พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์



ถ้าพ่อแม่ของเราเดินไม่ถูกทาง เราก็ไม่ได้เกิดมา
เพราะพ่อแม่ของเราทำผิดหมด พระพุทธเจ้าจะต้องมีพระคุณมากกว่าพ่อแม่
ให้เขาฝังความรู้สึกอันนี้ลงไปในพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง
พ่อแม่คลอดเรามาเลี้ยงเรามา อบรมเรามา สั่งสอนเรามา ช่วยเหลือเรามาก
ก็เพราะการนำของพระพุทธเจ้า




ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่ที่ไหน ลูกเด็กๆ
ก็มีพระพุทธเจ้าที่พระพุทธรูปอย่างที่กล่าวแล้ว
เพราะผู้ใหญ่สอนให้คิดอย่างนั้นว่าพระพุทธรูปคือพระพุทธเจ้า
ก็เชื่อตามที่คิดเอาเองว่าจะเป็นอย่างไร
ไอ้คนที่ได้รับการศึกษาก็เชื่อว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่พระธาตุ พระสารีริกธาตุ
พระบาท พระอะไรก็ตาม คิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น


ทีนี้ก็เป็นพระพุทธเจ้าชนิด สำหรับผู้ที่มีปัญญาเพียงเท่านั้น
ทีนี้คนที่มีการศึกษาธรรมดาๆ แม้ในระดับมหาวิทยาลัย
ก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ สอนอยู่ที่ประเทศอินเดีย มา
50 ปี เกิดแล้วก็ตายแล้ว มันก็เท่านั้น
นี่การศึกษาที่คนธรรมดารู้จักพระพุทธเจ้า





53074




แต่พระพุทธเจ้าท่านปฏิเสธพระพุทธเจ้าในลักษณะนั้น ท่านตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ใดไม่เห็นธรรมแม้จะจับจีวรเราไว้ก็ไม่เห็นเรา ไม่ได้ชื่อว่าเห็นเรา
ทีนี้พระพุทธเจ้าชนิดนี้ใครเห็นบ้าง ใครมีบ้าง ลูกเด็กๆ ยังไม่อาจจะมี
เพราะฉะนั้นเขาก็มีพระพุทธรูปไปก่อน มีพระธาตุไปก่อน
มีอะไรต่ออะไรตามความรู้ที่เรียนมาในหนังสือไปก่อน ตามที่เด็กๆ
เรียนมาท่องมา พระพุทธเจ้าก็คือบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ จนกว่าเด็กๆ
จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนี่คือธรรมะ ธรรมะอะไร ธรรมะที่ไหน
พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปอีกแห่งหนึ่งว่า ผู้ใดเห็นปฏิจสมุทบาท ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจสมุตบาตร
ปฏิจสมุตบาทก็คือวิธีที่รู้ว่าอาการทุกข์มันเกิดขึ้นอย่างไร



อาการทุกข์มันดับลงไปอย่างไรนั่นแหละ
อาการมีทุกข์มันเกิดและดับลงอย่างไรเรียกว่าปฏิจสมุตบาท
ผู้ใด้เห็นปฏิจสมุตบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
ทีนี้ก็เห็นว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ดับลงไป ความทุกข์อย่างไร
ดับทุกข์ไปได้นั่นเอง ที่ว่าเห็นธรรมคือเห็นเรา
ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านพระองค์จริง ที่พระพุทธองค์ประสงค์จะให้คนรู้จัก
และท่านก็ตรัสว่า ธรรมะที่แสดงแล้ว
วินัยที่บัญญัติแล้วจะอยู่เป็นพระศาสดาของพวกเธอทั้งหลายในเวลาล่วงลับไป
แล้วแห่งเรา พระศาสดาพระองค์จริงที่ดับทุกข์ได้น่ะ จะอยู่กับท่านตลอดไป
ไม่เคยตาย ไม่เคยตาย เราก็มีโอกาสที่จะบอกเด็กๆ
ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่เคยตาย
พร้อมที่จะปรากฏขึ้นในจิตใจของเราเมื่อไรก็ได้ที่ไหนก็ได้


