ลัทธิ animism

ที่นี้มันรู้ว่าธรรมชาติแท้ๆ นั้นมีอยู่
ให้รู้ว่าธรรมชาติแท้ๆ เป็นอย่างไร อย่าให้เรื่องไสยศาสตร์เข้ามาฝังหัว
จนผิดไปหมด ยุ่งไปหมด ให้อาศัยหลักของธรรมชาติที่เฉียบขาด แน่นอน ตายตัว
เป็นกระแสแห่งเหตุและผล เกิดความคิดโง่ๆ ขึ้นมาเพราะเหตุและผลก็ไม่ถูก
เกิดความคิดฉลาดขึ้นมาเพราะเหตุผลก็ถูกต้อง
ให้เป็นผู้อยู่ในอำนาจของเหตุผลตลอดไป



ฉะนั้นการสอนให้มองเห็นให้ลึกลงไปตามหลักธรรมะชั้นสูงน่ะไม่เสียหลายหรอก
ให้เด็กรู้ว่าจิตมันคิดนึกได้เองโดยไม่ต้องมีอัตตา โดยไม่ต้องมีอะไร
โดยไม่ต้องมีผีสาง ไม่ต้องมีเทวดาที่ไหนเข้ามาช่วย
ร่างกายระบบประสาทมันรู้สึกอะไรได้เอง ไม่ต้องมีผีมีอะไรมาช่วยทำความรู้สึก
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีระบบประสาทที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นได้เอง
ไม่ต้องมีอัตตา อัตตาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำหน้าที่
จิตรู้สึกเวทนาได้เอง ไม่ต้องรู้สึกมีอัตตามาช่วย จิตทำได้เอง
ไม่ต้องรู้สึกมีสัญญา จำได้หมายมั่นอะไรได้เอง



อัตตาไหนมาช่วยจิตคิดนึกได้เอง ถ้าเป็นวิญญาณทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รู้สึกได้เอง ไม่ต้องผี ไม่ต้องมีอัตตา ไม่ต้องเทวดา ไม่ต้องมีเจตภูต
ไม่ต้องมีอะไรที่ไหนมาช่วย ให้เด็กมันมีความรู้ที่ถูกต้องอย่างนี้
แต่ว่าข้อนี้ก็น่าเห็นใจ
ก็น่าเห็นใจทั้งหมดแหละว่ามนุษย์ที่แหลมทองสุวรรณภูมินี่
ศาสนาฮินดูเข้ามาก่อน ศาสนาพราหมณ์เข้ามาก่อน มาฝังความรู้อย่างฮินดู
อย่างพราหมณ์ไว้ก่อนอัตตา มีเจตมัน มีอาตมัน เจตภูตมีอะไรแบบนี้
ไว้เสียแน่นแฟ้นเสียก่อน มันก็จะเข้ารูปความรู้เดิมๆ ของคนป่าเสียด้วย
มันฝังไว้แน่นแฟ้นว่ามีเจตภูต มีอาตมัน
พอพุทธศาสนาเข้ามาถึงมันก็ยากเหลือเกินที่จะถอนราก
ก็อันนั้นมันฝังแน่นอยู่ก่อนมันก็ฝังแน่นอยู่จนบัดนี้


ในจิตใจของพุทธบริษัท ทั้งศาสนาฮินดูและพุทธ
ถือทั้งฮินดูและพุทธศาสตร์ น่าเห็นใจ รับเอาอย่างฮินดูเข้าไว้เต็มที่
และบอกลูกเด็กๆ ว่านี่เป็นพุทธเสียด้วย หลอกลูกเด็กๆ ว่าเป็นพุทธเสียด้วย
ที่มีการบูชาเซ่นสรวงแบบนั้นน่ะ



