ยาฉีดหรือยากินดีกว่ากัน



















































เรามักจะได้
ยินคนพูดกันบ่อยๆ ว่า
"ถ้าจะให้หายป่วยเร็วๆ ต้องฉีดยา" หรือ "
ยาฉีดแรงกว่ายากิน เลยได้ผลดีกว่า"

แม้แต่บทสนทนากับหมอ...
"หมอ
ผมขอยาฉีดได้ไหม จะได้หายเร็วๆ" หรือ
"ถ้าไม่ฉีดยาแล้วจะหายหรือคะ"

จะ
เห็นได้ว่าผู้ป่วยบางคนยังขาดความรู้ความเข้าใจ
และยังมีความเชื่อว่ายาฉีดนั้นต้องดีกว่าหรือแรงกว่ายากินซึ่งไม่ถูกต้องนัก
เพราะโลกปัจจุบันนี้มีความก้าวหน้าไปมากแล้ว
ขนาดที่ว่ามีการประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ เทคโนโลยีทันสมัย
เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น
นับประสาอะไรที่มนุษย์เราจะทำยาที่ใช้ง่ายและปลอดภัยต่อร่างกายตนเองไม่ได้
         
คนไทยเราบางกลุ่มอาจยังมีค่านิยมผิดๆ ในเรื่องยาฉีด
โดยเฉพาะกลุ่มคนในชนบทที่ยังฝังใจว่ายาฉีด ดีกว่ายากิน ทำให้หายเร็ว
ถ้าเปรียบเทียบกับชาวต่างประเทศโดยเฉพาะทางตะวันตก หากหมอจะฉีดยาให้
ก็มักจะซักถามละเอียดเลยว่า "เป็นยาอะไร
ฉีดเพื่ออะไร ทำไมต้องฉีด ไม่ฉีดได้ไหม"
ต่างจากคนไทย
ซึ่งขี้เกรงใจหมอ พอบอกว่าจะฉีดยาก็เปิดก้นรอเลย

   โดยทั่วไปแล้วตามหลักการใช้ยา
แพทย์จะคำนึงถึงความมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อผู้ป่วย
ไม่ได้มุ่งที่การออกฤทธิ์เร็วเพียงอย่างเดียว
การใช้ยากินจึงค่อนข้างปลอดภัย ยกเว้นมีความจำเป็นจริงๆ
ที่ต้องใช้ยาฉีดในบางกรณีคือ

      - โรคบางโรค
ต้องใช้ยาที่มีสรรพคุณดีบางอย่างที่ไม่สามารถกินได้
          -
ป่วยหนักมาก (ฉุกเฉิน หรือวิกฤติ)
          - กินยาไม่ได้ เช่น
ไม่รู้สึกตัว อาเจียนมาก กลืนลำบาก สำลัก
          -
ไม่มียากินที่มีสรรพคุณดีเท่ากันหรือดีกว่า

























 บางรายเจอเหตุการณ์ที่ร้ายแรงจากการฉีดยาเพราะ "ฉีดยาผิด
คน" "ฉีดยาผิดประเภท" หรือ "ฉีดยาผิดขนาด"

อย่างนี้เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แค่ป่วยก็นับว่าแย่อยู่แล้ว
เจอฉีดยาผิดแบบนี้อันตรายมาก ถือว่าเป็นเรื่องผิดพลาดร้ายแรงในวงการแพทย์
เพราะบางครั้งอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต แต่มักพบนานๆ ครั้ง
และจะเป็นข่าวดังโดยเฉพาะเมื่อมีการฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหาย
ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้มักเกิดจากความประมาท ความเร่งรีบ
ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการทำงาน
ดังนั้นส่วนของผู้ป่วยเมื่อจะต้องถูกฉีดยาควรถามว่าเป็นยาอะไร
เป็นยาที่จะใช้กับเราจริงหรือไม่ ให้เพื่ออะไร ใครเป็นคนสั่ง
และต้องสังเกตอาการผิดปกติอะไรบ้าง