ขอให้เราพยายามให้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงเกิดขึ้นในจิตใจของเรา
คือดับทุกข์ได้ ปัญญาที่ดับทุกข์ได้ ความรู้ที่ดับทุกข์ได้
หรือจะเอาจิตก็ได้ที่มันมีความรู้จนดับทุกข์ได้ เนี่ยแหละคือพระพุทธเจ้า
เรามีพระพุทธเจ้าชนิดนี้กันเถิด แม้ว่าเดี๋ยวนี้เราจะมีน้อย
ก็ขอให้เรามีมาก มาก มากขึ้นไปจนดับทุกข์ได้หมด เราก็มีพระพุทธเจ้าหมด
มีอยู่ในเรา
หรืออาจจะพูดได้ว่าเราก็เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเหมือนกันแม้แต่องค์
น้อยๆ
อย่างนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดหรอกโดยเฉพาะฝ่ายเถรวาทที่เคร่งครัดอย่างนี้จะ
ไม่กล้าพูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง
แต่ถ้าฝ่ายมหาญาณเขาอิสระเขากล้าพูด ทำจนดับทุกข์ได้เหมือนพระพุทธเจ้า
เราก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็เต็มไปหมดทั้งจักรวาล
เด็กๆ ก็จะกล้าคิดว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เราทำให้มีขึ้นมาได้ในเรา


ดังที่ท่านตรัสว่าจะอยู่กับพวกเธอทั้งหลายตลอดกาล
แม้ว่าร่างกายนี้จะดับไปแล้ว พระพุทธเจ้าแม้สำหรับเด็กๆ
ก็ควรจะได้รู้อย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่ของมันก็ไม่รู้ จะสอนให้เด็กๆ
รู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการจัดการศึกษาอนุบาลให้เด็กๆ
รู้จักพระพุทธเจ้าได้สักเท่าไรนั้นไปพิจารณากันดูเถิด
จะเอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดิมอยู่เรื่อยไปเด็กก็ไม่รู้จักโต

แล้วมันก็จะมีความผิด เห็นผิดที่เดินผิดทางสติปัญญา ทางสัมมาทิฐิ
รีบประดิษฐานพระพุทธเจ้าที่มีความหมายถูกต้องลงไปในจิตใจของเด็ก เด็กๆ
ก็จะมองเห็นว่า พิธีพุทธาพิเษกที่เขาทำกันนั่นเป็นเรื่องเด็กเล่น
เป็นเรื่องเล่นละคร จะเสกก้อนอิฐก้อนหินให้เป็นพระพุทธเจ้า
มันเป็นเรื่องเด็กเล่น พระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้นจะทำกันอย่างนั้นไม่ได้
จะเสกกันอย่างนั้นไม่ได้ ปัญญาที่ช่วยเราดับทุกข์ได้นั่นแหละ
แม้แต่การศึกษาเล่าเรียนของเราในโรงเรียนที่จะช่วยเราดับทุกข์ได้
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าเต็มรูปแบบในที่สุด
ขอให้เด็กเตรียมตัวที่จะมีพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องอย่างนี้ตั้งแต่เล็กๆ
การที่เด็กๆ จะสร้างโลกในอนาคตเป็นสิ่งที่มีหวังได้ หวังได้ เด็กๆ
จะสร้างโลกในอนาคตได้ ให้เขารู้จัดพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องในลักษณะเช่นนี้


ทีนี้ก็พูดถึงพระธรรมบ้าง พระธรรมบ้าง เด็กๆ
ก็เป็นธรรมดาที่รู้อย่างที่พ่อแม่บอกให้รู้ พระธรรมก็คือใบลาน
คือตู้พระไตรปิฎก คือเล่มพระไตรปิฎก หรือแม้แต่เสียงที่พระเทศออกไปแจ้วๆ
นี้ก็เป็นพระธรรมเด็กเค้าก็รู้เท่านั้น เด็กไม่รู้ว่าพระธรรมคืออะไร
มันก็อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้านั่นแหละ
ไอ้ความรู้ที่ดับทุกข์ได้และปฏิบัติตามนั้นแล้วดับทุกข์ได้
เกิดผลขึ้นมาเป็นการดับทุกข์ไปตามนั้นคือพระธรรม พระธรรมที่แท้จริง
ไม่ใช่ตู้ใบลาน ไม่ใช่ตู้พระไตรปิฎก ไม่ใช่เสียงแสดงธรรม
หรือไม่ใช้อะไรที่เป็นวัตถุ แต่เป็นความรู้ เป็นการกระทำ
เป็นผลของการกระทำที่มันดับทุกข์ได้ เหมือนที่เด็กๆ เรียนหนังสือในโรงเรียน
เรียนให้รู้เพื่อจะประกอบอาชีพ แล้วก็ไปประกอบอาชีพ
แล้วก็ได้ผลจากการประกอบอาชีพ