53072





แต่วัตถุในพระพุทธศาสนามันก็เลยยุ่งหมด เด็กๆ
ก็ยุ่งไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแน่ เด็กๆ จะต้องรู้ว่าอะไรเป็นไสยศาสน์
อะไรเป็นพุทธศาสนตร์ ค่อยๆ บอกให้เขารู้ ค่อยๆ บอกให้เขารู้
แต่ถ้าพ่อแม่ไม่รู้ใครจะบอก เพราะฉะนั้นมันเลยมีปัญหายากอย่างนี้
กลายเป็นปัญหาทางการศึกษาอย่างนี้ เลยกลายเป็นว่าเราตกลงกันทั้งพ่อแม่
และทั้งลูกให้มีความเข้าใจถูกต้อง เรื่องความเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุผล
ให้รู้ว่าจิตมันลึกลับซับซ้อน มันทำอะไรได้บ้างเราจึงจะเข้าใจจิต
ต่อสิ่งที่เรียกว่าจิตกันมากมาย
เรื่องทางไสยศาสนต์ก็เกิดขึ้นอย่างนี้ขอให้ระวังกันให้ดี





ทีนี้เด็กๆ เนี่ยควรจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตตามสมควร แม้จะไม่รู้หมด
รู้ในขนาดที่ว่าจิตเป็นสิ่งที่อบรมได้ สำคัญ
จิตเป็นสิ่งที่อบรมได้ก็หมายความว่า เปลี่ยนแปลงได้ ให้รู้
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ตายตัว ถ้าเด็กมันรู้ว่าจิตเป็นสิ่งที่อบรมได้
เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ มันก็จะทำอย่างไร ให้มันเป็นจิตที่ดี
ให้มันรู้ว่าดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร จิตที่มีประโยชน์อย่างไร
ไม่มีประโยชน์อย่างไร
นอกจากว่าจิตเป็นสิ่งที่อบรมได้แล้วร่างกายก็เป็นสิ่งที่อบรมได้
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้เหมาะสมกับจิตได้ การอบรมแต่จิตมันก็เป็นไปไม่ได้
ถ้าร่างกายไม่เหมาะสม


เพราะฉะนั้นร่างกายก็เป็นสิ่งอบรมได้เช่นเดียวกับจิต
ฉะนั้นของให้เราอบรมพร้อมๆ กันไป ทั้งร่างกายและจิต
ให้ร่างกายเป็นพื้นฐานของจิต ความคิดนึกนี้ยังไม่มีที่สิ้นสุด
ยังจะเป็นไปอีกมาก แต่เราจะต้องรู้ว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น
อะไรจำเป็นก่อน อะไรจำเป็นต้องมีเดี๋ยวนี้ อะไรรอก่อนก็ได้
จนเห็นว่าไอ้การทำให้หมดปัญหา ทำให้หมดความทุกข์นี่จำเป็นที่สุด
อย่าให้พ่อแม่ต้องน้ำตาไหล อย่าให้ตัวเองต้องน้ำตาไหล ถูกต้องที่สุด




จำเป็นที่สุด
แม้กระทั่งว่าให้เด็กมันรู้ว่าผู้ใหญ่หวังให้เราจะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต
มันอาจจะทำให้เด็กอวดดีไปก็ได้ แต่เราก็มีวิธีพูดที่จะทำให้เด็กไม่อวดดี
เพียงแต่รู้ว่าเขาหวัง
บิดามารดาเค้าหวังให้เราเป็นผู้สร้างโลกในอนาคตทีงดงามที่น่าอยู่
ให้รู้จักความรับผิดชอบอันนี้ อย่าปัดความรับผิดชอบอันนี้
ฉะนั้นจะสอนได้ไม่ว่าจะลูกทารก ลูกเด็กๆ อายุน้อยๆ
มันจะได้เตรียมตัวที่จะเป็นผู้ดี เป็นคนที่ดี ที่มีคุณค่า จะอวดดี
จะหยิ่งผยองไปบ้างก็ไม่เป็นไร



