ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์
กาลิเลโอได้ใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตดาวเสาร์เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2153
และพบลักษณะที่เป็นวงรี คล้ายกับเป็นดาวเคราะห์ที่มีหูสองข้าง
จนกระทั่งในปี พ.ศ.2202 คริสเตียน ฮอยเกนส์ พบว่าเป็นวงแหวนของดาวเสาร์
เป็นที่เชื่อกันว่าดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวในระบบสุริยะ
ที่มีวงแหวน จนกระทั่งเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เองที่ได้มีการค้นพบวงแหวนบางๆ
รอบดาวยูเรนัส ดาวพฤหัสบดีและดาวเนปจูน
ดาวเสาร์ถูกเยี่ยมเยือนครั้งแรกโดย ยานไพโอเนียร์ 11 ในปี พ.ศ.2522
ตามด้วยวอยเอเจอร์ 1 วอยเอเจอร์ 2 และยานแคสสินีในปี พ.ศ.2547
ดาวเสาร์มีองค์ประกอบคล้ายกับดาวพฤหัสบดี คือประกอบไปด้วย ไฮโดรเจน 75%
ฮีเลียม 25% ปะปนไปด้วยน้ำ มีเทน แอมโมเนียเพียงเล็กน้อย
โครงสร้างภายในของดาวเสาร์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับของดาวพฤหัสบดี
ซึ่งมีแกนกลางที่เป็นหินแข็งห่อหุ้มด้วยแมนเทิลชั้นในที่เป็นโลหะไฮโดรเจน
และแมนเทิลชั้นนอกที่เป็นไฮโดรเจนและฮีเลียมเหลว
แถบที่มีความเข้มต่างๆ
กันที่ปรากฏบนดาวเสาร์เกิดจากการหมุนรอบตัวเองที่เร็วมากของดาวทำให้เกิดการ
หมุนวนของชั้นบรรยากาศที่มีอุณภูมิแตกต่างกันจึงปรากฏเป็นแถบเข้มและจางสลับ
กันไป
วงแหวนดาวเสาร์
จากภาพวงแหวนดาวเสาร์ ดูคล้ายกับว่าจะมีลักษณะเป็นแผ่น
แท้ที่จริงแล้วประกอบด้วยอนุภาคจำนวนมหาศาล
ซึ่งมีวงโคจรอิสระและมีขนาดตั้งแต่เซนติเมตรไปจนหลายร้อยเมตร
ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยน้ำแข็ง ปะปนอยู่กับเศษหินเคลือบน้ำแข็ง
วงแหวนของดาวเสาร์บางมาก แม้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวถึง 250,000
กิโลเมตร แต่มีความหนาไม่ถึง 1.5 กิโลเมตร
วงแหวนแต่ละชั้นมีชื่อเรียกตามอักษรภาษาอังกฤษ เช่น วงแหวนสว่าง (A และ
B) และวงสลัว (C) สามารถมองเห็นได้จากโลก ช่องระหว่างวงแหวน A และ B
รู้จักในนาม "ช่องแคสสินี" (Cassini Division)
เรายังไม่ทราบถึงต้นกำเนิดของวงแหวนดาวเสาร์
บางทีมันอาจกำเนิดจากการแตกสลายของบริวารที่มีขนาดใหญ่กว่า
ดวง
จันทร์บริวารของดาวเสาร์
ดาวเสาร์มีดวงจันทร์บริวารอย่างน้อย 30 ดวง
ดวงจันทร์บริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ ไททัน มีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ
ไททันมีชั้นบรรยากาศที่ประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจนเป็นส่วนใหญ่
คล้ายคลึงกับชั้นบรรยากาศของโลก
ดังนั้นนักดาราศาสตร์จึงสนใจที่จะศึกษาดวงจันทร์ไททันอย่างละเอียดเพื่อที่
จะได้นำมาเปรียบเทียบกับโลก
ดวงจันทร์บริวารที่มีขนาดรองจากไททันได้แก่ รี ดิโอนี ไออาเพตุส เททิส
เอนเซลาดุส และมิมาส
ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยน้ำแข็งและมีหินผสมอยู่เล็กน้อย