ทั้งหมดนี้มันมีลักษณะอย่างไร พระธรรมก็มีลักษณะอย่างนั้นแหละ
ขอให้เด็กเตรียมตัวรู้จักพระธรรมกันยิ่งๆ ขึ้นไป อย่ามัวเห็นตู้พระธรรม
ตู้พระไตรปิฎก คัมภีร์ ใบลานหรืออะไรที่เขาเรียกๆ กัน เค้าใช้ทำพิธีกัน
อันนั้นเป็นเรื่องพิธี บอกให้รู้มันเป็นเรื่องพิธี
ความจริงมันอยู่ลึกกว่านั้น มันเป็นตัวที่เป็นของจริง
ให้เด็กเค้ารู้จักพระธรรมเป็นตัวตั้งต้นที่ถูกต้องกันเสียอย่างนี้
มันก็จะง่ายขึ้น อนุบาลจะรู้เท่าไหร่ ประถมจะรู้เท่าไหร่
มัธยมจะรู้เท่าไหร่ ก็จะไปแนวเดียวกันนี้

ทีนี้มารู้จักพระสงฆ์กันเสียบ้าง ไม่ใช้แค่คนที่เอาผ้าเหลืองมาห่ม
เด็กๆ มันรู้จักเพียงเท่านั้น
เด็กทารกก็รู้จักเพียงเท่านั้นเพราะพ่อแม่เค้าบอกเพียงเท่านั้น
ไอ้ตัวที่เหลืองๆ มาแล้วโว้ย ก็ยกมือไหว้สาธุ สาธุ มันก็รู้เพียงเท่านั้น
ให้เค้ารู้ว่าพระสงฆ์คือผู้ที่ประสบความสำเร็จในการดับทุกข์ตามแบบของพระ
พุทธเจ้า แล้วยังจะสืบวิชาอันนี้ไว้ให้คนชั้นหลังตลอดกาลนิรันดร
พระสงฆ์ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าดับทุกข์ได้แล้วจะสืบการปฏิบัตินี้ไว้สำหรับคน
ชั้นหลัง พวกเราตลอดไป พระสงฆ์คืออย่างนั้น
ไม่ได้เพียงแต่ว่าห่มเหลืองแล้วจะเป็นพระสงฆ์ เด็กๆ ก็จะไม่หลงในพระสงฆ์
หลงๆ กันอยู่จนเกิดเรื่องเกิดราวที่ไม่น่าดู



ทีนี้เราต้องการให้เด็กรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ สำหรับเด็กที่เป็นจุดตั้งต้นอย่างนี้ มันคงจะทำได้น้อย
ในชั้นอนุบาล แต่มันทำได้ ถ้าไม่ทำไว้แต่ชั้นอนุบาล
สัญชาตญาณน้อมไปในทางกิเลสเป็นหญ้ารกปกปิดเสียหมดแล้ว มันก็ยากที่จะทำ
ฉะนั้นจึงนึกถึงคำพูดเบื้องต้นว่าเหตุผลที่จะทำแก่เด็กๆ
ชั้นอนุบาลนั้นมันมีเหตุผลอย่างนี้
เพราะว่าสัญชาตญาณของมันกำลังจะแปรไปในทางกิเลส นี้มันแปรไปในทางกิเลส
อย่าให้มันเพิ่งแปรใส่อะไรเข้าไว้ไปเสียก่อนมันจะได้อยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นพยายามให้เค้ารู้จักตัวเองอย่างไร รู้จักพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์อย่างไร ก็รีบทำกันเสียเถิดที่จะทำได้