ถ้ามันจะหยิ่งผยองไปในทางที่ว่าเราจะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต
ไม่เสียหายอะไร มันก็ค่อยรู้ได้เอง
โตขึ้นก็ก็ค่อยรู้ได้เองแหละว่าควรจะทำอย่างไร เมื่อไร เพียงใด
ก็จะรู้ได้เอง แต่ขอให้เขารับในความรู้สึกที่เราเป็นคนที่มีค่า
มีความรู้สึกสูงสุดว่า self respect เราเคารพคุณค่าของเรา
คุณค่าอันสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ มันอยู่ที่ความเป็นมนุษย์ของเรา
จะปรับปรุงความเป็นมนุษย์ให้ดีที่สุดให้เด็กเขายอมรับอย่างนี้
ทีนี้เขาก็จะเตรียมตัวสำหรับที่จะเป็นอย่างนั้น ความรู้ยังไม่เพียงพอ
อาจจะอวดตัวไปบ้าง อาจจะเบ่งไปบ้างก็ไม่เป็นไร แล้วมันก็จะหายไป
ลดลงมาเหลือว่าทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ทำหน้าที่กันอย่างไร
นี่เราจะมีเด็กลักษณะอย่างนี้ นี่เรื่องเด็กที่เราต้องการลักษณะอย่างนี้
ทีนี้เราจะทำได้หรือไม่ในการเตรียมเด็กของเราให้เป็นอย่างนี้


ทีนี้ก็จะมองดูไปทิศทางอื่นต่อไปว่า
จะให้เด็กของเรารู้จักพระพุทธเจ้าในลักษณะอย่างไร
เราจะมีพระพุทธเจ้าอย่างไหนให้แก่เด็กของเรา
งั้นเดี๋ยวนี้มันมีอะไรก็จะโทษใครไม่ได้ เพราะเด็กเขาเข้าไปในโบสถ์
โบสถ์ที่ศักดิ์สิทธิ์หรือที่สูงสุดที่แพง
เด็กก็เริ่มเข้าใจผิดต่อพระพุทธเจ้า เพราะนั่งอยู่บนบัลลังงาช้างหลายๆ
ชั้นมีเศวตฉัตรกั้นอยู่บนศีรษะ
พอเด็กเห็นภาพอย่างนี้เด็กจะเข้าใจผิดต่อพระพุทธเจ้าทันที ทางที่จะเดิน
ทิศทางจะไปทางไหนก็ไม่รู้ ไม่มองเห็นว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในกระท่อม
อย่างกระท่อมคนขอทานนั่นแหละ มันไม่เคยรู้มันไม่เคยมองเห็น
ไปดูสิซากพระกุฏิทั้งหลายมันไม่ได้ดีไปกว่ากระท่อมคนขอทานเลย



อย่าไปดูหลังที่เขาเสริมสร้างให้ใหญ่โตมโหฬารนั่นมันรุ่นหลังทั้งนั้นแหละ
พระคันธกุฏิในยุคแรกแท้ๆ มันก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่ากระท่อม
แล้วพระพุทธเจ้าจะมานั่งอยู่บนบัลลังค์งาช้างและเศวตฉัตรได้อย่างไร
ทีนี้มันก็ลำบากเสียแล้วที่จะทำให้เด็กๆ รู้จักพระพุทธเจ้า
เพราะว่าพอเขาเข้าไปในโบสถ์เขาก็รู้จักพระพุทธเจ้าในลักษณะที่ผิดความจริง
เสียแล้ว จะอธิบายกันได้ไหม จะอธิบายกันได้ไหมให้เด็กๆ
เขารู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างไร มีชีวิตอย่างไร
แล้วเด็กก็จะเข้าใจว่าในพระพุทธรูปนั้นมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่เพราะ
ผู้ใหญ่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น



53080



เป็นลัทธิ animism ของคนป่า
มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สิงอยู่ในรูปเคารพ นั่นน่ะลัทธิ animism
ของคนป่าแล้วเราก็ทำให้เด็กๆ เข้าใจอย่างนั้น
พระพุทธรูปองค์นี้ต้องเราของอย่างนี้ไปถวาย
พระพุทธรูปองค์นี้ต้องเอาไข่อย่างเดียวไปถวาย มันทำให้เกิดความคิด
ความเข้าใจผิดต่อพระพุทธรูป
ในฐานะที่เป็นสิ่งที่มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในนั้น
ทำอย่างไรให้เด็กรู้จักพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้อยู่ต่ำที่สุด ธรรมสูงที่สุด