จะเห็นว่าการฉีดยานั้นมีความเสี่ยงอยู่มาก
ตัวยาฉีดเองก็อันตรายกว่ายากิน
โดยเฉพาะยาฉีดเข้าเส้นเลือดซึ่งจะเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที
หากพบว่าผู้ป่วยแพ้ยาหรือได้ยาผิด ก็จะมีอาการรวดเร็ว
และรุนแรงกว่ายากินมาก


         
คลินิกบางแห่งยังนิยมฉีดยาให้ผู้ป่วย
อาจเพราะผู้ป่วยมักจะตื๊อขอยาฉีดเพราะคิดว่าต้องดีกว่ายากิน
อย่างนี้หมอควรอธิบายให้เห็นถึงคุณและโทษของยาฉีดเทียบกับยากินด้วย
หรือหมอบางคนอาจเห็นว่าการฉีดยาจะสามารถคิดเงินได้มากกว่า
เพราะผู้ป่วยบางกลุ่มชอบฉีดยาแก้ไข้ แก้หวัด แก้ปวด แก้ท้องเสีย
หรือแม้แต่ฉีดวิตามิน ซึ่ง
โดยมากต้น
ทุนยาแต่ละหลอดไม่ถึง 10 บาท บวกค่าเข็มก็ไม่เกิน 5 บาท
แต่สามารถคิดค่าฉีดยาได้เป็นหลักร้อย

         
ดังนั้นการใช้ยาฉีด ควรพิจารณาจากความจำเป็นในการใช้
และผู้ป่วยควรเตือนสติตัวเองว่า
"คนรุ่นใหม่ ไม่ฉีดยาถ้าไม่จำเป็น"
          
"ยาฉีดอันตรายกว่ายากิน"

          และถ้าหมอจะฉีดยา
ให้ถามว่า
"จะฉีดยาอะไร ทำไมต้องฉีด
มียากินที่ดีเท่ากันหรือดีกว่าไหม และไม่ฉีดได้ไหม"













บทความจาก วิชาการดอทคอม







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 13:26:02 น.
Counter : 633 Pageviews.  

S M I L E

















































































































































































































Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 13:16:22 น.
Counter : 479 Pageviews.  

คำคม ดลใจ












































































































































































































































































































































Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 13:14:57 น.
Counter : 592 Pageviews.  

ลูกชิ้นผัดเปรี้ยวหวาน












































ส่วนผสม








ลูกชิ้นถั่วเขียว 20 ลูก
หอมใหญ่ 1 หัวใหญ่
แตงกวาอ่อน 10
ผล
สับปะรด 1 ผล
มะเขือเทศ 2 ลูก
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมัน
2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 2-3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำ
ซุปผัก 1/2 ถ้วย
แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำ
ส้มสายชู 1 ช้อนชา

วิธีทำ


1. ปอกหอมใหญ่ล้างน้ำ
ผ่าครึ่งหั่นเป็นชิ้นตามยาวหนา 1/2 ซ.ม. ล้างแตงกวา ผ่า 4 ตามยาว
ตัดครึ่งเป็น 8 ชิ้น
2. ปอกสับปะรดเอาแกนออก หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ หนา
1/2 ซ.ม. กว้าง 1 นิ้วล้างมะเขือเทศผ่าเป็นเสี้ยวๆตามยาว 6-8 ชิ้น
3.
ใส่น้ำมันในกะทะ เจียวกระเทียมพอหอมใส่หอมใหญ่ผัดให้สุก
ใส่ลูกชิ้นถั่วเขียว แตงกวาสับปะรด
4. ปรุงรส เค็ม หวาน ใส่น้ำซุปผัก
พอผักสุกใส่มะเขือเทศ ชิมรส 3 รส ใส่พริกไทย ถ้าไม่เปรี้ยวจึงใส่น้ำส้ม
ยกลง








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 13:04:20 น.
Counter : 1001 Pageviews.  

อย่ามัวแต่หวังให้คนอื่นมาช่วยเหลือ



















































"ข้อคิดดีๆ  ที่ได้จากดอกไม้"











































































































































































































สองมือสองเท้าเรามี
จงทำตามที่ปรารถนา
อย่าหวังว่าคนอื่นเขา
จะมาช่วยเหลือทุกเวลาหา
ไม่มี








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 13:01:48 น.
Counter : 593 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.