ทีนี้ก็มีเรื่องต่อไปที่ว่าควรจะพูด เราจะสอนเด็กให้รู้จักสิ่งสูงสุด
ขอใช้คำว่าสิ่งสูงสุด จะไม่ใช้คำว่าพระเป็นเจ้าหรือพระพุทธเจ้า
หรืออะไรที่เค้าใช้กัน คำว่าสิ่งสูงสุดนั้นมันเป็นคำรวมดีที่สุด
สูงสุดเพราะเราต้องเคารพ เพราะเราต้องเชื่อฟัง เพราะเราต้องปฏิบัติตาม
เพราะเราต้องมีให้อยู่กับเราให้จนได้ เรียกว่าสิ่งสูงสุด
ถ้าถือว่าศาสนามีพระเจ้า เขาก็ถือว่าพระเจ้านั่นแหละเป็นสิ่งสูงสุด
เข้าไปอยู่เป็นอันเดียวกับพระเจ้าก็เป็นสิ่งสูงสุดที่พระเจ้า
แล้วเราชาวพุทธจะมีอะไรเป็นสิ่งสูงสุด เด็กๆ อาจจะตอบว่ามีพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งสูงสุด ก็ได้เหมือนกัน
แต่เราอยากจะถามว่าพระพุทธเจ้าเคารพอะไร นี้เด็กยังไม่รู้
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพธรรมะ อันนี้คือหน้าที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง
เมื่อท่านตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ท่านก็สงสัยคราวนี้จะเคารพใครเมื่อตรัสรู้แล้ว
คิดไปคิดมาก็เคารพธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วท่านก็เคารพหน้าที่ เด็กๆ
ของเราต้องรู้ว่าเหนือพระพุทธเจ้าขึ้นไปยังมีสิ่งที่เคารพ
สิ่งนั้นคือหน้าที่





53081






ทีนี้ก็มีบอกเรื่องหน้าที่ หน้าที่อะไรจะช่วยให้เรารอด
ไม่ตายและไม่เป็นทุกข์ อะไรที่จะช่วยให้เรารอด พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้
ท่านบอกว่าให้ทำตามหน้าที่อย่างนั้น อย่างนั้นแล้วท่านจะรอด
ท่านกลับมอบหมายให้ทำหน้าที่อย่างนั้นอย่างนั้น แล้วมันจะรอด
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยให้เรารอดก็คือหน้าที่ที่เราปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าทรงกำชับว่าต้องเป็นที่พึ่งแห่งตัวเอง
หมายความว่าต้องช่วยตัวเอง ต้องทำหน้าที่ด้วยตนเอง
หน้าที่ก็จะช่วยคนผู้นั้น



เพราะฉะนั้นสิ่งสูงสุดก็คือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่
พระพุทธเจ้าท่านทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีใครเปรียบได้อย่างที่เล่า
มาเมื่อตะกี้นี้ ครบวงจรจนกระทั่งสิ้นชีวิต จะดับขันธ์ปรินิพพานอยู่หยกๆ
แล้วยังมีคนมาขอให้สอน ปริพาชกคนสุดท้ายน่ะ พระสงฆ์ทั้งหลาย โอ้
มันจะเกินไปแล้วจะปรินิพพานอยู่แล้ว ไป ไป ไล่ไปเสีย
พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าไล่ อย่าไล่ ให้เขาเข้ามา พระพุทธเจ้าก็สอน
สอนปริพาชกคนนี้จนบรรลุธรรมถึงที่สุด เป็นพระอรหันต์ เป็นสาวกองค์สุดท้าย
ต่อมาไม่กี่นาทีท่านก็นิพพาน ดูสิท่านเคารพหน้าที่กี่มากน้อย
แล้วเราเคารพหน้าที่อย่างนี้หรือเปล่า เดี๋ยวนี้คนในโลกนี้มีแต่ ขบถหน้าที่
หลอกลวงหน้าที่ เอาเปรียบหน้าที่ โกหกหน้าที่
ไม่เคารพหน้าที่โลกมันจึงวุ่นวาย





Free TextEditor







































































































Create Date : 29 พฤษภาคม 2553
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 16:07:22 น. 0 comments
Counter : 527 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.