ช่วยโลกทั้งโลกทุกๆ โลก ท่านมีการเสียสละเหลือประมาณ ไม่มีใครเสียสละเท่า
ไม่มีรถยนต์ท่านเดินด้วยเท้าไปไหนที่ท่านจะไปโปรดไปสอน
ท่านไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิต เช่นเกวียน เช่นรถม้า
ท่านไม่นั่งเพราะมันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิต เพราะฉะนั้นท่านก็ต้องเดิน เดิน
การเดินเป็นโยชน์ๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของพระพุทธเจ้า
และท่านก็ทำได้ด้วยความเสียสละ ก่อนจะตื่นเช้าตอนหัวรุ่ง
ท่านนึกว่าวันนี้จะไปโปรดใคร ท่านก็ไปโปรดจนได้ ไปบิณฑบาต ไปโปรดจนได้แหละ
จะเป็นคนชนิดไหนก็ตาม ไปฉันที่นั่น ไปพูดที่นั่น
ไปทำให้เขาเกิดความเข้าใจถูกต้อง จะเป็นเศรษฐี เป็นคหบดี เป็นชาวนา
เป็นพ่อค้า เป็นอะไรก็แล้วแต่



บางทีก็ไปโปรดลัทธิอื่นก็มี
เที่ยงพักผ่อนบ่ายมาที่วัดก็สอนคนที่ไปหาที่วัด
ประชาชนที่ไปหาที่วัดน่ะก็สอนตอนบ่าย พอตอนค่ำก็สอนพระเณรประจำวัด
พอตอนดึกก็สอนเทวดา บาลีมันมีอย่างนั้น (อัถลัตเตเทวดาปัญตานัง)
เทวดาพระราชา เทวดามาหาตอนดึกทั้งนั้นเลย บาลีมันมีอย่างนั้น
ถือกองทัพคบเพลิงไปหาพระพุทธเจ้าเวลาดึก
หรือว่าพระเจ้าอชาตศัตรูแผ่นดินก็ไปหาพระพุทธเจ้าเวลาดึก
พักผ่อนหน่อยก็ตอนหัวรุ่งและยากด้วยสองโลกจะไปโปรดใคร
ท่านทำงานครบวงจรเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้
ขอให้เด็กมองเห็นพระพุทธเจ้าท่านทำงานอย่างนี้ เหน็ดเหนื่อยอย่างนี้
ท่านก็ไม่ได้รับค่าจ้างเงินเดือนอะไรที่ไหน ท่านอยู่อย่างคนขอทาน
รับ
ประทานอาหารอย่างเดียวกับคนขอทาน ท่านทำอย่างนี้
ให้เด็กรู้จักพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องเสียทีเถอะ
เค้าจะได้มีความคิดจะเอาอย่างว่าอยู่ให้มันต่ำที่สุด ทำให้มันสูงที่สุด
สูงยิ่งกว่าเทวดา เราจะพยายามให้เด็กเข้าใจข้อเท็จจริงอันหนึ่งว่า
พระพุทธเจ้ามีพระคุณยิ่งกว่าพ่อแม่ ยิ่งกว่าพ่อแม่
เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านช่วยให้พ่อแม่ของเราเดินถูกทาง
ให้พ่อแม่ของเราปฏิบัติถูกทาง
ให้พ่อแม่ของเราสามารถคลอดบุตรเลี้ยงบุตรได้โดยถูกทาง
ท่านช่วยให้พ่อแม่ของเราเดินถูกทาง






Free TextEditor







































































































Create Date : 29 พฤษภาคม 2553
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 16:05:32 น. 0 comments
Counter : 669 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.