ประโยชน์ด้านความงามโดย เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทา บริเวณข้อศอก
คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า จะช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี
สำหรับใบหน้าสามารถแก้สิวฝ้าได้ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง
ซึ่งมะนาวจะช่วยรักษาสิวให้ลดน้อยลงได้เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ
จะทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วหลุดออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน
ช่วยกำจัดเชื้อโรคและไขมันได้ด้วย
การใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อย ๆ
ยุบหายไปในที่สุด ส่งผลให้ใบหน้าสวยใส


มะนาว
จึงถือเป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยามากมาย
ดังนั้นอย่าลืมหาซื้อมะนาวหรือปลูกเองติดบ้านไว้ใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพและ
ความงามนอกเหนือจากไว้ปรุงรสอาหารนะคะ.





ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากก๊อฟฟี่






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 23:11:53 น.
Counter : 545 Pageviews.  

ประโยชน์จากเปลือกแอปเปิ้ล



ป้องกัน
มะเร็งไส้ใหญ่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

           มีสารฟลาโวนอยด์สูง
มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล
ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ...





          
นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล
ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูก
จะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้

          
วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป"
แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น
กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก
โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรค
จะลดลงได้ประมาณถึงครึ่ง

          
พวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมัน
คงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ
มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล
ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ
และยังยับยั้งอาการตั้งต้นของโรค
และการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วย





           นักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตาม
เปลือก มากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือก
ล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 22:38:41 น.
Counter : 589 Pageviews.  

ดื่มชาเขียวให้ดี...ต้องมีข้อห้าม










ดื่ม
ชาเขียวให้ดี...ต้องมีข้อห้าม

Devil
(12,017 views) first post: Wed 7 April 2010 last update: Wed 7 April 2010

ถ้าจะ
ให้บอกประโยชน์ของชาเขียว ขอบอกว่าเพียบ !
แต่ของทุกอย่างเมื่อมีประโยชน์ก็ต้องมีโทษคู่มาด้วยเสมอ




หน้าที่ 1 - ดื่มชาเขียวให้ดี...ต้องมีข้อห้าม



ถ้าจะ
ให้บอกประโยชน์ของชาเขียว ขอบอกว่าเพียบ !
แต่ของทุกอย่างเมื่อมีประโยชน์ก็ต้องมีโทษคู่มาด้วยเสมอ







1. ปกติสารโพลีฟีนอล
ในน้ำชาเขียวจะช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้
แต่ถ้าดื่มชาที่เข้มข้นมากเกินไปจะทำให้ท้องผูก
2.
ในชาเขียวมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 30-40% ของกาแฟ ถ้าดื่มมากๆ ก็จะทำให้ใจสั่น
ตาลาย มีนงงเหมือนกับดื่มกาแฟเช่นกัน
3. ในใบชามีกรดแทนนิก (Tannic
Acid) ประกอบอยู่ ยิ่งใบชาเกรดต่ำก็ยิ่งมีกรดแทนนิกสูง
กรดนี้จะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร
ฉะนั้นจึงต้องไม่ดื่มน้ำชาร่วมกับยา
เพราะกรดในน้ำชาอาจจะทำให้สรระคุณของยาเปลี่ยนไป
ควรจะดื่มน้ำชาก่อนหรือหลังการทานยาประมาณ 2 ชั่วโมง





4. ไม่ควรดื่มน้ำชาก่อนนอน
เพราะคาเฟอีนในน้ำชาจะทำให้นอนไม่หลับ
5. น้ำชามีผลให้ปัสสาวะบ่อย
ทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับไตจึงไม่ควรดื่ม
6.
คนที่มีไข้สูงควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชา
เนื่องจากชาจะไปกระตุ้นทำให้หัวใจเต้นเร็ว อุณหภูมิร่างกายก็จะเพิ่มขึ้น
อาการไข้จึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก
7.
กรดแทนนิกในน้ำชามีผลให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาได้น้อยกว่าปกติ
คนที่เป็นไข้ซึ่งต้องการการขับเหงื่อเพื่อระบายความร้อน่จึงไม่ควรดื่มชา
8.ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 3
ขวบดื่มน้ำชา เพราะถ้ากรดแทนนิกจากน้ำชาไปรวมตัวกับธาตุเหล็กในนร่างกาย
จะกลายเป็นสารที่ไม่สามารถละลายได้ ทำให้ร่างกายเด็กไม่เจริญเติบดต
ขาดธาตุเหล็กเป็นโลหิตจาง






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 22:30:30 น.
Counter : 521 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.